ญะมาอะห์ อิสลามียะห์
ญะมาอะห์ อิสลามียะห์ (อาหรับ: الجماعة الإسلامية, al-Jamāʿah al-Islāmiyyah ) หรือกลุ่ม JI เป็นกลุ่มก่อการร้ายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คาดว่าก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2533 การมีอยู่ขององค์กรนี้ยังไม่แน่ชัด แต่ก็มีนักวิชาการเชื่อว่ามีศูนย์กลางอยู่ในอินโดนีเซีย เป้าหมายหลักขององค์กรคือการก่อตั้งรัฐอิสลามในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยครอบคลุมพื้นที่ของมาเลเซีย อินโดนีเซีย ภาคใต้ของฟิลิปปินส์ และจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย เครือข่ายของเจไอเชื่อมโยงกับอัลกออิดะฮ์ แนวร่วมปลดปล่อยอิสลามโมโร และกลุ่มกัมปูลัน มุญาฮืดีนในมาเลเซีย
ญะมาอะห์ อิสลามียะห์ | |
---|---|
แนวคิด | ลัทธิอิสลาม Islamic fundamentalism ซุนนีย์ อุดมการณ์รวมกลุ่มอิสลาม |
พื้นที่ปฏิบัติการ | เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ |
กำลังพล | 5,000 คน |
พันธมิตร | อัลกออิดะฮ์ แนวร่วมปลดปล่อยอิสลามโมโร แอลจีเรีย อิหร่าน |
ปรปักษ์ | สหประชาชาติ รัฐที่เป็นปรปักษ์ |
ประวัติ
กลุ่มเจไอมีวิวัฒนาการมาจากกลุ่มดารุลอิสลามในอินโดนีเซียซึ่งต้องการสถาปนารัฐอิสลามในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยมี เซกามัดยี มาริดจัน กาโตสุวิรโจเป็นผู้นำในขณะนั้น อย่างไรก็ตามกลุ่มชาตินิยมของซูการ์โนเป็นกลุ่มที่ได้ก่อตั้งประเทศอินโดนีเซียสำเร็จ กลุ่มดารุลอิสลามเป็นฝ่ายพ่ายแพ้และถูกฝ่ายรัฐบาลปราบปราม
กลุ่มดารุลอิสลามยังคงเคลื่อนไหวก่อความไม่สงบในหลายพื้นที่ระหว่าง พ.ศ. 2501 – 2512 โดยเขตพื้นที่หลักเป็นบริเวณอาณาจักรมัชปาหิตเดิมคือเกาะชวาตอนกลางและตะวันตกรวมทั้งสุมาตราตอนล่างและเกาะซูลาเวซี
อับดุลลา อาหมัด ซุงกาและเพื่อนของเขาคือ นายอาบู บาการ์ บาชีร์ (อาหรับ: أَبُو بَكْر بَاعَشِير, อักษรโรมัน: ʾAbū Bakr Bāʿašīr ) เป็นผู้เลื่อมใสแนวคิดดารุลอิสลามและเป็นผู้ก่อตั้งขบวนการเจไอในเวลาต่อมา ทั้งคู่ได้ตั้งโรงเรียนสอนศาสนาอิสลามขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2514 และได้ตั้งเครือข่ายเยาวชนขึ้นดำเนินการ จนกระทั่งเกิดเหตุระเบิดที่เมืองตันหยงปริอ็อกเมื่อ พ.ศ. 2527 ที่ทั้งคู่อยู่เบื้องหลัง ทั้งซุงกาและบาชีร์หนีไปมาเลเซียเมื่อ พ.ศ. 2528 และได้ตั้งขบวนการเจไอเต็มรูปแบบขึ้นที่นี่
เริ่มแรกทั้งคู่เปิดโรงเรียนสอนศาสนาชื่ออัลตาบิยะห์ ลุกมานุลอาดัมในรัฐยะโฮร์เพื่อเป็นศูนย์บัญชาการ ซุงกาเปลี่ยนชื่อเป็นอับดุล ฮาลิม ส่วนบาชีร์เปลี่ยนชื่อเป็นอับดุล ซามัด โดยมีกลุ่มมวลชนเป็นแรงงานชาวอินโดนีเซียและชาวมาเลเซียบางส่วน โรงเรียนนี้เป็นสถานที่ฝึกและคัดเลือกเยาวชนไปฝึกวิชาทหารที่เมืองการาจี ประเทศปากีสถาน รวมทั้งเข้ารบในสมรภูมิจริงในอัฟกานิสถาน
เมื่อยุคของรัฐบาลซูฮาร์โตสิ้นสุดลงใน พ.ศ. 2541 ซุงกาและบาชีร์เดินทางกลับอินโดนีเซีย ซุงกาถึงแก่กรรมแล้วด้วยโรคชราส่วนบาชีร์ยังเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณต่อไป
จุดมุ่งหมาย
ขบวนการเจไอต้องการให้มีการบังคับใช้กฎหมายอิสลาม (ชาริอะห์) เป็นกฎหมายประจำรัฐ และตั้งรัฐอิสลามบริสุทธิ์ที่เรียกว่า “ดอเลาะ อิสลามิยาห์ นุสันตารา” โดยมีกลยุทธที่สำคัญคือ พลังศรัทธา พลังภราดรภาพ และพลังการทหาร
การบังคับบัญชา
นายอาบู บาการ์ บาชีร์ ครูสอนศาสนาชาวอินโดนีเซีย (อพยพมาจากเยเมน) คือบุคคลที่เชื่อว่าเป็นผู้นำทางศาสนาของกลุ่มญะมาอะห์ อิสลามียะห์ หรือ เจมาห์ อิสลามิยาห์ แต่ก็มีผู้เชี่ยวชาญบางคนเห็นว่า นายบาชีร์ก็ดำรงฐานเป็นแกนนำด้านการปฏิบัติการเช่นเดียวกัน นายบาชีร์เข้าร่วมกับกลุ่มดารุล อิสลาม ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1970 และถูกทางการอินโดนีเซียจับกุมไปขังเนื่องจากการเคลื่อนไหวทางศาสนา แต่ได้รับการปล่อยตัวออกมาระยะหนึ่ง และได้หลบหนีไปยังประเทศมาเลเซียเมื่อปี พ.ศ. 2528 หลังจากที่ศาลอินโดนีเซียมีคำสั่งให้จับกุมตัวนายบาชีร์ไปคุมขังอีกครั้งหนึ่ง ระหว่างที่พำนักอยู่ในมาเลเซีย นายบาชีร์ได้รวบรวมอาสาสมัครเพื่อไปร่วมทำสงครามต่อต้านกองทัพรัสเซียที่บุกยึดประเทศอัฟกานิสถาน โดยได้รับเงินสนับสนุนจากซาอุดีอาระเบีย ขณะเดียวกันนายบาชีร์ก็ยังคงติดต่อกับพวกพ้องที่มีแนวคิดเดียวกันในอินโดนีเซียอย่างสม่ำเสมอ
หลังจากที่ระบอบเผด็จการของอดีตประธานาธิบดีซูฮาร์โต้ยุติลงเมื่อปี พ.ศ. 2541 นายบาชีร์ เดินทางกลับไปยังประเทศอินโดนีเซีย และเปิดโรงเรียนสอนศาสนาขึ้นที่เมืองโซโล บนเกาะชวา ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่บนเกาะนี้ เป็นชาวมุสลิม พร้อมก้าวขึ้นดำรงตำแหน่งประธานสภานักรบมุสลิมแห่งอินโดนีเซีย (Majelis Mujahidin Indonesia ) ซึ่งเป็นแกนนำเครือข่ายนักรบมุสลิมในอินโดนีเซีย
นายบาชีร์ปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อการร้าย และหลังจากเกิดเหตุลอบวางระเบิดที่เกาะบาหลี เมื่อเดือน ตุลาคม พ.ศ. 2545 ทางการอินโดนีเซีย ได้เรียกตัวนายบาชีร์มาให้ปากคำเกี่ยวกับกรณีการลอบโจมตีที่เคยเกิดขึ้นหลายครั้งก่อนหน้านั้น ปัจจุบันนายบาชีร์ถูกดำเนินคดีในข้อหากบฏต่อแผ่นดิน โดยมีสาเหตุมาจากพฤติกรรมและความเกี่ยวพันกับการก่อการร้ายที่เคยเกิดขึ้นในอดีต
ในขบวนการกลุ่มแกนนำมีความรับผิดชอบต่าง ๆ กัน ผู้นำสูงสุดเรียกว่าเอมีร์ รองลงไปคือสภาผู้นำ (มากาซ) และสภาที่ปรึกษา (ซูเราะห์) จากนั้นจึงแบ่งไปสู่ระดับภาค (มันติกิ) แต่ละภาคมีการบังคับบัญชาในระดับกองพัน (ซาลาล), หมวด (เกอดาซ) และหมู่ (เฟียซ) โดยแบ่งออกเป็นสี่ภาคด้วยกันคือ
- ไทย พม่า มาเลเซีย สิงคโปร์
- เกาะสุมาตรา เกาะชวา อินโดนีเซีย
- เกาะซูลาเวซี กาลีมันตัน บรูไน ฟิลิปปินส์
- หมู่เกาะปาปัว นิวกินี ออสเตรเลีย
ในแต่ละภูมิภาค มีหน่วยงานหลักห้าฝ่ายคือ
- ฝ่ายจาริกเชิญชวน มีหน้าที่หาสมาชิก
- ฝ่ายฝึกอาวุธ
- ฝ่ายเศรษฐกิจ ทำหน้าที่เรี่ยไรและรับบริจาคเงิน
- ฝ่ายองค์กรบังหน้า ปรากฏตัวในรูปมูลนิธิ โรงเรียนสอนศาสนา และพยายามแทรกซึมเข้าไปในองค์กรต่าง ๆ
- ฝ่ายต่างประเทศ เชื่อมโยงกับขบวนการในภูมิภาคอื่นที่มีอุดมการณ์เดียวกัน
ปฏิบัติการ
กลุ่มเจไอออกมาประกาศความรับผิดชอบการลอบวางระเบิดโรงแรมเจ ดับเบิลยู แมริออต ในกรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2543 และคาดว่าอยู่เบื้องหลังการวางระเบิดในสถานบันเทิงที่เกาะบาหลีเมื่อ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2545 ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2546 เจ้าหน้าที่ไทยจับกุมตัวนายฮัมบาลีที่เป็นแกนนำของกลุ่มเจไอ และคาดว่ามีส่วนพัวพันการลอบวางระเบิดในอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์หลายครั้ง
พื้นที่ปฏิบัติการของกลุ่มเจไอ อยู่ทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งในอินโดนีเซีย, มาเลเซีย, สิงคโปร์ และอาจจะเคลื่อนไหวอยู่ในฟิลิปปินส์ และไทย โดยเฉพาะพื้นที่ที่อำนาจของรัฐบาลเข้าไปไม่ถึง, พื้นที่ที่ขาดแคลนเจ้าหน้าที่บ้านเมือง หรือมีการทุจริตคอร์รัปชั่นในหมู่เจ้าหน้าที่ และพื้นที่ติดทะเลที่มีเขตน่านน้ำที่เปิดกว้างของหลายประเทศ ทำให้กลุ่มเจไออาศัยข้อจำกัดเหล่านี้ เป็นช่องทางในการปฏิบัติการในหลายประเทศได้โดยสะดวก
ญะมาอะห์ อิสลามียะห์ ในความเป็นกลุ่ม หรือสมาชิกเพียงบางคน น่าจะเกี่ยวข้องกับเหตุก่อการร้ายหลายครั้ง ประกอบด้วย:
- การโจมตีโรงแรม เจ ดับเบิลยู มาริอ็อต กลางกรุงจาการ์ตา เมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2546 โดยใช้รถยนต์บรรทุกระเบิด (Car bomb) เป็นอาวุธ ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต 12 คน
- การลอบวางระเบิดไนท์คลับ ที่เกาะบาหลี เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2545 ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต 202 คน ซึ่งผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวจากออสเตรเลียและประเทศอื่น ๆ โดย นายอัมโรซี บิน เนอร์ฮาสยิม ช่างเทคนิค จากทางตะวันออกของเกาะชวา วัย 41 ปี ถูกพิพากษาลงโทษ เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2545 ในฐานะที่เป็นบุคคลที่ซื้อรถยนต์คันที่ใช้บรรทุกระเบิด และเป็นผู้รับผิดชอบในการจัดซื้อและลำเลียงสารเคมีที่เป็นส่วนประกอบของระเบิดส่วนใหญ่ นายอัมโรซี เป็นผู้ต้องสงสัยคนแรกที่ถูกตัดสินลงโทษ จากจำนวนผู้ต้องสงสัย 33 คน ที่ถูกจับกุมในกรณีการก่อการร้ายที่เกาะบาหลี
- กรณีการโจมตีโบสถ์คริสต์หลายแห่ง เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2543 ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต 18 คน หน่วยข่าวกรองของประเทศอาเซียนและสหรัฐ เชื่อว่า นายฮัมบาลี มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับการก่อการร้ายระลอกนี้ และทางการอินโดนีเซียก็ใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างในการควบคุมตัวนายอาบู บาการ์ บาชีร์ ไปสอบปากคำ
- การลอบวางระเบิดที่เกิดขึ้นหลายระลอกที่กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2545 โดยกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุว่า นายฮัมบาลี ช่วยเหลือในเรื่องการวางแผน ซึ่ง นายเฟอร์ตู เราะห์มาน อัลกอซี ลูกศิษย์คนใกล้ชิดของ นายอาบู บาการ์ บาชีร์ ยอมสารภาพว่าเกี่ยวข้องกับการลอบวางระเบิด และเมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2545 ก็ถูกตัดสินลงโทษในข้อหามีวัตถุระเบิดไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย ซึ่งเป็นข้อหาที่ไม่เกี่ยวข้องกับคดีการก่อการร้าย
- กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุว่า นายฮัมบาลี ช่วยเหลือในเรืองการวางแผนก่อการร้ายที่จะระเบิดเครื่องบินโดยสารของสายการบินสหรัฐฯ จำนวน 11 ลำ ในปฏิบัติการ Oplan Bojinka เมื่อปี พ.ศ. 2538
- นอกเหนือจากนี้ ญะมาอะห์ อิสลามียะห์ ยังเกี่ยวข้องกับแผนโจมตีสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ อังกฤษ และออสเตรเลีย ในประเทศสิงคโปร์ เมื่อปี พ.ศ. 2544 ซึ่งแผนดังกล่าวถูกสกัดกั้นได้ก่อนที่จะมีการลงมือ
อ้างอิง
- "Al-Qaeda map: Isis, Boko Haram and other affiliates' strongholds across Africa and Asia". The Telegraph. 12 June 2014. สืบค้นเมื่อ 29 August 2014.
- ศราวุฒิ อารีย์ (2007). การก่อการร้าย มุมมองของโลกอิสลาม. กรุงเทพฯ: สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. pp. 139–140. ISBN 9789749897072.
- ↑ อัศวิน เนตรโพธิ์แก้ว (2005). สงครามเงา: วิกฤตการณ์ก่อการร้ายโลกและปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้. กรุงเทพฯ: นาครมีเดีย. pp. 124–129, 133–135. ISBN 9789747032581.
- ดลยา เทียนทอง (2007). ปฐมบทการก่อการร้าย: รากเหง้า ความเป็นไป และพลวัต. กรุงเทพฯ: สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. p. 59. ISBN 9789749897089.
- (Press release). United States Department of the Treasury. 24 มกราคม 2003. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 23 กันยายน 2006. สืบค้นเมื่อ 23 ตุลาคม 2006.
อ่านเพิ่มเติม
- Atran, Scott (2010). Talking to the Enemy: Faith, Brotherhood, and the (Un)Making of Terrorists. New York: Ecco Press / HarperCollins. ISBN 978-0-06-134490-9.
- Barton, Greg (2005). Jemaah Islamiyah: radical Islam in Indonesia. Singapore: Singapore University Press. ISBN 9971-69-323-2.
แหล่งข้อมูลอื่น
- เจมาห์ อิสลามิยาห์ คืออะไร ? จาก กรมข่าวทหารอากาศ
- คำจำกัดความของการก่อการร้าย ? จาก กรมข่าวทหารอากาศ