คอเลสติแลน
คอเลสติแลน (อังกฤษ: Colestilan, ชื่อการค้า BindRen) เป็นยาที่ออกฤทธิ์เป็นยาจับฟอสเฟต (phosphate binder) และยังจัดเป็นยาลดระดับไขมันในกระแสเลือดกลุ่มไบล์แอซิดซีเควสแตรนต์ (bile acid sequestrant) อีกด้วย
ข้อมูลทางคลินิก | |
---|---|
ชื่อทางการค้า | BindRen |
AHFS/Drugs.com | International Drug Names |
ระดับความเสี่ยงต่อทารกในครรภ์ |
|
ช่องทางการรับยา | การรับประทาน |
รหัส ATC |
|
กฏหมาย | |
สถานะตามกฏหมาย |
|
ข้อมูลเภสัชจลนศาสตร์ | |
ชีวประสิทธิผล | ไม่ถูกดูดซึม |
การจับกับโปรตีน | ไม่ถูกดูดซึม |
การเปลี่ยนแปลงยา | ไม่ถูกดูดซึม |
ครึ่งชีวิตทางชีวภาพ | ไม่ถูกดูดซึม |
การขับออก | อุจจาระ |
ตัวบ่งชี้ | |
| |
เลขทะเบียน CAS |
|
PubChem CID |
|
ChemSpider |
|
KEGG | |
ChEMBL | |
ข้อมูลทางกายภาพและเคมี | |
สูตร | (C4H5ClN2)m(C3H6O)n |
7 7 (what is this?) (verify) | |
การใช้ประโยชน์ทางคลินิก
คอเลสติแลนถูกใช้เป็นยาสำหรับรักษาภาวะฟอสเฟตสูงในเลือด (Hyperphosphataemia) ในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังที่จำเป็นต้องแยกสารผ่านเยื่อ (dialysis) ซึ่งรวมไปถึงผู้ป่วยที่ต้องชำระเลือดผ่านเยื่อบุช่องท้อง (peritoneal dialysis) จากการศึกษาทางคลินิกพบว่าคอเลสติแลนทำให้ระดับฟอสเฟตในกระแสเลือดลดลงได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยการรับประทานคอเลสติแลนในขนาด 11.5 กรัม และ 13.1 กรัมต่อวัน สามารถลดระดับฟอสเฟตในกระแสเลือดลงได้ 0.36 และ 0.50 มิลลิโมลต่อลิตร ตามลำดับ นอกจากนี้ ผลของคอเลสติแลนทำให้ปริมาณกรดน้ำดีในร่างกายลดลง กระตุ้นการสังเคราะห์กรดน้ำดีทดแทนที่ตับ โดยการดึงเอาคอเลสเตอรอลในกระแสเลือดและตับมาสร้างเป็นกรดน้ำดีทำให้ลดการสะสม ไขมันในตับและคอเลสเตอรอลในกระแสเลือด จึงมีการนำเอาคอเลสติแลนมาใช้เพื่อลดระดับไขมันในเลือดด้วย แต่ยังคงอยู่ในขอบเขตที่จำกัด
รูปแบบเภสัชภัณฑ์
คอเลสติแลน มีจำหน่ายในชื่อการค้า BindRen เป็นยาเม็ดเคลือบขนาด 1 กรัม/เม็ด สีขาว รูปไข่ ยาว 20.2 มิลลิเมตร ส่วนกว้างที่สุด 10.7 มิลลิเมตร พร้อมกับมีตัวอักษร “BINDREN” สีชมพูพิมพ์อยู่ด้านหนึ่งของเม็ดยา
ขนาดยา
ขนาดของคอเลสติแลนที่แนะนำต่อวัน คือ 6-9 กรัมต่อวัน โดยแบ่งให้วันละ 2-3 ครั้ง หลังอาหารทันที (ทั้งผู้ที่ยังไม่เคยได้รับยาจับฟอสเฟตหรือผู้ที่เปลี่ยนยาจับฟอสเฟตชนิดอื่นมาเป็นคอเลสติแลน) ทั้งนี้ ควรติดตามระดับฟอสเฟตในกระแสเลือดเป็นระยะระหว่างการใช้คอเลสติแลน ในกรณีที่ระดับฟอสเฟตในกระแสเลือดยังไม่ถึงเป้าหมาย สามารถเพิ่มขนาดยาได้สูงสุดไม่เกิน 3 กรัมต่อวัน ในช่วงระยะห่าง 2-3 สัปดาห์ โดยขนาดของคอเลสติแลนสูงสุดที่มีการใช้ในการศึกษาทางคลินิกคือ 15 กรัมต่อวัน
การใช้ยาในกลุ่มประชากรพิเศษ
การใช้คอเลสติพอลในกลุ่มประชากรพิเศษส่วนใหญ่แล้วยังมีข้อมูลอยู่อย่างจำกัดหรือยังขาดข้อมูลถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัยในผู้ป่วยกลุ่มดังกล่าว ดังรายละเอียดต่อไปนี้:
- ความปลอดภัยของการใช้คอเลสติแลนในผู้ที่มีอายุมากกว่า 75 ปีขึ้น ยังมีข้อมูลจำกัด
- ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับประสิทธิภาพและความปลอดภัยในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะที่ 1-4
- การศึกษาทางคลินิกที่ผ่านมาจะคัดผู้ป่วยที่มีภาวะการทำงานของตับบกพร่องร้ายแรงออกจากการศึกษา ทำให้ขาดข้อมูลเกี่ยวกับความปลอดภัยของคอเลสติแลนในผู้ป่วยกลุ่มดังกล่าว ดังนั้น จึงไม่แนะนำให้ใช้คอเลสติแลนในผู้ป่วยที่มีภาวะการทำงานของตับบกพร่องรุนแรง
- ยังไม่มีการศึกษาถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัยของคอเลสติแลนในผู้ป่วยที่มีอายุน้อยกว่า 18 ปี
ข้อห้ามใช้
ห้ามใช้คอเลสติแลนในผู้ป่วยที่มีการอุดกั้นของทางเดินอาหารและผู้ที่แพ้ยานี้
ข้อควรระวัง
ปัจจุบันยังไม่มีการศึกษาประสิทธิภาพและความปลอดภัยของคอเลสติแลนในกลุ่มผู้ป่วยต่อไปนี้ จึงควรระมัดระวังการใช้คอเลสติแลนในกลุ่มผู้ป่วยกลุ่มดังกล่าว:
- ผู้ที่มีภาวะกลืนอาหารลำบาก (Dysphagia) หรือมีปัญหาอื่นๆเกี่ยวกับการกลืน
- ผู้ที่มีความผิดปกติอย่างรุนแรงของระบบทางเดินอาหาร เช่น ท้องผูกรุนแรง และ/หรือเรื้อรัง, ลำไส้อุดตัน (intestinal stenosis), ถุงผนังลำไส้อักเสบ (intestinal diverticulum), ลำไส้ใหญ่ส่วนปลายอักเสบ (sigmoid colitis), แผลในทางเดินอาหาร (gastrointestinal ulcers), หรือเพิ่งได้รับการผ่าตัดทางเดินอาหาร
- ผู้ป่วยท่อน้ำดีอุดกั้น (Biliary obstruction)
- ผู้ที่มีภาวะการทำงานของตับบกพร่องอย่างรุนแรง
- ผู้ป่วยโรคลมชัก
- ผู้ที่มีประวัติเกิดเยื่อบุช่องท้องอักเสบ (peritonitis) จากการล้างไตทางหน้าท้อง
- ผู้ที่มีระดับโปรตีนอัลบูมินในกระแสเลือดต่ำกว่า 30 กรัมต่อลิตร
อย่างไรก็ตาม ไม่แนะนำให้ใช้คอเลสติแลนในผู้ป่วยดังข้างต้น
อันตรกิริยาระหว่างยา
คอเลสติแลนสามารถยับยั้งการถูกดูดซึมของยาอื่นได้ รวมไปถึงวิตามินที่ละลายในไขมัน (เอ, ดี, อี, และเค) และโฟเลท (Folate) ด้วย ทำให้ระดับยาอื่นในกระแสเลือดลดลง จนเกิดปัญหาในการรักษาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งยาที่มีช่วงการรักษาแคบหรือยาที่ใช้รักษาความเจ็บป่วยที่ร้ายแรง อย่างเช่น ยารักษาโรคมะเร็ง ยากันชัก เป็นต้น ดังนั้นจึงควรรับประทานยาอื่นก่อนคอเลสติแลนอย่างน้อย 1 ชั่วโมง หรือหลังรับประทานคอเลสติแลนอย่างน้อย 3 ชั่วโมง
อาการไม่พึงประสงค์
อาการข้างเคียงที่อาจเกิดจากคอเลสติแลน ได้แก่ อาการข้างเคียงเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร เช่น ท้องผูก คลื่นไส้ อาเจียน ร่างกายขาดวิตามินและแคลเซียม รวมไปถึงการขาดวิตามินเค ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะเลือดออกในทางเดินอาหารได้ ในรายที่ท้องผูกรุนแรงหรือเรื้อรังอาจกลายเป็นริดสีดวงทวารได้
โครงสร้างทางเคมีและกลไกการออกฤทธิ์
คอเลสติแลนเป็นยาที่เกิดจากการเกิดพันธะกันระหว่างพอลิเมอร์ 2 ชนิด (Cross-linked copolymer) คือ 2-เมทิลิมิดาโซล (2-methylimidazole) และอิพิคลอโรไฮดริน (Epichlorohydrin) (ดังภาพ) โดยคอเลสติแลนออกฤทธิ์เป็นเรซินแลกเปลี่ยนไอออน (Ionn exchanger resin) ซึ่งมีความสัมพันธ์กับระดับฟอสเฟต, กรดน้ำดี, และยูเรค (Urate) ในร่างกาย โดยคอเลสติพอลจะจับกับสารทั้ง 3 ชนิดดังข้างต้นในทางเดินอาหาร เป็นผลให้สารเหล่านั้นไม่ถูกดูดซึมกลับ (enterohepatic circulation) ทั้งนี้คอเลสติแลนนั้นไม่สามารถถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด และจะถูกขับออกจากร่างกายในรูปแบบของสารประกอบเชิงซ้อนที่จับอยู่กับไอออนเป้าหมายทั้ง 3 ชนิดดังข้างต้น
ดูเพิ่ม
อ้างอิง
- ↑ A. Klement (11 November 2013). "Dialysepflichtig – weniger Phosphat mit BindRen". Österreichische Apothekerzeitung (ภาษาเยอรมัน) (23/2013): 28f.
- ↑ Lacy FC, Armstrong LL, Goldman PM, Lance LL, editors. Drug Information Handbook with international trade name index. 18th edition, New Tork, Lexi-Comp®, 2014, p. 585-588, ISBN 978-1-59195-255-8
- ↑ Locatelli, F; Dimkovic, N; Spasovski, G (2013). "Evaluation of colestilan in chronic kidney disease dialysis patients with hyperphosphataemia and dyslipidaemia: a randomized, placebo-controlled, multiple fixed-dose trial" (PDF). Nephrol. Dial. Transplant. 28 (7): 1874–88. doi:10.1093/ndt/gft064. PMC 1.
- Handelsman, Y. (2011). "Role of Bile Acid Sequestrants in the Treatment of Type 2 Diabetes". Diabetes Care. 34: S244–S250. doi:10.2337/dc11-s237. PMID 21525463.
- ↑ Houten, SM; Watanabe, M; Auwerx, J (2006). "Endocrine functions of bile acids" (PDF). The EMBO Journal. 25: 1419–25. doi:10.1038/sj.emboj.7601049. PMC 1440314.
- ↑ Haberfeld, H, บ.ก. (2013). Austria-Codex (ภาษาเยอรมัน). Vienna: Österreichischer Apothekerverlag.
- ↑ MIMS (December 1, 2013). "BindRen: new phosphate binder". MIMS.co.uk. สืบค้นเมื่อ December 13, 2014.
- ↑ European Commission (2013). "BindRen, INN-Colestilan" (PDF). European Commission. สืบค้นเมื่อ December 13, 2014.