กบฏโพกผ้าเหลือง
กบฏโพกผ้าเหลือง (อังกฤษ: Yellow Turban Rebellion; จีนตัวย่อ: 黄巾之乱; จีนตัวเต็ม: 黃巾之亂; พินอิน: Huáng Jīn Zhī Luàn) เป็นการลุกฮือของพวกชาวนาในประเทศจีนเพื่อต่อต้านราชวงศ์ฮั่นตะวันออก การก่อการกำเริบครั้งนี้เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 184 ในรัชสมัยพระเจ้าเลนเต้ แม้ว่ากลุ่มกบฏหลักจะถูกปราบปรามอย่างราบคาบในปี ค.ศ. 185 แต่กลุ่มต่อต้านขนาดเล็ก ๆ ยังคงอยู่และก่อการกำเริบขนาดเล็กซึ่งเกิดขึ้นในปีต่อมา ซึ่งต้องใช้เวลา 21 ปีในการปราบปรามการก่อการกำเริบจนหมดสิ้นในปี ค.ศ. 205 กลุ่มกบฏนี้ ซึ่งได้ชื่อนี้มาจากผ้าสีเหลืองที่พวกกบฎต่างโพกคลุมบนศีรษะ นับเป็นจุดสำคัญในประวัติศาสตร์ลัทธิเต๋า อันเนื่องมาจากความเกี่ยวพันของกลุ่มกบฏกับสมาคมลัทธิเต๋าอันลึกลับ
กบฏโพกผ้าเหลือง | |||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|
เป็นส่วนหนึ่งของ สงครามยุคสิ้นราชวงศ์ฮั่น | |||||||
แผนที่ประเทศจีนในยุคกบฏโพกผ้าเหลือง | |||||||
| |||||||
คู่ขัดแย้ง | |||||||
ราชวงศ์ฮั่น | กบฏโพกผ้าเหลือง | ||||||
ผู้บัญชาการหรือผู้นำ | |||||||
พระเจ้าเลนเต้ โฮจิ๋น ฮองฮูสง โลติด จูฮี | เตียวก๊ก เตียวโป้ † เตียวเหลียง † | ||||||
กำลัง | |||||||
700,000 คน(ทหารราชสำนัก300,000คนกับอาสาสมัครทั่วทุกสารทิศอีก400,000คน) | 1,000,000 คน (มี 500,000 คนที่เป็นผู้ติดตามตั้งแต่ต้นของเตียวก๊ก) | ||||||
กำลังพลสูญเสีย | |||||||
กล่าวกันว่ามียอดผู้เสียชีวิตเกินล้านคน แต่ราชวงศ์ฮั่นเป็นฝ่ายชนะ |
กบฏโพกผ้าเหลือง | |||||||||
อักษรจีนตัวเต็ม | 黃巾之亂 | ||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
อักษรจีนตัวย่อ | 黄巾之乱 | ||||||||
ความหมายตามตัวอักษร | "กบฏโพกผ้าเหลือง" | ||||||||
|
การก่อการกำเริบครั้งนี้ยังถูกใช้ในการเปิดเรื่องในวรรณกรรมจีนอิงประวัติศาสตร์ในศตวรรษที่ 14 เรื่องสามก๊ก
สาเหตุ
สาเหตุหลักของการเกิดกบฏโพกผ้าเหลืองเนื่องจากวิกฤติการณ์เกษตรกรรมในทางตอนเหนือของจีน ซึ่งก่อให้ภาวะข้าวยากหมากแพงพร้อมกับเกิดน้ำท่วมเล็กน้อยตามพื้นที่ลุ่มต่ำของแม่น้ำฮวงโห บีบบังคับให้ชาวนาและอดีตทหารจำนวนมากมายต้องอพยพจากทางเหนือเพื่อมาหางานทำทางใต้ ซึ่งเจ้าของที่ดินรายใหญ่ต่างเอารัดเอาเปรียบแรงงานเพื่อสะสมทรัพย์สมบัติมหาศาล พวกชาวนายังต้องได้รับความทุกข์ทรมานจากการเก็บภาษีในอัตราสูงเพื่อเป็นทุนสำหรับการสร้างเพื่อการสร้างป้อมปราการและกำแพงตามแนวเส้นทางสายไหมและให้เบี้ยหวัดแก่ทหารรักษาการณ์เพื่อป้องกันการแทรกซึมและการรุกรานจากภายนอก จากสถานการณ์เหล่านี้ทำให้ชาวนาและอดีตทหารทั้งมีและไร้แหล่งทำมาหากิน รวมตัวกันเป็นกลุ่มติดอาวุธ (ประมาณ ค.ศ. 170) ด้วยจุดมุ่งหมายเพื่อต่อต้านการเอาเปรียบของผู้ที่มีฐานะ จนกระทั่งขยายตัวจนกลายเป็นกองทัพขนาดใหญ่
ในขณะนั้น ราชวงศ์ฮั่นเริ่มเสื่อมอำนาจลงจากภายใน แม้อิทธิพลของการครอบครองที่ดินยังคงเป็นปัญหาที่มีมาช้านาน (ตั้งแต่สมัยจักรพรรดิซินเกาจู่) แต่สิ่งที่นำไปสู่การก่อกบฏโพกผ้าเหลืองคือ ขันทีในพระราชวังที่มักฉ้อราษฎร์บังหลวงเพื่อให้ตนเองร่ำรวยขึ้น โดยเฉพาะขันทีที่ใกล้ชิดกับองค์จักรพรรดิในขณะนั้นคือพระเจ้าเลนเต้ กลุ่มของขันทีที่มีอิทธิพลมากที่สุดได้รวมตัวกันเป็นกลุ่ม 10 คนในชื่อ สิบขันที ซึ่งองค์จักรพรรดิทรงนับถือหนึ่งในนั้น (เตียวเหยียง) ว่าเป็น "พระชนกบุญธรรม" ด้วยเหตุดังนั้น การปกครองโดยจักรพรรดิจึงถูกมองว่าเป็นการปกครองที่เสื่อมทรามและไร้ความสามารถ การเกิดภาวะข้าวยากหมากแพงและสถานการณ์น้ำท่วม กลายเป็นตัวชี้วัดว่า จักรพรรดิได้หมดสิ้นความเป็นอาณัติจากสวรรค์แล้ว
ด้วยความไม่พอใจทางการเมือง ภัยแห้งแล้ง และโรคระบาด ทำให้เกิดความคับแค้นใจต่อราชสำนักฮั่น ลัทธิเต๋าของจางเจวี๋ย(เตียวก๊ก)ได้ใช้ประโยชน์จากความรู้สึกของราษฏร์เพื่อส่งเสริมแผนการของพวกเขาสำหรับการเริ่มต้นครั้งใหม่ จางเจวี๋ยได้ส่งสาวกออกไปรับการสนับสนุนและจัดตั้งลูกศิษย์ลูกหาทั่วทั้งจีนทางตอนเหนือเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการก่อกบฏ พวกกบฏยังมีพันธมิตรในราชสำนัก และเจ้าหน้าที่ของทางการส่วนใหญ่ซึ่งเพิกเฉยต่อเจตนารมณ์หรือถูกข่มขู่ด้วยอำนาจของพวกเขา จางเจวี๋ยตั้งใจที่จะก่อการกบฏไปทั่วทั้งแผ่นดินฮั่น แต่แผนการกลับถูกเปิดเผยก่อนที่เขาจะมีความพร้อม กลุ่มคนที่รู้เห็นเป็นใจให้กับกบฏในเมืองลั่วหยาง(ลกเอี๊ยง)ต่างถูกจับกุมและประหารชีวิต และการก่อกบฏในมณฑลต่าง ๆ ต้องเริ่มต้นไปก่อนล่วงหน้าในเดือนสองของปี ค.ศ. 184 แม่จะขาดการประสานงานและเตรียมการพร้อมโดยรวมอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ผู้คนนับหมื่นต่างลุกฮือก่อกบฏ หน่วยงานของทางการถูกปล้นและทำลาย ส่วนกองทัพจักรวรรดิต้องเร่งรีบทำการป้องกันอย่างทันท่วงที
กลุ่มกบฏ
ผู้ก่อตั้ง
การก่อกบฏภายใต้การนำโดยจางเจวี๋ยหรือจางเจี่ยว(ซึ่งเป็นรู้จักกันในเหล่าหมู่สาวกว่า "แม่ทัพแห่งสวรรค์") และน้องชายสองคนอย่างจางเปา (張寶) และจางเหลียง (張梁) ซึ่งเกิดในเมืองจีลู่(กิลกกุ๋น) ทั้งสามพี่น้องได้ก่อตั้งลัทธิเต๋าในมณฑลซานตงปัจจุบัน พวกเขาได้ทำหน้าที่เป็นหมอรักษาโรค ซึ่งมักจะรับแต่ผู้ป่วยที่แทบจะไม่มีเงินจ่าย เมื่อเห็นว่าทางการในท้องถิ่นได้ทำร้ายชาวบ้านด้วยการใช้แรงงานที่โหดร้ายและภาษีที่หนักอึ้ง ทำให้พวกต้องแบกภาระหนักและหิวโหย
ลัทธิเต๋า
พวกกบฏเป็นสาวกกลุ่มแรกของวิถีแห่งสันติสุขอันสูงสุด (太平道; Tàipíng Dào) และกราบไหว้ต่อเทพเซียนนามว่า หวงเหลา ซึ่งเป็นคนที่จางเจวี่ยได้กล่าวอ้างว่าได้มอบตำราอันศักดิ์สิทธิ์ให้กับเขาที่ถูกเรียกว่า กุญแจสำคัญสู่วิถีแห่งสันติสุข (太平要術; Tàipíng Yàoshù) ซึ่งอิงมาจากลัทธิไทผิงจิ่ง จางเจวี่ยได้ถูกกล่าวขานว่าเป็นผู้วิเศษ ได้เรียกตัวเองว่า "ศาสดาผู้ยิ่งใหญ่"(大賢良師) เมื่อการก่อกบฏได้เป็นที่เปิดเผย จางเจวี่ยได้สร้างคำขวัญ 16 คำ:
ฟ้าครามสิ้นแล้ว ฟ้าเหลืองขึ้นแทน
ปีชวดนี้แล ใต้ฟ้ารุ่งเรือง
(蒼天已死,黃天當立。歲在甲子,天下大吉。)
เนื่องจากทั้งสามพี่น้องเป็นหมอรักษาโรค เขาจึงเผยแพร่คำขวัญในท่ามกลางชาวนาที่กำลังเจ็บป่วยให้รับรู้อย่างง่ายดาย
การปฏิบัติศาสนกิจ
จางเจวี่ยได้ใช้รูปแบบของลัทธิเต๋าเพื่อรักษาคนป่วยด้วยการสารภาพบาปและการรักษาโรคด้วยศรัทธา ศาสนาและการเมืองของพี่น้องสกุลจางนั้นมีพื้นฐานมาจากความเชื่อในการเปลี่ยนแปลงของโลกตามคติ พวกเขาได้บอกแก่เหล่าสาวกว่าในปีเจียจื่อ(ปีชวด) ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของแผนภูมิสวรรค์ใหม่ เมื่อยามท้องฟ้าสีครามจะกลายเป็นสีเหลืองและภายใต้สวรรค์ใหม่นี้ การปกครองของราชวงศ์ฮั่นจะสิ้นสุดลงและยุคของการปกครองใหม่ได้เริ่มต้นขึ้น ลักษณะของปีเจี่ยจื่อกลายเป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น และต่อมาเมื่อเหล่าสาวกของจางเจวี่ยที่ต้องออกไปสู้รบ พวกเขาต่างนำผ้าสีเหลืองมาพันรอบศรีษะเป็นสัญลักษณ์ ซึ่งเป็นที่มาของคำว่า โพกผ้าเหลือง
การปฏิบัติศาสนกิจเกือบทั้งหมดเป็นกิจกรรมของชุมชน (เช่น เข้าร่างทรง ถือศีลอด) พิธีบูชาโดยทั่วไปจะประกอบไปด้วยเสียงดนตรีและการสวดมนต์เป็นส่วนใหญ่ การเผาไหม้ของธูปหอมและกล่าวเทศนา หรือเกร็ดเล็กน้อยที่สมาชิกคนใดในชุมชมสามารถให้ได้ รวมทั้งสตรีและผู้ที่ถูกมองว่าป่าเถื่อน ผู้นำซฺยงหนูหลายคน เช่น อวี๋ฟู่หลัว ซึ่งเป็นที่รู้จักกันอย่างน้อยที่ได้ให้การสนับสนุนนิกายและนักวิชาการจำนวนหนึ่งได้ตั้งทฤษฎีว่า จางเจวี่ยอาจได้รับคำสอนบางอย่างจากผู้วิเศษ ในขณะที่เขาได้ปรากฏตัวเป็นหมอรักษาโรคที่ลึกลับที่เชื่อมโยงโดยตรงกับสวรรค์
แม้ว่าความเชื่อมากมายเกี่ยวกับวิถีแห่งสันติสุขอันสูงสุดในยุคแรกจะสาปสูญไป แต่ก็มีความเป็นไปได้สูงที่พวกเขาจะมีความสัมพันธ์บางอย่างกับวิถีของปรมาจาร์ย์แห่งสวรรค์ ซึ่งถือว่า จางเจวี่ยได้อ้างว่าเป็นลูกหลานของจาง เต้าหลิง งานเขียนตำราจำนวนมากที่ถูกค้นพบในบทที่ 52 ของไทผิงจิงที่รอดมาได้ ซึ่งถูกพบใน Daozang ที่มีความสัมพันธ์โดยตรงกับวิถีของปรมาจาร์ย์แห่งสวรรค์ อย่างไรก็ตาม มีความเป็นไปได้สูงมากที่ความคลาดเคลื่อนใด ๆ ที่ถูกพบในวิถีนั้นได้ถูกระงับโดยลัทธิเต๋ายุคหลัง
แผนการของจางเจวี่ยสำหรับก่อกบฎ
ก่อนที่การก่อกบฏจะเริ่มต้นขึ้น จางเจวี่ยได้ส่งม้าอ้วนยี่ (馬元義) เพื่อรับสมัครเหล่าสาวกจากมณฑลเกงจิ๋ว และยังจิ๋ว และรวบรวมพวกเขาไว้ที่เย่ ในขณะที่ม้าอ้วนยี่ได้เดินทางไปลั่วหยาง ราชธานีของฮั่นบ่อยครั้ง เขาสามารถสร้างความสัมพันธ์กับ Feng Xu (封諝) และ Xu Feng (徐奉), สมาชิกสองคนของเหล่าขันทีผู้มีอิทธิพลในพระราชวัง และโน้มน้าวให้พวกเขาร่วมมือกับจางเจวี่ยอย่างลับ ๆ พวกเขาได้กำหนดวันที่ 3 เมษายน ค.ศ. 184 เป็นวันก่อการกบฏ แต่ก่อนที่แผนการจะเริ่มต้น กลุ่มโพกผ้าเหลืองก็ถูกหักหลัง ตองจิ๋ว (唐周) หนึ่งในผู้ก่อตั้ง"วิถีแห่งสันติสุข" ถูกปลดจากแผนการเพิ่มเติมของพี่น้องสกุลจาง ดังนั้นเขาจึงไปแจ้งแก่ทางการว่า ม้าอ้วนยี่เป็นคนของกบฏโพกผ้าเหลือง ทำให้ม้าอ้วนยี่ถูกจับกุมและประหารชีวิตโดยการตัดแขนตัดขาในลั่วหยาง
หลังจากที่พระเจ้าเลนเต้ทรงรับทราบว่า จางเจวี่ยกำลังวางแผนก่อการกบฎ พระองค์ทรงมีพระบัญชาให้โจวบิน (周斌) เจ้าหน้าที่อุทยานพระราชวัง (鉤盾令) ทำการสืบสวนไปยังผู้สมรู้ร่วมคิดทั้งหมด ผู้คนหลายร้อยคนจึงถูกจับกุมและถูกประหารชีวิตในเวลานั้น
การก่อกบฏ
เมื่อจางเจวี่ยได้ทราบข่าวแล้วว่าราชสำนักรับรู้ถึงแผนการก่อกบฏของเขาได้ เขาจึงรีบส่งคนส่งสารไปติดต่อหาพันธมิตรของเขาทั่วแผ่นดินจีนและให้ดำเนินการทันที ในช่วงระหว่างวันที่ 29 กุมภาพันธ์ และ 29 มีนาคม ค.ศ. 184 จางเจวี่ยได้เริ่มก่อกบฏโพกผ้าเหลืองโดยมีเหล่าสาวกจำนวน 360,000 คนภายใต้บัญชาของเขา ทุกคนล้วนสวมผ้าโพกคลุมศรีษะสีเหลืองกันหมด เขาได้เรียกตัวเองว่า "แม่ทัพแห่งสวรรค์" (天公將軍) ในขณะที่น้องชายคนกลาง จางเปา จะถูกเรียกว่า "แม่ทัพแห่งพิภพ" (地公將軍) และน้องชายคนสุดท้าย จางเหลียง จะถูกเรียกว่า "แม่ทัพแห่งปวงประชา" (人公將軍) ตามลำดับ กลุ่มกบฏได้เข้าโจมตีหน่วยงานของรัฐ ทำการปล้นสะดมทั่วทั้งมณฑลและหมู่บ้าน และเข้ายึดครองเมือง เพียง 10 วัน การก่อกบฏได้แพร่กระจายไปทั่วแผ่นดินจีน และทำให้ราชสำนักฮั่นในลั่วหยางต้องตื่นตระหนกอย่างมาก
กลุ่มกบฏส่วนใหญ่ต่างกระจุดรวมตัวกันอยู่ในมณฑลกิจิ๋ว, เกงจิ๋ว, อิ๋วจิ๋ว และอิจิ๋ว กลุ่มที่นำโดยจางเจวี่ยและสองน้องชายได้ให้การสนับสนุนแก่พวกเขาในมณฑลกิจิ๋ว ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือของแม่น้ำฮวงโห ใกล้กับเมืองจีลู่ ดินแดนบ้านเกิดของจางเจวี่ย(ปัจจุบันคือ บริเวณรอบ ๆ ในเทศมณฑผิงเซียง มณฑลเหอเป่ย์) และเมืองเว่ย (ปัจจุบันคือ บริเวณรอบ ๆ ใน Handan มณฑลเหอเป่ย์) การก่อการกำเริบครั้งใหญ่ครั้งที่สองซึ่งเกิดขึ้นในเมืองกว่างหยาง(ปัจจุบันคือ กรุงปักกิ่งในปัจจุบัน) และเมืองโจว (ปัจจุบันคือ บริเวณรอบ ๆ ในจูโจว มณฑลเหอเป่ย์) ในมณฑลอิ๋วจิ๋ว และศูนย์กลางที่สามของการก่อกบฎอยู่ในเมือง Yingchuan (ปัจจุบันคือ บริเวณรอบ ๆ ในสฺวี่ชาง มณฑลเหอหนาน) และเมืองลู่หนาน(ปัจจุบันคือ บริเวณรอบ ๆ ในซินหยาง มณฑลเหอหนาน) ในมณฑลอิจิ๋ว และเมืองหนานยาง (ปัจจุบันคือ บริเวณรอบ ๆ ในหนานยาง มณฑลเหอหนาน) ในทางตอนเหนือของมณฑลเกงจิ๋ว
เมื่อวันที่ 1 เมษายน ค.ศ. 184 พระเจ้าเลนเต้ทรงแต่งตั้งให้โฮจิ๋น พระเชษฐภาดาของพระองค์ ผู้ตรวจการของเหอหนาน (河南尹) เป็นแม่ทัพใหญ่(大將軍) และมีพระบัญชาให้คุมกองทัพจักรวรรดิเข้าปราบปรามกลุ่มกบฏ ในเวลาเดียวกัน พระเจ้าเลนเต้ยังทรงแต่งตั้งแม่ทัพสามคน ได้แก่ ลู่จือ(โลติด) ฮองฮูสง และจูฮี นำทั้งสามกองทัพแยกกันไปจัดการกับพวกกบฏ ลู่จือมุ่งหน้าไปยังค่ายของจางเจวี่ยในมณฑล Ji ในขณะที่ฮองฮูสงและจูฮี มุ่งหน้าไปยังเมืองYingchuan พวกเขามีกองกำลังทหารทั้งหมด 40,000 นาย
มณฑลอิวจิ๋ว: เมืองกว่างหยางและโจว
ในมณฑลอิวจิ๋ว พวกกบฏได้สังหารกวนซุน(郭勳) ผู้ตรวจการมณฑล และหลิว เว่ย์(劉衛) เจ้าเมืองกว่างหยาง
เจาเจ้ง ทหารนายกองนำกองทัพจักรวรรดิเข้าปราบปรามกบฏในมณฑลอิวจิ๋ว หลิว เป้ย์ได้นำกองกำลังทหารอาสาสมัครเพื่อเข้าช่วยเหลือแก่เขา
มณฑลอิจิ๋ว: เมืองลู่หนาน และ Yingchuan
เมื่อพวกกบฏได้เข้าปะทะครั้งแรกในมณฑลอิจิ๋ว ราชสำนักฮั่นได้เลือกอองของเป็นพิเศษเพื่อแต่งตั้งให้เป็นผู้ตรวจการมณฑลคอยดูแลกองทัพ
Zhao Qian (趙謙) เจ้าเมืองแห่งลู่หนาน นำกองกำลังทหารเข้าโจมตีฝ่ายกบฏก่อนที่จูฮรจะมาถึง แต่ก็ต้องพบความปราชัยที่เส้าหลิง(邵陵; ปัจจุบันคือ ทางด้านตะวันออกเฉียงใต้ของมณฑลเหอหนาน) เทศมณฑลเฉิน(陳縣; ปัจจุบันคือ เทศมณฑลฮวยหยาง มณฑลเหอหนาน) ถูกพวกกบฏเข้าโจมตี ลูกน้องของ Zhao Qian ทั้งเจ็ดคนซึ่งไม่ใช่ทหาร ต่างพากันจับดาบ และเข้าฟาดฟันพวกกบฏจนถูกรุมสังหารตายทั้งหมด ต่อมาภายหลังกบฏถูกปราบปราม พระเจ้าเลนเต้ทรงประกาศยกย่องทั้งเจ็ดคนว่า "ผู้ทรงธรรมทั้งเจ็ด"
รัฐเฉิน(陳國; ปัจจุบันคือ โจวโข่ว, มณฑลเหอหนาน) หนึ่งในเมืองของมณฑลอิจิ๋ว เจ้าเมืองหลิวชง ค่อนข้างอยู่อย่างสงบในช่วงระหว่างก่อการกบฏ เนื่องจากพวกกบฏต่างหวาดกลัวต่อหลิวชง ผู้ซึ่งมีชื่อเสียงในด้านความสามารถในการยิงธนู และเหล่าพลธนูชั้นยอดภายใต้บัญชาการของเขา
พวกกบฏในเมืองลู่หนานที่นำโดย Bo Cai (波才), ได้เอาชนะจูฮีในการรบในช่วงแรก และขับไล่เขาไปได้ ราชสำนักจึงส่งเฉาเชา ผู้บัญชาการทหารม้าไปเสริมกำลังเพื่อช่วยเหลือแก่จูฮี ในช่วงระหว่างวันที่ 28 พฤษภาคม ถึง 25 มิถุนายน จูฮี ฮองจูสง และเฉาเชาได้รวมกองกำลังและเอาชนะ Bo Cai ที่ Changshe (長社; ทางด้านตะวันออกของ Changge, มณฑลเหอหนานในยุคปัจจุบัน) ในขณะที่ Bo Cai ได้พยายามหลบหนี ฮองจูสงและจูฮีได้ไล่ล่าตามเขาไปที่เทศมณฑลยางเซี่ย(陽翟縣; ปัจจุบันคือ Yuzhou, มณฑลเหอหนาน) และเอาชนะเขาได้อีกครั้งที่นั่น ทำให้พวกกบฏต่างพากระจัดกระจาย
ฮองจูสงและจูฮีได้เอาชนะพวกกบฏในเมืองลู่หนานที่นำโดย Peng Tuo (彭脫) ที่เทศมณฑล Xihua (西華縣; ทางตอนใต้ของเทศมณฑล Xihua, มณฑลเหอหนาน) ราชสำนักจึงสั่งให้พวกเขาแยกย้ายกัน: ฮองจูสงจะเข้าโจมตีพวกกบฏที่เมืองต่ง (東郡;บริเวณรอบของเทศมณฑล Puyang, มณฑลเหอหนาน) ในขณะที่จูฮีจะเข้าโจมตีพวกกบฏที่เมืองหนานยาง ในช่วงเวลานี้ อองของ ผู้ตรวจการมณฑลอิจิ๋วได้พบหลักฐานว่า พวกกบฏได้ติดต่ออย่างลับ ๆ กับเตียวเหยียง(張讓) หัวหน้ากลุ่มสิบขันทีผู้มีอิทธิพลในลั่วหยาง จึงกราบทูลแก่พระเจ้าเลนเต้ให้รับทราบ พระองค์ทรงกล่าวตำหนิเตียวหยียง แต่ไม่ได้รับสั่งให้ลงโทษเขาแต่อย่างใด
ในช่วงระหว่างวันที่ 7 พฤศจิกายน ถึง 6 ธันวาคม Bao Hong (鮑鴻) ทหารนายกอง ได้นำกองทัพจักรวรรดิเข้าโจมตีกลุ่มกบฏใน Gebei (葛陂; ทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือของเทศมณฑล Xincai, มณฑลเหอหนาน) และเอาชนะพวกเขาได้
มณฑลกิจิ๋ว: เมืองเว่ย์และจีลู่
ในเวลาเดียวกัน โลติดได้เอาชนะกองทัพกบฏของจางเจวี่ยในเมืองจีลู่ และปิดล้อมผู้นำกบฏในเทศมณฑล Guangzong (廣宗縣; ทางด้านตะวันออกเฉียงใต้ของเทศมณฑล Guangzong , มณฑลเหอเป่ยในยุคปัจจุบัน) อย่างไรก็ตาม ภายหลังพวกขันทีได้กราบเพ็ดทูลด้วยความเท็จว่า โลติดคิดคดทรยศ พระเจ้าเลนเต้ทรงรับสั่งให้โลติดออกจากการบังคับบัญชากองทัพของเขาและพากลับไปที่ลั่วหยางในฐานะนักโทษ ทางราชสำนักจึงได้ส่งแม่ทัพต่งจั่วเข้ามาบังคับบัญชากองทัพแทนที่โลติดที่โดนปลดออกไปและเข้าโจมตีจางเจวี่ย อย่างไรก็ตาม ต่งจั่วกลับล้มเหลวและล่าถอย
วันที่ 23 หรือ 24 กันยายน ฮองฮูสงและ Fu Xie (傅燮), แม่ทัพนายกองลูกน้องของเขา ได้เข้าปราบปรามกบฏที่ Cangting (倉亭; ทางตอนเหนือของเทศมณฑล Yanggu, มณฑลซานตงในยุคปัจจุบัน), ได้เข้าจับกุมผู้นำที่มีนามว่า Bu Ji (卜己) และสังหารพวกกบฏกว่า 7,000 คน รวมทั้งผู้นำรองคนอื่น ๆ อย่าง Zhang Bo (張伯) และ Liang Zhongning (梁仲寧) เมื่อวันที่ 25 กันยายน ทางราชสำนักได้ออกคำสั่งให้เขาเข้ามาแทนที่ต่งจั่วและนำกองทัพของเขาไปทางเหนือสู่เทศมณฑล Guangzong และโจมตีจางเจวี่ย
จางเจวี่ยได้ล้มป่วยตาย ในขณะที่ถูกฮองฮูสงเข้าโจมตีในเทศมณฑล Guangzong ในระหว่างวันที่ 21 พฤศจิกายน ถึง 20 ธันวาคม ฮองฮูสงยังคงโจมตีจางเหลียง ซึ่งได้เข้ามาควบคุมเหล่าสาวกของพี่ชายที่เทศมณฑล Guangzong แต่ไม่สามารถเอาชนะพวกกบฏได้ เนื่องจากจางเหลียงนั้นมีนักรบที่เก่งกาจมากในท่ามกลางกลุ่มโพกผ้าเหลืองของเขา จากนั้นฮองฮูสงก็ได้เปลี่ยนกลยุทธ์การป้องกันเพื่อหลอกล่อให้พวกกบฏลดการป้องกัน ซึ่งพวกเขาทำสำเร็จ เขาจึงฉวยโอกาสโจมตีตอบโต้กลับในเวลากลางคืนและปราบกบฏให้สิ้นซาก จางเหลียงได้ตายในสนามรบพร้อมกับกบฏ 30,000 คน ในขณะที่จำนวนกบฏอีก 50,000 คน ที่พยายามหลบหนีข้ามแม่น้ำก็ต้องจมน้ำตาย ฮองฮูสงยังเผาเกวียนจำนวนกว่า 30,000 คันที่บรรจุไปด้วยเสบียงสำหรับพวกกบฏและเข้าจับกุมสมาชิกในครอบครัวส่วนใหญ่ของพวกเขา ฮองฮูสงได้สั่งให้ขุดหลุมศพจางเจวี่ยขึ้นมา ทำการตัดและส่งศรีษะไปยังราชสำนักที่ลั่วหยาง
เมื่อทรงทราบถึงความสำเร็จของฮองฮูสง พระเจ้าเลนเต้ทรงเลื่อนตำแหน่งให้เขาเป็นแม่ทัพฝ่ายซ้ายแห่งกองรถม้าศึกและทหารม้า(左車騎將軍) ในระหว่างวันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ. 184 ถึง 18 มกราคม ค.ศ. 185 ฮองฮูสงได้นำกองทัพเข้าร่วมกับ Guo Dian (郭典) เจ้าเมืองแห่งจีลู่ เพื่อเข้าโจมตีพวกกบฏที่หลงเหลือซึ่งนำโดยจางเปา น้องชายอีกคนของจางเจวี่ย พวกเขาได้เอาชนะพวกกบฏที่เทศมณฑล Xiaquyang (下曲陽縣; ทางตะวันตกของ Jinzhou, มณฑลเหอเป่ยในยุคปัจจุบัน), สังหารจางเปาและพวกกบฏต่างพากันยอมจำนนจำนวนกว่า 100,000 คน
มณฑลเก๋งจิ๋ว: เมืองหนานหยาง
เมื่อวันที่ 24 มีนาคม ค.ศ. 184 พวกกบฏที่นำโดย Zhang Mancheng (張曼成) สังหาร Chu Gong (褚貢), เจ้าเมืองหนานยาง และเข้ายึดครองเมืองสำคัญอย่าง Wancheng (宛城; อำเภอ Wancheng , หนานยาง, มณฑลเหอหนานในปัจจุบัน). Qin Jie (秦頡) ทายาทของ Chu Gong ได้ระดมกำลังคนท้องถิ่นในหนานหยางเพื่อเข้าโจมตี Zhang Mancheng จนเอาชนะและสังหารเข้าได้ในระหว่างวันที่ 26 มิถุนายน ถึง 25 กรกฏาคม
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
มณฑลซีจิ๋วและหยางจิ๋ว
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
จุดจบของการก่อกบฏ
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ปฏิกิริยาของการทหาร
หลังทราบข่าวการก่อการกบฏของโจรโพกผ้าเหลือง พระเจ้าเลนเต้ได้ส่งสาส์นไปยังหัวเมืองน้อยใหญ่ให้ช่วยยกทัพมาปราบกบฏโพกผ้าเหลือง และอีกทั้งยังปิดประกาศขอรับสมัครชายผู้ต้องการปกป้องชาติให้เป็นทหารอาสาสมัคร ซึ่งทำให้ เล่าปี่ (劉備) , กวนอู (關羽) , เตียวหุย (張飛) ได้มาพบกัน และสาบานเป็นพี่น้องกันในสวนดอกท้อ จากนั้นก็นำกองทหารอาสาจำนวนหนึ่งทำการปราบปรามโจรโพกผ้าเหลืองเพื่อราชวงศ์ฮั่น และนอกจากนั้นยังเป็นทางสร้างโอกาสที่ทำให้เหล่าขุนศึกได้ริเริ่มตั้งตัวเป็นใหญ่ในแผ่นดินจีน ได้แก่ โจโฉ อ้วนเสี้ยว ตั๋งโต๊ะ เป็นต้น
ผลสุดท้าย
โดยความร่วมมือของทุกฝ่ายทั้งขุนพลและกุนซือก่อนแยกออกเป็น 3 ก๊กที่แฝงตัวอยู่ในกองทัพฝ่ายราชวงศ์ฮั่นสามารถปราบปรามโจรโพกผ้าเหลืองได้อย่างราบคาบซึ่งก่อนจะตั้งตนเป็นใหญ่แยกเป็น 3 ก๊กในอนาคตต้องร่วมมือกันปราบทัพใหญ่ก่อน และสามารถกอบกู้สถานการณ์อันเลวร้ายนี้ให้กลับมาดีขึ้นได้รวมทั้งทำให้บ้านเมืองรุ่งเรืองกว่าเดิมแล้วยังเป็นการสร้างโอกาสให้ขุนพลซ่องสุมกำลังพลเพื่อตั้งตนเป็นใหญ่ในอนาคต ต่อมาไม่นานอำนาจของราชวงศ์ฮั่นก็ได้เหลือเพียงแต่ในนาม อำนาจการปกครองก็ไม่เหลือแม้แต่น้อย เหล่าเจ้าเมืองและขุนศึกต่างก็ได้ซ่องสุมกำลังเพื่อทำการแย่งชิงอำนาจกัน
อ้างอิง
- อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อSmitha 2015
- Ropp, Paul S (10 June 2010). China in World History. Oxford University Press. p. 40. ISBN 9780199798766.
- Tom. "The 10 Most Lethal Civil Wars Ever Fought". Realitypod. สืบค้นเมื่อ 9 January 2015.
- Singh, Gunjesh. "Bloodiest War's Fought through History". Quora. สืบค้นเมื่อ 9 January 2015.