สโมสรฟุตบอลทอตนัมฮอตสเปอร์
สโมสรฟุตบอลทอตนัมฮอตสเปอร์ (อังกฤษ: Tottenham Hotspur F.C.) เป็นสโมสรฟุตบอลของอังกฤษ ปัจจุบันเล่นอยู่ในพรีเมียร์ลีก รู้จักในนามสั้น ๆ ว่า "สเปอร์" (Spurs) ก่อตั้งขึ้นใน ค.ศ. 1882 มีสนามเหย้าในปัจจุบันคือ สนามกีฬาทอตนัมฮอตสเปอร์ สโมสรมีคำขวัญทางการว่า "To dare is to do" ("จงกล้าที่จะทำ") สีประจำสโมสรคือเสื้อสีขาวและกางเกงขาสั้นสีน้ำเงินซึ่งใช้มาตั้งแต่ฤดูกาล 1898–99
ฉายา | สเปอร์, The Lilywhites ไก่เดือยทอง (ไทย) | ||
---|---|---|---|
ก่อตั้ง | ค.ศ. 1882 (ในชื่อ "สโมสรฟุตบอลฮอตสเปอร์) | ||
สนาม | สนามกีฬาทอตนัมฮอตสเปอร์ | ||
ความจุ | 62,062 | ||
เจ้าของ | อีเอ็นไอซีกรุ๊ป | ||
ประธาน | แดเนียล เลวี | ||
ผู้จัดการ | นูนู อึชปีรีตู ซังตู | ||
ลีก | พรีเมียร์ลีก | ||
2020–21 | พรีเมียร์ลีก อันดับที่ 7 จาก 20 | ||
เว็บไซต์ | เว็บไซต์สโมสร | ||
| |||
สเปอร์ชนะเลิศเอฟเอคัพสมัยแรกใน ค.ศ. 1901 ส่งผลให้พวกเขาเป็นสโมสรจากลีกสมัครเล่นเพียงทีมเดียวถึงปัจจุบันที่คว้าแชมป์ได้นับตั้งแต่สมาคมฟุตบอลอังกฤษได้ก่อตั้งระบบการแข่งขันแบบลีกขึ้นใน ค.ศ. 1888 สเปอร์ยังถือเป็นสโมสรแรกในศตวรรษที่ 20 ที่ชนะเลิศฟุตบอลลีกและเอฟเอคัพได้ในฤดูกาลเดียวกัน (ฤดูกาล 1960–61) และยังเป็นสโมสรแรกจากอังกฤษที่ชนะเลิศการแข่งขันถ้วยยุโรป ภายหลังจากชนะเลิศยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ ใน ค.ศ. 1963 รวมทั้งทำสถิติเป็นทีมแรกของอังกฤษที่ชนะเลิศการแข่งขันถ้วยยุโรปได้ 2 รายการแตกต่างกัน ภายหลังจากชนะเลิศยูฟ่าคัพ ใน ค.ศ. 1972 นอกจากนี้ สเปอร์ยังเป็นเพียงหนึ่งในสองสโมสรของอังกฤษ (ร่วมกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด) ที่ชนะเลิศถ้วยรางวัลได้อย่างน้อย 1 รายการตลอดระยะเวลา 6 ทศวรรษติดต่อกัน (ค.ศ. 1950–2000)
ในการแข่งขันภายในประเทศ สเปอร์ชนะเลิศลีกสูงสุด 2 สมัย, เอฟเอคัพ 8 สมัย, ลีกคัพ 4 สมัย และ เอฟเอคอมมูนิตีชีลด์ 7 สมัย ในการแข่งขันระดับทวีป พวกเขาชนะเลิศ ยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ 1 สมัย และ ยูฟ่าคัพ 2 สมัย และผ่านเข้าชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้เป็นครั้งแรกในฤดูกาล 2018– 19 สเปอร์มีสโมสรคู่ปรับสำคัญคือ อาร์เซนอล โดยการแข่งขันระหว่างสองทีมเรียกว่า ดาร์บีลอนดอนเหนือ สโมสรมีกลุ่ม ENIC Group บริษัทด้านการลงทุนของประเทศอังกฤษเป็นเจ้าของทีมตั้งแต่ ค.ศ. 2001 สเปอร์เป็นสโมสรที่มีมูลค่าทีมสูงเป็นอันดับ 10 ของโลก ด้วยมูลค่า 1.67 พันล้านปอนด์ ใน ค.ศ. 2021 และมีรายรับมากที่สุดเป็นอันดับ 9 ของโลกโดยทำรายได้ 390 ล้านปอนด์ ใน ค.ศ. 2020
ประวัติ
ยุคก่อตั้งสโมสร (1882–1908)
สโมสรฟุตบอลทอตนัมฮอตสเปอร์ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1882 โดยกลุ่มเด็กนักเรียนมัธยม 11 คนซึ่งเป็นสมาชิกชมรมคริกเกต นำโดย บ็อบบี บัคเคิล โดยใช้ชื่อ ฮอตสเปอร์ เอฟซี โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้นักเรียนได้ออกกำลังกายในช่วงปิดภาคเรียนในฤดูหนาว หนึ่งปีต่อมา กลุ่มนักเรียนได้ร้องขอให้ จอห์น ริพเชอร์ คุณครูสอนคัมภีร์ไบเบิลในโบสถ์ประจำโรงเรียนเป็นประธานสโมสรคนแรก โดยริพเชอร์ได้ช่วยเหลือทีมทั้งในเรื่องค่าใช้จ่ายและให้คำแนะนำด้านการฝึกซ้อม ใน ค.ศ. 1884 สโมสรได้เปลี่ยนชื่อเป็น ท็อตนัมฮอตสเปอร์ เอฟซี เพื่อให้ไม่เกิดความสับสนกับสโมสรอื่น ๆ ในกรุงลอนดอนที่ใช้ชื่อว่าฮอตสเปอร์ และมีการตั้งชือเล่นสโมสรว่า "สเปอร์" และ "ดอกลิลลี่สีขาว (The Lily Whites)"
ในช่วงแรกทีมยังไม่ลงแข่งขันระดับทางการโดยมีเพียงการเตะอุ่นเครื่องกับสโมสรท้องถิ่น การแข่งขันอาชีพนัดแรกของสเปอร์คือการพบกับทีมท้องถิ่นชื่อว่า Radicals ซึ่งพวกเขาแพ้ไป 0–2 ต่อมา สเปอร์ได้ร่วมแข่งขันฟุตบอลถ้วยทางการครั้งแรกในถ้วยการกุศลของกรุงลอนดอน ในวันที่ 17 ตุลาคม ค.ศ. 1885 และเอาชนะทีม เซนต์ อัลบาน ไป 5–2 ต่อมา สเปอร์ได้จดทะเบียนเป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพอย่างเต็มรูปแบบในวันที่ 20 ธันวาคม ค.ศ. 1895 และได้ร่วมแข่งขันลีกเป็นครั้งแรกในการแข่งขัน เซาเทิร์นฟุตบอลลีก
สโมสรมีสนามเหย้าแห่งแรกคือ ทอตนัม มาร์เชส แต่ใน ค.ศ. 1897 สนามได้ถูกระงับการใช้งานอย่างถาวรเนื่องจากเกิดสงคราม โดยสเปอร์ได้เช่าบริเวณย่าน นอททัมเบอร์แลนด์ และขอเช่าสนาม นอททัมเบอร์แลนด์ พาร์ค เป็นเวลา 8 ปี ก่อนที่จะย้ายไปยังสนาม ไวต์ฮาร์ตเลน ใน ค.ศ. 1898 และแต่งตั้ง แฟรงค์ เบรดเทลล์ ชาวอังกฤษเป็นผู้จัดการทีมคนแรก โดยนักเตะคนแรกที่เบรดเทลล์ซื้อมาร่วมทีมคือ จอห์น คาเมรอน จากสโมสรควีนส์พาร์ก และในปีเดียวกันนั้น สโมสรได้จดทะเบียนเป็นบริษัทมหาชนจำกัดอย่างเป็นทางการ หลังจากคุมทีมได้เพียงฤดูกาลเดียว เบรดเทลล์ได้ย้ายไปคุมสโมสรพอร์ตสมัท และผู้ที่มาคุมทีมแทนก็คือ จอห์น คาเมรอน ซึ่งเบรดเทลล์เพิ่งซื้อตัวเขามานั่นเอง ซึ่งคาเมรอนได้เซ็นสัญญาในฐานะผู้เล่น–ผู้จัดการทีม โดยนอกจากการทำหน้าที่คุมทีมแล้ว เขายังลงเล่นให้กับสโมสรต่อในตำแหน่งกองหน้า
ภายใต้การคุมทีมของคาเมรอน สเปอร์สามารถคว้าแชมป์เซาเทิร์นฟุตบอลลีกได้ใน ค.ศ. 1900 และตามด้วยการคว้าแชมป์เอฟเอคัพสมัยแรกใน ค.ศ. 1901 โดยเอาชนะเชฟฟีลด์ยูไนเต็ด ในนัดแข่งใหม่ 3–1 หลังจากเสมอกันในนัดแรก 2–2 ทำให้สเปอร์เป็นสโมสรจากลีกสมัครเล่นเพียงทีมเดียวจนถึงทุกวันนี้ที่ได้แชมป์ เอฟเอคัพ นับตั้งแต่เริ่มมีการนำระบบลีกอาชีพมาใช้ใน ค.ศ. 1888 คาเมรอนยังพาสเปอร์ได้รองแชมป์ลีกอีก 2 ครั้งใน ค.ศ. 1902 และ 1904 ต่อมา ใน ค.ศ. 1908 คาเมรอนได้ลาออก และเฟรด เคิร์กแฮม เข้ามาคุมทีมต่อ ในปีนั้นสเปอร์ได้ย้ายไปเล่นในฟุตบอลลีกดิวิชั่น 2 และสามารถคว้ารองแชมป์ได้
ยุคตกต่ำและแชมป์ลีกสูงสุดสมัยแรก (1912–1957)
ในช่วงระหว่าง ค.ศ. 1912–27 สเปอร์มี ปีเตอร์ แม็ควิลเลียม อดีตนักฟุตบอลชาวสกอตแลนด์เป็นผู้จัดการทีม และพวกเขาจบอันดับสุดท้ายในดิวิชั่นหนึ่งฤดูกาล 1914–15 ก่อนที่การแข่งขันฟุตบอลลีกจะหยุดไป 5 ปีเนื่องจากสถานการณ์สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ต่อมา ฟุตบอลอังกฤษได้กลับมาแข่งขันในฤดูกาล 1919–20 โดยในปีนั้น สมาคมฟุตบอลอังกฤษ มีมติเพิ่มจำนวนทีมในลีกสูงสุดจากเดิม 20 ทีม เป็น 22 ทีม โดยสมาคมได้ให้สิทธิ์ทีมอันดับ 1 และ 2 ในดิวิชั่นสองเลื่อนชั้นขึ้นมาโดยอัตโนมัติ ซึ่งได้แก่ ดาร์บีเคาน์ตี และเพรสตันนอร์ทเอนด์ และในส่วนของโควตาทีมสุดท้ายนั้น สมาคมได้โหวตเลือกสโมสรอาร์เซนอลซึ่งอยู่ในดิวิชั่น 2 เลื่อนชั้นขึ้นมาในลีกสูงสุด และให้สเปอร์ซึ่งได้อันดับ 20 ในดิวิชั่น 1 ฤดูกาลล่าสุดต้องตกชั้นไปเล่นดิวิชั่น 2 แทน แม้สเปอร์จะยื่นเรื่องฟ้องต่อศาลแต่ก็ไม่เป็นผล อย่างไรก็ตาม พวกเขาสามารถเลื่อนขั้นกลับขึ้นมาลีกสูงสุดได้ในเวลาเพียงแค่หนึ่งฤดูกาล
ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1921 แม็ควิลเลียมพาสเปอร์คว้าแชมป์เอฟเอคัพได้เป็นสมัยที่สอง โดยเอาชนะ วุลเวอร์แฮมป์ตันวอนเดอเรอส์ 1–0 ตามด้วยการได้รองแชมป์ลีกในปี 1922 โดยเป็นรองเพียงลิเวอร์พูล โดยทีมมีผู้เล่นชื่อดังในสมัยนั้นคือ อาเทอร์ กริมส์เดล กัปตันทีม แต่หลังจากนั้นพวกเขาเริ่มเข้าสู่ยุคแห่งความตกต่ำ โดยทำได้เพียงจบด้วยอันดับกลางตารางในอีก 5 ฤดูกาลถัดมา และตกชั้นอีกครั้งในฤดูกาล 1927–28 ส่งผลให้แม็คมิลานลาออก หลังจากนั้นในช่วงทศวรรษ 1930–40 สเปอร์เล่นอยู่ในดิวิชั่น 2 เป็นส่วนมาก ต่อมา ใน ค.ศ. 1949 สโมสรมีผู้จัดการทีมคือ อาเทอร์ โรเวย์ ชาวอังกฤษ ซึ่งเข้ามาปฏิวัติแผนการเล่นของทีมให้เน้นเกมรุกเอาใจแฟน ๆ ด้วยลีลาการเล่นที่เร้าใจ จนได้รับฉายาว่า The "push and run" โรเวย์พาสเปอร์เลื่อนชั้นกลับสู่ลีกสูงสุดได้อีกครั้งใน ค.ศ. 1950 และสามารถคว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้เป็นครั้งแรกในฤดูกาล 1950–51 ก่อนจะลาออกในปี 1955 เนื่องจากปัญหาสุขภาพ
ยุคทองแห่งความสำเร็จ (1958–1992)
บิล นิโคลสัน ตำนานของสโมสร ได้กลับเข้ามาคุมทีมอีกครั้งใน ค.ศ. 1958 หลังจากเลิกการเล่นฟุตบอลไปแล้ว โดยเขาพาทีมครองแชมป์ดิวิชั่นหนึ่ง 1 สมัย, แชมป์เอฟเอคัพ 3 สมัย, ลีกคัพ 2 สมัย, เอฟเอคอมมูนิตีชีลด์ 3 สมัย และในระดับบอลถ้วยยุโรปเขาก็นำทีมเป็นแชมป์ยูฟ่าคัพ (ยูโรปาลีกในปัจจุบัน) 1 สมัย และแชมป์ยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ อีก 1 สมัย แต่นิโคลสันได้ถูกปลดจากการทำผลงานย่ำแย่ในฤดูกาล 1974–75 หลังจากนั้น สเปอร์ก็ยังเล่นอยู่ในระดับสูงโดยสามารถสู้กับทีมใหญ่ ๆ ได้ โดยในช่วงปี ค.ศ. 1981–82 สเปอร์เป็นแชมป์เอฟเอคัพ 2 สมัยติดต่อกันในยุคของ คีธ เบอร์คินชอว์ และยังพาทีมได้แชมป์ยูฟ่าคัพ เป็นสมัยที่ 2 ใน ค.ศ. 1984 โดยเบอร์คินชอว์สร้างทีมด้วยนักเตะแกนหลักอย่าง เกล็น ฮอดเดิ้ล
ต่อมา เทอร์รี เวนาเบิลส์ อดีตนักฟุตบอลชาวอังกฤษได้เข้ามาคุมทีม โดยพาสเปอร์คว้าแชมป์เอฟเอคัพและเอฟเอคอมมูนิตีชีลด์ได้ในฤดูกาล 1990–91 โดยเป็นทีมแรกของอังกฤษที่ได้แชมป์เอฟเอคัพครบ 8 สมัย นักเตะตัวหลักของทีมในยุคนั้นได้แก่ พอล แกสคอยน์ และ แกรี่ ลินิเกอร์ ในช่วงถัดมาตั้งแต่ฤดูกาล 1993–2000 สเปอร์สามารถคว้าแชมป์เพิ่มได้ 1 รายการคือลีกคัพในฤดูกาล 1998–99 ภายใต้การคุมทีมของ จอร์จ เกรแฮม โดยเอาชนะเลสเตอร์ซิตี 1–0
ยุคพรีเมียร์ลีก (2000–ปัจุจบัน)
ในช่วงปลายทศวรรษ 90 ถึงต้นทศวรรษ 2000 สเปอร์มีผู้เล่นชื่อดังในทีมหลายราย เช่น เท็ดดี้ เชอริงแฮม, เยือร์เกิน คลีนส์มัน และ ดาวีด ฌีโนลา และเล่นในลีก พรีเมียร์ลีก (ดิวิชั่น 1 เดิม) ได้อย่างมั่นคง โดยมักจะอยู่ในอันดับต้น ๆ ของตาราง ทีมมีผู้จัดการทีมหลายคนในช่วงนั้น เช่น เกล็น ฮอดเดิล, ฌัก ซ็องตีนี, มาร์ติน โยล โดยในยุคของมาร์ติน โยล สเปอร์มีโอกาสที่จะเข้าไปเล่นยูฟ่าแชมเปี้ยนลีก แต่ก็ทำได้เพียงอันดับ 5 และในปี 2007 ได้มีการปลดมาร์ติน โยล ออกจากตำแหน่งจากผลงานอันย่ำแย่ ทั้งที่ใช้เงินลงทุนมหาศาลรวมถึงการซื้อดาร์เรน เบนท์ มาด้วยค่าตัว 16 ล้านปอนด์ซึ่งเป็นสถิติของสโมสรในขณะนั้น ต่อมา สโมสรได้แต่งตั้ง ฆวนเด รามอส อดีตผู้จัดการทีมหลายสโมสรในลาลิกาเข้ามาคุมทีมก่อนจะพาทีมได้แชมป์ฟุตบอลลีกคัพ ด้วยการชนะ เชลซี 2–1 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ
อย่างไรก็ตาม ในฤดูกาล 2008–09 รามอสได้ถูกปลดเนื่องจากทำผลงานได้ย่ำแย่ และ แฮร์รี เรดแนปป์ กุนซือชาวอังกฤษเข้ามาคุมทีมต่อ และพาทีมเข้าชิงชนะเลิศลีกคัพพบกับ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ได้ ก่อนจะพ่ายในการดวลจุดโทษ และจบเพียงอันดับ 8 ในลีก ต่อมา ในฤดูกาล 2009–10 สเปอร์ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมโดยจบอันดับ 4 ได้สิทธิ์แข่งขัน ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ฤดูกาล 1961–62 ซึ่งสมัยนั้นยังใช้ชื่อว่ายูโรเปียน คัพ
ฤดูกาล 2010–11 สเปอร์ได้เล่นในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก โดยผ่านเข้าถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายก่อนจะแพ้ เรอัลมาดริด และจบอันดับ 5 ในลีก และเรดแนปป์ได้ลาทีมในฤดูกาล 2012 เนื่องจากเจรจาสัญญาฉบับใหม่ไม่ลงตัว ต่อมา อังแดร วีลัช-โบอัช และ ทิม เชอร์วู้ด สองผู้จัดการทีมได้เข้ามาคุมทีมในปี 2012 และ 2013 แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จในรายการใด
เมาริซิโอ โปเชติโน เข้ามารับตำแหน่งใน ค.ศ. 2014 โดยสเปอร์ภายใต้ผู้นำทีมอย่าง แฮร์รี่ เคน กองหน้าคนสำคัญ สามารถคว้ารองแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ในฤดูกาล 2016–17 ซึ่งเป็นอันดับที่ดีที่สุดของพวกเขานับตั้งแต่ฤดูกาล 1962–63 ในสมัยฟุตบอลดิวิชั่นหนึ่ง และยังเข้าชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้เป็นครั้งแรกในฤดูกาล 2018–19 ก่อนจะแพ้ลิเวอร์พูล 0–2 ต่อมา โปเชติโนถูกปลดในฤดูกาล 2019–20 และแทนที่ด้วย โชเซ มูรีนโย ผู้จัดการทีมชื่อดัง ก่อนจะถูกปลดในฤดูกาล 2020–21 แม้จะพาทีมเข้าชิงชนะเลิศอีเอฟแอลคัพได้ ไรอัน เมสัน อดีตผู้เล่นสโมสรได้เข้ามารักษาการต่อ และในฤดูกาล 2021–22 สเปอร์แต่งตั้ง นูนู อึชปีรีตู ซังตู เป็นผู้จัดการทีม
ตราสัญลักษณ์ของสโมสร
ตราสัญลักษณ์ของสโมสรทอตนัมฮอตสเปอร์เป็นรูปไก่ตัวผู้ที่มีเดือยแหลมคมเหยียบลูกฟุตบอล จึงได้ฉายาในภาษาไทยว่า "ไก่เดือยทอง" ตราสัญลักษณ์นี้มีที่มาจากนัดชิงชนะเลิศเอฟเอคัพในปี 1901 เมื่อแฮร์รี เพอร์ซี ฮอตสเปอร์ บุคคลที่เชื่อกันว่าทางสโมสรได้นำนามสกุลของเขาตั้งขึ้นเป็นชื่อสโมสร ใส่รูปไก่ตัวผู้ลงไปในตราสัญลักษณ์เพื่อให้ผู้เล่นเกิดความฮึกเหิม ต่อมาอีก 8 ปี วิลเลียม เจมส์ สก๊อต อดีตผู้เล่นของสโมสรได้ทำรูปหล่อสำริดไก่ตัวผู้เหยียบลูกฟุตบอลขึ้นมา จึงได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของสโมสรนับตั้งแต่บัดนั้น
โดยสัญลักษณ์รูปนี้ได้ทำการปรับเปลี่ยนมาหลายครั้งในหลายยุคสมัย โดยในยุคทศวรรษที่ 1920 เป็นรูปลักษณ์ที่เรียบ ๆ ต่อมาสมัยก็มีรูปลูกโลกรวมถึงสิงโตคู่ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของตระกูลนอร์ททัมเบอร์แลนด์ของแฮร์รี ฮอตสเปอร์ ทั้งปราสาทบรูซซึ่งตั้งอยู่ใกล้สนามไวท์ฮาร์ทเลน รวมทั้งต้นไม้ 7 ต้น สื่อถึงเซเวนซิสเตอร์ส์ ย่านหนึ่งในลอนดอนเหนือที่ตั้งของสโมสรด้วย พร้อมคติภาษาละตินที่ว่า "Audere Est Facere" (จงกล้าที่จะทำ) ต่อมาในยุคทศวรรษที่ 1980 ได้ตัดรายละเอียดต่าง ๆ ออกไป เหลือเพียงไก่กับสิงโตและคติภาษาละตินเท่านั้น
โดยสัญลักษณ์แบบปัจจุบันเกิดขึ้นในปี 2006
สนามแข่งขัน
ในยุคแรก ทอตนัมฮอตสเปอร์มีสนามประจำสโมสรคือ ทอตนัม มาร์เชส แต่เนื่องจากเกิดปัญหาสงครามขึ้นใน ค.ศ. 1897 สนาม ทอตนัม มาร์เชส ได้ถูกระงับการใช้งานอย่างถาวร โดยสโมสรได้ไปเช่าบริเวณย่าน นอททัมเบอร์แลนด์ และขอเช่าสนาม นอททัมเบอร์แลนด์ พาร์ค เป็นเวลา 8 ปี ก่อนที่จะย้ายไปยังสนาม ไวต์ฮาร์ตเลน ใน ค.ศ. 1899 โดยสนามแห่งนี้มีความจุทั้งหมด 36,230 ที่นั่ง และยังได้รับเลือกให้เป็นสนามฟุตบอลที่มีความสะอาดและอุดุมสมบูรณ์ที่สุดในประเทศอังกฤษ โดยสนามมีพื้นที่เป็นพื้นหญ้ามีความยาว 100 เมตร ความกว้าง 67 เมตร ออกแบบโดยสถาปนิกชื่อ อาชิบัลด์ ลีตช์ ชาวสกอตแลนด์ และสโมสรได้ใช้สนามแห่งนี้เรื่อยมายาวนานจนถึงช่วงต้นทศวรรษที่ 2000 ผู้บริหารจึงมีแนวคิดที่จะสร้างสนามแห่งใหม่เพื่อรองรับแฟนบอลในกรุงลอนดอนที่เพิ่มจำนวนขึ้นทุกฤดูกาล โดยมีความพยายามที่จะย้ายสนามใหม่ตั้งแต่ ค.ศ.2001 โดยจะย้ายไปยังสนามกีฬาในเขตพิคเกตส์ล็อก ที่มีความจุ 43,000 คน แต่ไม่ได้รับอนุมัติจากนายกเทศมนตรีกรุงลอนดอนเนื่องจากสภาพการจราจรที่แออัด และในช่วงหลายปีถัดมาก็ได้มีการหาวิธีที่จะย้ายสนามมากมายรวมไปถึงการย้ายไปยังสนามกีฬาเวมบลีย์ ใน ค.ศ. 2007 แต่ก็ไม่เกิดขึ้น
ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2008 สโมสรประกาศแผนการสร้างสนามกีฬาแห่งใหม่ทันทีทางทิศเหนือแทนที่สนามกีฬาไวท์ฮาร์ทเลน เนื่องจากผู้บริหารของสเปอร์ต้องการเพิ่มความจุและความทันสมัยให้แก่แฟนบอล โดยทางใต้ของสนามใหม่จะมีเนื่อที่ครึ่งหนึ่งทับซ้อนกันกับทางตอนเหนือของเดอะเลน โครงการดังกล่าวมีชื่อว่า "นอร์ธัมเบอร์แลนด์" สโมสรเริ่มดำเนินการในเดือนตุลาคม 2009 แต่หลังจากปัญหาต่างๆทั้งด้านทำเลที่ตั้งและเรื่องค่าใช้จ่าย สโมสรก็ถูกเพิกถอนโครงการชั่วคราว อย่างไรก็ตามผู้บริหารสเปอร์ได้เสนอแผนงานใหม่อีกครั้งโดยมีการเสนอแผนไปที่องค์การอนุรักษ์แห่งอังกฤษและเลขานุการของรัฐบาล โดยบอริส จอห์นสัน นายกเทศมนตรีกรุงลอนดอนในขณะนั้นได้อนุมัติแผนดังกล่าวในวันที่ 25 พฤศจิกายน ค.ศ. 2010 และต่อมาในวันที่ 20 กันยายน 2011 ได้มีการอนุมัติโครงการพัฒนานอร์ธัมเบอร์แลนด์ อย่างเป็นทางการ
ใน ค.ศ. 2011 ระหว่างการดำเนินการโครงการ นอร์ธัมเบอร์แลนด์ ผู้บริหารของสเปอร์มีแนวคิดที่จะย้ายไปยังสนามกีฬาโอลิมปิกลอนดอน ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน ค.ศ. 2012 และในปีเดียวกัน ได้มีการยื่นข้อเสนอขอใช้สนามกีฬาโอลิมปิกจากสองสโมสรคือสเปอร์กับเวสต์แฮมยูไนเต็ด โดยสเปอร์ได้ชนะในการเสนอราคาครั้งแรก แต่ได้ตัดสินใจถอนตัวในภายหลังเนื่องจากค่าใช้จ่ายที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้เวสต์แฮมยูไนเต็ดได้ใช้สนามกีฬาโอลิมปิกลอนดอนแทนด้วยสัญญา 99 ปี และสเปอร์จึงกลับไปพัฒนาโครงการนอร์ธัมเบอร์แลนด์ต่อ
ภายหลังจากความล่าช้าในการเจรจาข้อตกลงต่างๆ ในที่สุด การก่อสร้างสนามแห่งใหม่ได้เริ่มขึ้นในปี 2016 และสนามกีฬาแห่งใหม่มีกำหนดเปิดในช่วงฤดูกาล 2018–19 ขณะที่กำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง เกมในบ้านของสเปอร์ทั้งหมดในฤดูกาล 2017–18 ได้ย้ายไปเล่นที่สนามกีฬาเวมบลีย์ หลังจากการทดสอบระบบที่ประสบความสำเร็จสองครั้ง ทอตนัมฮอตสเปอร์ ได้ย้ายเข้าสู่สนามใหม่อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2019 ในการแข่งขันพรีเมียร์ลีกกับคริสตัล พาเลซ ซึ่งสเปอร์ชนะ 2–0 สนามกีฬาแห่งใหม่นี้มีชื่อว่า สนามกีฬาทอตนัมฮอตสเปอร์ และเป็นบ้านหลังใหม่ของทีมสเปอร์มาถึงปัจจุบัน
แฟนคลับและความนิยม
สเปอร์เป็นสโมสรเก่าแก่ที่มีผู้ติดตามมายาวนาน และมีฐานแฟนคลับที่ใหญ่ในกรุงลอนดอน พวกเขาเคยมียอดผู้ชมเกมในสนามเฉลี่ยมากทีสุดในประเทศในช่วง ค.ศ. 1950–62 และมียอดจำหน่ายบัตรเข้าชมมากที่สุดเป็นอันดับ 9 ของพรีเมียร์ลีกประจำฤดูกาล 2008–09 และสเปอร์เป็นหนึ่งในสโมสรที่มีผู้ติดตามมากที่สุดในโลกจากทุกทวีป แฟนคลับรุ่นบุกเบิกของสโมสรมีชื่อเรียกว่า "ยิดอาร์มี" (Yid Army) ซึ่งหมายถึงชาวยิว เนื่องจากแฟนคลับแต่ดั้งเดิมของสโมสรเป็นชาวยิวที่ตั้งรกรากในกรุงลอนดอนตอนเหนือ แฟนฟุตบอลที่มีชื่อเสียงของสเปอร์ได้แก่ เจสซี เจ นักร้องชื่อดังชาวอังกฤษ และ เจ. เค. โรว์ลิง นักเขียนนวนิยาย
สเปอร์มีเพลงประจำสโมสรที่แฟนๆมักร้องเชียร์ในสนามคือ "Glory Glory Tottenham Hotspur" เริ่มใช้ครั้งแรกใน ค.ศ. 1961 ภายหลังจากที่ทีมคว้าดับเบิลแชมป์ได้ในฤดูกาลดังกล่าว และได้ไปแข่งขันฟุตบอลยุโรปเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร
สโมสรคู่อริ
ทอตนัมฮอตสเปอร์ เป็นคู่แข่งโดยตรงกับอาร์เซนอล ซึ่งตั้งอยู่ในย่านลอนดอนเหนือด้วยกัน โดยการแข่งขันระหว่างสองทีมเรียกว่า ดาร์บีลอนดอนเหนือ โดยมีจุดเริ่มต้นมาจากการย้ายจากลอนดอนตะวันออก มายังลอนดอนเหนือของอาร์เซนอลใน ค.ศ. 1913 โดยแต่เดิมนั้น สเปอร์เป็นสโมสรเดียวที่ตั้งอยู่ในย่านลอนดอนเหนือ พวกเขาเปรียบเสมือนความภาคภูมิใจและเป็นสโมสรตัวแทนของคนในย่านนี้ การย้ายมาของอาร์เซนอลจึงเปรียบเสมือนการมาแย่งพื้นที่และฐานแฟนคลับของสเปอร์ ยิ่งไปกว่านั้น จากการมีมติเพิ่มจำนวนทีมในลีกสูงสุดจากเดิม 20 ทีม เป็น 22 ทีมในฤดูกาล 1919–20 โดยสมาคมฟุตบอลอังกฤษได้ให้สิทธิ์ทีมอันดับ 1 และ 2 จากดิวิชั่นสองเลื่อนชั้นขึ้นมาโดยอัตโนมัติ (ดาร์บีเคาน์ตี และ เพรสตันนอร์ทเอนด์) และในโควตาทีมสุดท้ายนั้น สมาชิกสมาคมได้โหวตเลือกให้อาร์เซนอลซึ่งอยู่ในดิวิชั่น 2 เลื่อนชั้นขึ้นมาในลีกสูงสุด (ดิวิชั่น 1) และให้สเปอร์ซึ่งได้อันดับ 20 ในดิวิชั่น 1 ตกชั้นไปเล่นดิวิชั่น 2 แทน ถือเป็นเหตุการณ์สำคัญครั้งประวัติศาสตร์ที่สร้างความโกรธแค้นให้แก่สเปอร์และทำให้ความเป็นอริกันของสองสโมสรทวีความรุนแรงมาจนถึงทุกวันนี้
สโมสรในลอนดอนอื่น ๆ ที่เป็นคู่แข่งกับสเปอร์ได้แก่ เชลซี และ เวสต์แฮม แต่ความเป็นอริและบรรยากาศการเผชิญหน้ากันทุกครั้งนั้นไม่ดุเดือดเท่าการพบกับอาร์เซนอล
ชุดและสปอนเซอร์ที่ใช้
ชุดที่ใช้
- 1978–1980: แอดมิรัล
- 1980–1985: เลอ ค็อก สปอร์ทิฟ
- 1985–1991: ฮุมเมล
- 1991–1995: อัมโบร
- 1995–1999: โพนี
- 1999–2002: อาดิดาส
- 2002–2006: แคปปา
- 2006–2012: พูมา
- 2012–2017: อันเดอร์ อาร์มัวร์
- 2017 - Nike (ไนกี้)
สปอนเซอร์
- 1882–1983: ไม่มี
- 1983–1995: โฮลสเตน
- 1995–1999: ฮิวเลตต์-แพคการ์ด
- 1999–2002: โฮลสเตน
- 2002–2006: ธอมสัน ฮอลิเดย์
- 2006–2010: Mansion.com คาสิโน & โป๊กเกอร์
- 2010–2011: ออโตโนมี คอร์ปอเรชัน (ใช้ในพรีเมียร์ลีก)
- 2010–2013: ธนาคารอินเวสเทค (ใช้ในแชมเปียนส์ลีก, เอฟเอคัพ, ลีกคัพและยูโรปาลีก)
- 2011–2013: ออราสมา1 (ใช้ในพรีเมียร์ลีก)
- 2013–2014: ฮิวเลตต์-แพคการ์ด2, AIA (เอฟเอคัพ, ลีกคัพและยูโรปาลีก)
- 2014–: AIA
1 ออราสมาเป็นบริษัทลูกของ ออโตโนมี คอร์ปอเรชัน
2 ฮิวเลตต์-แพคการ์ด เป็นบริษัทแม่ของ ออโตโนมี คอร์ปอเรชัน
ผู้เล่น
ผู้เล่นชุดปัจจุบัน
- ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2021
หมายเหตุ: ธงชาติที่ปรากฏบ่งบอกให้ทราบว่าผู้เล่นคนนั้นสามารถเล่นให้กับชาติใดตามกฎของฟีฟ่าตามความเหมาะสม เพราะผู้เล่นบางคนอาจถือสองสัญชาติ
|
|
ผู้เล่นที่ถูกยืมตัว
หมายเหตุ: ธงชาติที่ปรากฏบ่งบอกให้ทราบว่าผู้เล่นคนนั้นสามารถเล่นให้กับชาติใดตามกฎของฟีฟ่าตามความเหมาะสม เพราะผู้เล่นบางคนอาจถือสองสัญชาติ
|
ทำเนียบผู้จัดการทีม
รายชื่อผู้จัดการทีมสโมสรตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
|
|
20 อันดับผู้จัดการทีมที่ค่าเฉลี่ยในการคุมทีมชนะมากที่สุด
- คำนวณจากเปอร์เซนต์ในการชนะ
ชื่อผู้จัดการทีม | ปี | จำนวนนัดที่คุมทีม | ชนะ | ชนะ % | |
---|---|---|---|---|---|
1 | แฟรงค์ เบรดเทลล์ | 1898–1899 | 63 | 37 | 58.73 |
2 | ไรอัน เมสัน | 2021 | 7 | 4 | 57.14 |
3 | อาเทอร์ เทอร์เนอร์ | 1942–1946 | 49 | 27 | 55.10 |
4 | อังแดร วีลัช-โบอัช | 2012–2013 | 80 | 44 | 55.00 |
5 | เมาริซิโอ โปเชติโน | 2014–2019 | 293 | 159 | 54.27 |
6 | โชเซ มูรีนโย | 2019–2021 | 86 | 44 | 51.16 |
7 | จอห์น คาเมรอน | 1899-1907 | 570 | 296 | 51.93 |
8 | เดวิด พลีท | 1986–1987 | 119 | 60 | 50.42 |
9 | ทิม เชอร์วู้ด | 2013–2014 | 28 | 14 | 50.00 |
10 | แฮร์รี เรดแนปป์ | 2008–2012 | 198 | 98 | 49.49 |
11 | บิล นิโคลสัน | 1958–1974 | 832 | 408 | 49.03 |
12 | อาเทอร์ โรว์ | 1949–1955 | 283 | 135 | 47.70 |
13 | เฟรด คริกแฮม | 1907–1908 | 61 | 29 | 47.54 |
14 | จิมมี แอนเดอร์สัน | 1955–1958 | 161 | 75 | 46.58 |
13 | เพอร์ซี สมิธ | 1929–1935 | 253 | 109 | 46.38 |
15 | ดัก ลิเวอร์มอร์ เรย์ คลีเมนซ์ | 1992–1993 | 51 | 23 | 45.09 |
16 | มาร์ติน โยล | 2004–2007 | 150 | 67 | 44.67 |
17 | ปีเตอร์ ชรีฟส์ | 1984–1986 & 1991–1992 | 177 | 79 | 44.63 |
18 | แจ็ค ทรีซานเดิร์น | 1935–1938 | 146 | 65 | 44.52 |
19 | ปีเตอร์ แม็ควิลเลียม | 1913–1927 & 1938–1942 | 750 | 331 | 44.13 |
20 | เพอร์ซีย์ สมิท | 1929–1935 | 253 | 109 | 43.08 |
- ข้อมูลล่าสุด: สิงหาคม ค.ศ. 2021
1 Includes caretaker manager stints in 1998, 2001 and 2003–04
2 Includes short caretaker manager stint
3 Includes his one match as caretaker manager after Santini's resignation
ทีมงานผู้ฝึกสอนปัจจุบัน
ตำแหน่ง | รายชื่อ |
---|---|
ผู้จัดการทีม | นูนู อึชปีรีตู ซังตู |
ผู้ช่วยผู้จัดการทีม | เอียน แคโทร |
ผู้ฝึกสอนผู้รักษาประตู | ลุยส์ บาร์โบซา |
ผู้ฝึกสอนฟิตเนส | อันโทนิโอ ดิอาส |
ผู้ช่วยผู้ฝึกสอน | เลดลีย์ คิง |
ผู้จัดการทีมชุดเยาวชน | ดีน รัสติก |
ผู้ฝึกสอนรุ่นอายุ 17-23 ปี | ไรอัน เมสัน |
หัวหน้าแมวมอง | ปีเตอร์ บราวด์ |
หัวหน้าฝ่ายวิทยาศาสตร์การกีฬา | เจฟ สกอต |
นักกายภาพบำบัด | สจ๊วต แคมเบล |
- ข้อมูลล่าสุด: สิงหาคม 2021
อดีตผู้เล่นที่มีชื่อเสียง
- เฮอร์เบิร์ต แชปแมน (1905–1907)
- จิมมี่ กรีฟส์ (1961–1970)
- แกรม ซูเนสส์ (1970–1972)
- คริส ฮิวตัน (1977–1990)
- เรย์ คลีเมนซ์ (1981–1988)
- พอล แกสคอยน์ (1988–1992)
- แกรี่ ลินิเกอร์ (1989–1992)
- เอียน วอล์กเกอร์ (1989–2001)
- ดาร์เรน แอนเดอร์ตัน (1992–2004)
- โซล แคมป์เบลล์ (1992–2001)
- เท็ดดี้ เชอร์ริงแฮม (1992–1997, 2001–2003)
- เจอร์เกน คลินส์มันน์ (1994–1995)
- เลส เฟอร์ดินันด์ (1997–2003)
- เดวิด ชิโนลา (1997–2000)
- ปีเตอร์ เคราช์ (1998–2000, 2009– 2011)
- เลดลีย์ คิง (1998–2012)
- นีล ซุลลิแวน (2000–2003)
- ไซมอน เดวิส (2000–2005)
- กุสตาโบ โปเย (2001–2004)
- เคซี่ย์ เคลเลอร์ (2001–2005)
- เจมี่ เรดแนปป์ (2002–2005)
- ร็อบบี คีน (2002–2008, 2009–2011)
- เฮลเดอร์ ปอสติกา (2003–2004)
- บ๊อบบี้ ซาโมรา (2003–2004)
- พอล โรบินสัน (2004–2008)
- ลี ยอง-เปียว (2005–2008)
- เจอร์เมน จีนาส (2005–2013)
- แดนนี่ เมอร์ฟี่ (2006–2007)
- ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ (2006–2008)
- แกเร็ธ เบล (2007–2013)
- แดร์เรน เบนต์ (2007–2009)
- เฟรเซอร์ แคมป์เบลล์ (2008–2009-ยืมตัว)
- ลูกา โมดริช (2008–2012)
- โรมัน พาฟลูเชนโก (2008–2012)
- วิลสัน ปาลาซิออส (2009–2011)
- นิโก ครานจ์ชาร์ (2009–2012)
- ไอเดอร์ กุดยอห์นเซน (2010-ยืมตัว)
- ราฟาเอล ฟาน เดอ ฟาร์ต (2010–2012)
- สก็อต พาร์กเกอร์ (2011–2013)
เกียรติประวัติ
ระดับประเทศ
- ดิวิชันหนึ่ง
- ชนะเลิศ (2): 1950–51, 1960–61
- ดิวิชันสอง
- ชนะเลิศ (2): 1919–20, 1949–50
- เอฟเอคัพ
- ชนะเลิศ (8): 1900–01, 1920–21, 1960–61, 1961–62, 1966–67. 1980–81, 1981–82, 1990–91
- อีเอฟแอลคัพ
- ชนะเลิศ (4): 1970–71, 1972–73, 1998–99, 2007–08
- เอฟเอคอมมูนิตีชีลด์
- ชนะเลิศ (7): 1920–21, 1950–51, 1960–61, 1961–62, 1966–67, 1980–81, 1990–91
ระดับทวีปยุโรป
- ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก
- รองชนะเลิศ (1): 2018–19
- ยูฟ่ายูโรปาลีก
- ชนะเลิศ (2): 1971–72, 1983–84
- ยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ
- ชนะเลิศ (1): 1962–63
- อัลกโลว์-อิตาเลียน ลีกคัพ
- ชนะเลิศ (1): 1970–71
- อินเตอร์เนชันแนลแชมเปียนส์คัพ
- ชนะเลิศ (1): 2018
- ออดีคัพ
- ชนะเลิศ (1): 2019
ระดับภูมิภาค
- เซาเทิร์นฟุตบอลลีก
- ชนะเลิศ (1): 1899–00
- เวสเทิร์นฟุตบอลลีก
- ชนะเลิศ (1): 1903–04
สถิติสำคัญ
- สถิติผู้ชมสูงที่สุด: ในเวมบลีย์ นัดที่พบกับไบเออร์ 04 เลเวอร์คูเซิน (ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก), 2 พฤศจิกายน ค.ศ. 2016 (85,512 คน)
- สถิติชนะมากที่สุด: ชนะ ครูว์ อเล็กซานดร้า 13–2 (เอฟเอคัพ), 3 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1960
- สถิติแพ้มากที่สุด: แพ้ แอร์สเทอ เอ็ฟเซ เคิลน์ 0–8 (ยูฟ่าอินเตอร์โตโตคัพ), 22 กรกฎาคม ค.ศ. 1995
- ผู้เล่นที่ลงสนามทุกรายการมากที่สุด: สตีฟ เพอร์รี่แมน, 854 นัด, ค.ศ. 1969–86
- ผู้เล่นที่ลงสนามในเกมลีกมากที่สุด: สตีฟ เพอร์รี่แมน, 613 นัด, ค.ศ. 1969–86
- ผู้เล่นที่อายุมากที่สุดที่ลงสนาม: แบรด ฟรีเดล, 42 ปี และ 176 วัน, พบกับนิวคาสเซิลยูไนเต็ด, 10 พฤศจิกายน ค.ศ. 2013
- ผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุดที่ลงสนาม: อัลฟี เดวีน, 16 ปี และ 163 วัน, พบกับ Marine A.F.C., 10 มกราคม ค.ศ. 2021
- สถิติซื้อนักเตะแพงที่สุด: 53.8 ล้านปอนด์, ต็องกี อึนดอมเบเล จาก ออแล็งปิกลียอแน, ค.ศ. 2019
- สถิติขายนักเตะแพงที่สุด: 86.3 ล้านปอนด์, แกเร็ท เบล ไป เรอัลมาดริด, ค.ศ. 2013
- นักเตะที่ทำประตูมากที่สุดใน 1 ฤดูกาล (ดิวิชั่นหนึ่ง): ไคลฟ์ อัลเลน, 49 ประตู, ฤดูกาล 1986–87
- นักเตะที่ทำประตูมากที่สุดใน 1 ฤดูกาล (พรีเมียร์ลีก): แฮร์รี่ เคน, 33 ประตู , ฤดูกาล 2020–21
- นักเตะที่ทำประตูรวมมากที่สุดตลอดกาล: จิมมี กรีฟส์, 266 ประตู, ค.ศ. 1961–70
- ฤดูกาลที่ทีมยิงประตูมากที่สุดในพรีเมียร์ลีก: 86 ประตู, ฤดูกาล 2016–17
- ผู้จัดการทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด: บิล นิโคลสัน, ชนะเลิศถ้วยรางวัล 11 รายการ (ค.ศ. 1958–74)
- ผู้จัดการทีมที่คุมทีมยาวนานที่สุด: บิล นิโคลสัน, 16 ฤดูกาล (ค.ศ. 1958–74)
ในประเทศไทย
สำหรับผู้สนับสนุนทอตนัมฮอตสเปอร์ในประเทศไทยที่มีชื่อเสียง ได้แก่ อาทิวราห์ คงมาลัย (นักร้อง), อนุวัฒน์ สงวนศักดิ์ภักดี (นักร้อง), ภาคิน คำวิลัยศักดิ์ (นักร้องและนักแสดง), เพชร มาร์ (โปรดิวเซอร์-นักดนตรี-นักแต่งเพลงและพิธีกร), เกริกฤทธิ์ ทวีกาญจน์ (นักฟุตบอลทีมชาติไทย) เป็นต้น
อ้างอิง
- "Year By Year". Tottenham Hotspur (ภาษาอังกฤษ).
- "Spurs Trophies & Honours". Tottenham Hotspur (ภาษาอังกฤษ).
- "Tottenham Hotspur football club honours". www.11v11.com.
- UEFA.com. "Tottenham | History | UEFA Champions League". UEFA.com (ภาษาอังกฤษ).
- "The Business Of Soccer". Forbes (ภาษาอังกฤษ).
- "Deloitte Football Money League | Deloitte UK". Deloitte United Kingdom (ภาษาอังกฤษ).
- "Year By Year". Tottenham Hotspur (ภาษาอังกฤษ).
- "JOHN RIPSHER". Tottenham Hotspur (ภาษาอังกฤษ).
- "Why Tottenham Hotspur owe it all to a pauper". www.telegraph.co.uk.
- . web.archive.org. 2015-05-04.
- Nilsson, Leonard Jägerskiöld (2018-11-15). World Football Club Crests: The Design, Meaning and Symbolism of World Football's Most Famous Club Badges (ภาษาอังกฤษ). Bloomsbury Publishing. ISBN 978-1-4729-5424-4.
- "TOPSPURS.COM - Jim Duggan's Spurs Site". www.topspurs.com.
- http://www.spurshistory.com/pages/32.htm
- "England Players' Clubs - Tottenham Hotspur". www.englandfootballonline.com.
- "Football League - facts, stats and history". www.footballhistory.org.
- "History Of THFC". www.mehstg.com.
- "Arsenal's Election To The First Division In 1919 | The History of Arsenal". blog.woolwicharsenal.co.uk (ภาษาอังกฤษ). 2013-01-19.
- "Obituary: Arthur Rowe". The Independent (ภาษาอังกฤษ). 2011-10-23.
- "Spurs Odyssey - Spurs' First Title Success (1950-51)- February 1951". www.spursodyssey.com.
- "Bill Nicholson". Tottenham Hotspur (ภาษาอังกฤษ).
- "Bill Nicholson -" (ภาษาอังกฤษ).
- "Tottenham Hotspur FC Season History | Premier League". www.premierleague.com (ภาษาอังกฤษ).
- "Jol sacked by Spurs as Ramos waits in wings". the Guardian (ภาษาอังกฤษ). 2007-10-26.
- "Bent 'set to join Spurs for £16m'". East Anglian Daily Times (ภาษาอังกฤษ). 2007-06-23.
- "Bent makes £16.5m Tottenham move" (ภาษาอังกฤษ). 2007-06-29. สืบค้นเมื่อ 2021-08-15.
- "Tottenham 2-1 Chelsea" (ภาษาอังกฤษ). 2008-02-24. สืบค้นเมื่อ 2021-08-15.
- Lawton, Jerry (2021-06-01). "Ex-Spurs boss Juande Ramos 'lost the dressing room' after banning apple crumble". Dailystar.co.uk (ภาษาอังกฤษ).
- Thomas, Gareth (2019-07-02). "The story of Juande Ramos' ill-fated 12-month stint at Tottenham". These Football Times (ภาษาอังกฤษ).
- "Man Utd 0-0 Tottenham (aet)" (ภาษาอังกฤษ). 2009-03-01. สืบค้นเมื่อ 2021-08-15.
- "Harry Redknapp and Spurs given bitter pill of Europa League by Chelsea". the Guardian (ภาษาอังกฤษ). 2012-05-19.
- Scott, Trent. "Tottenham's 10 Best Moments Under Harry Redknapp". Bleacher Report (ภาษาอังกฤษ).
- "Tottenham sack manager Redknapp". BBC Sport (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2021-08-15.
- Cooper, Thomas. "Breaking Down How Tim Sherwood Has Changed Tottenham Hotspur Tactically". Bleacher Report (ภาษาอังกฤษ).
- "Sherwood sacked as Tottenham manager". BBC Sport (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2021-08-15.
- "Mauricio Pochettino - Manager profile". www.transfermarkt.com (ภาษาอังกฤษ).
- "Mauricio Pochettino". The Independent (ภาษาอังกฤษ).
- "Mourinho sacked by Tottenham". BBC Sport (ภาษาอังกฤษ). 2021-04-19.
- "Nuno Espírito Santo promises a Spurs love story – with Harry Kane". the Guardian (ภาษาอังกฤษ). 2021-07-16.
- "Nuno Espírito Santo appointed new Head Coach". Tottenham Hotspur (ภาษาอังกฤษ).
- "ทำไมสเปอส์ต้องเป็นไก่". tukthakai. 10 March 2016.[ลิงก์เสีย]
- "White Hart Lane History". Tottenham Hotspur (ภาษาอังกฤษ).
- Non (2018-05-07). "ข้อมูล ประวัติ สถิติ ทีม ทอตนัมฮอตสเปอร์ : ไก่เดือยทองตั้งแต่อดีต-ปัจจุบัน". Cheerthai (ภาษาอังกฤษ).
- schreef, Footymaddad. "White Hart Lane - London - The Stadium Guide" (ภาษาดัตช์).
- "Tottenham reveal new ground plan" (ภาษาอังกฤษ). 2008-10-30. สืบค้นเมื่อ 2021-08-15.
- "Tottenham confirm they will not play in new stadium until 2019". the Guardian (ภาษาอังกฤษ). 2018-10-26.
- Parry, Jack Rosser, Joe Krishnan, Richard (2019-04-03). "Tottenham new stadium opening - LIVE!". www.standard.co.uk (ภาษาอังกฤษ).
- "Spurs Supporters' Clubs in the UK". Tottenham Hotspur (ภาษาอังกฤษ).
- "Spurs fans - footballlondon". www.football.london.
- "Tottenham Hotspur FC – Famous Tottenham Hotspur Fans". Genius.
- X, Mr. "Arsenal and Tottenham Hotspur: A Rivalry Explained". Bleacher Report (ภาษาอังกฤษ).
- (PDF). web.archive.org. 2013-10-20.
- "Sponsorship and 2010/2011 Kit Update". tottenhamhotspur.com. Tottenham Hotspur. 8 July 2010. สืบค้นเมื่อ 1 March 2013.
- "Tottenham Hotspur announces new shirt sponsorship with Investec". tottenhamhotspur.com. Tottenham Hotspur. 16 August 2010. สืบค้นเมื่อ 1 March 2013.
- "Historical Kits – Tottenham Hotspur". historicalkits.co.uk. Historic Football Kits. สืบค้นเมื่อ 1 March 2013.
- "Club Announce HP as Principal Partner". tottenhamhotspur.com. Tottenham Hotspur. 8 July 2013. สืบค้นเมื่อ 8 July 2013.
- "Tottenham Hotspur announces AIA as Cup Shirt Partner". tottenhamhotspur.com. Tottenham Hotspur. 15 August 2013. สืบค้นเมื่อ 22 August 2013.
- "AIA to Become Tottenham Hotspur's New Principal Partner". tottenhamhotspur.com. Tottenham Hotspur. 13 February 2014. สืบค้นเมื่อ 5 June 2014.
- "First team: Players". Tottenham Hotspur F.C. สืบค้นเมื่อ 16 September 2018.
- "2019/20 Premier League squad numbers announced". www.tottenhamhotspur.com. Tottenham Hotspur F.C. สืบค้นเมื่อ 11 August 2019.
- . 31 August 2021 https://www.tottenhamhotspur.com/news/2021/august/celtic-loan-for-carter-vickers/. สืบค้นเมื่อ 31 August 2021. Missing or empty
|title=
(help) - "Whiteman loaned to Degerfors IF". Tottenham Hotspur F.C. 12 August 2021. สืบค้นเมื่อ 12 August 2021.
- Tottenham Hotspur F.C. 27 August 2021 https://www.tottenhamhotspur.com/news/2021/august/pape-matar-sarr-signs-from-metz/. สืบค้นเมื่อ 27 August 2021. Missing or empty
|title=
(help) - "Chris Powell named head of coaching at Tottenham academy". Sky Sports. 13 August 2020.
- "85,512 - the facts". Tottenham Hotspur (ภาษาอังกฤษ).
- "On This Day: Spurs secured record victory 13-2; Kluivert scored FOUR for Barca| All Football". AllfootballOfficial (ภาษาอังกฤษ).
- "1. FC Köln 8-0 Tottenham Hotspur 22 Temmuz 1995 1995 Sezonu İntertoto Kupası 2. Grup 5. Maçı Müngersdorfer Stadion Stadyumu, Köln, Almanya". www.macanilari.com.
- "Steve Perryman". Tottenham Hotspur (ภาษาอังกฤษ).
- "Premier League + 1. Division - All-time appearances". worldfootball.net (ภาษาอังกฤษ).
- "Friedel becomes oldest Spurs player". Sports Mole (ภาษาอังกฤษ).
- 161385360554578 (2019-07-04). "Ndombele 'joined Spurs to win silverware' - despite last trophy coming 11 years ago". talkSPORT (ภาษาอังกฤษ).CS1 maint: numeric names: authors list (link)
- "Gareth Bale in battle to force through £86m move to Real Madrid". the Guardian (ภาษาอังกฤษ). 2013-07-27.
- Admin (2021-07-03). "Harry Kane scored 33 goals with 17 assists in 2021, Check out Haaland goals in the same season". Sports Extra (ภาษาอังกฤษ).
- "Jimmy Greaves". Tottenham Hotspur (ภาษาอังกฤษ).
- George-Miller, Dustin (2017-05-24). "Tottenham Hotspur 2016-17 Season in Review". Cartilage Free Captain (ภาษาอังกฤษ).
- "League Managers Association - BILL NICHOLSON OBE". leaguemanagers.com.
- "Bill Nicholson -" (ภาษาอังกฤษ).
- "สัมภาษณ์2นักร้องชื่อดังที่แฟนปืน-ผีอาจมีเคือง". thaifootball.com. 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2551. สืบค้นเมื่อ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2551. Check date values in:
|accessdate=, |date=
(help)
แหล่งข้อมูลอื่น
คอมมอนส์ มีภาพและสื่อเกี่ยวกับ: สโมสรฟุตบอลทอตนัมฮอตสเปอร์ |
- TottenhamHotspur.com Official club website
- สโมสรฟุตบอลทอตนัมฮอตสเปอร์ ที่เฟซบุ๊ก
- สโมสรฟุตบอลทอตนัมฮอตสเปอร์ ที่ทวิตเตอร์
- Tottenham Hotspur 2011-11-28 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน at the Premier League official website
- Tottenham Hotspur F.C. 2011-10-13 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน at UEFA
- Tottenham Hotspur News – Sky Sports
- Tottenham Hotspur Ladies Official ladies club website
- Supporters' Trust
- Spurs Canada
- Tottenham Hotspur Brasil
- Tottenham Hotspur Switzerland
- Spurs history 1882–1921
- Timesonline archive
- Full list of honours
- เว็บไซต์แฟนคลับในประเทศไทย
- เฟซบุกแฟนคลับในประเทศไทย
- เฟซบุกแฟนคลับในประเทศไทย
- ทวิตเตอร์แฟนคลับในประเทศไทย
- winning168.com รายชื่อนักเตะท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอส์ ฤดูกาล 2019-2020