ลิงก์ข้ามภาษาในบทความนี้ มีไว้ให้ผู้อ่านและผู้ร่วมแก้ไขบทความศึกษาเพิ่มเติมโดยสะดวก เนื่องจากวิกิพีเดียภาษาไทยยังไม่มีบทความดังกล่าว กระนั้น ควรรีบสร้างเป็นบทความโดยเร็วที่สุด |
สาธารณรัฐฝรั่งเศส République française (ฝรั่งเศส) | |
---|---|
(ธงชาติ) ตราแผ่นดิน | |
(คำขวัญ): "(Liberté, égalité, fraternité)" "เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ" | |
: | |
ที่ตั้งของ (ฝรั่งเศส) (แดงหรือเขียวเข้ม) – ใน(ยุโรป) (เขียว & เทาเข้ม) | |
(เมืองหลวง) และเมืองใหญ่สุด | ปารีส 48°51′N 2°21′E / 48.850°N 2.350°E |
ภาษาทางการ และภาษาประจำชาติ | ฝรั่งเศส |
สัญชาติ (2018) |
|
ศาสนา (2020) |
|
(เดมะนิม) | ชาวฝรั่งเศส |
การปกครอง | (รัฐเดี่ยว) (ระบบกึ่งประธานาธิบดี) (สาธารณรัฐรัฐธรรมนูญ) |
• (ประธานาธิบดี) | (แอมานุแอล มาครง) |
• (นายกรัฐมนตรี) | (กาบรีแยล อาตาล) |
• | |
• | (ยาแอล โบรน-ปีแว) |
สภานิติบัญญัติ | (รัฐสภา) |
• (สภาสูง) | (วุฒิสภา) |
• (สภาล่าง) | (สมัชชาแห่งชาติ) |
(ก่อตั้ง) | |
• รัชสมัยของ(พระเจ้าโคลวิสที่ 1)ในฐานะ | ค.ศ. 500 |
• (สนธิสัญญาแวร์เดิง) | สิงหาคม ค.ศ. 843 |
• (ราชอาณาจักรฝรั่งเศส) | 3 กรกฎาคม ค.ศ. 987 |
• | 22 กันยายน ค.ศ. 1792 |
• (ประชาคมเศรษฐกิจยุโรป) | 1 มกราคม ค.ศ. 1958 |
• (รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน) | 4 ตุลาคม ค.ศ. 1958 |
พื้นที่ | |
• รวม | 640,679 ตารางกิโลเมตร (247,368 ตารางไมล์) ((อันดับที่ 42)) |
• (แหล่งน้ำ (%)) | 0.86 (ใน ค.ศ. 2015) |
• (ประเทศฝรั่งเศสแผ่นดินใหญ่) () | 551,695 km2 (213,011 sq mi) () |
• ประเทศฝรั่งเศสแผ่นดินใหญ่ () | 543,940.9 km2 (210,016.8 sq mi) () |
ประชากร | |
• พฤษภาคม ค.ศ. 2021 ประมาณ | 67,413,000 คน ((อันดับที่ 20)) |
• ความหนาแน่น | 104.7109/กม.2 () |
• ประเทศฝรั่งเศสแผ่นดินใหญ่ ประมาณ ข้อมูลเมื่อ May 2021[update] | 65,239,000 () |
• (ความหนาแน่น) | 116 ต่อตารางกิโลเมตร (300.4 ต่อตารางไมล์) ((อันดับที่ 89)) |
(จีดีพี) ((อำนาจซื้อ)) | ค.ศ. 2023 (ประมาณ) |
• รวม | 3.667 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ((อันดับที่ 9)) |
• (ต่อหัว) | 56,036 ดอลลาร์สหรัฐ () |
(จีดีพี) (ราคาตลาด) | ค.ศ. 2023 (ประมาณ) |
• รวม | 2.923 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ((อันดับที่ 7)) |
• (ต่อหัว) | 44,408 ดอลลาร์สหรัฐ () |
(จีนี) (ค.ศ. 2019) | 29.2 ต่ำ |
(เอชดีไอ) (ค.ศ. 2019) | 0.910 สูงมาก · (อันดับที่ 28) |
สกุลเงิน |
|
(เขตเวลา) | (UTC)+1 ((เวลายุโรปกลาง)) |
• ฤดูร้อน ((เวลาออมแสง)) | (UTC)+2 ((เวลาออมแสงยุโรปกลาง)) |
หมายเหตุ: มีเส้นเวลาหลายแห่งในดินแดนโพ้นทะเลของฝรั่งเศส ถึงแม้ว่าประเทศฝรั่งเศสใช้เขต/(UTC) (Z) ตั้งแต่วันที่ 25 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1940 ก่อน, (เวลายุโรปกลาง)/ ถูกใช้เป็นเวลามาตรฐาน [2] ซึ่งปรับเพียง +0:50:39 (และ +1:50:39 ในช่วง(เวลาออมแสง)) จาก(เวลาเฉลี่ยท้องถิ่น)ปารีส (UTC+0:09:21). | |
วว/ดด/ปปปป (ค.ศ.) | |
(ไฟบ้าน) | |
(ขับรถด้าน) | ขวา |
(รหัสโทรศัพท์) | |
(โดเมนบนสุด) | (.fr) |
ข้อมูลหลายแหล่งให้ข้อมูลพื้นที่ของประเทศฝรั่งเศสแผ่นดินใหญ่ที่ 551,500 ตารางกิโลเมตร และรายชื่อดินแดนโพ้นทะเลต่างกัน ซึ่งรวมกันแล้วมีพื้นที่ 89,179 ตารางกิโลเมตร เมื่อรวมแล้วจะได้พื้นที่สาธารณรัฐฝรั่งเศสทั้งหมด รายงานของซีไอเอบันทึกที่ 643,801 ตารางกืโลเมตร |
ฝรั่งเศส (ฝรั่งเศส: France; ออกเสียง: [fʁɑ̃s] ( ฟังเสียง)) หรือชื่อทางการว่า สาธารณรัฐฝรั่งเศส (ฝรั่งเศส: République française) เป็นประเทศในภูมิภาค(ยุโรปตะวันตก) ทั้งยังประกอบไปด้วยเกาะและดินแดนอื่น ๆ ในต่างทวีป (ประเทศฝรั่งเศสแผ่นดินใหญ่)ทอดตัวตั้งแต่(ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน)จนถึง(ช่องแคบอังกฤษ)และ(ทะเลเหนือ) และจาก(แม่น้ำไรน์)จนถึงมหาสมุทรแอตแลนติก มีประชากรราว 68 ล้านคน (ค.ศ. 2023) แบ่งการปกครองออกเป็น (18 แคว้น) (รวมแคว้นโพ้นทะเล 5 แคว้น) ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ 643,801 ตารางกิโลเมตร ฝรั่งเศสมีพรมแดนติดกับ(ประเทศเบลเยียม) ลักเซมเบิร์ก (เยอรมนี) (สวิตเซอร์แลนด์) อิตาลี (โมนาโก) (อันดอร์รา) และสเปน และยังเชื่อมกับสหราชอาณาจักรทาง(อุโมงค์ช่องแคบอังกฤษ) และเนื่องจากการมี(ดินแดนโพ้นทะเล)ในครอบครอง ทำให้ฝรั่งเศสมี(เขตเวลา)แตกต่างกันมากถึง 12 เขต มากกว่าทุกประเทศบนโลก รวมทั้งมีอาณาเขตติดกับประเทศบราซิล (ซูรินาม) (ติดกับ(เฟรนช์เกียนา)) และ(ซินต์มาร์เติน)ของ(เนเธอร์แลนด์) (ติดกับ(แซ็ง-มาร์แต็ง)) ฝรั่งเศสเป็นประเทศ(รัฐเดี่ยว)โดยปกครองด้วย(ระบบกึ่งประธานาธิบดี) เมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดคือกรุงปารีสซึ่งถือเป็นหนึ่งในศูนย์กลางทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจของ(ทวีปยุโรป) และยังมีเมืองสำคัญอื่น ๆ เช่น (ลียง), (มาร์แซย์), (ตูลูส), (บอร์โด), (ลีล), สทราซบูร์ และ (นิส)
ดินแดนของฝรั่งเศสเริ่มมีมนุษย์เข้ามาตั้งรกรากตั้งแต่สมัย(ยุคหินเก่า) (ชาวเคลต์)ถือเป็นชาวยุโรปกลุ่มแรกที่เข้ามาตั้งรกรากใน(ยุคเหล็ก)รวมตัวกันในบริเวณที่เป็น(ประเทศฝรั่งเศสแผ่นดินใหญ่)ปัจจุบัน ก่อนที่(จักรวรรดิโรมัน)จะผนวกดินแดนแห่งนี้ในช่วง 51 ปีก่อนคริสตกาล และก่อให้เกิดวัฒนธรรมโรมันกอลซึ่งเป็นรากฐานของภาษาฝรั่งเศส (ชาวแฟรงก์)เดินทางมาถึงบริเวณนี้ใน ค.ศ. 476 และก่อตั้งราชอาณาจักรแฟรงก์ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นศูนย์กลางของ(จักรวรรดิการอแล็งเฌียง) ก่อนที่(สนธิสัญญาแวร์เดิง)จะแบ่งพื้นที่อาณาจักร และ(อาณาจักรแฟรงก์ตะวันตก)ได้กลายเป็น(ราชอาณาจักรฝรั่งเศส)ใน ค.ศ. 987
ฝรั่งเศสเป็นมหาอำนาจมาตั้งแต่(สมัยกลาง) และปกครองด้วย(ระบบฟิวดัล) (พระเจ้าฟีลิปที่ 2) เสริมสร้างอำนาจของราชวงศ์และยังขยายอาณาจักรเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า เมื่อสิ้นรัชสมัยของพระองค์ ราชอาณาจักรก็กลายเป็นรัฐที่มีอำนาจมากที่สุดในยุโรป ตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 14 ถึงกลางศตวรรษที่ 15 ฝรั่งเศสเผชิญความขัดแย้งทาง(ราชวงศ์)นำไปสู่(สงครามร้อยปี) ก่อนจะเข้าสู่(สมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา)ซึ่งตามมาด้วยความเจริญทางศิลปะและวัฒนธรรม ในช่วงเวลานั้น ฝรั่งเศสยังทำสงครามกับชาติต่าง ๆ และมีการล่า(อาณานิคม)ทั่วโลก และในศตวรรษที่ 20 พวกเขาเป็นชาติที่มีอาณานิคมมากเป็นอันดับสองของโลก ในศตวรรษที่ 16 (สงครามศาสนา)ระหว่างชาว(คาทอลิก)และ(อูว์เกอโน)ทำให้ราชอาณาจักรอ่อนแอลง ก่อนจะกลับมาเป็นมหาอำนาจของยุโรปอีกครั้งในศตวรรษที่ 17 ในรัชสมัยของ(พระเจ้าหลุยส์ที่ 14) แต่หลังสิ้นสุด(สงครามสามสิบปี) ฝรั่งเศสต้องเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอย และการทำสงครามอื่น ๆ (โดยเฉพาะความพ่ายแพ้ใน(สงครามเจ็ดปี)และการมีส่วนร่วมใน(สงครามปฏิวัติอเมริกา)) ทำให้ราชอาณาจักรระส่ำระส่ายอย่างหนักจนสิ้นสุดศตวรรษที่ 18 นำไปสู่(การปฏิวัติ)ใน ค.ศ. 1789 ซึ่งเป็นการล้มล้าง(ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์) การปฏิรูป(ระบอบเก่า) การประหาร(พระเจ้าหลุยส์ที่ 16) และกลายสภาพเป็นสาธารณรัฐสมัยใหม่ชาติแรก ๆ ในประวัติศาสตร์ และสร้าง(ปฏิญญา)ว่าด้วยสิทธิมนุษยชนและพลเมืองมาจนถึงทุกวันนี้
ฝรั่งเศสยังเป็นมหาอำนาจอย่างต่อเนื่องในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ภายใต้(จักรพรรดินโปเลียนที่ 1) ทรงปราบปรามภูมิภาคอื่น ๆ ในยุโรปและสถาปนา(จักรวรรดิที่หนึ่ง) การล่มสลายของจักรวรรดินำไปสู่ช่วงเวลาแห่งความเสื่อมโทรมจนเกิดการก่อตั้งสาธารณรัฐที่ 3 ระหว่าง(สงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย)ใน ค.ศ. 1870 ทศวรรษต่อมาเป็นช่วงเวลาของความรุ่งเรืองทางวัฒนธรรม วิทยาศาสตร์ และเศรษฐกิจที่เฟื่องฟู ที่เรียกว่า(ยุคสวยงาม) ฝรั่งเศสมีบทบาทสำคัญใน(สมัยระหว่างสงคราม) โดยเข้าร่วม(สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง) และเป็นหนึ่งในมหาอำนาจ(ฝ่ายสัมพันธมิตร)ใน(สงครามโลกครั้งที่สอง) แต่ก็ถูก(ฝ่ายอักษะ)ยึดครองใน ค.ศ. 1940 หลังจากการปลดแอกใน ค.ศ. 1944 (สาธารณรัฐที่ 4) ได้ก่อตั้งขึ้นเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ และถูกยุบในช่วง(สงครามแอลจีเรีย) ก่อนที่(สาธารณรัฐที่ 5) จะก่อตั้งขึ้นใน ค.ศ. 1958 โดย (ชาร์ล เดอ โกล) (ประเทศแอลจีเรีย)และอาณานิคมของฝรั่งเศสส่วนใหญ่ได้รับอิสรภาพในทศวรรษที่ 1960 โดยยังคงรักษาความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับฝรั่งเศสมาถึงปัจจุบัน
ฝรั่งเศสเป็นศูนย์กลางของโลกทาง(ศิลปะ) (แฟชั่น) (วิทยาศาสตร์) และ(ปรัชญา)มาหลายศตวรรษ และมี(แหล่งมรดกโลก)มากที่สุดเป็นอันดับ 5 ของโลก รวมทั้งมี(นักท่องเที่ยว)มากที่สุดในโลก (89 ล้านคนใน ค.ศ. 2018) ฝรั่งเศสเป็น(ประเทศพัฒนาแล้ว) และมีระบบ(การศึกษา) (สาธารณสุข) และ(ระบบขนส่งมวลชน)ที่มีคุณภาพสูง อีกทั้งยังติดอันดับในแง่ของคุณภาพชีวิตที่ดีของประชากร และมี(ดัชนีการพัฒนามนุษย์)สูง ฝรั่งเศสมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 7 ของโลกโดยวัดจาก(ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ) และอันดับ 9 หากวัดตาม(ภาวะเสมอภาคของอำนาจซื้อ) ฝรั่งเศสยังเป็นประเทศผู้ก่อตั้ง(สหภาพยุโรป)และมีพื้นที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาประเทศสมาชิก รวมทั้งเป็นหนึ่งในห้าประเทศผู้ก่อตั้ง(สหประชาชาติ) เป็นสมาชิก(องค์การระหว่างประเทศของกลุ่มประเทศที่ใช้ภาษาฝรั่งเศส), (กลุ่ม 7), (เนโท) และ(องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒ) และยังเป็นสมาชิกถาวรของ(คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ) และเป็นประเทศ(มหาอำนาจ)ที่มี(อาวุธนิวเคลียร์)
นิรุกติศาสตร์
คำว่า ฝรั่งเศส (France) มาจากคำในภาษาละตินว่า Francia ซึ่งแปลตามตรงว่า ดินแดนของชาวแฟรงก์ (Frankland) และมีหลายทฤษฎีที่สันนิษฐานถึงที่มาของคำว่า (แฟรงก์) (Franks) ซึ่งหนึ่งในนั้นคือคำในภาษาโปรโต-เยอรมันว่า Frankon ซึ่งแปลว่า หลาว หอก หรือทวนซึ่งเป็นอาวุธของพวกแฟรงก์ เป็นที่รู้จักกันในชื่อ ฟรานซิสกา (Francisca)
อีกทฤษฎีหนึ่งตามหลัก(นิรุกติศาสตร์)คือใน คำว่า แฟรงก์ แปลว่าอิสระ ซึ่งตรงกันข้ามกับความเป็น(ทาส) โดยคำดังกล่าวยังคงปรากฏในภาษาฝรั่งเศสปัจจุบันในรูป ฟรังก์ (Franc) ซึ่งเป็นสกุลเงินของประเทศฝรั่งเศสจนกระทั่งเปลี่ยนเป็นสกุลเงิน(ยูโร)ในปี 2002 ในปัจจุบันประเทศเยอรมนียังเรียกประเทศฝรั่งเศสว่า Frankreich ซึ่งแปลว่า อาณาจักรของชาวแฟรงก์ อีกด้วย
ภูมิศาสตร์
ประเทศฝรั่งเศสภาคพื้นทวีปยุโรปนั้นมีพื้นที่ 543,935 ตารางกิโลเมตร (210,013 ตารางไมล์) ทำให้ประเทศฝรั่งเศสเป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่ม(สหภาพยุโรป) ซึ่งใหญ่กว่าประเทศสเปนเพียงเล็กน้อย ประเทศฝรั่งเศสมีพื้นที่ครอบคลุมลักษณะภูมิประเทศที่หลากหลายมาก ตั้งแต่ที่ราบชายฝั่งในภาคเหนือและตะวันตก ซึ่งติดกับทะเลเหนือและมหาสมุทรแอตแลนติก ไปจนถึง(เทือกเขาแอลป์)ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ ทางภาคใต้ตอนกลางและ(เทือกเขาพิเรนีส)ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ ประเทศฝรั่งเศสยังมีจุดที่สูงที่สุดในทวีปยุโรปตะวันตกคือ (ยอดเขามงบล็อง) (Mont Blanc) ซึ่งสูง 4,807 เมตร (15,770 ฟุต) ตั้งอยู่บน(เทือกเขาแอลป์) บริเวณชายแดนประเทศฝรั่งเศสและอิตาลี
ประเทศฝรั่งเศสภาคพื้นทวีปยุโรปยังมีแม่น้ำต่าง ๆ ที่สำคัญอีกมากมาย เช่น (แม่น้ำลัวร์) (แม่น้ำการอน) (แม่น้ำแซน) และ(แม่น้ำโรน)ซึ่งแบ่งออกจาก(เทือกเขาแอลป์)อีกด้วย โดยไหลลง(ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน)ที่ ซึ่งเป็นจุดที่ต่ำที่สุดในประเทศฝรั่งเศส (2 เมตร หรือ 6.5 ฟุต จากระดับน้ำทะเล) และยังมี(กอร์ส) ((คอร์ซิกา)) ตั้งอยู่บนชายฝั่ง(ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน)
พื้นที่ของประเทศฝรั่งเศส รวมทั้ง(จังหวัด)และ(ดินแดนโพ้นทะเล) (ไม่รวม(ดินแดนอาเดลี)) คือ 674,843 ตารางกิโลเมตร (260,558 ตารางไมล์) นับเป็น 0.45% ของพื้นแผ่นดินโลกทั้งหมด แต่อย่างไรก็ตามประเทศฝรั่งเศสครอบครองพื้นที่(เขตเศรษฐกิจจำเพาะ)เป็นอันดับสองของโลก ด้วยเนื้อที่ 11,035,000 ตารางกิโลเมตร (4,260,000 ตารางไมล์) นับเป็น 8% ของพื้นที่(เขตเศรษฐกิจจำเพาะ)ทั้งหมดในโลก ตามหลังสหรัฐไปเพียง 316,000 ตารางกิโลเมตร และนำประเทศออสเตรเลียกว่า 2,886,750 ตารางกิโลเมตร
ประเทศฝรั่งเศสภาคพื้นทวีปยุโรปตั้งอยู่ระหว่าง 41° and 50° เหนือ บนขอบทวีปยุโรปตะวันตกและตั้งอยู่ในภูมิอากาศ ทางภาคเหนือและตะวันตกเฉียงเหนือมีสภาพภูมิอากาศ แต่กระนั้นภูมิประเทศและทะเลก็มีอิทธิพลต่อภูมิอากาศเหมือนกัน (ละติจูด) ลองจิจูดและ(ความสูงเหนือระดับน้ำทะเล)ทำให้ประเทศฝรั่งเศสมีภูมิอากาศแบบคละอีกด้วย ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้มีสภาพภูมิอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียน ภาคตะวันตกส่วนมากจะมีปริมาณน้ำฝนสูง ฤดูหนาวไม่มากและฤดูร้อนเย็นสบาย ภายในประเทศภูมิอากาศจะเปลี่ยนไปทางภาคพื้นทวีปยุโรป อากาศร้อน มีมรสุมในฤดูร้อน ฤดูหนาวหนาวกว่าเดิมและมีฝนตกน้อย ส่วนภูมิอากาศ(เทือกเขาแอลป์)และแถบบริเวณเทือกเขาอื่น ๆ ส่วนมากมักจะมีภูมิอากาศแถบเทือกเขา ด้วยอุณหภูมิต่ำกว่าจุดเยือกแข็งกว่า 150 วันต่อปีและปกคลุมด้วยหิมะกว่า 6 เดือน
ขณะที่ประเทศฝรั่งเศสภาคพื้นทวีปยุโรป (La Métropole หรือ France métropolitaine) ตั้งอยู่ในภูมิภาคยุโรปตะวันตก ฝรั่งเศสก็ยังมีดินแดนที่ตั้งอยู่ใน(ทวีปอเมริกาเหนือ) (ทะเลแคริบเบียน) (อเมริกาใต้) (มหาสมุทรอินเดีย)ทางตะวันตกและทางใต้ (มหาสมุทรแปซิฟิกใต้) รวมทั้งบางส่วนใน(ทวีปแอนตาร์กติกา)อีกด้วย (การอ้างสิทธิเหนือดินแดนในแอนตาร์กติกาไม่ได้รับการยอมรับจากหลายประเทศ ดู (สนธิสัญญาแอนตาร์กติก))
สภาพภูมิอากาศ
- ฤดูใบไม้ผลิ (มีนาคม – พฤษภาคม)
ช่วงเวลายอดนิยมของปีในการเยี่ยมชมเมืองหลวงของฝรั่งเศสฤดูใบไม้ผลิในปารีสเริ่มมีอากาศหนาวเย็นโดยมีอุณหภูมิสูงสุดทุกวันที่ประมาณ 54 ° F (12 ° C) ในเดือนมีนาคม ภายในเดือนพฤษภาคมอากาศจะอุ่นขึ้นถึง 68 ° F (20 ° C)
- ฤดูร้อน (มิถุนายน – สิงหาคม)
ช่วงนี้เป็นฤดูท่องเที่ยวในปารีสที่สูงขึ้นและมีอุณหภูมิสูงขึ้นด้วย คาดว่าจะมีอุณหภูมิสูงสุดทุกวันอย่างน้อย 83 ° F (25 ° C) พร้อมกับคืนที่รวดเร็วประมาณ 55 ° F (13 ° C)
- ฤดูใบไม้ร่วง (กันยายน – ธันวาคม)
เนื่องจากชาวท้องถิ่นกลับมาจากช่วงวันหยุดฤดูร้อนและนักท่องเที่ยวจำนวนมากขึ้นจึงมีความคึกคักทั่วปารีสในฤดูใบไม้ร่วง อุณหภูมิจะเย็นลงเล็กน้อยในช่วงต้นเดือนตุลาคม แต่ถ้าเก็บเสื้อแจ็คเก็ตฤดูใบไม้ร่วงเป็นเวลาที่เหมาะสำหรับการเดินเล่นในย่านที่สวยงามและเดินเล่นริมแม่น้ำแซน เตรียมพร้อมสำหรับสายฝนที่เย็นจัดและมีลมแรงเป็นครั้งคราว อุณหภูมิสูงสุดรายวันอยู่ในช่วงใดก็ได้ตั้งแต่ 46 ° F (8 ° C) ถึง 62 ° F (17 ° C)
- ฤดูหนาว (มกราคม – กุมภาพันธ์)
เรียกได้ว่าหนาวมากเหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบอากาศหนาว ที่สำคัญเป็นช่วงที่ตั๋วเครื่องบินและที่พักราคาถูกกว่าช่วงอื่น ๆ อาจต้องแบกกระเป๋าที่หนักไปด้วยเสื้อกันหนาวและอุปกรณ์กันหนาวต่าง ๆ แบบครบ เพราะอุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ประมาณ 2 – 5 องศาเซลเซียส
ประวัติศาสตร์
ชาวฝรั่งเศสสืบเชื้อสายมาจากพวก(กอล) (Gaul) ในศตวรรษที่ 1 จากนั้นตกมาอยู่ใต้การปกครองของพวก(แฟรงก์) (ชื่อประเทศฝรั่งเศส หรือ France มาจากคำว่าแฟรงก์เช่นกัน) ปกครองด้วยระบอบกษัตริย์ที่มีบันทึกว่าเริ่มในศตวรรษที่ 5 เมื่อ(พระเจ้าชาร์เลอมาญ)ตั้ง(จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์)ใน ค.ศ. 843 ก็มีอาณาเขตครอบคลุมทั้งฝรั่งเศสและ(เยอรมนี)
ราชสำนักฝรั่งเศสขึ้นสู่จุดสูงสุดในรัชสมัย(พระเจ้าหลุยส์ที่ 14) ซึ่งในยุคนี้ฝรั่งเศสได้เป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในยุโรป และมีอำนาจทาง(การเมือง) (เศรษฐกิจ)(ศิลปะ) และ (วัฒนธรรม) ต่อยุโรปเป็นอย่างมาก
ฝรั่งเศสปกครองด้วยระบอบกษัตริย์จนถึงสมัย(พระเจ้าหลุยส์ที่ 16) ใน ค.ศ. 1792 จึงเปลี่ยนมาใช้ระบอบ(สาธารณรัฐ) หลังจากนั้น(นโปเลียน โบนาปาร์ต)ได้ตั้งตัวเองเป็น(จักรพรรดิ)และรุกรานประเทศอื่น ๆ ใน(ทวีปยุโรป) เมื่อนโปเลียนพ่ายแพ้ ฝรั่งเศสจึงกลับมาใช้ระบบสาธารณรัฐอีกครั้ง เรียกว่ายุคสาธารณรัฐที่สอง แต่ก็อยู่ได้ไม่นานเพราะ(หลุยส์ นโปเลียน) หลานลุงของนโปเลียนได้ยึดประเทศและตั้งจักรวรรดิที่สองอีกครั้ง
ตั้งแต่ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 ถึง ทศวรรษที่ 60 ซึ่งเป็น (จักรวรรดิฝรั่งเศส)มีพื้นที่ใหญ่มาก โดยช่วงที่ใหญ่ที่สุดคือช่วงยุคทศวรรษที่ 20 ถึง 30 ซึ่งมีกว่า 12,898,000 ตารางกิโลเมตร และเป็นจักรวรรดิอันดับสองของโลก รองมาจาก(จักรวรรดิอังกฤษ)
ฝรั่งเศสได้รับความบอบช้ำอย่างหนักจากสงครามโลกทั้งสองครั้ง ปัจจุบันใช้การปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบที่มีทั้งประธานาธิบดี และนายกรัฐมนตรี (เรียกยุคสาธารณรัฐที่ห้า) ทศวรรษที่ผ่านมาฝรั่งเศสและเยอรมนีเป็นผู้นำของการรวมตัวตั้ง(ประชาคมยุโรป) ซึ่งพัฒนามาเป็น(สหภาพยุโรป)ในปัจจุบัน
ฝรั่งเศสยังเป็น 1 ใน 5 สมาชิกถาวรของ(คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ) และเป็นประเทศที่มี(อาวุธนิวเคลียร์)ในครอบครอง
การเมือง
สาธารณรัฐฝรั่งเศสปกครองด้วย(ระบอบประชาธิปไตย) แบบสาธารณรัฐเดี่ยว(กึ่งประธานาธิบดี) (รัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส)ได้ประกาศใช้เมื่อวันที่ 28 กันยายน 1958 โดยผ่านการลงประชามติ สาระสำคัญในรัฐธรรมนูญนั้นคือการเพิ่มอำนาจให้(ประธานาธิบดี)
บริหาร
อำนาจฝ่ายบริหารนั้นถูกแบ่งออกและมีหัวหน้า 2 คน ซึ่งก็คือ(ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐ) ผ่านการเลือกตั้งโดยตรงแบบสากล มีวาระ 5 ปี (เดิม 7 ปี) มีตำแหน่งประมุขแห่งรัฐอีกด้วย และนายกรัฐมนตรี หัวหน้าคณะรัฐบาล ซึ่งถูกแต่งตั้งโดยประธานาธิบดี ปัจจุบันฝรั่งเศสมีประธานาธิบดีคือ แอมานุแอล มาครง ดำรงตำแหน่งตั้งแต่ 14 พฤษภาคม 2017 และนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันคือ (ฌ็อง กัสแต็กซ์) ดำรงตำแหน่งตั้งแต่ 3 กรกฎาคม 2020
นิติบัญญัติ
รัฐสภาฝรั่งเศสนั้นแบ่งออกเป็น 2 สภาได้แก่ สภาผู้แทนราษฎร (Assemblée Nationale) และ วุฒิสภา (Sénat) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นตัวแทนในเขตเลือกตั้ง มาจากการเลือกตั้งโดยตรง มีวาระ 5 ปี สภาผู้แทนราษฎรมีอำนาจในการอภิปรายไม่ไว้วางใจคณะรัฐมนตรีและเสียงข้างมากในสภาสามารถกำหนดการตัดสินใจของรัฐบาลอีกด้วย สมาชิกวุฒิสภามาจากการเลือกของคณะผู้เลือกตั้ง มีวาระ 6 ปี (เดิม 9 ปี)
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ฝรั่งเศสเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งของ(สหประชาชาติ)และยังเป็นสมาชิกถาวรของ(คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ) และยังถือเป็นประเทศที่มีเครือข่ายสมาชิก(องค์การระหว่างประเทศ)มากที่สุดในโลก เนื่องจากมีสมาชิกในสถาบันระหว่างประเทศมากกว่าประเทศอื่น ได้แก่ กลุ่ม 7 (องค์การการค้าโลก) (SPC) และ (COI) และยังเป็นสมาชิกสมทบของ (ACS) และเป็นสมาชิกหลักของ (องค์การระหว่างประเทศของกลุ่มประเทศที่ใช้ภาษาฝรั่งเศส) (OIF) ร่วมกับอีก 84 ประเทศที่พูดภาษาฝรั่งเศส
ในฐานะศูนย์กลางความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่สำคัญ ฝรั่งเศสมีคณะทูตที่ใหญ่เป็นอันดับสามในโลกรองจาก(จีน)และสหรัฐซึ่งมีประชากรมากกว่าพวกเขามาก นอกจากนี้ยังเป็นเจ้าภาพสำนักงานใหญ่ขององค์กรระหว่างประเทศหลายแห่ง เช่น (องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ), (ยูเนสโก), (องค์การตำรวจอาชฐากรรมระหว่างประเทศ), (สำนักงานชั่งตวงวัดระหว่างประเทศ) และ OIF
นับตั้งแต่ทศวรรษที่ 1960 ฝรั่งเศสได้พัฒนาความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ(เยอรมนี)เพื่อร่วมกันเป็นพลังขับเคลื่อนที่ทรงอิทธิพลที่สุดของสหภาพยุโรป ในทศวรรษที่ 1960 ฝรั่งเศสพยายามกีดกันอังกฤษออกจากกระบวนการรวมชาติของยุโรป โดยพยายามสร้างจุดยืนของตนเองในยุโรปภาคพื้นทวีป อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ปี 1904 ฝรั่งเศสได้รักษา "สัมพันธภาพที่ดีอย่างจริงจัง" กับสหราชอาณาจักร และมีปฏิสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้าน(การทหาร)
ฝรั่งเศสเป็นสมาชิกของ(องค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ) (เนโท) แต่ภายใต้การบริหารของประธานาธิบดี(เดอโกล) เขาทำการกีดกันตนเองจากการบัญชาการร่วมทางทหารกับเพื่อนสมาชิก และเพื่อรักษาเอกราชและความมั่นคงของฝรั่งเศส แต่ภายใต้การนำของนิโคลัส ซาร์โกซี ฝรั่งเศสกลับเข้าร่วมกองบัญชาการทหารร่วมของเนโทอีกครั้งในวันที่ 4 เมษายน 2009 ในช่วงต้นทศวรรษ 1990 ประเทศได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากจากการทดสอบนิวเคลียร์ใต้ดินใน(เฟรนช์พอลินีเซีย) และฝรั่งเศสเป็นแกนนำในการต่อต้านการรุกรานอิรักโดยสหรัฐในปี 2003 อย่างรุนแรง
ฝรั่งเศสยังคงมีอิทธิพลทางการเมืองและเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งในกลุ่มประเทศอาณานิคมทวีปแอฟริกา (Françafrique) และได้ให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจและกองกำลังสำหรับภารกิจรักษาสันติภาพในไอวอรี่โคสต์และชาด
ในปี 2017 ฝรั่งเศสเป็นประเทศผู้บริจาคเงินช่วยเหลือด้านการพัฒนารายใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก รองจากสหรัฐ เยอรมนี และสหราชอาณาจักร ซึ่งคิดเป็น 0.43% ของ GNP ซึ่งสูงเป็นอันดับที่ 12 ในกลุ่มประเทศ OECD ความช่วยเหลือจัดทำโดยหน่วยงานพัฒนาฝรั่งเศสของรัฐบาลซึ่งให้เงินสนับสนุนโครงการด้านมนุษยธรรมในอนุภูมิภาค(ทะเลทรายสะฮารา) โดยเน้นที่ "การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การเข้าถึงการดูแลสุขภาพ และการศึกษา การดำเนินการตามนโยบายเศรษฐกิจที่เหมาะสม และการรวมกลุ่มของหลักนิติธรรมและประชาธิปไตย" และยังคงดำเนินนโยบายดังกล่าวอย่างแข็งขันถึงปัจจุบัน
ความสัมพันธ์กับประเทศไทย
(ฝรั่งเศส) | ไทย |
ไทยและฝรั่งเศสเริ่มมีความสัมพันธ์ระหว่างกันมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ในรัชสมัยของ(สมเด็จพระนารายณ์มหาราช) และ(พระเจ้าหลุยส์ที่ 14) ซึ่งได้ส่งราชทูตมาเจริญสัมพันธไมตรีกับสยามประเทศใน พ.ศ. 2228 ต่อมาราชทูตสยาม ((โกษาปาน)) ได้เดินทางไปเข้าเฝ้าพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ณ (พระราชวังแวร์ซายส์) เมื่อ พ.ศ. 2229
ต่อมาในยุค(กรุงรัตนโกสินทร์) ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับฝรั่งเศสได้พัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยได้มีการลงนามในสนธิสัญญาทางไมตรี การค้า และการเดินเรือ (Treaty of Friendship, Commerce and Navigation) เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2399
ปัจจุบัน รัฐบาลไทยได้แต่งตั้งนายศรัณย์ เจริญสุวรรณ ดำรงตำแหน่ง(เอกอัครราชทูต) ณ กรุงปารีส ส่วนฝรั่งเศสได้แต่งตั้งให้ นายตีแยรี มาตู (Thierry Mathou) เป็นเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐฝรั่งเศสประจำประเทศไทย (เข้ารับตำแหน่งเมื่อ เดือนพฤศจิกายน 2563-ปัจจุบัน) นอกจากนี้ ประเทศไทยได้มีการก่อตั้งประจำเมืองลียง และเมืองมาร์แซย์ ส่วนทางประเทศฝรั่งเศสก็ได้เปิดสถานกงสุลกิตติมศักดิ์ ณ (จังหวัดเชียงใหม่)(ภูเก็ต) สุราษฎร์ธานี ((เกาะสมุย)) และ (เชียงราย)
กองทัพ
กองทัพฝรั่งเศส (Forces armées françaises) เป็นกองกำลังทหารและกึ่งทหารของฝรั่งเศสภายใต้การสั่งการจากประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐในฐานะผู้บัญชาการสูงสุด ประกอบด้วย กองทัพบกฝรั่งเศส (Armée de Terre) กองทัพเรือฝรั่งเศส (Marine Nationale เดิมชื่อ Armée de Mer) กองทัพอากาศและอวกาศของฝรั่งเศส (Armée de l'Air et de l'Espace) และกองกำลังตำรวจพิเศษ (Gendarmerie nationale) ซึ่งทำหน้าที่ตำรวจพลเรือนในพื้นที่ชนบทของฝรั่งเศสด้วย พวกเขาเป็นหนึ่งในกองกำลังติดอาวุธที่ใหญ่ที่สุดในโลกและใหญ่ที่สุดใน(สหภาพยุโรป) จากการศึกษาของ Crédit Suisse ในปี 2018 กองทัพฝรั่งเศสได้รับการจัดอันดับให้เป็นกองทัพที่ทรงอิทธิพลที่สุดอันดับที่ 6 ของโลก และทรงอิทธิพลที่สุดในยุโรป รองจากรัสเซียเท่านั้น
นอกจากนี้ ในสถานการณ์พิเศษ กองทหารรักษาการณ์จะรวมตัวกับหน่วยต่อต้านการก่อการร้ายของกองทหารรักษาการณ์แห่งชาติ (Escadron Parachutiste d'Intervention de la Gendarmerie Nationale), กลุ่มการแทรกแซงระดับชาติ (Groupe d'Intervention de la Gendarmerie Nationale) และยังมี National Gendarmerie รับผิดชอบในการไต่สวนคดีอาญา รวมถึงหน่วยงานสำคัญซึ่งได้แก่ Mobile Brigades of the National Gendarmerie ซึ่งมีหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชน
ฝรั่งเศสมีกองทหารพิเศษ คือ French Foreign Legion ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 1830 ซึ่งประกอบด้วยชาวต่างชาติจากกว่า 140 ประเทศที่ยินดีรับใช้ในกองทัพฝรั่งเศสและกลายเป็นพลเมืองฝรั่งเศส มีเพียงสองประเทศในยุโรปเท่านั้น ที่มีกองทหารพิเศษจากอาสาสมัครต่างชาติเช่นนี้ได้แก่ สเปน (กองทหารต่างประเทศสเปนเรียกว่า Tercio ก่อตั้งขึ้นในปี 1920) และลักเซมเบิร์ก (ชาวต่างชาติสามารถรับใช้ในกองทัพแห่งชาติได้หากพวกเขาพูด(ภาษาลักเซมเบิร์ก)ได้)
การแบ่งเขตการปกครอง
(ประเทศฝรั่งเศสแผ่นดินใหญ่) (Metropolitan France - "France métropolitaine, la Métropole, l'Hexagone") แบ่งการปกครองออกเป็น
- 13 แคว้น (regions - régions)
โดยในแต่ละแคว้นแบ่งออกเป็น จังหวัด (départements) รวมทั้งหมด 96 จังหวัด
นอกจากในทวีปยุโรปแล้ว ประเทศฝรั่งเศสยังมีเขตการปกครองโพ้นทะเล (Overseas) อยู่ในทวีปต่าง ๆ ทั้งอเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ แอฟริกา แอนตาร์กติกา และภูมิภาคโอเชียเนียอีก ได้แก่
- 5 (จังหวัดโพ้นทะเล) (Départements d'outre-mers: DOM) ได้แก่ (กัวเดอลุป) (Guadeloupe) (เฟรนช์เกียนา) (French Guiana) (มาร์ตีนิก) (Martinique) (เรอูว์นียง) (Réunion) และ(มายอต) (Mayotte) ทั้งห้าดินแดนมีฐานะเดียวกับแคว้นในฝรั่งเศสภาคพื้นทวีป (อย่างเดียวกับฮาวายที่มีฐานะเท่าเทียมกับรัฐอื่น ๆ ในสหรัฐ) กล่าวคือ เป็นทั้งแคว้นและจังหวัดในเวลาเดียวกัน
- 4 (เขตชุมชนโพ้นทะเล) (Collectivités d'outre-mer) ได้แก่ (แซงปีแยร์และมีเกอลง) (Saint Pierre and Miquelon) (วอลิสและฟูตูนา) (Wallis and Futuna) (แซ็ง-บาร์เตเลมี) (Saint Barthélemy) และ(แซ็ง-มาร์แต็ง) (Saint Martin)
- 1 (Pays d'outre-mer: POM) ดินแดนแห่งเดียวของฝรั่งเศสที่ได้รับการเรียกชื่อนี้คือ (เฟรนช์โปลินีเซีย) (French Polynesia) ซึ่งเคยเป็นดินแดนโพ้นทะเล (TOM) มาก่อน แต่ได้รับการเปลี่ยนแปลงฐานะในวันที่ 28 มีนาคม 2003 โดยแบ่งออกเป็น 5 เขตบริหารย่อย
- 1 (เขตชุมชนรูปแบบพิเศษ) (Collectivité sui generis) คือ (นิวแคลิโดเนีย) (New Caledonia) เคยมีฐานะเป็นดินแดนโพ้นทะเลมาจนถึงปี 1999 จึงได้รับการเปลี่ยนแปลงฐานะ แบ่งออกเป็น 3 จังหวัด (provinces) ได้แก่ จังหวัดนอร์ ซูด และอีลลัวโยเต
- 1 (ดินแดนโพ้นทะเล) (Territoires d'outre-mer: TOM) คือ (เฟรนช์เซาเทิร์นและแอนตาร์กติกแลนส์) (French Southern and Antarctic Lands) โดยแบ่งออกเป็น 4 เขต (districts) ได้แก่ หมู่เกาะแกร์เกแลน (Kerguelen Islands) หมู่เกาะครอเซ (Crozet Islands) เกาะอัมสเตอร์ดัมและเกาะแซ็ง-ปอล (Amsterdam Island and Saint Paul Island) และ(อาเดลีแลนด์) (Adelie Land)
- ดินแดน 5 เกาะในมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งไม่มีผู้อาศัยอยู่อย่างถาวร รู้จักกันในชื่อ หมู่เกาะกระจายหรืออีลเซปาร์ส (Îles Éparses) ได้แก่ (Bassas da India) (Europa) (Juan de Nova) (Glorioso) และ (Tromelin) ทั้งหมดถูกปกครองโดยจังหวัดโพ้นทะเลเรอูว์นียง
- เกาะที่ไม่มีผู้อาศัย 1 แห่ง คือ (เกาะกลีแปร์ตอน) (Clipperton) อยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก ใกล้ชายฝั่งประเทศเม็กซิโก ปกครองโดยข้าหลวงใหญ่สาธารณรัฐฝรั่งเศสประจำท้องถิ่นโพ้นทะเลเฟรนช์โปลินีเซีย
เศรษฐกิจ
เมื่อวัดจากมูลค่า(ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ) ประเทศฝรั่งเศสนับเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับ 10 ของโลกในปี 2008 และอันดับสองของยุโรปเมื่อวัดตาม(ภาวะเสมอภาคของอำนาจซื้อ) ฝรั่งเศสเป็นหนึ่งใน 11 สมาชิกร่วมก่อตั้งสหภาพยุโรปและเริ่มใช้เงินสกุล(ยูโร)เมื่อปี 1999 และเริ่มใช้เหรียญและธนบัตรแทนสกุลฟรังก์ในอีกสามปีต่อมา ขณะที่มีบริษัทเอกชนในฝรั่งเศสมีจำนวนมาก รัฐบาลก็มีการตั้งรัฐวิสาหกิจและแทรกแซงเอกชนในบางครั้ง ภาครัฐมีบทบาทสำคัญในด้านโครงสร้างพื้นฐาน เป็นผู้ลงทุนรายใหญ่ในระบบรถไฟ ไฟฟ้า อากาศยาน พลังงานนิวเคลียร์และโทรคมนาคม จึงนับได้ว่าฝรั่งเศสมีลักษณะเศรษฐกิจแบบผสม แม้ภาครัฐจะพยายามลดการแทรกแซงและมีการแปรรูปรัฐวิสาหกิจเป็นเอกชนอยู่เรื่อยมา
(องค์การการค้าโลก)เผยว่าฝรั่งเศสเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่อันดับ 6 และเป็นผู้นำเข้าอันดับ 4 ของโลกในปี 2009 ประเภทของอุตสาหกรรมที่เป็นที่มาของความสำเร็จในการส่งออก ได้แก่ อุตสาหกรรมทางด้าน(การขนส่ง) (โทรคมนาคม) (การท่องเที่ยว) และ(สินค้าฟุ่มเฟือย) ( (น้ำหอม)และ(เหล้า)) รวมไปถึงภาคการเงิน และ(การประกันภัย) สถาบันการเงินรายใหญ่ตั้งอยู่ในฝรั่งเศสรวมทั้ง(ตลาดหลักทรัพย์ปารีส) (ปัจจุบันคือ(ยูโรเน็กซต์ ปารีส)) บริษัทประกัน(แอกซ่า) ธนาคาร(บีเอ็นพี พารีบาส์) และธนาคาร(โซซิเอเต้ เจเนเรล)
ในด้านการลงทุน ฝรั่งเศสเป็นประเทศที่มีการลงทุนจากต่างประเทศเป็นอันดับ 3 ของโลกเมื่อปี 2008 รองจาก(ลักเซมเบิร์ก)และสหรัฐ มีมูลค่าการลงทุนสูงถึง 118 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพราะผู้ลงทุนพอใจในคุณภาพของแรงงานชาวฝรั่งเศส การค้นคว้าวิจัยขั้นสูง เทคโนโลยีชั้นสูงที่ก้าวหน้ามาก เสถียรภาพของค่าเงิน และการควบคุมต้นทุนการผลิต และในปีเดียวกันนั้น บริษัทฝรั่งเศสไปลงทุนในต่างประเทศสูงถึง 220 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ในปี 2004 ประเทศฝรั่งเศสเสียเปรียบดุลการค้าถึง 6.6 พันล้าน(ยูโร) ถือเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลกทางด้านสินค้าทุน (ส่วนมากจะเป็น(เครื่องจักร)และ(อุปกรณ์)) และเป็นอันดับ 2 ในส่วนของภาคบริการและทางด้านเกษตรกรรม (โดยเฉพาะ(ธัญพืช)และ) ส่วนในระดับ(ภูมิภาคยุโรป) ประเทศฝรั่งเศสนับเป็นทั้งผู้ผลิตและผู้ส่งออกสินค้าการเกษตรรายใหญ่ที่สุด นอกจากนี้ สัดส่วนการค้าระหว่างประเทศฝรั่งเศสกับ(ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป)คิดเป็นร้อยละ 70 (ร้อยละ 50 เฉพาะประเทศใน(ยูโรโซน))
- (ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ) (PPP) ปี 2019 มีมูลค่า 3,062 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
- อัตราการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ปี 2019 คิดเป็นร้อยละ 1.3
- รายได้เฉลี่ยต่อหัว 47,223 ดอลลาร์สหรัฐ (2019)
- อัตราเงินเฟ้อคิดเป็นร้อยละ 1.3 (2019)
- ดุลการค้าขาดดุลมีมูลค่า 6.6 พันล้าน(ยูโร) (2004)
ประเทศฝรั่งเศสยังเป็นประเทศที่มี(โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์)มากเป็นอันดับ 2 ของโลก รองลงมาจากสหรัฐ (59 ใน 19 ทั่วประเทศ) การผลิตกระแสไฟฟ้าในประเทศ 88% มาจาก(พลังงานนิวเคลียร์) ค่าไฟฟ้าในประเทศราคาถูกกว่าประเทศใกล้เคียง จึงมีการส่งออกกระแสไฟฟ้าไปยังประเทศอื่น
เกษตรกรรม
เศรษฐกิจของฝรั่งเศสขึ้นอยู่กับภาคการเกษตรอย่างมากมาตั้งแต่สมัยอดีต มีการใช้ปุ๋ยปรับสภาพดินและเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาช่วยเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร นอกจากนี้ (นโยบายเกษตรร่วม)ของสหภาพยุโรปยังช่วยให้ฝรั่งเศสกลายเป็นประเทศผู้ผลิตและส่งออกสินค้าเกษตรมากที่สุดในยุโรป คิดเป็นราวร้อยละ 20 ของสินค้าเกษตรในสหภาพยุโรป และคิดเป็นอันดับสามของโลก อาหารแปรรูปที่มีชื่อเสียงของฝรั่งเศสได้แก่ ข้าวสาลี ผลิตภัณฑ์จากนม เนื้อโค เนื้อสุกร ตลอดจนไวน์โรเซ่ แชมเปญจน์ และไวน์(บอร์โด) ฝรั่งเศสมีจำนวนพื้นที่ถือครองเพื่อการเกษตรกว่า 590,000 แห่ง มีประชากรในวัยทำงานในภาคการเกษตร 1,189,000 คน และมีพื้นที่เพาะปลูก 27,668,000 (เฮกตาร์)หรือเท่ากับร้อยละ 50.7 ของ(ประเทศฝรั่งเศสแผ่นดินใหญ่) โดยมีผลิตผลทางการเกษตรหลักดังนี้
- (ธัญพืช) 69.7 ล้านตัน ในจำนวนนี้ 37.6 ล้านตันเป็น(ข้าวสาลี)และ 16.4 ล้านตันเป็น ประเทศฝรั่งเศสเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดของ(สหภาพยุโรป)และเป็นอันดับ 5 ของโลก
- (ไวน์) 48 ล้าน อันดับ 2 ของโลกและใน(สหภาพยุโรป)รองจากประเทศอิตาลี
- (นม) 22.2 ล้านลิตร อันดับ 2 ของ(สหภาพยุโรป)รองจาก(ประเทศเยอรมนี)และเป็นอันดับ 5 ของโลก
- 29.4 ล้านตัน ผลิตได้เป็นอันดับ 1 ของ(สหภาพยุโรป)และอันดับ 2 ของโลก
- 6 ล้านตัน ผลิตได้เป็นอันดับ 1 ของ(สหภาพยุโรป)
ส่วนด้านการทำ(ปศุสัตว์)และนั้น มีดังนี้
- (โค) จำนวน 19.2 ล้านตัว / (เนื้อโค) ปริมาณผลิต 1.8 ล้าน(ตัน)
- (สุกร) จำนวน 15.2 ล้านตัว / ปริมาณผลิต 2.3 ล้าน(ตัน)
- (แกะ) จำนวน 8.9 ล้านตัว, (แพะ) จำนวน 1.2 ล้านตัว / และ ปริมาณผลิต 1.3 ล้านตัน
- ปริมาณผลิต 2.1 ล้านตัน
ประเทศคู่ค้าที่สำคัญ ภายกลุ่ม(ประชาคมยุโรป)กว่าร้อยละ 58.6 ของการค้าทั้งหมดของประเทศฝรั่งเศสคือ (ประเทศเยอรมนี) (เบลเยี่ยม) เนเธอร์แลนด์ ลักเซมเบิร์ก สหราชอาณาจักร สเปนและอิตาลี ที่เหลือได้แก่ สหรัฐ (ประเทศสวิตเซอร์แลนด์)และ(แอลจีเรีย)
พลังงาน
Électricité de France (EDF) บริษัทผลิตและจำหน่าย(ไฟฟ้า)หลักในฝรั่งเศส ยังเป็นหนึ่งในผู้ผลิตไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุดของโลกอีกด้วย ในปี 2018 ผลิตไฟฟ้าได้ประมาณ 20% ของ(สหภาพยุโรป) ส่วนใหญ่มาจากพลังงานนิวเคลียร์ ฝรั่งเศสเป็นประเทศปล่อย(ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์)ที่เล็กที่สุดในบรรดาสมาชิก(กลุ่ม 7) เนื่องจากมีการลงทุนอย่างหนักในด้าน(พลังงานนิวเคลียร์) ณ ปี 2016 ไฟฟ้า 72% ของประเทศผลิตขึ้นโดยโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ 58 โรง ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงที่สุดในโลก ฝรั่งเศสยังใช้เขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า เช่น เขื่อน Eguzon, Étang de Soulcem และ Lac de Vouglans
การค้าต่างประเทศ
ในอดีตประเทศฝรั่งเศสขาดดุลการค้ามาโดยตลอดจนถึงปี 1982 ซึ่งได้มีการปรับโครงสร้างใหม่ เช่น การไม่รวมอัตรารายได้กับดัชนีเงินเฟ้อ และการปรับความสามารถในการแข่งขันส่งผลให้สภาวะการค้าของประเทศฝรั่งเศสดีขึ้น และตั้งแต่ปี 1992 เป็นต้นมา ประเทศฝรั่งเศสก็ได้เปรียบดุลการค้าติดต่อกันเรื่อยมา โดยปัจจัยที่ส่งผลให้ฝรั่งเศสได้เปรียบดุลการค้า คือ ราคาพลังงานที่ฝรั่งเศสต้องนำเข้าได้ลดลง ประเทศฝรั่งเศสทำการค้ากับสหภาพยุโรปเป็นสำคัญโดยร้อยละ 60 ของการส่งออกของฝรั่งเศสส่งไปยังตลาดสหภาพยุโรป ซึ่งเดิมถือว่าเป็นจุดอ่อนของประเทศฝรั่งเศส แต่สภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันได้กลายเป็นข้อได้เปรียบ และการส่งออกสินค้ามูลค่าสูงเช่น เครื่องบินแอร์บัส และอุปกรณ์การบิน ดาวเทียม อุปกรณ์ด้านการทหาร และรถไฟความเร็วสูง (TGV) ได้ขยายตัวอย่างมากโดยมีสัดส่วนถึงร้อยละ 20 ของการส่งออกของประเทศฝรั่งเศสทั้งหมด
แนวโน้มสภาวะเศรษฐกิจในอนาคต คาดว่าประเทศฝรั่งเศสจะได้เปรียบดุลการค้าลดลง เนื่องจากการถดถอยของอุปสงค์โลก ซึ่งเป็นผลกระทบจากวิกฤตการณ์เศรษฐกิจเอเชีย ในปี 1998 และการถดถอยของเศรษฐกิจสหรัฐ ภายหลังเหตุการณ์ก่อการร้ายในสหรัฐและสงครามในอิรัก
การท่องเที่ยว
จำนวน 81.9 ล้านคนนี้ ไม่รวมนักท่องเที่ยวที่อาศัยในประเทศฝรั่งเศสน้อยกว่า 24 (ชั่วโมง) เช่น ชาวยุโรปทางตอนเหนือที่เดินทางผ่านประเทศฝรั่งเศสเพื่อไปประเทศสเปนหรืออิตาลีใน(ฤดูร้อน) ประเทศฝรั่งเศสมีสถานที่ท่องเที่ยวในทุก ๆ บรรยากาศไม่ว่าจะเป็น สถานที่ท่องเที่ยวทางด้านวัฒนธรรมหรือธรรมชาติ ที่ประกอบไปด้วย(ทะเล) (ป่า) (แม่น้ำ) (ภูเขา) ฯลฯ สถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยมมากที่สุดมีดังนี้(หอไอเฟล) (6.2 ล้าน), (พิพิธภัณฑ์ลูฟร์) (5.7 ล้าน), (พระราชวังแวร์ซายส์) (2.8 ล้าน), (2.1 ล้าน), (ประตูชัยฝรั่งเศส) (1.2 ล้าน), (1.2 ล้าน), (มง-แซ็ง-มีแชล) (1 ล้าน), (พระราชวังช็องบอร์) (711,000), (วิหารแซ็งต์-ชาแปล) (683,000 , (549,000), (5 แสน), (441,000) และ(การ์กาซอน) (362,000)
ประเทศฝรั่งเศสมีโรงแรมกว่า 18,217 แห่ง สถานที่ตั้งแคมป์ 8,289 แห่ง หมู่บ้านตากอากาศ 1,001 แห่ง บ้านพักเยาวชน 188 แห่ง ที่พักราคาย่อมเยาในต่างจังหวัด 63,158 แห่ง ห้องพักพร้อมอาหารเช้าตามบ้านคนท้องถิ่น 31,013 ห้อง โดยประเทศฝรั่งเศสมีรายได้จากการท่องเที่ยว 32.8 พันล้าน(ยูโร) นับเป็นอันดับ 3 ของโลกรองจากสหรัฐและอิตาลี และมีดุลการท่องเที่ยวเกินดุลกว่า 9.8 พันล้าน(ยูโร)
โครงสร้างพื้นฐาน
คมนาคม และ โทรคมนาคม
คมนาคม
เครือข่ายระบบรางของฝรั่งเศสมีความยาวรวมถึง 29,473 กิโลเมตรในปี 2008 สูงสุดเป็นอันดับสองในยุโรปตะวันตกรองจากเยอรมนี ดำเนินการโดย(แอ็สแอนเซแอ็ฟ) และมีรถไฟความเร็วสูง(ตาลิส) (ยูโรสตาร์) (เตเฌเว)ให้บริการในประเทศและเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้านรอบด้านยกเว้น(ประเทศอันดอร์รา) ในเมืองใหญ่มีระบบรถไฟใต้ดินให้บริการ อาทิ ปารีส (ลียง) (มาร์แซย์) (ตูลูซ) และ(แรน) ทั้งยังมีระบบรถรางให้บริการใน (น็องต์) สทราซบูร์ (บอร์โด) (เกรอนอบล์) และ(มงเปอลีเย)
ส่วนถนนในฝรั่งเศสมีความยาวรวมกันถึง 1,027,183 กิโลเมตรนับว่ายาวที่สุดในทวีปยุโรป โดยปารีสมีเครือข่ายถนนและทางพิเศษที่หนาแน่นสูงกว่าส่วนอื่นของประเทศ เส้นทางถนนเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้านรอบด้าน ฝรั่งเศสไม่เก็บภาษีถนนประจำปีแต่จะเก็บค่าบริการในทางด่วนพิเศษหลายเส้นทาง มีตลาดรถยนต์ที่ใหญ่โดยรถยนต์ส่วนใหญ่ผลิตจากผู้ผลิตในประเทศอาทิ (เปอโยต์) และ
ฝรั่งเศสมีท่าอากาศยานมากถึง 464 แห่งในประเทศ(ท่าอากาศยานนานาชาติปารีส-ชาร์ล เดอ โกล)เป็นท่าอากาศยานที่ใหญ่และมีผู้ใช้บริการมากที่สุดในประเทศ เชื่อมต่อปารีสกับเมืองสำคัญทั่วโลก มีสายการบิน(แอร์ฟรานซ์)เป็นสายการบินประจำชาติ สำหรับการคมนาคมทางน้ำนั้น มีท่าเรือใหญ่ 10 แห่งด้วยกัน ท่าที่ใหญ่ที่สุดอยู่ที่(มาร์แซย์) เป็นศูนย์กลางการคมนาคมขนส่งทางทะเลเมดิเตอเรเนียน ฝรั่งเศสมีระบบคลองยาวราว 12,261 กิโลเมตร
วิทยาศาสตร์ และ เทคโนโลยี
ฝรั่งเศสมีบทบาทสำคัญต่อความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาตั้งแต่ยุคกลาง นับตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 11 (สมเด็จพระสันตะปาปาซิลเวสเตอร์ที่ 2) ผู้ประสูติในฝรั่งเศสทรงเผยแพร่(ลูกคิด) ทรงกลมดาราศาสตร์ ระบบ(เลขอารบิก) และ(นาฬิกา)ให้กับชาวยุโรปเหนือและตะวันตกได้รู้จักกันอีกครั้ง กลางคริสต์ศตวรรษที่ 12 (มหาวิทยาลัยปารีส)ก่อตั้งขึ้นและกลายเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกตะวันตกนับตั้งแต่นั้น ต่อมาในคริสต์ศตวรรษที่ 17 (เรอเน เดการ์ต) ได้เผยแพร่หลักการค้นพบความรู้ทางวิทยาศาสตร์ (แบลซ ปัสกาล) ร่วมพัฒนาทฤษฎี(ความน่าจะเป็น)และ(กลศาสตร์ของไหล) นักวิทยาศาสตร์ทั้งสองกลายเป็นสัญลักษณ์ของ(การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์) นำมาซึ่งยุคแห่งภูมิปัญญาของยุโรปนับตั้งแต่นั้น (พระเจ้าหลุยส์ที่ 14) ทรงตั้งสมาคมวิทยาศาสตร์ขึ้นเพื่อกระตุ้นให้เกิดการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ในฝรั่งเศสรวมทั้งปกป้องจิตวิญญาณของการวิจัย มีส่วนสำคัญในการบุกเบิกทางวิทยาศาสตร์ของยุโรปในคริสต์ศตวรรษที่ 17 และ 18
ในยุคเรืองปัญญา มีนักวิทยาศาสตร์ฝรั่งเศสที่ได้รับการยอมรับมากมาย อาทิ บุฟฟ่อน นักชีววิทยา (อ็องตวน ลาวัวซีเย) นักเคมีผู้ค้นพบหน้าที่ของ(ออกซิเจน)ในการเผาไหม้ ตลอดจนและผู้เผยแพร่(สารานุกรม) หวังให้ประชาชนเข้าถึงความรู้ที่เป็นประโยชน์ ใช้งานจริงในชีวิตประจำวันได้ นอกจากนี้ ในช่วง(ปฏิวัติอุตสาหกรรม)ยังมี(ออกุสแต็ง-ฌ็อง แฟรแนล)เป็นผู้คิดค้นเลนส์ยุคใหม่ (นีกอลา เลออนาร์ ซาดี การ์โน)คิดค้นทฤษฎี(เครื่องจักรความร้อน) (หลุยส์ ปาสเตอร์)คิดค้นวิธีการฆ่าเชื้อและวัคซีน(โรคพิษสุนัขบ้า) โดยชื่อของนักวิทยาศาสตร์ของศตวรรษที่ 19 ที่มีชื่อเสียงจะได้รับการจารึกบน(หอไอเฟล)
สำหรับนักวิทยาศาสตร์ผู้มีชื่อเสียงในคริสต์ศตวรรษที่ 20 ได้แก่ (อ็องรี ปวงกาเร) นักคณิตศาสตร์ (อ็องตวน อ็องรี แบ็กแรล) (ปีแยร์ กูว์รี) และ(มารี กูว์รี) นักฟิสิกส์และเคมีผู้ค้นพบรังสี(เรเดียม) นักฟิสิกส์ และ นักชีววิทยาผู้ร่วมค้นพบเชื้อไวรัส(เอดส์)
ฝรั่งเศสเป็นหนึ่งในสี่ประเทศมหาอำนาจทางนิวเคลียร์ มีอาวุธนิวเคลียร์ใหญ่เป็นอันดับสามของโลกและเป็นผู้นำด้านการใช้นิวเคลียร์เพื่อกิจการพลเรือนฝรั่งเศสเป็นประเทศที่สามต่อจากสหภาพโซเวียตและสหรัฐที่มีดาวเทียมในอวกาศและยังเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการผลักดันโครงการอวกาศของยุโรป บริษัท(แอร์บัส)มีส่วนในการพัฒนาระบบอากาศยานสำหรับการทหารและพลเรือน และรัฐบาลฝรั่งเศสยังเป็นผู้สนับสนุนหลักของโครงการวิจัยแสงซิงโครตรอนและ(องค์การวิจัยนิวเคลียร์ยุโรป) เมื่อนับจนถึงปี 2018 ฝรั่งเศสมีผู้ได้รับ(รางวัลโนเบล)มาแล้วรวม 69 คน
การศึกษา
หลักเกณฑ์ของระบบการศึกษาฝรั่งเศส ประกอบด้วยหลัก 4 ประการ ได้แก่
1. ความเท่าเทียมกันทางโอกาสในการเข้ารับการศึกษา
2. การไม่แบ่งแยกเพศ เชื้อชาติ ผิวพรรณ และฐานะทางสังคม
3. ความมีสถานะเป็นกลาง
4. ความไม่เกี่ยวข้องกับศาสนาใด ๆ
นโยบายทางการศึกษา
ระบบการศึกษาของรัฐเป็นบริการที่ไม่เสียค่าใช้จ่าย เว้นแต่ค่าลงทะเบียนเข้ามหาวิทยาลัยซึ่งเป็นจำนวนที่ไม่มากนัก การศึกษาภาคบังคับในฝรั่งเศส อยู่ในช่วงอายุระหว่างอายุ 6-16 ปี ระบบการศึกษาของรัฐรับเด็กเข้าศึกษา 80% ของจำนวนเด็กทั้งหมด ข้อบ่งชี้ถึงความมีเสรีภาพในการเรียนการสอน ประการหนึ่ง คือการเปิดโรงเรียน หรือสถานศึกษาซึ่งเป็นสิ่งที่ถือว่าเป็นเสรี ใครก็ตามสามารถเปิดโรงเรียน หรือสถานศึกษาซึ่งเป็นสิ่งที่ถือว่าเป็นเสรี ใครก็ตามสามารถเปิดหรือจัดการศึกษาได้ทั้งสิ้นและทุกระดับชั้นการศึกษาไม่ว่าจะเป็นระดับระถมศึกษา ระดับมัธยมศึกษา หรือแม้แต่ระดับอุดมศึกษา แต่ทั้งนี้จะต้องรักษา หลักเกณฑ์ 4 ประการ ดังกล่าวข้างต้นและรักษาเงื่อนไขทางด้านสุขอนามัย ความปลอดภัยและการจัดระเบียบสาธารณะ
อดีตนายกรัฐมนตรีของฝรั่งเศส (ฟร็องซัว ฟียง) (Mr. Francois Filllon) ได้แถลงนโยบายต่อที่ประชุมสภาแห่งชาติเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2007 ในส่วนที่เกี่ยวข้องด้านการศึกษาว่า จะเพิ่มโอกาสทางการศึกษาระดับอุดมศึกษาให้แก่ประชาชนฝรั่งเศส โดยตั้งเป้าหมายให้ประชาชนร้อยละ 50 จบการศึกษา พร้อมทั้งตั้งงบประมาณระหว่างปี 2007-12 เพื่อการนี้จำนวน 5 พันล้านยูโร และจัดสรรงบประมาณด้านการวิจัยให้แก่สถาบันอุดมศึกษา คาดว่างบประมาณเพื่อการวิจัยไม่น้อยกว่าร้อยละ 3 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ
สาธารณสุข
ฝรั่งเศสมีระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้าโดยรัฐบาลเป็นผู้สนับสนุนระบบประกันสุขภาพแห่งชาติ (องค์การอนามัยโลก)เผยว่าฝรั่งเศสมีระบบสาธารณสุขที่ดีเป็นอันดับต้น ๆ ของโลกในปี 2000 ฝรั่งเศสใช้งบประมาณสูงถึง 11.6 ของจีดีพีกับระบบสาธารณสุขในปี 2011 หรือราว ๆ 4,086 ดอลลาร์สหรัฐต่อหัว สูงกว่าค่าเฉลี่ยชาติอื่น ๆ ของยุโรปมาก ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพประมาณร้อยละ 77 อยู่ในความรับผิดชอบของหน่วยงานรัฐบาล
โรคเรื้อรังต่าง ๆ เช่นโรค(มะเร็ง) โรค(เอดส์) หรือโรค(ซิสติก ไฟโบรซิส) ได้รับการรักษาฟรี อายุขัยโดยเฉลี่ยของประชาชนอยู่ที่ 78 ปีสำหรับเพศชาย และ 85 ปีสำหรับเพศหญิง นับว่าสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของยุโรปและของโลก มีแพทย์ราว 3.22 คนต่อประชากร 1,000 คนในปี 2008
แม้คนทั่วไปจะมองว่าชาวฝรั่งเศสมีรูปร่างที่ผอม แต่ฝรั่งเศสกำลังประสบปัญหาประชากรมีโรคอ้วนเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่เปลี่ยนไปสู่ค่านิยมการบริโภคอาหารขยะ อัตราการเกิดโรคอ้วนยังถือว่าต่ำเมื่อเทียบกับสหรัฐและยังต่ำสุดในยุโรป แต่เป็นประเด็นที่ภาครัฐให้ความสำคัญเมื่อเร็ว ๆ นี้
ประชากร
เชื้อชาติ
ประชากรของประเทศฝรั่งเศสนั้นมีประมาณ 67.15 ล้านคน (2017) โดยเป็นประเทศที่มีประชากรมากเป็นอันดับที่ 20 ของโลก หรืออันดับที่ 2 ของสหภาพยุโรป
ชาวฝรั่งเศสส่วนใหญ่สืบเชื้อสายมาจาก(ชาวเคลต์)ผสมกับเชื้อสายโรมันและ(แฟรงก์) แต่ละท้องที่มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่แตกต่างออกไป เช่น วัฒนธรรมทางตะวันตก วัฒนธรรมทางตะวันตกเฉียงใต้แถบเทือกเขาพีเรเนส วัฒนธรรม(อลามันน์)ทางตะวันออกเฉียงเหนือใกล้พรมแดนเยอรมนี วัฒนธรรม(สแกนดิเนเวีย)ทางตะวันออกเฉียงเหนือ และวัฒนธรรม(ลิกูเรีย)ทางตะวันออกเฉียงใต้
คริสต์ศตวรรษที่ 20 มีการย้ายถิ่นฐานครั้งใหญ่นำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างสังคมของฝรั่งเศส ประมาณการกันว่าในเขตเมืองใหญ่ของฝรั่งเศสนั้นมีชาวผิวขาวร้อยละ 85 ชาวแอฟริกาตะวันตกเฉียงเหนือร้อยละ 10 ชาวผิวดำร้อยละ 3.3 และชาวเอเชียอีกร้อยละ 1.7 ประชาชนชาวฝรั่งเศสร้อยละ 40 ในปัจจุบันสืบเชื้อสายจากการอพยพนับตั้งแต่ช่วงต้นศตวรรษที่ 20 กลุ่มแรกราว 1.1 ล้านคนอพยพเข้ามาในช่วง ค.ศ. 1921 ถึง 1935 กลุ่มที่สองราว 1.6 ล้านคนเป็นชาวฝรั่งเศสโพ้นทะเลที่เดินทางกลับประเทศกลับอาณานิคมในแอฟริกาตะวันตกเฉียงเหนือประกาศเอกราชราว ค.ศ. 1960
ฝรั่งเศสยังคงเป็นจุดหมายของการอพยพ มีผู้อพยพอย่างถูกกฎหมายเข้ามาราว 200,00 ต่อปีและยังมีผู้ขอลี้ภัยอีกเป็นจำนวนมาก สถาบันสถิติและเศรษฐกิจแห่งชาติประมาณการไว้ว่าผู้อพยพที่เป็นลูกหลานของชาวฝรั่งเศสมี 6.5 ล้านคน (ประมาณร้อยละ 11 ของประชากรทั้งหมด) และไม่ได้มีเชื้อสายฝรั่งเศสมีราว 5 ล้านคน (ประมาณร้อยละ 8 ของประชากรทั้งหมด) รวมแล้ว ประมาณหนึ่งในห้าของประชากรฝรั่งเศสเป็นลูกหลานของผู้อพยพ
เมืองใหญ่
เมืองขนาดใหญ่ที่มีประชากรจำนวนมากได้แก่ ปารีส (มาร์แซย์) (ลียง) (ลีล) (ตูลูซ) (นิส) และ(น็องต์)
เมืองที่ใหญ่ที่สุดในประเทศฝรั่งเศส สำมะโนประชากร ค.ศ. 2016 | |||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
อันดับ | ชื่อ | (แคว้น) | ประชากร | อันดับ | ชื่อ | (แคว้น) | ประชากร | ||
ปารีส (มาร์แซย์) | 1 | ปารีส | ( อีล-เดอ-ฟร็องส์) | 2,190,327 | 11 | (แรน) | ( เบรอตาญ) | 216,268 | (ลียง) (ตูลูซ) |
2 | (มาร์แซย์) | (พรอว็องซาลป์-โกตดาซูร์) | 862,211 | 12 | (แร็งส์) | (กร็องแต็สต์) | 183,113 | ||
3 | (ลียง) | (โอแวร์ญ-โรนาลป์) | 515,695 | 13 | (แซ็งเตเตียน) | (โอแวร์ญ-โรนาลป์) | 171,924 | ||
4 | (ตูลูซ) | (อ็อกซีตานี) | 475,438 | 14 | (เลออาฟวร์) | (นอร์ม็องดี) | 170,352 | ||
5 | (นิส) | (พรอว็องซาลป์-โกตดาซูร์) | 342,637 | 15 | (ตูลง) | (พรอว็องซาลป์-โกตดาซูร์) | 169,634 | ||
6 | (น็องต์) | (เปอีเดอลาลัวร์) | 306,694 | 16 | (เกรอนอบล์) | (โอแวร์ญ-โรนาลป์) | 158,180 | ||
7 | (มงเปอลีเย) | (อ็อกซีตานี) | 281,613 | 17 | (ดีฌง) | (บูร์กอญ-ฟร็องช์-กงเต) | 155,090 | ||
8 | สทราซบูร์ | (กร็องแต็สต์) | 279,284 | 18 | (อ็องเฌ) | (เปอีเดอลาลัวร์) | 151,229 | ||
9 | (บอร์โด) | (นูแวลากีแตน) | 252,040 | 19 | (นีม) | (อ็อกซีตานี) | 151,001 | ||
10 | (ลีล) | (โอดฟร็องส์) | 232,440 | 20 | (โอแวร์ญ-โรนาลป์) | 149,019 |
ภาษา
รัฐธรรมนูญของฝรั่งเศส มาตรา 2 กำหนดให้ภาษาราชการคือ ภาษาฝรั่งเศส เป็นกลุ่ม(ภาษาโรมานซ์)ที่มีรากมาจากภาษาละติน โดยมีสมาคมภาษาฝรั่งเศสเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านภาษาตั้งแต่ปี 1635 นอกจากนี้ ยังมีฝรั่งเศสยังมีคนพูด(ภาษาอุตซิตา) (ภาษาเบรอตาญ) (ภาษากาตาลา) (ภาษาเฟลมิช) (ภาษาบาสก์) และ ที่พูดกันในท้องถิ่นด้วย
แม้รัฐบาลฝรั่งเศสไม่ได้บังคับให้ประชาชนตีพิมพ์ผลงานเป็นภาษาฝรั่งเศส แต่ภาษาฝรั่งเศสยังมีความจำเป็นในการพาณิชย์และการทำงาน รัฐบาลฝรั่งเศสพยายามส่งเสริมให้ภาษาฝรั่งเศสได้รับการยอมรับใน(สหภาพยุโรป)และทั่วโลก ทั้งนี้ ฝรั่งเศสเคยเป็นภาษาที่พูดกันแพร่หลายในทางการทูตและเวทีระหว่างประเทศช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17 ถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 ก่อนที่จะถูกแทนที่ด้วยภาษาอังกฤษ เนื่องจากการเรืองอำนาจของสหรัฐในเวทีการเมืองโลก
กระนั้น ภาษาฝรั่งเศสยังเป็นภาษาที่มีผู้ศึกษามาเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากภาษาอังกฤษ โดยเฉพาะในเขตอดีตอาณานิคมในแอฟริกา ประมาณการกันว่ามีคนพูดภาษาฝรั่งเศสได้รวม 300 ถึง 500 ล้านคนทั่วโลก หากนับภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาแม่หรือภาษาที่สอง
ศาสนา
ฝรั่งเศสให้เสรีภาพในการนับถือศาสนา มีกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญโดยใช้หลัก(การแยกศาสนจักรกับอาณาจักร)
ผลสำรวจจากสถาบันมงตาญและสถาบันความเห็นสาธารณะฝรั่งเศสเผยว่า ชาวฝรั่งเศสร้อยละ 51.1 เป็นชาวคริสต์ ร้อยละ 39.6 ไม่นับถือศาสนาใด ร้อยละ 5.6 เป็นชาวมุสลิ ร้อยละ 2.5 นับถือศาสนาอื่น (เช่น ศาสนาพุทธ ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และศาสนาซิกส์) และอีกร้อยละ 0.4 ยังไม่ตัดสินใจ ฝรั่งเศสมีชุมชนชาวยิงที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปและใหญ่เป็นอันดับสามของโลกรองจากอิสราเอลและสหรัฐ มีผู้นับถือ(ศาสนายูดาย)นี้ราว ๆ 480,000 ถึง 600,000 คน
ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาที่สำคัญของประเทศฝรั่งเศสมากว่าพันปี มีศาสนสถานมากถึง 47,000 แห่งในประเทศ และราวร้อยละ 94 ของคริสตศาสนิกชนนับถือนิกายโรมันคาทอลิก สถานที่สำคัญและความเชื่อทางศาสนาคริสต์ถูกทำลายไปอย่างมากในช่วงการ(ปฏิวัติฝรั่งเศส) จากนั้นเมื่อปี 1905 รัฐบาลได้ออกกฎหมายแยกศาสนจักรออกจากคริสตจักรอย่างเป็นทางการ ปัจจุบัน รัฐบาลจึงห้ามไม่ให้กลุ่มศาสนาใดมีสิทธิพิเศษเหนือกว่ากลุ่มอื่นในสังคม ในขณะเดียวกัน องค์กรทางศาสนาก็ไม่ควรแทรกแซงทางการเมือง
กีฬา
ฝรั่งเศสเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาระดับโลกมากมาย อาทิ จักรยานทางไกล(ตูร์เดอฟร็องส์)(ฟุตบอลโลก 1938) และ (1998)(ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 1960) (1984) และ (2016) และ(ฟุตบอลโลกหญิง 2019) สนามกีฬา(สตาดเดอฟร็องส์)ในเมือง(แซ็ง-เดอนี)เป็นสนามกีฬาที่ใหญ่ที่สุดของฝรั่งเศส กีฬาที่ได้รับความนิยมในฝรั่งเศสได้แก่ ฟุตบอล ยูโด เทนนิส รักบี้ และเปตอง นอกจากนี้ รายการแข่งรถ (24 ชั่วโมง เลอม็อง) ยังเป็นที่รู้จัก เช่นเดียวกับเทนนิสแกรนด์สแลม(เฟรนช์โอเพน)
ฝรั่งเศสมีสายสัมพันธ์ที่ยาวนานกับกีฬาโอลิมปิกสมัยใหม่ (ปีแยร์ เดอ กูแบร์แต็ง) ชาวฝรั่งเศสเป็นผู้ก่อตั้งกีฬาโอลิมปิกสมัยใหม่ ฝรั่งเศสเป็นเจ้าภาพจัดโอลิมปิกฤดูร้อนสองครั้งในปี 1900 (กีฬาโอลิมปิกครั้งที่สอง) และ 1924 โดยทั้งสองครั้งจัดที่กรุงปารีส เป็นเจ้าภาพจัดโอลิมปิกฤดูหนาวอีกสามครั้ง ในปี 1924 ที่(ชามอนี) ค.ศ. 1968 ที่(เกรอนอบล์) และค.ศ.1992 ที่ คณะกรรมการโอลิมปิกสากลเคยมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงปารีสก่อนจะย้ายไปนคร(โลซาน)ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์
ฟุตบอล
ทีมฟุตบอลทีมชาติฝรั่งเศส มีฉายาว่า เลอเบลอส์ มีความหมายสื่อถึงธงชาติฝรั่งเศส ฟุตบอลเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมสูงสุดในฝรั่งเศส มีนักกีฬาที่ลงทะเบียนถึง 1,800,000 คนและมีสโมสรมากถึง 18,000 สโมสร ทีมฟุตบอลประสบความสำเร็จสูงสุดด้วยการขึ้นครองแชมป์โลกในปี 1998 และอีกครั้งในปี 2018 และได้รองแชมป์โลกในปี 2006 ส่วนในรายการฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ฝรั่งเศสชนะเลิศสองครั้งเมื่อปี 1984 และ 2000
ลีกสูงสุดของฟุตบอลฝรั่งเศสคือ (ลีกเอิง) ฝรั่งเศสผลิตนักฟุตบอลระดับโลกมาแล้วหลายราย เช่น (ซีเนดีน ซีดาน) เจ้าของรางวัลนักฟุตบอลยอดเยียมประจำปีของฟีฟ่า และ(มีแชล ปลาตีนี) เจ้าของรางวัล(บัลลงดอร์) 3 สมัย ตลอดจน(ฌุสต์ ฟงแตน) และ(ตีแยรี อ็องรี)
มวยสากล
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
วัฒนธรรม
ฝรั่งเศสเป็นศูนย์กลางของวัฒนธรรมตะวันตกมาหลายศตวรรษ ได้รับการขนานนำว่ามีมรดกทางวัฒนธรรมจำนวนมากและหลากหลาย
ความสำเร็จในการรักษาและเผยแพร่วัฒนธรรมเป็นผลงานที่สำคัญของกระทรวงวัฒนธรรมที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1959 มีการมอบเงินสนับสนุนจิตรกร ส่งเสริมวัฒนธรรมฝรั่งเศสให้เป็นที่รู้จักทั่วโลก สนับสนุนการจัดเทศกาลและงานรื่นเริงทางวัฒนธรรมต่าง ๆ และบูรณะสิ่งก่อสร้างทางประวัติศาสตร์ ส่งผลให้ฝรั่งเศสมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมชมมรดกทางวัฒนธรมเป็นจำนวนมาก มีพิพิธภัณฑ์กว่า 1,200 แห่งเปิดให้นักท่องเที่ยวกว่า 50 ล้านคนเข้ามาเยี่ยมชมเป็นประจำทุกปี มีแหล่งโบราณสถานแห่งชาติ 85 แห่งที่ได้รับการดูแลอย่างดีจากรัฐบาล ฝรั่งเศสมี(แหล่งมรดกโลก)ในประเทศมากถึง 39 แห่งที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดย(องค์การยูเนสโก)
สถาปัตยกรรม
ในยุคกลางมีการสร้างป้อมปราการและปราสาทขึ้นโดยขุนนางในระบบศักดินาขึ้นเป็นจำนวนมาก และบางส่วนยังหลงเหลืออยู่จนถึงปัจจุบันเช่น และ สถาปัตยกรรมที่โดดเด่นในยุคนี้คือ(สถาปัตยกรรมโรมาเนสก์)ที่ได้รับความนิยมทั่วยุโรปตะวันตก
สถาปัตยกรรมในยุคต่อมา คือ (สถาปัตยกรรมกอทิก) ถือกำเนิดขึ้นที่(แคว้นอีล-เดอ-ฟร็องส์)ของฝรั่งเศส เดิมมีชื่อเรียกสถาปัตยกรรมแบบนี้ว่า Opus Francigenum มีความหมายว่า งานแบบฝรั่งเศส เป็นสถาปัตยกรรมแบบแรกของฝรั่งเศสที่ได้รับการทำซ้ำไปทั่วยุโรป ฝรั่งเศสทางตอนเหนือมีอาคารและสิ่งก่อสร้างจำนวนมากที่เป็นแบบกอทิก อาทิ (มหาวิหารแซ็ง-เดอนี) (อาสนวิหารชาทร์) (อาสนวิหารอาเมียง) และ(อาสนวิหารแร็งส์)ที่เคยใช้ในพิธีสวมมงกุฎของกษัตริย์ฝรั่งเศส นอกจากศาสนสถานแล้ว ยังมีอาคารที่มีสถาปัตยกรรมแบบกอทิกที่เด่นชัดอีกมากมาย เช่น (ปาแลเดปัป) (วังพระสันตะปาปาแห่ง(อาวีญง))
ชัยชนะของฝรั่งเศสใน(สงครามร้อยปี)เป็นเหตุการณ์สำคัญต่อวิวัฒนาการของสถาปัตยกรรมในฝรั่งเศส เป็นยุคกำเนิดของ(สมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาในฝรั่งเศส) มีจิตรกรจากอิตาลีจำนวนมากได้รับคำเชิญให้มาตกแต่งคฤหาสน์ของผู้มั่งคั่งในฝรั่งเศสโดยเฉพาะในแถบ(ลุ่มแม่น้ำลัวร์) เช่น (วังมงซอโร)(พระราชวังช็องบอร์) (วังเชอนงโซ) (พระราชวังอ็องบวซ)
หลังจากนั้น (สถาปัตยกรรมบาโรก) เข้ามามีบทบาทแทนที่กอทิก สถาปัตยกรรมที่เด่นชัดได้แก่ (พระราชวังแวร์ซาย) (ปลัสสตานิสลัส)(ในขณะนั้นยังไม่อยู่ในฝรั่งเศส) (ฌูล อาร์ดวง-ม็องซาร์)หนึ่งในผู้ออกแบบแวร์ซายกลายเป็นสถาปนิกผู้มีอิทธิพลในยุคนี้ เช่นเดียวกับ(เซบัสเตียง เลอ แพร็สทร์ เดอ โวบ็อง) ผู้ออกแบบป้อมปราการที่มีประสิทธิภาพและมีชื่อเสียงด้านสถาปัตยกรรมทางการทหาร
หลังการปฏิวัติฝรั่งเศส (สถาปัตยกรรมลัทธิคลาสสิกใหม่)ได้รับความนิยมในหมู่ผู้นิยมสาธารณรัฐ มีการสร้าง(อาร์กเดอทรียงฟ์เดอเลตวล) (ประตูชัย) และ(โบสถ์ลามาดแลน) อันเป็นสัญลักษณ์ของสถาปัตยกรรมยุค(จักรวรรดิฝรั่งเศส)
ในสมัยของ(จักรพรรดินโปเลียนที่ 3) มีการสร้างเมืองแบบสมัยใหม่ (โรงโอเปเราการ์นีเย)ถูกสร้างขึ้นในแบบนีโอ-บาโรก มีการวางผังเมืองอย่างเป็นระบบ (สถาปัตยกรรมฟื้นฟูกอทิก)ได้รับความนิยมเช่นเดียวกับอีกหลายประเทศในยุโรป โดยมี(เออแฌน วียอแล-เลอ-ดุก) เป็นผู้มีบทบาทสำคัญ ต่อมา (กุสตาฟ ไอเฟล) ได้วางรางฐานของสะพานสมัยแบบใหม่ในฝรั่งเศส นำเสนอสิ่งก่อสร้างด้วยเหล็ก หนึ่งในนั้นที่ผู้คนจดจำได้มากที่สุดคือ (หอไอเฟล)
ในคริสต์ศตวรรษที่ 20 (เลอกอร์บูซีเย) สถาปนิกชาวฝรั่งเศส-สวิส เป็นผู้ออกแบบสิ่งก่อสร้างหลายแห่งในฝรั่งเศส มีการใช้สถาปัตยกรรมแบบผสมระหว่างสมัยเก่าและสมัยใหม่ เช่น (พีระมิดลูฟวร์) อย่างไรก็ตาม ฝรั่งเศสไม่นิยมสร้าง(ตึกระฟ้า)บดบังทัศนียภาพ ในกรุงปารีสมีข้อบังคับนับตั้งแต่ปี 1977 ห้ามมิให้มีอาคารสูงกว่า 37 เมตรก่อตั้งขึ้น อาคารสำนักงานจำนวนมากจึงมักตั้งอยู่ที่(ลาเดฟ็องส์) เขตธุรกิจใหญ่ชานเมืองปารีสแทน สถาปนิกที่มีชื่อเสียงในยุคโมเดิร์นได้แก่ (ฌ็อง นูแวล)
วรรณกรรม
วรรณกรรมถือเป็นหนึ่งในความภาคภูมิใจของชาวฝรั่งเศสมานานนับสหัสวรรษ และยังเป็นเครื่องมือสะท้อนถึงประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่และความรุ่งเรื่องทางวัฒนธรรมของประเทศ วรรณคดีฝรั่งเศสที่เก่าแก่ที่สุดมีมาตั้งแต่ยุคกลาง โดยนักเขียนใช้การสะกดและไวยากรณ์ของตนเอง ผู้เขียนตำรายุคกลางของฝรั่งเศสบางคนไม่เป็นที่รู้จัก เช่น Tristan และ Iseult และ Lancelot-Grail ผู้เขียนคนอื่น ๆ เป็นที่รู้จัก เช่น Chrétien de Troyes และ Duke William IX of Aquitaine
กวีนิพนธ์และวรรณคดีฝรั่งเศสในยุคกลางส่วนใหญ่ได้รับแรงบันดาลใจจากตำนานและความเชื่อดั้งเดิมของฝรั่งเศส เช่น บทเพลงแห่งโรแลนด์ และบทประพันธ์ต่าง ๆ Roman de Renart เขียนขึ้นในปี 1175 โดย Perrout de Saint Cloude บอกเล่าเรื่องราวของตัวละครในยุคกลาง Reynard ('the Fox') และเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของงานเขียนภาษาฝรั่งเศสยุคแรก ๆ นักเขียนคนสำคัญของศตวรรษที่ 16 คือ François Rabelais ซึ่งนวนิยายเรื่อง Gargantua และ Pantagruel ยังคงมีชื่อเสียงมาจนถึงปัจจุบัน Michel de Montaigne เป็นบุคคลสำคัญอีกคนหนึ่งของวรรณคดีฝรั่งเศสในช่วงศตวรรษนั้น งานที่มีชื่อเสียงที่สุดของเขา Essais ได้สร้างแนววรรณกรรมคล้ายการเขียนเรียงความ
ศิลปะ
ประเทศฝรั่งเศสถือว่าเป็นหนึ่งในชาติที่มีความสำคัญยาวนานต่อโลกศิลปะ อีกทั้งยังเป็นบ่อเกิดของศิลปินและกระแสทางศิลปะที่สำคัญของโลกมาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่ายิ่งกรุงปารีส โดยปรากฏผลงานทางศิลปะตามสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆมากมาย ฝรั่งเศสเริ่มมีความก้าวหน้าด้านศิลปะหลังยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาฝรั่งเศส (French Renaissance) ในศตวรรษที่ 15 ซึ่งส่วนมากได้รับอิทธิพลมาจากอิตาลี และเริ่มโดดเด่นขึ้นมาในช่วงศตวรรษที่ 17 ในยุคบาโรก (Baroque) จนมีความเจริญรุ่งเรืองเหนือกว่าอิตาลีในยุคโรโกโก (Rococo) และยุคนีโอคลาสสิก (Neo-Classic) ในช่วงศตวรรษที่ 18 ศูนย์กลางแห่งศิลปะของโลกเริ่มเคลื่อนย้ายจากอิตาลีมาสู่ฝรั่งเศส และตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมาฝรั่งเศสถือว่ามีความเจริญรุ่งเรืองด้านศิลปะถึงขีดสุด ในยุคอิมเพรสชั่นนิสม์ (Impressionism) ต่อเนื่องมาถึงยุคศิลปะสมัยใหม่ (Modern Art) ส่งผลให้กรุงปารีสได้กลายเป็นเมืองหลวงแห่งศิลปะของโลกไปโดยปริยาย
ปรัชญา
(ลัทธิอัสมาจารย์) หรือวิธีคิดเชิงวิพากษ์ เป็นปรัชญาที่ได้รับความนิยมใน(สมัยกลาง) ก่อนที่(มนุษยนิยม)จะได้รับความนิยมใน(สมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา) นักปรัชญายุคใหม่ในคริสต์ศตวรรษที่ 17 หลายคนกำเนิดที่ฝรั่งเศส เช่น (เรอเน เดการ์ต) (แบลซ ปัสกาล) และ โดยเดการ์ตเป็นผู้นำปรัชญาตะวันตกกลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้งหลังยุคกรีกและโรมัน หนังสือของเดการ์ตมีอิทธิพลต่อแนวคิดของนักปรัชญาคนอื่น ๆ ในยุโรปอีกมากมาย
นักปรัชญาชาวฝรั่งเศสยังมีอิทธิพลอย่างมากใน(ยุคเรืองปัญญา) หนังสือ(จิตวิญญาณแห่งกฎหมาย)ของ(มงแต็สกีเยอ)มีบทบาทต่อการเผยแพร่(ประชาธิปไตยเสรีนิยม) เน้นการแบ่งอำนาจการปกครอง ก่อนที่(วอลแตร์)จะมาต่อยอดด้วยการสนับสนุน(เสรีภาพทางศาสนา) (เสรีภาพในการพูด)
ในคริสต์ศตวรรษที่ 19 แนวคิดปรัชญาของฝรั่งเศสเป็นรูปแบบการตอบสนองความหวาดระแวงในสังคมสืบเนื่องจาก(การปฏิวัติฝรั่งเศส) นักปรัชญาผู้รักเหตุและผลเช่นและ เรียกร้องให้มีการใช้จารีตสังคมแบบใหม่ แต่ถูกต่อต้านโดยนักคิดหลายคนเช่น ผู้กล่าวโทษว่านักปรัชญาสายเหตุผลนิยมพยายามต่อต้านธรรมเนียมที่ดีงามของสังคม กองต์กลายเป็นผู้ต่อตั้งลัทธิ (positivism) ที่ยึดถือแนวความคิดที่ว่าองคภาวะซึ่งสามารถสังเกตได้โดยตรงจากประสบการณ์เท่านั้น มุ่งสร้างทฤษฎีหรือกฎทั่วไปซึ่งแสดงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างปรากฏการณ์ต่าง ๆ
แนวคิดนี้ได้รับการต่อต้านในคริสต์ศตวรรษที่ 20 เมื่อมีการก่อตั้งแนวคิดนิยมจิตวิญญาณขึ้น เช่น แนวคิดของ(อ็องรี แบร์กซอน) ผู้เชื่อว่าประสบการณ์และสัญชาติญาณมีความสำคัญกว่าการคิดแบบเหตุผลตามสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกเท่านั้น ขณะเดียวกัน การศึกษาทฤษฎีของธรรมชาติและความรู้ก็มีความเด่นชัดมากขึ้นในศตวรรษนี้ มีนักคณิตศาสตร์ที่มีชื่อเสียงมากมาย เช่น (อ็องรี ปวงกาเร) หลัง(สงครามโลกครั้งที่สอง) แนวคิดของ(ฌ็อง-ปอล ซาทร์) ผู้นิยมใน(ปรากฏการณ์วิทยา)และ(อัตถิภาวนิยม) ได้รับความนิยมอย่างมาก นำมาสู่การกำเนิดของปรัชญาหลังสมัยใหม่ เช่น แนวคิดของ(มีแชล ฟูโก)
ดนตรี
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ภาพยนตร์
นับตั้งแต่พี่น้อง Lumière ค้นพบการสร้างภาพยนตร์ใน 1895 ชาวฝรั่งเศสก็ชื่นชอบการชมภาพยนตร์อย่างมาก(เทศกาลภาพยนตร์กาน)จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี และมีนักแสดงจากประเทศต่าง ๆ เข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก ฝรั่งเศสเป็นผู้ผลิตภาพยนตร์ชั้นนำซึ่งมีผู้ชมจากทั่วโลกผลงานของ (ฌ็อง-ลุก กอดาร์), (ฟร็องซัว ทรูว์โฟ), และ (ลุก แบซง) ได้ถูกนำเสนอใน 5 ทวีปหลังจากที่ถูกฉายในโรงภาพยนตร์ประเทศฝรั่งเศสถึง 2,000 โรง
แม้ว่าตลาดภาพยนตร์ฝรั่งเศสจะถูกครอบงำโดย(ฮอลลีวูด)มาหลายปี แต่ฝรั่งเศสเป็นประเทศเดียวในโลกที่ภาพยนตร์อเมริกันมีส่วนแบ่งรายได้น้อยที่สุดจากรายได้ทั้งหมด โดยอยู่ที่ 50% เทียบกับ 77% ในเยอรมนีและ 69% ในญี่ปุ่น ภาพยนตร์ฝรั่งเศสคิดเป็น 35% ของรายได้ภาพยนตร์ทั้งหมดของฝรั่งเศส ซึ่งเป็นเปอร์เซ็นต์สูงสุดของรายได้จากภาพยนตร์ในประเทศที่พัฒนาแล้วนอกสหรัฐ เทียบกับ 14% ในสเปนและ 8% ในสหราชอาณาจักร ในปี 2013 ฝรั่งเศสเป็นผู้ส่งออกภาพยนตร์รายใหญ่อันดับ 2 ของโลกรองจากสหรัฐ วงการภาพยนตร์ฝรั่งเศสผลิตนักแสดงคุณภาพที่มีชื่อเสียงมากมายมายาวนาน เช่น (มารียง กอตียาร์), (กาทรีน เดอเนิฟว์), , (เลอา แซดู), , และ
แฟชั่น
แฟชั่นเป็นอุตสาหกรรมและวัฒนธรรมที่สำคัญของฝรั่งเศสมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 17 (โอตกูตูร์) หรือเสื้อผ้าชั้นสูงเริ่มต้นที่กรุงปารีสราว ค.ศ. 1857 ในปัจจุบัน ปารีสเป็นมหานครแฟชันเช่นเดียวกับลอนดอน (มิลาน) และนิวยอร์ก เป็นจุดเริ่มต้นของแบรนด์แฟชันชั้นนำมากมาย และคำว่า"โอตกูตูร์"เป็นคำที่ได้รับการสงวนไว้สำหรับงานฝีมือชั้นสูงในฝรั่งเศสเท่านั้นเพื่อเป็นการรับประกันคุณภาพของสินค้า
ความผูกพันระหว่างฝรั่งเศสกับแฟชั่นและสไตล์มีมาตั้งแต่สมัย(พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส) ในสมัยนั้น อุตสาหกรรมสินค้าฟุ่มเฟือยอยู่ภายใต้การควบคุมของทางการ ราชวงศ์ฝรั่งเศสนับได้ว่าเป็นผู้กำหนดรสนิยมและสไตล์ของยุโรป อย่างไรก็ตาม ฝรั่งเศสกลับมาทวงบทบาทด้านผู้นำแฟนชันอีกครั้งในช่วงระหว่าง ค.ศ. 1860 ถึง 1960 โดยมีแบรนด์แฟชันชั้นนำก่อตั้งขึ้นมากมาย รวมทั้ง และ น้ำหอมของฝรั่งเศสได้รับความนิยมไปทั่วโลก
ช่วง(ความไม่สงบในประเทศฝรั่งเศส พฤษภาคม ปี 1968) เกิดการก่อต้าน"โอตกูตูร์"จากกลุ่มคนรุ่นใหม่จำนวนมาก มีการออกแบบเสื้อผ้ารูปแบบใหม่ที่พร้อมสวมใส่โดย(อีฟว์ แซ็ง โลร็อง) นำตลาดเสื้อผ้าเข้าสู่การผลิตแบบจำนวนมาก เกิดแบรนด์สินค้าที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้นเป็นจำนวนมาก ช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 20 แบรนด์สินค้าฟุ่มเฟือยรวมตัวกันกลายเป็นบริษัทข้ามชาติ เช่น (แอลวีเอ็มเอช)
อาหาร
อาหารฝรั่งเศสได้รับการขนานนามว่ามีความปราณีตระดับแนวหน้าของโลก สูตรอาหารดั้งเดิมแตกต่างกันไปในแต่ละท้องถิ่น ทางตอนเหนือของประเทศนิยมใช้เนยเป็นไขมันประกอบอาหาร ส่วนทางใต้นิยมใช้(น้ำมันมะกอก) อาหารท้องถิ่นที่มีชื่อเสียงได้แก่ จากทางตะวันตกเฉียงใต้ ((เซาเออร์เคราท์)พร้อมไส้กรอกและมันฝรั่ง)จาก(แคว้นอาลซัส) (กิช)จาก(แคว้นลอแรน) จาก(แคว้นบูร์กอญ) จาก(พรอว็องส์) เป็นต้น เครื่องดื่มที่มีชื่อเสียงที่สุดของฝรั่งเศสคือ (ไวน์) ไม่ว่าจะเป็นไวน์แชมเปญจน์ ไวน์(บอร์โด) ไวน์(บูร์กอญ) และไวน์ นอกจากนี้ ชีสยังเป็นอาหารขึ้นชื่อของฝรั่งเศส มีมากมายกว่า 400 ชนิดแต่ที่เป็นที่รู้จักกันคือ(กาม็องแบร์) (ร็อกฟอร์) และ(บรี)
ในหนึ่งมื้ออาหารมักประกอบไปด้วย 3 ส่วนหลัก ๆ ส่วนแรกเรียกว่า ออเดิร์ฟ (hors d'œuvre) หรือ อองเตร (entrée) มักเสิร์ฟเป็นไข่ตุ๋น ซุปล็อบสเตอร์ (ฟัวกรา) ซุปหัวหอม หรือ(คร็อก-เมอซีเยอ) ส่วนที่สอง คือจานหลัก (plat principal) มักเป็น(ปอโตเฟอ)หรือ(สแต็กฟริต) ปิดท้ายด้วยส่วนที่สามคือ ขนมหวาน (dessert) หรือชีสรวม (fromage) ขนมหวานของฝรั่งเศสที่เป็นที่รู้จักได้แก่ (มาการง) (เอแกลร์) (แครมบรูว์เล) (มูส) (เครป) และ
คนฝรั่งเศสมองว่าอาหารคือองค์ประกอบที่สำคัญของคุณภาพชีวิต(มิชลินไกด์)เป็นสื่อสิ่งพิมพ์ของฝรั่งเศสที่จะให้รางวัลดาวที่เรียกว่า"มิชลินสตาร์"แก่ร้านอาหารที่ได้รับการคัดสรรมาเป็นอย่างดี การได้รับและเสียจำนวนดาวมีผลต่อชื่อเสียงและความสำเร็จของร้านอาหารอย่างมาก ร้านอาหารในฝรั่งเศสได้รับจำนวนดาวรวมกันมากถึง 620 ดวงเมื่อ พ.ศ. 2549 นับว่าสูงกว่าประเทศอื่น ๆ ในขณะนั้น นอกจากนี้ ฝรั่งเศสยังเป็นผู้ผลิตเบียร์และเหล้ารัมรายใหญ่ โดยมีแหล่งผลิตเบียร์อยู่ที่(แคว้นอาลซัส) (ร้อยละ 60 ของการผลิตทั้งประเทศ) (แคว้นนอร์-ปาดกาแล) และ(แคว้นลอแรน) ส่วนแหล่งผลิตเหล้ารัมอยู่ที่เกาะ(เรอูนียง) ทางตอนใต้ของมหาสมุทรอินเดีย
สื่อสารมวลชน
หนังสือพิมพ์รายวันระดับประเทศที่ขายดีที่สุดของฝรั่เศสคือ (ยอดขายราว 460,000 ฉบับต่อวัน) (เลอมงด์) และ (ยอดขายราว 300,000 ฉบับต่อวัน) และยังมีหนังสือพิมพ์ที่เน้นเนื้อหาด้านกีฬา แต่สื่อสิ่งพิมพ์ท้องถิ่นที่มียอดจำหน่ายสูงสุดคือที่วางจำหน่ายทางตะวันตกของประเทศ มียอดขายสูงถึง 750,000 ฉบับต่อวัน
นิตยสารรายสัปดาห์ยังได้รับคามนิยมทั่วประเทศ มีมากกว่า 400 ชนิดครอบคลุมเนื้อหาที่หลากหลาย นิตยสารข่าวที่มีอิทธิพลสูงสุดคือ (นิยมการเมืองฝ่ายซ้าย) (เป็นกลาง) และ (นิยมการเมืองฝ่ายขวา) มียอดขายราว 400,000 ฉบับต่อสัปดาห์ แต่นิตยสารที่มียอดจำหน่ายสูงสุดคือนิตยสารรายเดือนสำหรับผู้หญิง เช่น (มารี แคลร์) และ(แอล) ซึ่งมีการตีพิมพ์ในต่างประเทศด้วย อย่างไรก็ตาม สำนักพิมพ์นิตยสารได้รับผลกระทบอย่างมากในปัจจุบันจากพฤติกรรมการอ่านของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป หลายสำนักพิมพ์ต้องรับความช่วยเหลือทางการเงินจากรัฐบาล
รัฐบาลฝรั่งเศสผูกขาดการกระจายเสียงทางโทรทัศน์และวิทยุจนถึงปี 1974 จากนั้นมีก่อตั้งองค์การกระจายเสียงวิทยุและแพร่ภาพโทรทัศน์แห่งฝรั่งเศส (ORTF) ขึ้นและแบ่งการดำเนินงานออกเป็นหน่วยงานย่อยหลายแห่ง แต่สถานีโทรทัศน์ 3 แห่งและสถานีวิทยุ 4 แห่งยังอยู่ภายใต้การดำเนินงานของรัฐบาล จากนั้นในปี 1981 รัฐบาลได้อนุญาตให้มีการเปิดเสรีการกระจายสัญญาณวิทยุในประเทศ เป็นการยุติบทบาทรัฐในการผูกขาดวิทยุอย่างเป็นทางการ ส่วนการแพร่ภาพโทรทัศน์นั้น รัฐบาลได้เปิดเสรีบางส่วน มีการก่อตั้งสถานีโทรทัศน์เพื่อการพาณิชย์อีกหลายแห่ง พัฒนาสื่อโทรทัศน์ไปพร้อม ๆ กัน
สังคม
ฝรั่งเศสเป็นประเทศที่มีอิทธิพลกับเวทีโลกจากการสำรวจของสำนักข่าว(บีบีซี)เมื่อปี 2010 สังคมฝรั่งเศสมีความเปิดกว้างทางด้านศาสนา ประชากรส่วนใหญ่ระบุในเอกสารเฉพาะสัญชาติแต่ไม่ระบุศาสนา(การปฏิวัติฝรั่งเศส)เป็นเหตุการณ์หนึ่งที่แทนแนวคิดแบบฝรั่งเศส (ธงชาติฝรั่งเศส) เพลงชาติ(ลามาร์แซแยซ) และคำขวัญ(เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ)เป็นสัญลักษณ์แทนประเทศฝรั่งเศสในสายตาของนานาประเทศ
สัญลักษณ์ที่โดดเด่นของฝรั่งเศสอีกอย่างหนึ่งคือ ไก่ โดยมีประวัติย้อนกลับไปในสมัยโรมันที่ชาวโรมเรียกดินแดน(ชาวเคลต์)แถบนี้ว่า กัลลุส ซึ่งมีความหมายแปลได้ทั้งว่า ไก่ และ ที่อยู่ของชาวกอล ไก่จึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของราชวงศ์ฝรั่งเศส กลุ่มปฏิวัติ และกลุ่มสาธารณรัฐ แสดงถึงเอกลักษณ์ของชาติ ใช้ในตราไปรษณียกรและเหรียญตรา
ฝรั่งเศสเป็นหนึ่งในผู้นำโลกที่ส่งเสริมด้านความเท่าเทียมทางเพศในที่ทำงาน คณะกรรมการบริหารในบริษัทร้อยละ 36.8 เป็นที่นั่งของสตรี นอกจากนี้ยังมีการส่งเสริม(สิทธิของกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ) ผลสำรวจเมื่อปี 2013 ชี้ว่าประชาชนชาวฝรั่งเศสร้อยละ 77 มองว่าการแต่งงานในเพศเดียวกันเป็นเรื่องที่สังคมควรยอมรับ และฝรั่งเศสได้ออกกฎหมายรับรองเรื่องนี้ในปีเดียวกัน
ฝรั่งเศสยังมีบทบาทในการปกป้องสิ่งแวดล้อม เป็นประเทศเจ้าภาพจัด(การประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. 2558) นำมาสู่(ความตกลงปารีส) ที่กำหนดมาตรการลดการปล่อย(คาร์บอนไดออกไซด์)สู่ชั้นบรรยากาศโลก
วันหยุด
วันหยุดราชการในประเทศฝรั่งเศส มี 11 วัน
วันหยุดในประเทศฝรั่งเศส:
วันที่ | ชื่อภาษาไทย | ชื่อท้องถิ่น | หมายเหตุ |
---|---|---|---|
1 มกราคม | (วันขึ้นปีใหม่) | Nouvel an / Jour de l'an / Premier de l'an | |
เปลี่ยนแปลงได้ | (วันศุกร์ประเสริฐ) | Vendredi saint | วันศุกร์ ก่อน อีสเตอร์วันอาทิตย์ (สังเกตเพียง (แคว้นอาลซัส) และ (จังหวัดมอแซล)) |
เปลี่ยนแปลงได้ | วันจันทร์อีสเตอร์ | Lundi de Pâques | วันจันทร์ หลัง อีสเตอร์วันอาทิตย์ (หนึ่งวัน หลัง อีสเตอร์วันอาทิตย์) |
1 พฤษภาคม | (เมย์เดย์)/วันแรงงาน | Fête du Travail / Fête des Travailleurs | |
8 พฤษภาคม | (วันชัยในทวีปยุโรป) | Fête de la Victoire | การสิ้นสุดของสงคราม ทวีปยุโรป ในสงครามโลกครั้งที่ 2i |
เปลี่ยนแปลงได้ | วันเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ | Ascension | วันพฤหัสบดี 39 วัน หลังเทศกาลอีสเตอร์วันอาทิตย์ |
เปลี่ยนแปลงได้ | วันจันทร์เล็กน้อย | Lundi de Pentecôte | วันจันทร์ หลังMonday afterเทศกาลเฉลิมฉลองของศาสนาคริสต์ตรงกับวันอาทิตย์ที่7หลังวันอีสเตอร์ (50 วัน) |
14 กรกฎาคม | (วันบัสตีย์) | Fête nationale | เป็นวันชาติของประเทศฝรั่งเศส |
15 สิงหาคม | วัน(แม่พระรับเกียรติยกขึ้นสวรรค์) | L'Assomption de Marie | |
1 พฤศจิกายน | (วันสมโภชนักบุญทั้งหลาย) | La Toussaint | |
11 พฤศจิกายน | (วันสงบศึก) | Armistice de 1918 | หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 |
25 ธันวาคม | (วันคริสต์มาส) | Noël | |
26 ธันวาคม | (วันนักบุญสเทเฟน) | Saint-Étienne |
ดูเพิ่ม
- (การปฏิวัติฝรั่งเศส)
- (รายพระนามกษัตริย์ และจักรพรรดิฝรั่งเศส)
- (รายนามประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส)
- (รัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส)
- (ประเทศฝรั่งเศสแผ่นดินใหญ่)
- ชาวฝรั่งเศส
- (หอไอเฟล)
- (ฟุตบอลทีมชาติฝรั่งเศส)
หมายเหตุ
- สำหรับข้อมูลเกี่ยวกับภาษาในภูมิภาค ดู
- ก่อตั้ง(อาณาจักรแฟรงก์ตะวันตก) ((ราชอาณาจักรฝรั่งเศส)) จาก(จักรวรรดิการอแล็งเฌียง)ของฟรังเกีย
- (สหภาพยุโรป)ตั้งแต่ ค.ศ. 1993
- ก่อตั้ง(สาธารณรัฐที่ 5)
- ข้อมูลของฝรั่งเศส ซึ่งรวมพื้นที่น้ำ
- ข้อมูลฝรั่งเศส ซึ่งไม่รวมทะเลสาบ บ่อ และ(ธารน้ำแข็ง)ที่มีขนาดใหญ่กว่า 1 ตารางกิโลเมตร เช่นเดียวกันกับชะวากทะเลของแม่น้ำ
- สาธารณรัฐฝรั่งเศสทั้งหมด ยกเว้นดินแดนโพ้นทะเลในมหาสมุทรแปซิฟิก
- เฉพาะดินแดนโพ้นทะเลในมหาสมุทรแปซิฟิก
- เส้นเวลาทั่วสาธารณรัฐฝรั่งเศสยาวตั้งแต่ UTC-10 ((เฟรนช์พอลินีเชีย)) ถึง UTC+12 ((วอลิสและฟูตูนา))
- เวลาออมแสงใช้เฉพาะประเทศฝรั่งเศสแผ่นดินใหญ่และ(แซงปีแยร์และมีเกอลง)
- ดินแดนโพ้นทะเลและบางส่วนตามแผนรหัสโทรศัพท์ฝรั่งเศสมีรหัสโทรศัพท์เป็นของตนเอง: (กัวเดอลุป) +590; (มาร์ตีนิก) +596; (เฟรนช์เกียนา) +594, (เรอูว์นียง)กับ(มายอต) +262; (แซงปีแยร์และมีเกอลง) +508 ดินแดนโพ้นทะเลที่ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของแผนรหัสโทรศัพท์ฝรั่งเศส ได้แก่: (นิวแคลิโดเนีย) +687, (เฟรนช์พอลินีเชีย) +689; (วอลิสและฟูตูนา) +681
- นอกจาก (.fr) แล้ว ยังมีโดเมนระดับบนสุดในจังหวัดและดินแดนโพ้นทะเลของฝรั่งเศส: (.re), (.mq), (.gp), (.tf), (.nc), (.pf), (.wf), (.pm), (.gf) และ (.yt) ฝรั่งเศสยังใช้ (.eu) ซึ่งเป็นโดเมนที่ใช้โดยรัฐสมาชิกสหภาพยุโรป โดเมน ถูกใช้ใน
อ้างอิง
- "France". UNGEGN World Geographical Names. New York, NY: United Nations Group of Experts on Geographical Names. สืบค้นเมื่อ 27 November 2020.
- [1]
- . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-07-24. สืบค้นเมื่อ 2021-09-26.
- "Table 3: Population by sex, rate of population increase, surface area and density" (PDF). Demographic Yearbook. United Nations Statistics Division. 2012. สืบค้นเมื่อ 4 September 2017.
- "Surface water and surface water change". Organisation for Economic Co-operation and Development (OECD). สืบค้นเมื่อ 11 October 2020.
- . INSEE. 2011. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 28 August 2015.
{{}}
: Cite journal ต้องการ|journal=
() - "Demography – Population at the beginning of the month – France". Insee. 2019. สืบค้นเมื่อ 31 July 2019.
- "Demography – Population at the beginning of the month – Metropolitan France". insee.fr. 2019. สืบค้นเมื่อ 31 July 2019.
- "World Economic Outlook Database, April 2021". imf.org. International Monetary Fund. สืบค้นเมื่อ 6 April 2021.
- "Gini coefficient of equivalised disposable income – EU-SILC survey". ec.europa.eu. . สืบค้นเมื่อ 10 August 2021.
- "Human Development Report 2020" (PDF) (ภาษาอังกฤษ). (United Nations Development Programme). 15 December 2020. สืบค้นเมื่อ 15 December 2020.
- Team, Forvo. "la France pronunciation: How to pronounce la France in French". Forvo.com (ภาษาอังกฤษ).
- "Map of France regions - France map with regions". www.map-france.com.
- "ข้อมูลทั่วไป". สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงปารีส.
- "Time Zones in France". www.timeanddate.com (ภาษาอังกฤษ).
- "Paris | Definition, Map, Population, Facts, & History". Encyclopedia Britannica (ภาษาอังกฤษ).
- "The best cities to visit in France". About-France.com (ภาษาอังกฤษ).
- "Kingdom of West Francia". World History Encyclopedia (ภาษาอังกฤษ).
- "Philip II | king of France". Encyclopedia Britannica (ภาษาอังกฤษ).
- Hargreaves, Alec G. (2005). Memory, Empire, and Postcolonialism: Legacies of French Colonialism (ภาษาอังกฤษ). Lexington Books. (ISBN) .
- https://www.history.com/topics/reformation/thirty-years-war
- Viet, Nadja (2018-06-21). "Vous avez dit : « Belle époque » ?". www.franceinter.fr (ภาษาฝรั่งเศส).
- "Paris is liberated after four years of Nazi occupation". HISTORY (ภาษาอังกฤษ).
- Smith, Mischa. "How France Became the Fashion Capital of the World: a Brief History". Culture Trip.
- About-France.com. "A short history of art in France". about-france.com (ภาษาอังกฤษ).[]
- Centre, UNESCO World Heritage. "France". UNESCO World Heritage Centre (ภาษาอังกฤษ).
- "Why France is the World's Top Tourist Destination". France Just For You (ภาษาอังกฤษ). 2018-03-04.
- "The World's Most Visited Countries". WorldAtlas (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
- "Education in France". WENR (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 2015-09-08.
- "Nuclear Power in France | French Nuclear Energy - World Nuclear Association". world-nuclear.org.
- Campbell, Mike. "Meaning, origin and history of the place name Frankreich". Behind the Name.
- M. A., Geography; B. A., English and Geography. "Geography and Information About France". ThoughtCo (ภาษาอังกฤษ).
- "France". HISTORY (ภาษาอังกฤษ).
- M. A., Medieval Studies; B. A., Medieval Studies. "A Quick-Read Historical Profile of France". ThoughtCo (ภาษาอังกฤษ).
- . web.archive.org. 2010-07-06. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-07-06. สืบค้นเมื่อ 2021-09-23.
{{}}
: CS1 maint: bot: original URL status unknown () - "WTO Members and Observers". www.wto.org (ภาษาอังกฤษ).
- . web.archive.org. 2012-04-02. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-04-02. สืบค้นเมื่อ 2021-09-23.
{{}}
: CS1 maint: bot: original URL status unknown () - "About the ACS | ACS-AEC". www.acs-aec.org.
- . www.webcitation.org. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-10-03. สืบค้นเมื่อ 2021-09-23.
- "CNN - Fifth French nuclear test sparks international outrage - Dec. 28, 1995". edition.cnn.com.
- . web.archive.org. 2010-02-25. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-02-25. สืบค้นเมื่อ 2021-09-23.
{{}}
: CS1 maint: bot: original URL status unknown () - "EU allies unite against Iraq war" (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2003-01-22. สืบค้นเมื่อ 2021-09-23.
- . web.archive.org. 2011-04-25. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-04-25. สืบค้นเมื่อ 2021-09-23.
{{}}
: CS1 maint: bot: original URL status unknown () - "Official development assistance (ODA) - Net ODA - OECD Data". theOECD (ภาษาอังกฤษ).
- ป้อมเพชร, ดร วิชิตวงศ์ ณ (2021-01-29). "ความสัมพันธ์ ฝรั่งเศส-อยุธยา สู่บันทึกต่างชาติสะท้อนการเมือง-เศรษฐกิจ-สังคม". ศิลปวัฒนธรรม.
- "ความสัมพันธ์ไทย-ฝรั่งเศส". สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงปารีส.
- . almanac.nia.go.th. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-01-15. สืบค้นเมื่อ 2021-05-23.
- "ข้าราชการสถานเอกอัครราชทูตและหน่วยงานไทย". สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงปารีส.
- "สถานกงสุลกิตติมศักดิ์". สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงปารีส.
- RGB7. "สถานกงสุล > สถานกงสุลกิตติมศักดิ์ฝรั่งเศส - CMHY.city". www.cmhy.city (ภาษาอังกฤษ).
- "French Armed Forces - French Army - French Navy - French Air Force - European Defence Information". www.armedforces.co.uk.
- "France | OSCE POLIS". polis.osce.org.
- "All news about French army". euronews (ภาษาอังกฤษ).
- "Joining | French Foreign Legion Information" (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
- "French Foreign Legion | History & Facts". Encyclopedia Britannica (ภาษาอังกฤษ).
- "ข้อมูลประเทศฝรั่งเศส - เดอะเบสท์ แนะแนวเรียนต่อประเทศฝรั่งเศส". เดอะเบสท์ ศูนย์ภาษาและแนะแนวเรียนต่อต่างประเทศครบวงจร.
- "GDP, PPP (current international $)". The World Bank Group. สืบค้นเมื่อ 1 November 2015.
- "History of the Euro". BBC News. สืบค้นเมื่อ 30 October 2010.
- . www.heritage.org (ภาษาอังกฤษ). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-05-03. สืบค้นเมื่อ 2021-05-23.
- . The World Factbook. CIA. 3 January 2018. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 February 2010.♦ 15 January 2010
- (PDF). WTO. 2009. p. 12. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 5 June 2011. สืบค้นเมื่อ 5 July 2011.
- "France (FRA) Exports, Imports, and Trade Partners". oec.world (ภาษาอังกฤษ).
- . Doughroller.net. 15 June 2010. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 July 2011. สืบค้นเมื่อ 16 July 2011.
- (PDF). WTO. 2009. p. 12. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 5 June 2011. สืบค้นเมื่อ 5 July 2011.
- "Country fact sheet: France" (PDF). World Investment Report 2009. UNCTAD.
wikipedia, แบบไทย, วิกิพีเดีย, วิกิ หนังสือ, หนังสือ, ห้องสมุด, บทความ, อ่าน, ดาวน์โหลด, ฟรี, ดาวน์โหลดฟรี, mp3, วิดีโอ, mp4, 3gp, jpg, jpeg, gif, png, รูปภาพ, เพลง, เพลง, หนัง, หนังสือ, เกม, เกม, มือถือ, โทรศัพท์, Android, iOS, Apple, โทรศัพท์โมบิล, Samsung, iPhone, Xiomi, Xiaomi, Redmi, Honor, Oppo, Nokia, Sonya, MI, PC, พีซี, web, เว็บ, คอมพิวเตอร์