สาธารณรัฐโซเวียตฮังการี
สหพันธ์สาธารณรัฐสภาสังคมนิยมฮังการี (ฮังการี: Magyarországi Szocialista Szövetséges Tanácsköztársaság) หรือ สาธารณรัฐสภาฮังการี (ฮังการี: Magyarországi Tanácsköztársaság) เป็นสาธารณรัฐที่มีอยู่เป็นเวลาสั้น ๆ ในภูมิภาคยุโรปตะวันออก มีอาณาเขตครอบคลุมดินแดนประมาณ 23% ของดินแดนฮังการีในอดีต ดำรงอยู่ระหว่างวันที่ 21 มีนาคม 1919 ถึงวันที่ 1 สิงหาคม 1919 รวมระยะเวลาทั้งหมดเป็น 133 วัน สาธารณรัฐก่อตั้งขึ้นภายหลังจากการเสื่อมถอยของสาธารณรัฐฮังการีที่หนึ่งในช่วงต้นปี 1919 สาธารณรัฐโซเวียตฮังการีมีสถานะเป็นรัฐตกค้างสังคมนิยมขนาดเล็ก มีหัวหน้ารัฐบาลคือ ซานโดร์ กอร์บอยี แต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ เบลอ กุน กลับมีอำนาจและอิทธิพลในสาธารณรัฐและพรรคคอมมิวนิสต์ฮังการีมากกว่า การที่ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงกับไตรภาคี ซึ่งยังคงปิดล้อมทางเศรษฐกิจในฮังการี อีกทั้งความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้านในด้านดินแดน และความเปลี่ยนแปลงของสภาพสังคมอย่างถึงแก่น ทำให้สาธารณรัฐโซเวียตล้มเหลวในเป้าหมายที่วางไว้ และถูกล้มล้างในเวลาเพียงไม่กี่เดือนหลังจากที่ก่อตั้ง การมอบบันทึกวิกซ์นำไปสู่การโค่นล้มรัฐบาลเสรีนิยมของเคานต์ มิฮาย กาโรยี ซึ่งในขณะนั้นไม่ได้รับการสนับสนุนเป็นสำคัญ และการประกาศสาธารณรัฐโซเวียตเมื่อวันที่ 21 มีนาคม บุคคลที่บทบาทสำคัญในสาธารณรัฐโซเวียตคือ ผู้นำคอมมิวนิสต์ เบลอ กุน ถึงแม้ว่าในช่วงแรกโครงสร้างรัฐบาลใหม่ส่วนใหญ่จะมาจากพรรคประชาธิปไตยสังคมนิยมก็ตาม ระบอบใหม่นี้รวบรวมอำนาจอย่างมีประสิทธิผลในสภาปกครอง ซึ่งใช้อำนาจนี้ในนามของชนชั้นกรรมาชีพ
สหพันธ์สาธารณรัฐสภาสังคมนิยมฮังการี Magyarországi Szocialista Szövetséges Tanácsköztársaság (ฮังการี) | |||||
---|---|---|---|---|---|
มีนาคม–สิงหาคม 1919 | |||||
คำขวัญ: Világ proletárjai, egyesüljetek! "ชนกรรมาชีพทั่วโลกจงสามัคคีกัน!" | |||||
แผนที่แสดงอาณาเขตของ ราชอาณาจักรฮังการี ในเดือนพฤษภาคม–สิงหาคม 1919 อาณาเขตที่ควบคุมโดยโรมาเนียในเดือนเมษายน 1919 อาณาเขตที่ควบคุมโดยโซเวียตฮังการี อาณาเขตของสาธารณรัฐโซเวียตสโลวัก ที่จัดตั้งขึ้นหลังจากโซเวียตฮังการีครอบครอง อาณาเขตที่ควบคุมโดยยูโกสลาเวียและกองทัพฝรั่งเศส พรมแดนของฮังการีในปี 1918 พรมแดนของฮังการีในปี 1920 | |||||
เมืองหลวง | บูดาเปสต์ 47°29′00″N 19°02′00″E / 47.4833°N 19.0333°Eพิกัดภูมิศาสตร์: 47°29′00″N 19°02′00″E / 47.4833°N 19.0333°E | ||||
ภาษาทั่วไป | ฮังการี | ||||
เดมะนิม | ชาวฮังการี | ||||
การปกครอง | สาธารณรัฐสังคมนิยม | ||||
ผู้นำโดยพฤตินัย | |||||
• 1919 | เบลอ กุน | ||||
ประธานสภาปกครองกลาง | |||||
• 1919 | ซานโดร์ กอร์บอยี | ||||
สภานิติบัญญัติ | สมัชชาแห่งชาติโซเวียต | ||||
ยุคประวัติศาสตร์ | สมัยระหว่างสงคราม | ||||
• ก่อตั้ง | 21 มีนาคม 1919 | ||||
• รัฐธรรมนูญ | 23 มิถุนายน 1919 | ||||
• สิ้นสุด | 1 สิงหาคม 1919 | ||||
สกุลเงิน | โกโรนอฮังการี | ||||
| |||||
ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของ | ฮังการี ออสเตรีย สโลวาเกีย โครเอเชีย สโลวีเนีย |
ระบอบการปกครองใหม่ล้มเหลวในการบรรลุข้อตกลงกับไตรภาคี นำไปสู่การถูกปิดล้อมทางเศรษฐกิจ การปรับปรุงพรมแดนใหม่ และการยอมรับรัฐบาลใหม่โดยมหาอำนาจที่ชนะในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง สาธารณรัฐโซเวียตฮังการีมีกองกำลังอาสาสมัครกลุ่มเล็ก ๆ ซึ่งส่วนใหญ่มีพื้นฐานมาจากกรรมกรโรงงานในกรุงบูดาเปสต์ มีความพยายามฟื้นฟูดินแดนที่เคยสูญเสียไปให้แก่บรรดาประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อกระตุ้นแรงสนับสนุนอย่างกว้างขวางจากทุกชนชั้นทางสังคมในฮังการี ไม่เพียงเฉพาะกลุ่มที่เอื้อประโยชน์จากระบอบนี้เท่านั้น ในขั้นต้นสาธารณรัฐได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มนักอนุรักษนิยมที่มีแนวคิดชาตินิยม กองกำลังนิยมสาธารณรัฐได้รุกเข้าเชโกสโลวาเกียในพื้นที่สโลวาเกีย แต่หลังจากความพ่ายแพ้ทางฝั่งตะวันออกต่อกองทัพโรมาเนียในปลายเดือนเมษายน ทำให้กองทัพต้องล่าถอยออกจากแม่น้ำทิสซอ ต่อมาเมื่อกลางเดือนมิถุนายน ได้มีการประกาศจัดตั้ง “สาธารณรัฐโซเวียตสโลวัก” โดยดำรงอยู่เพียงสองสัปดาห์ จนกระทั่งฮังการีถอนกำลังออกจากสโลวาเกียตามคำร้องขอจากไตรภาคี เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม สาธารณรัฐโซเวียตเริ่มเปิดการโจมตีแนวรบของโรมาเนีย แต่หลังจากนั้นโรมาเนียสามารถต้านทานการโจมตีของฮังการีได้ และสามารถฝ่าแนวรบของกองทัพฮังการีจนถึงบูดาเปสต์ ซึ่งเป็นระยะเวลาเพียงไม่กี่วันหลังการล่มสลายของสาธารณรัฐโซเวียตฮังการีเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม
การที่รัฐบาลโซเวียตฮังการีประกาศใช้มาตรการทั้งในส่วนของนโยบายต่างประเทศและภายในประเทศ ทำให้สาธารณรัฐสูญเสียความนิยมจากประชาชนไปอย่างรวดเร็ว ความพยายามของฝ่ายบริหารชุดใหม่ที่จะเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตและค่านิยมของประชาชนอย่างลึกซึ้งได้ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ความพยายามที่จะเปลี่ยนฮังการีซึ่งยังคงสืบเนื่องมรดกจากสมัยราชาธิปไตยเข้าสู่สังคมแบบสังคมนิยมไม่ประสบผลสำเร็จ เนื่องจากองค์ประกอบหลายประการ กล่าวคือ สาธารณรัฐขาดเจ้าหน้าที่และข้าราชการที่มีประสบการณ์ทั้งทางด้านการเมืองและเศรษฐกิจ ตลอดจนการวางแผนกลยุทธ์ในการบริหาร ความพยายามที่จะโน้มน้าวใจชาวนากลับพบแต่ความว่างเปล่า เนื่องจากการส่งเสริมการผลิตทางการเกษตรและการบริหารเมืองในเวลาเดียวกันนั้นไม่สามารถดำเนินการได้แล้วเสร็จในระยะเวลาอันสั้น หลังจากการถอนกำลังออกจากสโลวาเกีย รัฐบาลได้บังคับใช้มาตรการเพื่อเรียกร้องการสนับสนุนของประชาชนอีกครั้งแต่ก็พบกับความล้มเหลวเช่นเคย โดยเฉพาะมาตรการอนุญาตขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การส่งมอบที่ดินบางส่วนให้แก่ชาวนาโดยไม่มีการวางแผนและที่ดิน และความพยายามที่จะปรับปรุงสถานการณ์ทางการเงินและการจัดหาเสบียงอาหาร ทำให้สาธารณรัฐโซเวียตฮังการีสูญเสียการสนับสนุนจากประชาชนส่วนใหญ่ไประหว่างเดือนมิถุนายนจนถึงกรกฎาคม ส่งผลให้เกิดความพินาศของสาธารณรัฐพร้อมกับความพ่ายแพ้ทางการทหาร ความล้มเหลวของนโยบายต่างประเทศ ทั้งสถานการณ์การเมืองและการถูกโดดเดี่ยวทางเศรษฐกิจจากไตรภาคี ความล้มเหลวทางการทหารในการเผชิญหน้ากับประเทศเพื่อนบ้าน และความเป็นไปไม่ได้ในการเข้าร่วมกองกำลังกับหน่วยกองทัพแดง มีส่วนทำให้สาธารณรัฐโซเวียตล่มสลาย รัฐบาลประชาธิปไตยสังคมนิยม–คอมมิวนิสต์ได้รับการสืบต่อโดยฝ่ายสังคมนิยมสายกลางเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม กลุ่มคอมมิวนิสต์ลี้ภัยออกจากบูดาเปสต์หรือเดินทางออกนอกประเทศ
ประวัติ
การสิ้นสุดของราชาธิปไตยและการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชน
ภายหลังความปราชัยของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ขบวนการปฏิวัติของมวลชนซึ่งประกอบไปด้วยกรรมกร ทหาร และชาวนา ได้เริ่มแพร่กระจายเข้าไปในสังคมของฮังการีถึงขนาดที่มีตำรวจหรือหน่วยทหารบางหน่วยเข้ามาให้การสนับสนุน จากชัยชนะของการปฏิวัติเบญจมาศ ส่งผลให้มีการแต่งตั้ง มิฮาย กาโรยี เป็นนายกรัฐมนตรี โดยได้รับการสนับสนุนจากสภาแห่งชาติ ซึ่งก่อตั้งขึ้นจากการรวมตัวกันของพรรคประชาธิปไตยสังคมนิยม (MSDP), พรรคหัวรุนแรงแห่งชาติ, และพรรคของกาโรยี เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ อาร์ชดยุกโจเซฟ เอากุสท์ ได้พยายามกดดันพระเจ้ากาโรยที่ 4 อย่างหนัก จนในที่สุดพระองค์จึงทรงประกาศรับรองการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนตามที่สภาแห่งชาติเรียกร้อง อย่างไรก็ตาม รัฐบาลใหม่ได้ล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาภายในประเทศ ทั้งเกิดอัตราการว่างงานที่เพิ่มขึ้น อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น และการขาดแคลนอาหารภายในเมืองต่าง ๆ การปฏิรูปที่ดินเกษตรกรรมที่ชาวฮังการีรอคอยมานานก็ยังไม่ได้รับการดำเนินการเช่นกัน แม้ว่าจะมีการประกาศยุบสภาเก่าเพื่อให้ประชาชนมีสิทธิออกเสียงอย่างทั่วถึง แต่ก็ยังไม่มีการเลือกตั้งใหม่
เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 1918 สาธารณรัฐประชาชนฮังการีได้ประกาศจัดตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ โดยมีกาโรยีดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีชั่วคราว ได้เกิดความวุ่นวายจากการบริหารประเทศและความยุ่งเหยิงของกองทัพฮังการี ทางคณะรัฐมนตรีจึงจำต้องพึ่งพาสหภาพแรงงานในการป้องกันการแพร่ขยายของความโกลาหลภายในประเทศ ในช่วงเวลาเดียวกัน รัฐบาลกาโรยียังต้องจัดการกับขบวนการหรือคณะต่าง ๆ ที่ก่อตัวขึ้นทั้งจากกรรมกร ทหาร และชาวนา เมื่อประมาณกลางเดือนพฤศจิกายน รัฐบาลสามารถควบคุมสถานการณ์ภายในประเทศได้บางส่วน เนื่องจากได้ดำเนินการปฏิรูปที่ดินเกษตรกรรมตามที่ให้สัญญาไว้ ซึ่งทำให้พื้นที่แถบชนบทสงบลง และมีการปลดประจำการทหารออกจากกองทัพมากกว่าหนึ่งล้านนาย ถึงแม้จะพอมีกำลังทหารในหน่วยทหารรักษาการณ์เพื่อปราบปรามความรุนแรงภายในเมืองต่าง ๆ อยู่บ้าง แต่ทหารเหล่านี้แทบไม่มีประสบการณ์ในการปฏิบัติหน้าที่เลย ฮังการียังเผชิญกับปัญหาร้ายแรงและข้อเรียกร้องต่าง ๆ ที่ไม่อาจสนองได้ในวิกฤติหลังสงคราม คณะรัฐมนตรีต่างต้องรับมือกับการประท้วงที่เพิ่มมากขึ้น โดยได้รับแรงสนับสนุนจากกลุ่มคอมมิวนิสต์ ซึ่งได้ประณามการดำรงไว้ซึ่งความไม่เท่าเทียมของชนชั้นในฮังการี และผลักดันให้ขบวนการชาวนาและกรรมกรจำนวนมากเข้ายึดอำนาจ
การก่อตั้งและการเติบโตของพรรคคอมมิวนิสต์ฮังการี
เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 1918 เบลอ กุน นักสังคมนิยมฝ่ายซ้าย ร่วมกันกับสมาชิกกลุ่มประชาธิปไตยสังคมนิยมและนักสังคมนิยมสายปฏิวัติในการก่อตั้ง "พรรคคอมมิวนิสต์ฮังการี" (KMP) ขึ้น โดยมีอุดมการณ์ที่โน้มเอียงไปทางลัทธิมากซ์–เลนิน ซึ่งต่อต้านรัฐบาลผสมสังคมนิยม-เสรีนิยม พรรคคอมมิวนิสต์ไม่พึงพอใจกับผลลัพธ์ของการปฏิวัติครั้งแรก โดยพรรคพยายามที่จะระดมชนชั้นกรรมาชีพฮังการีเพื่อกระตุ้นให้เกิดการปฏิวัติครั้งที่สองโดยระบอบสังคมนิยม หนังสือพิมพ์ Vörös Ujság (หนังสือพิมพ์แดง) ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์หลักของพรรค ได้ก่อตั้งขึ้นประมาณต้นเดือนธันวาคม โดยมีจุดประสงค์เพื่อเรียกร้องให้มีการปฏิวัติสังคมนิยม และมุ่งโจมตีเกี่ยวกับระบอบประชาธิปไตยแบบทุนนิยมของรัฐบาลกาโรยี ในขณะเดียวกัน พรรคก็พยายามที่จะได้รับการสนับสนุนจากหน่วยทหารใหม่ที่รัฐบาลกาโรยีจัดตั้งแต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จมากนัก เนื่องจากยังมีชาวนาหรือกรรมกรบางส่วนที่ไม่เห็นด้วยกับการปฏิวัติ โดยเห็นว่าไม่คุ้มค่าที่จะให้เสี่ยงอันตรายไปจับอาวุธอีกครั้ง ด้วยความกลัวว่ากองกำลังแดง (Red Guard) จะถูกควบคุมโดยคณะทหารแห่งชาติในบูดาเปสต์ พรรคคอมมิวนิสต์จึงตัดสินใจติดอาวุธให้แก่ผู้สนับสนุนโดยตรง ด้วยการจัดซื้ออาวุธจากกองทัพเยอรมันที่ถอนกำลังภายใต้การสงบศึกเบลเกรดอย่างลับ ๆ ความสำเร็จของพรรคคอมมิวนิสต์ในความพยายามจากการชักจูงทหาร ทำให้การยึดอำนาจในเดือนมีนาคม 1919 แทบไม่มีการนองเลือดเกิดขึ้นเลย และหน่วยงานรัฐบาลส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ขัดขวางการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ด้วย ความปั่นป่วนภายในพรรคคอมมิวนิสต์ไม่ได้เกิดขึ้นอยู่แค่ทหารเท่านั้น แต่ยังเกิดขึ้นจากกรรมกร ชาวนา ชนกลุ่มน้อย หรือแม้แต่กองกำลังติดอาวุธของพรรคเอง
ในช่วงปลายปี 1918 และช่วงต้นปี 1919 ความฟุ้งซ่านในการปฏิวัติและอิทธิพลของพรรคคอมมิวนิสต์เพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณ ภายในประเทศเริ่มมีการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ในช่วงปลายเดือนธันวาคม นักสังคมนิยมและคอมมิวนิสต์เริ่มถกเถียงกันในเรื่องการครอบงำของสหภาพแรงงาน กลุ่มคนว่างงาน, ทหารปลดประจำการ, นายทหารชั้นประทวน และการขยายตัวเพิ่มขึ้นของสหภาพแรงงาน เป็นสิ่งที่ทำให้พรรคคอมมิวนิสต์ได้รับความนิยมอย่างสูงในฮังการี ในเดือนธันวาคม รัฐบาลกาโรยีพยายามอย่างไร้ผลที่จะแย่งชิงการควบคุมหน่วยทหารจากคณะทหารในเมืองหลวง ซึ่งรัฐบาลต้องรับรองอย่างถูกกฎหมายเมื่อสองสามวันก่อน จากนั้นคณะทหารจึงถูกควบคุมโดยนักสังคมนิยมคนสนิทของ โยแฌ็ฟ โปกาญ เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม การประท้วงของนายทหารติดอาวุธจำนวนแปดพันนายประสบความสำเร็จ ส่งผลให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสงครามถูกปลดจากตำแหน่ง
การเสื่อมลงของสาธารณรัฐประชาชน
จากสถานการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยปราศจากความช่วยเหลือจากไตรภาคี ทำให้กาโรยีประกาศลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในเดือนมกราคม 1919 และเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีของสาธารณรัฐ สมาชิกพรรคอนุรักษนิยมของกาโรยีและพรรคหัวรุนแรงต่างพากันออกจากคณะรัฐมนตรี ภายหลังวิกฤตการณ์ร้ายแรงของรัฐบาลในช่วงกลางเดือนมกราคม ได้มีนักสังคมนิยมสายกลางบางส่วนตัดสินใจลาออกจากรัฐบาลเพราะคำวิพากษ์วิจารณ์ของพรรคคอมมิวนิสต์ และกลุ่มชนชั้นนายทุนปฏิเสธที่จะปกครองเพียงลำพัง คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ได้ถูกจัดตั้งโดยมีรัฐมนตรีที่เป็นสังคมนิยมมากขึ้น รัฐบาลใหม่ของฝ่ายประชาธิปไตยสังคมนิยมที่นำโดย เดแน็ช เบริงคีย์ ได้ให้สัญญาว่าจะทำการปฏิรูป การกระทำนี้ได้สร้างความไม่พอใจต่อสภาโซเวียต เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม สภาแรงงานในเมืองหลวงได้หารือเกี่ยวกับการปฏิรูปไร่นา แต่รัฐบาลยังไม่ได้ตัดสินใจในเรื่องนี้จนกระทั่งเมื่อประมาณต้นเดือนกุมภาพันธ์ และการดำเนินการเป็นไปอย่างล่าช้า ในช่วงต้นเดือนมกราคม ด้วยความหวาดกลัวต่ออิทธิพลของคอมมิวนิสต์ กองบัญชาการพันธมิตรในบูดาเปสต์ได้เสนอให้จับกุมเหล่าผู้แทนสภากาชาดรัสเซีย ซึ่งเป็นกำลังสนับสนุนทางการเงินที่สำคัญของพรรค ท่ามกลางความอ่อนแอของรัฐบาลและนักสังคมนิยมสายกลาง ขบวนการแรงงานได้พากันเข้าควบคุมโรงงานบางแห่งไว้ตามที่พรรคคอมมิวนิสต์ได้เรียกร้อง ณ ทางตอนเหนือของฮังการี รัฐบาลได้ปราบปรามการจราจลอย่างรุนแรงโดยคนงานเหมืองในช็อลโกตอร์ยาน ซึ่งเป็นเมืองที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อระบบอุตสาหกรรมและทางรถไฟ มีผู้เสียชีวิตนับร้อยจากการจราจลครั้งนี้ ในช่วงปลายเดือนมกราคม พวกนักสังคมนิยมได้ตัดสินใจขับไล่กลุ่มคอมมิวนิสต์ออกจากสภาแรงงานในเมืองหลวงและสหภาพแรงงาน อย่างไรก็ตามก็ประสบความสำเร็จเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
มีการคาดการณ์ว่าในเดือนกุมภาพันธ์ พรรคคอมมิวนิสต์มีจำนวนสมาชิกประมาณสามหมื่นถึงห้าหมื่นคน กิจกรรมต่าง ๆ ของพรรคคอมมิวนิสต์ในสภามีความโดดเด่นเป็นอย่างมาก แม้ว่าอิทธิพลของพรรคในสภาแรงงานเมืองหลวงจะมีน้อยมากก็ตาม เนื่องจากการครอบงำพรรคโดยพวกประชาธิปไตยสังคมนิยม ในขณะที่พวกสังคมนิยมพยายามสร้างอิทธิพลของตนเอง เพื่อยับยั้งการเติบโตของอิทธิพลคอมมิวนิสต์ในหมู่ทหาร อิทธิพลของพวกสังคมนิยมเริ่มลดลงในสหภาพแรงงาน ในการประชุมใหญ่เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พวกสังคมนิยมได้อนุมัติมาตรการที่ต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง เช่น การกำหนดให้รัฐควบคุมการผลิตทั้งหมด การเก็บภาษีสำหรับชนชั้นสูงและอภิสิทธิ์ชน และการปราบปรามฝ่ายต่อต้านการปฏิวัติ เป็นต้น
เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ หลังการประท้วงที่หน้ากองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ประชาธิปไตยสังคมนิยม Népszava ที่จบลงด้วยการมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บอีกหลายสิบคน รัฐบาลได้จับกุมผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์ จากความพยายามในการระงับข้อขัดแย้งระหว่างไตรภาคี ทำให้รัฐบาลเริ่มอ่อนแอลงและไม่สามารถควบคุมกิจกรรมของพรรคอมมิวนิสต์ได้ พรรคได้วางแผนการจราจลเพื่อยึดอำนาจตามแบบฉบับของการก่อการกำเริบสปาตาคิสท์ในเยอรมนี โดยเพิกเฉยต่อคำแนะนำจากรัสเซีย และแผนการนี้ก็ประสบกับความล้มเหลวเช่นเคย อย่างไรก็ตาม การจับกุมและการปฏิบัติอย่างทารุณก่อให้เกิดความไม่สงบเพิ่มขึ้น ในขณะเดียวกัน สื่อมวลชนคอมมิวนิสต์ยังคงเคลื่อนไหวในแบบลับต่อไป ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ มีการประท้วงครั้งใหญ่เพื่อสนับสนุนพรรคสังคมนิยมที่หน้ารัฐสภา แต่ทั้งรัฐสภาและรัฐบาลก็ไม่ได้ใช้โอกาสครั้งนี้ในการฟื้นฟูความนิยมจากประชาชนที่หายไป รัฐมนตรีสังคมนิยมไม่เห็นด้วยกับการปราบปรามคอมมิวนิสต์ตามที่ผู้บัญชาการตำรวจเรียกร้อง เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ รัฐบาลได้ฟื้นฟูกฎหมายปราบปรามผู้ที่เป็นศัตรูของรัฐตามที่รัฐมนตรีสังคมนิยมเรียกร้อง โดยเป็นกฎหมายที่เคยใช้ในช่วงสงคราม ในขณะเดียวกัน ความคาดหวังของรัฐบาลในการได้รับความช่วยเหลือจากมหาอำนาจก็กลายเป็นเรื่องลวง
สถานการณ์ความขัดแย้งยังคงดำเนินต่อไป และการมาถึงของฤดูเพาะปลูกทำให้ในชนบทเกิดความโกลาหล พรรคคอมมิวนิสต์ประณามการขาดการเปลี่ยนแปลงและการบำรุงรักษาของเจ้าของที่ดิน และสนับสนุนให้ชาวนายึดที่ดิน ทางรัฐบาลที่เวลานี้ไม่มีกองกำลังทหารก็ไม่สามารถยับยั้งการยึดครองที่ดินโดยชาวนาได้ และมาตรการในการปฏิรูปก็หละหลวม ส่งผลให้มีเจ้าของที่ดินจำนวน 2,700 ราย ได้รับผลกระทบ ในช่วงต้นเดือนมีนาคม ประเทศเพื่อนบ้านของฮังการีได้เข้ายึดครองอาณาเขตเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากข้อตกลงที่ไม่สามารถลงรอยกันได้ระหว่างไตรภาคี และการที่รัฐบาลไม่มีมาตรการทางสังคมใด ๆ ทำให้กระแสความสังคมนิยมหัวรุนแรงเพิ่มอิทธิพลมากขึ้น เมื่อวันที่ 3 มีนาคม สภาแรงงานในเมืองหลวงได้ยอมรับพรรคคอมมิวนิสต์และให้เข้าร่วมสภาอีกครั้ง ถือเป็นสัญญาณแห่งความอ่อนแอของพรรคประชาธิปไตยสังคมนิยม คณะรัฐมนตรีต่างรู้ดีว่าไม่สามารถต้านทานอำนาจของสภาแรงงานได้ และสภาเองก็ไม่ปฏิบัติตามมาตรการของรัฐบาลที่พวกเขาไม่พึงพอใจเช่นกัน เมื่อวันที่ 13 มีนาคม หน่วยตำรวจในเมืองหลวง ซึ่งเป็นกำลังสุดท้ายของคณะรัฐมนตรีได้ยอมรับอำนาจของสภาแรงงานเมืองหลวง ด้วยการประท้วงอย่างต่อเนื่องของกลุ่มต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มคนว่างงาน ทหาร หญิงม่าย ฯลฯ รัฐบาลพยายามเสริมสร้างจุดยืนของตนโดยประกาศให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 13 เมษายน โดยวางใจในการรับรองมาตรการดังกล่าวของมวลชน
การสถาปนาสาธารณรัฐโซเวียต
การประกาศจัดตั้งสาธารณรัฐ
ในช่วงกลางเดือนมีนาคม 1919 รัฐบาลกาโรยีได้สูญเสียกำลังสนับสนุนลงเรื่อย ๆ เมื่อวันที่ 20 มีนาคม ไตรภาคีได้เรียกร้องให้มีการยอมรับเขตแดนอย่างไม่เป็นธรรม ซึ่งเกิดขึ้นหลายครั้งตั้งแต่ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงของปีก่อน เนื่องจากข้อตกลงของไตรภาคีต่อประเทศเพื่อนบ้านที่ทำขึ้นในช่วงสงคราม โดยมีจุดประสงค์เพื่อสร้างพื้นที่เป็นกลางระหว่างกองกำลังทหารโรมาเนียและฮังการี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการแทรกแซงที่ล้มเหลวในสงครามกลางเมืองรัสเซีย มีการกำหนดพรมแดนขึ้นใหม่ที่ยังคงใกล้เคียงกับข้อตกลงที่ให้ไว้แก่โรมาเนียในสนธิสัญญาบูคาเรสต์ ซึ่งเป็นสนธิสัญญาที่ลงนามหลังจากโรมาเนียเข้าร่วมสงครามโลก หลังจากการมอบบันทึกวิกซ์แก่รัฐบาลกาโรยี ซึ่งเรียกร้องให้มีการอพยพประชากรชาวฮังการีออกจากพรมแดนที่กำหนดขึ้นใหม่นี้และมอบดินแดนส่วนนี้ให้แก่โรมาเนีย คณะรัฐมนตรีไม่เห็นด้วยกับข้อตกลงนี้ และกาโรยีได้ประกาศลาออกจากตำแหน่ง พร้อมกับมอบอำนาจให้รัฐบาลใหม่ประชาธิปไตยสังคมนิยม ซึ่งมีความเวทนาต่อชนชั้นกรรมาชีพสากลและยอมให้ประเทศเผชิญอยู่กับข้อเรียกร้องของไตรภาคี กาโรยีได้ออกมายอมรับว่านโยบายการสร้างความสัมพันธ์ต่อไตรภาคีล้มเหลว แผนการแรกของรัฐบาลใหม่คือการให้กาโรยีดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีและจัดตั้งคณะรัฐมนตรีประชาธิปไตยสังคมนิยมใหม่ อย่างไรก็ตาม ระหว่างการพิจารณาของรัฐบาล สภาทหารซึ่งนำโดยโยแฌ็ฟ โปกาญได้ตัดสินใจสนับสนุนคอมมิวนิสต์ มีการยึดรถยนต์ของรัฐมนตรี และในช่วงบ่ายของวันนั้นได้มีการส่งมอบการควบคุมกองทหารรักษาการณ์ในเมืองหลวงให้แก่คอมมิวนิสต์ ก่อนที่โปกาญจะเข้าควบคุมบูดาเปสต์และกองทหารรักษาการณ์ทั้งหมด โดยปราศจากการต่อต้านจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซานโดร์ กอร์บอยี ได้ประกาศต่อสภาแรงงานในเมืองหลวงถึงการจัดตั้งรัฐบาลโซเวียต ของพันธมิตรประชาธิปไตยสังคมนิยม-คอมมิวนิสต์ ในเย็นวันเดียวกัน ได้มีคำสั่งให้ปลดกาโรยีออกจากตำแหน่ง ซึ่งเขาก็ยอมรับโดยไม่ขัดขืนใด ๆ เพราะตระหนักว่าต้องหลีกทางให้แก่คณะรัฐมนตรีฝ่ายซ้ายเพื่อต่อต้านไตรภาคี พวกสังคมนิยมได้ส่งคณะผู้แทนไปที่เรือนจำเพื่อเจรจากับผู้นำคอมมิวนิสต์ ซึ่งสนับสนุนให้จัดตั้งรัฐบาลผสมประชาธิปไตยสังคมนิยม-คอมมิวนิสต์ เพื่อให้บรรลุตามข้อตกลงนี้ รัฐบาลจึงปล่อยตัวผู้นำคอมมิวนิสต์ที่ถูกคุมขังตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ถึงแม้ว่ากลุ่มประชาธิปไตยสังคมนิยมจะมีขนาดที่ใหญ่กว่ามาก แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังยอมรับแผนการปฏิบัติงานของกลุ่มคอมมิวนิสต์ ซึ่งรวมไปถึงการจัดตั้งระบบสภา การยึดทรัพย์สินส่วนบุคคล และการประกาศระบอบเผด็จการของชนชั้นกรรมาชีพอีกด้วย
เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 1919 สภาแรงงานซึ่งได้รับอำนาจนิติบัญญัติใหม่ได้ทราบข่าวถึงการควบรวมกันระหว่างพันธมิตร ของพรรคคอมมิวนิสต์ (นำโดย เบลอ กุน) และพรรคประชาธิปไตยสังคมนิยม พร้อมกับการประกาศจัดตั้งสาธารณรัฐโซเวียตฮังการีขึ้น โดยไม่เกิดการนองเลือดเลยแม้แต่นิดเดียว ในตอนแรกกาโรยีซึ่งไม่ได้รับทราบถึงการรวมกันระหว่างพันธมิตรนี้ ได้ปฏิเสธที่จะลาออก แต่ในท้ายที่สุดเขาก็ลาออกจากตำแหน่ง
โครงสร้างของรัฐบาลใหม่
ในคืนเดียวกันนั้น กุนได้รับการปล่อยตัว และได้เดินทางไปที่อดีตสำนักงานใหญ่ของพรรคประชาธิปไตยสังคมนิยม เพื่อหารือเกี่ยวกับการจัดตั้งคณะรัฐบาลใหม่ มีกรรมการราษฎรจากกลุ่มคอมมิวนิสต์สองคนในคณะรัฐมนตรี เพื่อดุลอำนาจส่วนใหญ่ ของกรรมการราษฎรจากกลุ่มประชาธิปไตยสังคมนิยม ส่วนสมาชิกกลุ่มคอมมิวนิสต์ที่เหลือเป็นรองกรรมการราษฎร กุนได้รับตำแหน่งเป็นกรรมการราษฎรฝ่ายกิจการต่างประเทศ ขณะที่สมาชิกคอมมิวนิสต์อื่น ๆ ได้ควบตำแหน่งในกระทรวงการเกษตร ในบรรดาสมาชิกทั้งหมดสามสิบสามคนของสภาปกครองใหม่ มีสิบสี่คนเป็นกลุ่มคอมมิวนิสต์ ซึ่งมีสิบสองคนเป็นรองกรรมการราษฎร เนื่องจากกรรมการราษฎรส่วนใหญ่เป็นกลุ่มประชาธิปไตยสังคมนิยม รัฐบาลได้รวมรัฐมนตรีของรูทีเนียไว้ในคณะรัฐมนตรีด้วย อันเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความตั้งมั่นที่จะต่อสู้เพื่อรักษาบูรณภาพแห่งดินแดนฮังการี ผู้นำหลายคนมีภูมิหลังจากการมีส่วนร่วมในการปฏิวัติรัสเซียหรือไม่ก็เป็นคอมมิวนิสต์ในค่ายกักกันของรัสเซีย แม้ว่ากอร์บอยีจะเป็นประธานสภาปกครองอย่างเป็นทางการ แต่กุนถือเป็นบุคคลสำคัญที่สุดในสาธารณรัฐโซเวียตใหม่นี้
พันธมิตรประชาธิปไตยสังคมนิยม-คอมมิวนิสต์
พันธมิตรระหว่างคอมมิวนิสต์กับประชาธิปไตยสังคมนิยมถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากตัวของเลนินเอง เขายังวิพากษ์วิจารณ์การเลียนแบบยุทธวิธีของรัสเซียโดยไม่ปรับให้เข้ากับบริบทของฮังการี พรรคใหม่ซึ่งเดิมคือพรรคสังคมนิยมฮังการี ได้เปลี่ยนใหม่เป็น "พรรคแรงงานสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ฮังการี" (อังกฤษ: Party of Socialist Communist Workers in Hungary)
อย่างไรก็ตาม การที่พรรคทั้งสองทำงานร่วมรัฐบาลเดียวกันนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย จูลอ ไพเดิล ได้เรียกร้องให้มีการยกเลิกระบอบสาธารณรัฐโซเวียตเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม ในความเป็นจริงแล้ว มีเพียงฝ่ายซ้ายและฝ่ายกลางของพรรคประชาธิปไตยสังคมนิยมเท่านั้นที่มีส่วนร่วมในรัฐบาลอย่างแข็งขัน ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างทั้งสองพรรคไม่ได้เกี่ยวกับเป้าหมายของทั้งสองฝ่าย แต่เป็นวิธีการบริหารที่เหมาะสมที่สุดเพื่อบรรลุเป้าหมายต่างหาก หลังการล่มสลายของสาธารณรัฐในเดือนสิงหาคม ความแตกต่างของทั้งสองฝ่ายก็ยิ่งแย่ลง
ช่วงแรก
แถลงการณ์ฉบับแรกของรัฐบาลใหม่ ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างลัทธิชาตินิยมที่สิ้นหวัง กับลัทธิมากซ์ ทำให้ผู้คนจำนวนมากออกมาต่อต้านรัฐบาลใหม่เพื่อสนับสนุนรัฐบาลประชาธิปไตยสังคมนิยม แต่เมื่อต้องเผชิญกับทางเลือกที่จะต้องยอมรับคำขาดจากบันทึกวิกซ์ ผู้คนส่วนใหญ่จึงตัดสินใจสนับสนุนลัทธิคอมมิวนิสต์ เพื่อรักษาเอกภาพในดินแดนของประเทศ ส่วนหนึ่งของความนิยมที่สนับสนุนระบอบใหม่นี้ มาจากการที่รัฐบาลคอมมิวนิสต์แห่งมอสโกได้เข้ารุกรานยูเครนเพื่อต่อสู้กับศัตรูภายในซึ่งมีไตรภาคีเป็นกำลังสนับสนุน
รัฐธรรมนูญ สภา และการปกครอง
ในเวลาต่อมา เมื่อวันที่ 3 เมษายน สภาปกครองได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราวฉบับใหม่ โดยได้ยอมรับว่าอำนาจทางการเมืองและทางกฎหมายเป็นของสภาแห่งชาติชุดใหม่ รัฐธรรมนูญได้รับรองสิทธิพลเมือง (การชุมนุม การแสดงออก) สิทธิทางสังคม (การศึกษาโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย) และสิทธิทางวัฒนธรรม (การรับรู้ทางวัฒนธรรมและภาษาของชนกลุ่มน้อย) อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติแล้ว รัฐบาลใหม่ได้ดำเนินการปกครองในลักษณะแบบเผด็จการ ในฐานะ "การปกครองแบบเผด็จการของชนกลุ่มน้อยที่แข็งขันในนามของชนชั้นกรรมาชีพที่เฉื่อยชา" อำนาจของรัฐกระจุกตัวอยู่แต่เพียงสภาปกครองและสภาบางแห่งเท่านั้น การเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎรได้จัดขึ้นเมื่อวันที่ 7 เมษายน โดยปรากฏรายชื่อของผู้แทนเพียงคนเดียว และไม่มีฝ่ายค้าน แม้ว่าอาจจะมีความเป็นไปได้ทางกฎหมายที่จะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ก็ตาม ไม่นานผู้แทนราษฎรก็ถูกถอดออกจากอำนาจท้องถิ่นโดยผู้แทนของรัฐบาล ซึ่งมีอำนาจที่แท้จริง
แม้จะมีข้อจำกัดในการเลือกตั้งสภา แต่ในการประชุมสภาแห่งชาติเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน ได้ลงเอยด้วยการวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงต่อสภาปกครอง ซึ่งจบลงด้วยการยุบสภาและได้มอบอำนาจให้แก่กรรมการราษฎรที่เห็นชอบ
การปะทะกับประเทศเพื่อนบ้านและการปรับโครงสร้างกองทัพ
สภาพสังคมและกองทัพแดง
กุนได้ประกาศยุบสภาทหาร ถึงแม้ว่าสภาทหารจะสนับสนุนให้เขาขึ้นสู่อำนาจก็ตาม และได้แต่งตั้งกรรมการราษฎรและศาลทหารปฏิวัติเพื่อพยายามนำความสงบเรียบร้อยมาสู่กองทัพอันไม่เป็นระเบียบ กองพันคนงานและกองพลน้อยระหว่างประเทศถูกส่งไปยังแนวรบหน้าด้วยค่าใช้จ่ายมหาศาล รัฐบาลได้ปฏิรูปกองทัพ ซึ่งในช่วงฤดูใบไม้ผลิจนถึงช่วงต้นฤดูร้อน กองทัพสามารถกู้คืนดินแดนที่สูญเสียไปได้บางส่วน จุดมุ่งหมายของการฟื้นฟูดินแดนนี้ได้รับความเห็นชอบจากสาธารณชนทั่วไปเกือบทั้งหมด ซึ่งแตกต่างจากมาตรการการเมืองภายใน ปลายเดือนมีนาคม กำลังทหารของฮังการียังคงไม่เพียงพอ โดยบูดาเปสต์มีกำลังทหารเพียง 18,000 นาย ในขณะที่ต้องเผชิญหน้ากับกองทัพเชโกสโลวาเกียจำนวน 40,000 นาย กองกำลังโรมาเนีย 35,000 นาย และกองกำลังผสมเซอร์เบียฝรั่งเศส 72,000 นายทางตอนใต้
แม้ว่าชาวนาส่วนใหญ่จะเพิกเฉยต่อคำร้องขอของรัฐบาลใหม่ แต่ชาวนาผู้ลี้ภัยจากดินแดนที่ถูกยึดครองโดยประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวนาจากบานัตและจากฝั่งตะวันออกของแม่น้ำทิสซอ กลายเป็นกลุ่มชาวนาได้เข้าร่วมต่อสู้กับกองทัพแดง โครงสร้างของกองทัพแดงส่วนใหญ่ประกอบด้วยชาวนา ในช่วงสัปดาห์แรกของสงคราม กองทัพแดงสามารถต่อสู้กับกองทัพประเทศเพื่อนบ้านได้เป็นอย่างดี แต่ในเวลาต่อมากองทัพเริ่มขาดระเบียบวินัยมากขึ้น แม้ว่ารัฐบาลต้องการให้การต่อสู้เป็นแบบสากลนิยม แต่ทหารและเจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่กลับต่อสู้ด้วยเหตุผลของชาตินิยม
อดีตนายทหารจากกองทัพออสเตรีย-ฮังการีและผู้ลี้ภัยชนชั้นกลางจำนวนมากก็ได้เข้าร่วมกองทัพใหม่ด้วยเช่นกัน เพราะผู้คนเหล่านี้เห็นถึงโอกาสที่จะสามารถกู้คืนดินแดนที่สูญเสียไปกลับคืนมา ไม่ใช่เพราะความนิยมต่ออุดมการณ์ของระบอบใหม่ โดยแรงจูงใจในการเข้าร่วมกองทัพสามารถสรุปได้สามประการ ได้แก่ ประกาศแรกคือแนวคิดชาตินิยมในการปกป้องและฟื้นฟูประเทศบ้านเกิด ประการที่สองคือโอกาสที่ดีในการเลื่อนตำแหน่งอย่างรวดเร็วในกองทัพใหม่ ที่ซึ่งเจ้าหน้าที่อาวุโสเก่าถูกปลดประจำการระหว่างสองสาธารณรัฐ และประการที่สามคือความจำเป็นในการยังชีพในกรณีที่ไม่มีงานทำ ผู้คนเหล่านี้มองว่าสาธารณรัฐโซเวียตใหม่พยายามต่อสู้เพื่อประเทศชาติ ซึ่งต่างจากควาบสงบสุขของสาธารณรัฐประชาชนอย่างสิ้นเชิง ชาวฮังการีต่างได้ร่วมต่อสู้อย่างดุเดือดตั้งแต่เดือนพฤษภาคมจนถึงเดือนมิถุนายน กระทั่งการถอนกำลังออกจากสโลวาเกีย ตามคำขาดของเกลม็องโซ ส่งผลให้ผู้คนส่วนใหญ่ไปเข้าร่วมกับฝ่ายต่อต้านปฏิวัติอื่น ๆ เช่น ฝ่ายกองทัพแห่งชาติ ซึ่งนำโดย มิกโลช โฮร์ตี หรือกองกำลังอื่น ๆ เพื่อพยายามหลบหนีการกวาดล้างจากรัฐบาลกุน
อย่างไรก็ตาม การต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ของประเทศเพื่อนบ้านไม่ใช่ข้ออ้างหลักในการขยายอาณาเขต ยูโกสลาเวียพึงพอใจกับการยึดครองบอรอญอ และหันไปขัดแย้งกับโรมาเนียเสียเอง เพื่อแย่งชิงและแบ่งแยกดินแดนบานัต ทำให้ทางตอนใต้ของสาธารณรัฐไม่เกิดการต่อสู้กันแต่อย่างใด
พัฒนาการของการต่อสู้
ความพ่ายแพ้ในทรานซิลเวเนียในเดือนเมษายน
ปลายเดือนเมษายน กองกำลังทหารที่เล็กกว่าของกองทัพแดงฮังการีต้องเผชิญหน้ากับกองกำลังทหารโรมาเนียเจ็ดกอง ซึ่งมีกำลังพลมากกว่ากันอยู่ห้าหมื่นนาย ในเดือนกุมภาพันธ์ ณ ทรานซิลเวเนีย ทางโรมาเนียได้เกณฑ์กำลังทหารจำนวนสองกองพล ได้แก่ กองพลที่ 16 และกองพลที่ 19 โดยประกอบด้วยทหารท้องถิ่น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวโรมาเนียและชาวแซกซัน (เป็นประชากรชนกลุ่มน้อยชาวเยอรมันในภูมิภาค) และได้ทำการเสริมกำลังพลมากขึ้นหลังการประกาศสาธารณรัฐโซเวียตในบูดาเปสต์ ในเดือนเมษายน ได้มีการจัดตั้งหน่วยรบใหม่ขึ้น ได้แก่ กองพลที่ 20 และกองพลที่ 21 ในช่วงกลางเดือนเมษายน กองบัญชาการของโรมาเนียมีจำนวนกองพันทหารราบทั้งสิ้น 64 กอง กองร้อยทหารม้า 28 กอง กองทหารปืนใหญ่ 192 กอง มีรถไฟหุ้มเกราะและมีฝูงบิน 3 กอง อีกทั้งยังมีบริษัทด้านวิศวกรรม 2 แห่ง ซึ่งทำให้กองทัพโรมาเนียมีแสนยานุภาพเหนือกว่ากองทัพฮังการีที่มีจำนวนกองพันทหารราบเพียงแค่ 35 กอง กองทหารปืนใหญ่ 20 กอง มีฝูงบิน 2 กอง รถไฟหุ้มเกราะ 3–4 ขบวน และกองร้อยทหารม้าไม่กี่กอง อย่างไรก็ตาม กองกำลังทั้งสองฝ่ายยังคงไม่ได้เผชิญหน้ากันอย่างเต็มรูปแบบ เนื่องจากการปะทะกันที่เกิดขึ้นในทางใต้กับกองกำลังเซอร์เบีย
การที่สาธารณรัฐขาดการสนับสนุนจากกองกำลังแนวรุกของโซเวียตรัสเซียในแม่น้ำนีสเตอร์ หลังจากการยึดครองออแดซาและการสร้างแนวป้องกันทางทิศตะวันออกของกองกำลังไตรภาคี ทำให้โรมาเนียสามารถโจมตีแนวรบของฮังการีทางด้านตะวันออกได้สะดวกยิ่งขึ้น การเปลี่ยนตำแหน่งของหน่วยทหารโซเวียตบางหน่วยในยูเครนทำให้ไม่มีการเผชิญหน้าทางทหารกันกับโรมาเนีย รัฐบาลบูดาเปสต์ต้องประสบกับวิกฤตการณ์ขั้นรุนแรง เมื่อกองทัพโรมาเนียและกองทัพเชโกสโลวาเกียเข้ารุกชายแดนของฮังการีและเคลื่อนพลมุ่งสู่เขตเหมืองแร่ในช็อลโกตอร์ยาน
หลังจากการรวมกำลังพลไว้ในแนวรบหน้า เมื่อวันที่ 16 เมษายน โรมาเนียจึงเริ่มเปิดการรุกรานทันที ในวันที่ 20 เมษายน กองทัพโรมาเนียเคลื่อนทัพเข้าสู่น็อจวาร็อด และในอีกสามวันต่อมาก็สามารถยึดครองแดแบร็ตแซ็นได้ ในวันที่ 21 เมษายน กองทัพโรมาเนียได้หยุดการเคลื่อนทัพเพื่อที่จะจัดระเบียบใหม่ ซึ่งนั่นทำให้ฮังการีเข้าใจผิดคิดว่าโรมาเนียจะไม่ข้ามพรมแดนตามที่ตกลงกันไว้ ในวันเดียวกันนั้น ฮังการีได้กำหนดระเบียบการบัญชาการของแนวรบหน้าใหม่ เพื่อพยายามหยุดการรุกรานของโรมาเนีย อีกทั้งเพื่อชดเชยขวัญกำลังใจของทหารที่กำลังตกต่ำและการขาดวินัยของทหารด้วย กรรมการราษฎรในส่วนต่าง ๆ เริ่มสูญเสียการควบคุมทางทหาร และผู้บัญชาการทหารแนวหน้า เอาเรล ชโตร์มแฟล์ด ได้ร้องขอให้ทางการส่งกำลังทหารมาเพิ่มเติม การรุกของโรมาเนียยังคงดำเนินต่อไปโดยขัดคำสั่งของฝรั่งเศส ที่พยายามขัดขวางแผนการตอบโต้ของแนวรบฮังการี ในวันที่ 30 เมษายน กองทัพโรมาเนียได้เคลื่อนพลมาถึงบริเวณแม่น้ำทิสซอ และตั้งแนวรบหลักอยู่ที่นั่น หลังการเสริมกำลังแนวหน้าด้วยกองทหารใหม่จากบูดาเปสต์และเมืองอุตสาหกรรมอื่น ๆ ทำให้ฮังการีสามารถต้านทานการรุกของโรมาเนียได้ที่โซลโนก และหยุดการรุกคืบของโรมาเนียในแม่น้ำทิสซอ ถึงกระนั้นก็ตาม รัฐบาลได้พิจารณาที่จะยอมจำนน โดยตระหนักว่าทางฮังการีไม่มีกองกำลังเพียงพอที่จะหยุดการโจมตีของกองทัพโรมาเนีย ข่าวลือที่ว่าโรมาเนียจะไม่หยุดยั้งการรุกรานและกำลังรุกเข้าสู่เมืองหลวงได้แพร่กระจายไปเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม ถึงแม้ว่าข่าวลือเหล่านี้จะไม่มีมูลความจริงใด ๆ โรมาเนียยังคงไม่ได้รับการสนับสนุนจากมหาอำนาจอื่นและกำลังเผชิญกับภัยคุกคามอย่างหนักจากรัสเซียในยูเครน กองทัพโรมาเนียได้หยุดการรุกรานระหว่างวันที่ 2 พฤษภาคม ถึงวันที่ 19 กรกฎาคม ในการรุกรานเมื่อเดือนเมษายน กองทัพโรมาเนียได้รับความเสียหายเพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดยมีนายทหารที่เสียชีวิตประมาณ 600 นาย และบาดเจ็บอีก 500 ราย ทำให้กองกำลังบางส่วนถูกส่งไปยังแนวรบด้านตะวันออกโดยทันที ในทางกลับกัน รัฐบาลฮังการียังคงคาดหวังความช่วยเหลือทางทหารจากรัสเซีย และหวังว่าจะมีการปฏิวัติสังคมนิยมในเยอรมนีและออสเตรีย
ชัยชนะในสโลวาเกียและถอนกำลังในภายหลัง
ในเวลาเดียวกัน ทางตอนเหนือ การรุกของเชโกสโลวาเกียได้หยุดลง ซึ่งเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม กองทัพแดงได้เคลื่อนพลมาถึงมิชโกลส์ ในวันที่ 10 พฤษภาคม การตอบโต้ของฮังการีเริ่มต้นขึ้นซึ่งสามารถผลักดันกองกำลังศัตรูกลับไปที่แม่น้ำอีปอย ในวันที่ 19 พฤษภาคม กองทัพแดงฮังการีได้เข้ายึดครองเปแตร์วาซารอ และยึดครองมิชโกลส์ในวันที่ 21 ส่งผลให้ขวัญกำลังใจของทหารในกองทัพเพิ่มขึ้น เมื่อวันที่ 26 ผู้บัญชาการกองทัพเริ่มวางแผนระยะต่อไปของการโจมตี โดยมุ่งเป้าหมายไปที่ชายแดนสามแห่งระหว่างเชโกสโลวาเกียและโรมาเนีย ซึ่งมีวัตถุประสงค์สองประการ ประการแรกคือเพื่อให้การพยายามติดต่อกับหน่วยงานในโซเวียตรัสเซียได้สะดวก และประการที่สองคือสามารถเข้าควบคุมพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ เพื่อแผนการโจมตีกองทัพโรมาเนียในทรานซิลเวเนียต่อไป ปฏิบัติการทางทหารของฮังการีเริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม ด้วยการโจมตีแนวรบหลัก ทำให้ในเดือนมิถุนายน กองทัพเชโกสโลวาเกียต้องล่าถอยไปเนื่องจากการรุกของกองทัพแดงฮังการี ในวันที่ 5 มิถุนายน กองกำลังฮังการีได้เข้ายึดครองกอซซอ กองบัญชาการทหารฮังการีเริ่มเตรียมแผนการโจมตีทางตะวันออกโดยไม่ละทิ้งแนวรบด้านเหนือ เพราะถึงแม้ว่าจะได้รับชัยชนะ แต่กองทัพเชโกสโลวาเกียก็ยังไม่ได้พ่ายแพ้เสียทีเดียว อันเป็นผลมาจากแนวรุกที่ฮังการีเลือกไว้ มีความเสี่ยงอยู่หลายประการอย่างยิ่ง
อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 7 มิถุนายน นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศส ฌอร์ฌ เกลม็องโซ ได้ขอให้ยุติการโจมตีทางเหนือต่อเชโกสโลวาเกีย ในวันที่ 10 กุนได้สัญญาว่าจะหยุดการรุกราน ซึ่งเป็นระยะเวลาเพียงหนึ่งวันก่อนการมาถึงของกองทัพฝรั่งเศสในบราติสลาวา ในวันที่ 13 คำขาดของเกลม็องโซถึงรัฐบาลฮังการีว่าด้วยการกำหนดพรมแดนทางเหนือได้เรียกร้องให้กองทัพแดงฮังการีถอนกำลังออกจากสโลวาเกีย และสัญญาว่ากองทัพโรมาเนียจะถอนกำลังออกจากทางตะวันออกเป็นการตอบแทน ในวันที่ 19 รัฐบาลได้ตอบรับข้อเรียกร้องนี้ โดยกุนเลือกที่จะให้ยินยอมกับข้อเรียกร้องของทางการฝรั่งเศส แม้ว่าผู้บัญชาการทหารส่วนใหญ่จะมีความปรารถนาที่จะดำเนินการรุกต่อไปทางตะวันตกเฉียงเหนือก็ตาม ในวันที่ 24 มีการประกาศยุติการสู้รบ และในวันที่ 30 กองทัพแดงเริ่มถอนกำลังออกจากสโลวาเกีย หลังจากยึดครองดินแดนของประเทศเพื่อนบ้านได้ 2836 ตารางกิโลเมตร สภาปกครองได้สั่งให้ถอนกำลังไปยังแนวรบเดิมที่ตั้งมั่นไว้ในเดือนพฤษภาคม การถอนกำลังออกจากสโลวาเกียทำให้เหล่าทหารส่วนใหญ่สูญเสียขวัญกำลังใจเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากนายทหารและเจ้าหน้าที่ส่วนมากเข้าร่วมกองกำลังคอมมิวนิสต์ด้วยเหตุผลของชาตินิยม การทัพในครั้งนี้ทำให้กองทัพฮังการีสูญเสียกำลังพลไปราว 4,500 คน ตามการประมาณการของฝรั่งเศส ในความเป็นจริงแล้ว จากการรุกของฮังการีเองทำให้ในตอนนี้กองทัพแดงได้สูญเสียกำลังพล และคงเป็นการยากที่จะรักษาแนวรุกไว้ได้ การถอนกำลังออกจากสโลวาเกียนำไปสู่การลาออกของเจ้าหน้าที่ชั้นอาวุโสหลายคน รวมทั้งนายพลชโตร์มแฟล์ดด้วย ซึ่งปฏิเสธที่จะละทิ้งดินแดนสโลวาเกียอันมีประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวฮังการี
เปิดฉากโจมตีทางตะวันออกและความพ่ายแพ้ครั้งสุดท้าย
หลังจากที่ทางการโรมาเนียไม่มีการตอบสนองใด ๆ มาเป็นเวลาสองสัปดาห์ ในที่สุดจึงมีการตอบสนองต่อคำร้องขอของนายกรัฐมนตรีฝรั่งเศส โดยเรียกร้องให้มีการถอนกำลังของกองทัพแดงฮังการี ก่อนที่กองทัพโรมาเนียจะถอนกำลังออกจากดินแดนที่ยึดได้ในเดือนเมษายน เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม การทัพครั้งใหม่ได้เริ่มต้นขึ้น เพื่อต่อต้านกองกำลังโรมาเนียทางตะวันออก ซึ่งมีเสถียรภาพที่เหนือกว่าทั้งในด้านกำลังพล ระเบียบวินัย และอาวุธยุทโธปกรณ์ เมื่อวันที่ 11 รัฐบาลฮังการีเรียกร้องให้กองทัพโรมาเนียถอนกำลังพลตามคำสัญญาของฝรั่งเศส แต่ทางการฝรั่งเศสกลับปฏิเสธในวันที่ 14 ซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อตกลงในการสงบศึก เกลม็องโซปฏิเสธที่จะให้โรมาเนียถอนกำลังตามที่ทางการบูดาเปสต์คาดหวังไว้ ดังนั้นรัฐบาลฮังการีจึงตัดสินใจใช้กำลังเพื่อเป็นการบังคับ เมื่อวันที่ 12 มีการประกาศเกณฑ์ทหารภาคบังคับและกองทัพจากทางเหนือก็เริ่มถอนกำลังออกมาบ้างแล้ว ซึ่งขณะนี้ภายในกองทัพก็เริ่มเกิดความแตกแยกและแบ่งฝักแบ่งฝ่ายกันเอง
ปฏิบัติการเริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม ซึ่งเป็นหนึ่งวันก่อนการเดินขบวนของสหภาพแรงงานในหลายประเทศยุโรปที่สนับสนุนรัฐบาลบูดาเปสต์ รัฐบาลต่อต้านการปฏิวัติแห่งแซแก็ดได้แจ้งแผนการโจมตีของกองทัพแดงฮังการีแก่ผู้บัญชาการทหารของโรมาเนีย แม้ว่าจะมีการสื่อสารกันที่ผิดพลาด แต่กองทัพแดงฮังการีได้ข้ามแม่น้ำทิสซอและเคลื่อนทัพต่อไปจนถึงวันที่ 23 กรกฎาคม ทำให้กองทัพโรมาเนียได้เริ่มโจมตีกลับในวันต่อมา กองทัพแดงเริ่มถอนกำลังพลในวันที่ 26 และในวันที่ 27 กองทัพแดงจึงเคลื่อนพลกลับไปที่พื้นที่เดิมก่อนการรุกราน ในวันที่ 30 กองทหารของโรมาเนียเริ่มเคลื่อนพลข้ามแนวแม่น้ำทิสซอ และมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงของฮังการีอย่างไม่ลดละ รัฐบาลโซเวียตรัสเซียไม่สามารถหยุดยั้งการรุกรานของโรมาเนียได้เหมือนครั้งที่เคยทำเมื่อเดือนพฤษภาคม ทางฮังการีซึ่งได้ยุบหน่วยทหารที่ไม่จำเป็นไปแล้วบางส่วน ต้องเผชิญกับความขัดแย้งภายในกองทัพและการขาดกำลังสำรอง ขณะนี้กองทัพแดงฮังการีกำลังล่าถอยด้วยความระส่ำระสาย ความหวังของรัฐบาลบูดาเปสต์ในการป้องกันการรุกรานแทบจะเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากการโจมตีของกองทัพโรมาเนียตลอดทั้งแนวรบ บรรดาผู้นำของรัฐบาลได้พิจารณาถึงความเป็นไปได้ที่จะละทิ้งเมืองหลวงและก่อตั้งกลุ่มต่อต้านขึ้นมาแทน โดยหวังว่าจะสามารถหยุดการรุกรานของโรมาเนียได้ อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอในการพิจารณานี้ถูกปัดตก แต่มีคำสั่งให้สร้างแนวรับการรุกรานใหม่บริเวณแม่น้ำทิสซอโดยสภาปกครอง ในคืนวันที่ 31 กรกฎาคม กองพลที่ 6 ของโรมาเนีย ได้ตั้งมั่นกองกำลังห่างจากโซลโนก ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญของแนวรบแม่น้ำทิสซอ เพียง 2 กิโลเมตรเท่านั้น ในขณะที่กองกำลังอื่น ๆ เข้ายึดโตกาย (Tokaj) และตอร์ซอล (Tarcal) ในทางเหนือ รัฐบาลบูดาเปสต์ออกคำสั่งให้ตอบโต้ทันที แม้ว่าขวัญกำลังใจของทหารจะต่ำก็ตาม กองทัพแดงฮังการีได้เดิมพันต่อสู้เป็นครั้งสุดท้ายเพื่อหยุดยั้งการรุกรานของกองทัพโรมาเนียอย่างไร้ผล เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม กองกำลังทหารของฮังการีจำนวนมากได้ละทิ้งแนวแม่น้ำ แม้ว่าจะมีบางหน่วยที่ยังคงยืนหยัดต่อสู้ หน่วยทหารที่เหลืออยู่ของฮังการีสามารถยึดโซลโนกกลับคืนมาได้ แต่ก็ไม่สามารถหยุดการรุกรานจากแนวรบอื่นที่เหลือ โดยในวันนั้น กองทัพโรมาเนียสามารถรุกคืบเข้าไปได้อีกสามสิบกิโลเมตร ซึ่งระหว่างทางก็พบกับการปะทะกันเล็กน้อย
แม้ว่ายูโกสลาเวียจะไม่เต็มใจเข้าร่วมในปฏิบัติการทางทหารกับฮังการี แต่ที่สุดแล้วรัฐบาลเบลเกรดก็ได้ตกลงเป็นพันธมิตร เนื่องด้วยแรงกดดันจากไตรภาคี การปะทะกันอีกครั้งในแนวรบของโรมาเนียได้สร้างความพ่ายแพ้ให้แก่ฮังการีอย่างรวดเร็ว จากการนัดหยุดงานของแรงงานในยูโกสลาเวีย เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม เพื่อหยุดยั้งการเข้าแทรกแซงสงคราม และการมอบกรรมสิทธิ์ดินแดนบานัตส่วนหนึ่งให้แก่โรมาเนียโดยไตรภาคี ทำให้ยูโกสลาเวียไม่ได้มีส่วนร่วมในการต่อต้านรัฐบาลบูดาเปสต์ครั้งนี้
มาตรการทางเศรษฐกิจและสังคมและวิกฤตภายใน
แม้ว่าสาธารณรัฐโซเวียตฮังการีจะทำสงครามกับประเทศเพื่อนบ้าน แต่รัฐบาลโซเวียตก็มุ่งมั่นที่จะนำอุดมการณ์แบบลัทธิสังคมนิยมมาใช้ในการเปลี่ยนแปลงสังคมของฮังการีโดยทันที รัฐบาลเริ่มดำเนินการปฏิรูปและออกมาตรการต่อผู้ที่ถูกมองว่าเป็น "ศัตรูของชนชั้นแรงงาน" โดยยึดตามแบบอย่างของรัสเซียอย่างเคร่งครัด ส่งผลให้สาธารณรัฐสูญเสียการสนับสนุนจากประชาชนอย่างรวดเร็ว การใช้มาตรการที่ก้าวหน้าและการประยุกต์ใช้ระบอบเผด็จการของรัฐบาล ก่อให้เกิดความไม่พอใจเป็นอย่างมากในหมู่ประชากร ความพยายามในการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตและค่านิยมของประชากรอย่างลึกซึ้งกลับกลายเป็นความล้มเหลว ความพยายามที่จะเปลี่ยนฮังการีจากสังคมแบบศักดินาเป็นสังคมแบบมาร์กซิสต์ล้มเหลวเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากการขาดประสบการณ์ของเจ้าหน้าที่รัฐและความล้มเหลวของขบวนการคอมมิวนิสต์ ตลอดจนความผันผวนทางการเมืองและเศรษฐกิจ รัฐบาลโซเวียตได้กำหนดวัตถุประสงค์ของตนไว้สองประการ ประการแรกคือการเปลี่ยนแปลงสังคมให้เป็นรูปแบบของมาร์กซิสต์ และประการที่สองคือการกำจัดความขัดแย้งทั้งหมด เพื่อประกันความอยู่รอดของระบอบเผด็จการของชนชั้นกรรมาชีพ
ในขณะที่นโยบายต่างประเทศถูกกำหนดโดยกุน นโยบายภายในประเทศส่วนใหญ่ได้ถูกกำหนดโดยสมาชิกส่วนใหญ่ของพรรคประชาธิปไตยสังคมนิยมในสภาปกครอง
การส่งเสริมวัฒนธรรมและการควบคุมสื่อ
รัฐบาลโซเวียตมีความพยายามเป็นอย่างมากที่จะปรับปรุงวัฒนธรรมของประชากร โรงละครถือเป็นสถานที่ส่วนรวมและการจำหน่ายตั๋วถูกควบคุมโดยกรรมการราษฎรฝ่ายศึกษาธิการ ซึ่งมีหน้าที่จำหน่ายตั๋วการแสดงราคาถูกให้แก่คนงาน โดยมาตรการนี้ได้ถูกนำมาใช้ในโรงภาพยนตร์และพิพิธภัณฑ์เช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม เนื่องจากรัฐบาลบริหารมาตรการผิดพลาด จึงตกเป็นเป้าหมายของการวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงจากศิลปินที่มีแนวคิดชาตินิยม นักเขียน และนักธุรกิจศิลปะ ในช่วงกลางเดือนมิถุนายน มาตรการวัฒนธรรมอันทะเยอทะยานของรัฐบาลกำลังอยู่ในสภาวะวิกฤต โดยมาตรการได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในแถบชนบทและตกอยู่ในความเสี่ยงเนื่องจากวิกฤตการณ์ทางการเงินของประเทศ
รัฐบาลจำกัดเสรีภาพสื่ออย่างเข้มงวด และสั่งระงับวารสารเป็นจำนวนมากด้วยเหตุผลทางการเมืองและปัญหาการขาดแคนกระดาษในช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ ความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกับสหภาพนักข่าวนำไปสู่การยุบสภาภายใต้คำสั่งของคณะรัฐมนตรีในเวลาต่อมา
นโยบายเพื่อเยาวชน
จากหลักฐานสิ่งพิมพ์สมัยใหม่ระบุว่ามาตรการของรัฐบาลที่มีต่อเยาวชนได้รับการวิพากษ์วิจารณ์เพียงเล็กน้อยเท่านั้น รัฐบาลอนุมัติให้มีการตรวจสุขภาพเยาวชนโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายและได้ส่งเสริมสุขอนามัยในโรงเรียน มีการจัดตั้งโครงการอาบน้ำสำหรับเด็กนักเรียนในห้องน้ำสาธารณะและกำหนดให้สถานบำรุงสุขภาพเป็นของส่วนรวม โครงการอาศัยในชนบทถูกสร้างขึ้นสำหรับเด็กจากครอบครัวที่ยากจนในเมืองหลวง และสภาปกครองมีหน้าที่รับผิดชอบในด้านสุขภาพแก่พวกเขา มีการจัดตั้งโครงการสอนพิเศษเฉพาะทางสำหรับเยาวชนผู้พิการในโรงเรียนและจัดตั้งสถาบันที่ทันสมัยสำหรับการรักษาผู้มีปัญหาทางจิต มีแผนการฟื้นฟูระยะยาวสำหรับเยาวชนที่ต่อต้านสังคม ซึ่งแผนนี้ไม่ได้ถูกนำไปใช้จริงเนื่องจากระยะเวลาอันสั้นของสาธารณรัฐ
การศึกษาและศาสนา
สถานศึกษาต่าง ๆ ถูกกำหนดเป็นของส่วนรวมทั้งสิ้นเมื่อวันที่ 29 มีนาคม และถูกรวมอำนาจการดูแลมาไว้ที่รัฐบาล โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงแผนการศึกษา มีความพยายามปรับปรุงและกำหนดหลักสูตรการศึกษาใหม่ และปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวกที่มีอยู่ มีการจัดพิมพ์หนังสือเรียนใหม่และพัฒนาบุคลากรทางการศึกษาให้ดียิ่งขึ้น มีการวางแผนโครงการปลูกฝังลัทธิมากซ์ในสถานศึกษา ซึ่งโครงการยังไม่ทันได้จัดขึ้นเนื่องจากสาธารณรัฐโซเวียตล่มสลายเสียก่อน แม้ว่ารัฐบาลจะมีห่วงใยแก่เหล่าอาจารย์ผู้สอน แต่สำหรับบรรดาคณาจารย์ส่วนใหญ่แล้วกลับไม่ได้นิยมชมชอบต่อระบอบการปกครองใหม่สักเท่าใดนัก ซึ่งนำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างครูอาจารย์อย่างรุนแรง การสอนเพศศึกษาสมัยใหม่ได้ถูกนำมาใช้ในหลักสูตรของโรงเรียนโดยไม่มีการวางแผนอะไรมากนัก
ศาสนาถือเป็นปัญหาสำคัญอีกประการหนึ่งของรัฐบาล การโอนกรรมสิทธิ์สถานศึกษาเอกชนและโรงเรียนสอนศานาให้เป็นของรัฐ (ซึ่งคิดเป็น 70 % ของสถานศึกษาทั้งหมดในประเทศ) และการปราบปรามสัญลักษณ์และกิจกรรมทางศาสนาในโรงเรียน ทำให้ความขัดแย้งระหว่างคณาจารย์และรัฐบาลทวีความรุนแรงมากขึ้น แม้ว่ารัฐบาลจะยังปกป้องสิทธิส่วนบุคคลและเสรีภาพในการนับถือศาสนา แต่การโต้เถียงที่เกิดขึ้นจากการปราบปรามสัญลักษณ์ทางศาสนาได้สร้างภาพลักษณ์อันเสื่อมเสียต่อรัฐบาลเป็นอย่างยิ่ง
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ความปราชัยและการล่มสลาย
ภายหลังจากความปราชัยทางทหารในภาคตะวันออก ประกอบกับรัฐบาลได้สูญเสียการสนับสนุนจากสหภาพแรงงาน ส่งผลให้การประชุมคณะกรรมการสหภาพแรงงาน เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม ซึ่งมีผู้นำสหภาพแรงงาน 46 คน ลงมติคัดค้านการรักษาระบอบสาธารณรัฐโซเวียตอย่างท่วมท้น โดยมีเพียง 3 คนเท่านั้นที่เห็นด้วย ผลจากการลงมติครั้งนี้ได้ถูกส่งไปให้กุน ซึ่งเมื่อวันก่อน ตัวเขาปฏิเสธที่จะลาออกและระบุว่ากองทัพสามารถยึดแนวหน้าได้ สภาปกครองจึงเรียกประชุมวิสามัญของขบวนการแรงงานและทหารในบูดาเปสต์ในวันรุ่งขึ้น
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม ระหว่างการประชุมสภาแรงงานกลาง คณะรัฐมนตรีได้มอบอำนาจให้กับรัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งประกอบด้วยผู้นำสหภาพแรงงานสายกลาง จูลอ ไพเดิล ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ไพเดิลปฏิเสธที่จะปรากฏตัวต่อสภา โดยเป็นการบ่งบอกว่าตัวเขาปฏิเสธระบอบโซเวียต ซึ่งเขาไม่ได้มีส่วนร่วมอย่างแข็งขัน ภายหลังจากการลาออกของกุน ผู้นำหลักของสาธารณรัฐโซเวียตฮังการีบางคนก็ไปจัดตั้งพรรคคอมมิวนิสต์ใต้ดิน ในคืนเดียวกันนั้น กุนได้รับการยืนยันว่ารัฐบาลออสเตรียยินดีที่จะให้ที่พักพิงแก่ตัวเขาและผู้ติดตามบางคน กุนและอดีตกรรมการราษฎรบางส่วนจึงได้ลี้ภัยจากบูดาเปสต์ โดยรถไฟสองขบวนและมาถึงเวียนนาในช่วงเช้าตรู่ของวันที่ 2 สิงหาคม พรรคพวกของเขาได้ถูกกลุ่มต่อต้านคอมมิวนิสต์บุกทำร้ายระหว่างทางไปสถานีรถไฟ
รัฐบาลใหม่ที่นำโดย จูลอ ไพเดิล ซึ่งอยู่ในความดูแลของฝ่ายประชาธิปไตยสังคมนิยม ได้มีกรรมการราษฎรจากคณะรัฐมนตรีของกุนบางคนเข้าร่วมกับคณะรัฐบาลไพเดิล เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี มีการประกาศให้ยกเลิกสาธารณรัฐโซเวียต พร้อมกับการฟื้นฟูสาธารณรัฐประชาชนขึ้นมาใหม่อีกครั้ง และได้ออกมาตรการรื้อถอนมรดกตกทอดของระบอบโซเวียต ในขณะเดียวกัน กองทัพโรมาเนียได้เคลื่อนกำลังพลห่างจากเมืองหลวงเพียง 20 กิโลเมตรเท่านั้น และในวันรุ่งขึ้น กองกำลังหน่วยแรกของโรมาเนียก็ได้เข้าสู่บูดาเปสต์ โดยมีกองทหารของฮังการีเพียงไม่กี่หน่วยเท่านั้นที่ยังคงยืนหยัดปกป้องเมืองหลวง แต่ก็ล้มเหลว รัฐบาลไม่สามารถป้องกันกองทัพโรมาเนียที่เคลื่อนพลเข้าสู่บูดาเปสต์ได้ ดังนั้นในวันที่ 4 จึงไม่มีการต่อต้านจากทางการฮังการี โรมาเนียได้พยายามจัดตั้งรัฐบาลหุ่นเชิดในบูดาเปสต์หลังจากความพ่ายแพ้ของคอมมิวนิสต์ โดยมียูโกสลาเวียและเชโกสโลวาเกียเป็นผู้อนุมัติ แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ
ดูเพิ่ม
หมายเหตุ
- ตำแหน่งอย่างเป็นทางการของเบลอ กุน คือกรรมการราษฎรฝ่ายกิจการต่างประเทศของฮังการี
- เนื่องจากการแปลที่ผิดพลาดในช่วงแรก จึงกลายเป็นที่รู้จักกันในชื่อ สาธารณรัฐโซเวียตฮังการี ในแหล่งข้อมูลภาษาอังกฤษ (ฮังการี: Magyar Szovjet-köztársaság)
- เป็นการเลียนแบบอย่างจากบอลเชวิคในโซเวียตรัสเซีย แต่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับสภาแรงงาน (โซเวียต) ซึ่งชื่อเหมือนกัน
- ตามหนังสือของ Völgyes ในหน้าที่ 161 ได้ระบุวันที่เป็นไปได้อยู่สองวัน คือวันที่ 22 และ 24 พฤศจิกายน ส่วนหนังสือของ Zsuppán ในหน้าที่ 317 ได้ระบุว่าเป็นวันที่ 20 และหนังสือของ Janos ในหน้าที่ 189 ได้ยืนยันว่า วันที่ 20 เป็นวันที่มีการพบปะกันระหว่างพวกคอมมิวนิสต์ นักสังคมนิยมหัวรุนแรง และคนอื่น ๆ ที่มีส่วนร่วมการก่อตั้งพรรคใหม่
- ในเดือนมีนาคม คลังอาวุธลับของพรรคคอมมิวนิสต์มีจำนวนปืนไรเฟิลทั้งหมด 35,000 กระบอก
- มีตำรวจเสียชีวิต 7 นาย และมีผู้บาดเจ็บประมาณ 80 คน ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์รู้ดีว่ารัฐบาลจะต้องจับกุมพวกเขาอย่างแน่นอนหลังจากการประท้วง แต่ก็ตัดสินใจที่จะไม่หลบหนี ทำให้มีผู้ถูกจับกุมในเหตุการณ์ครั้งนี้จำนวนเจ็ดสิบหกคน Zsuppán, p. 329.
- กอร์บอยีได้อธิบายถึงความจำเป็นในการสร้างความใกล้ชิดกับคอมมิวนิสต์รัสเซียไว้ว่า
จากตะวันตก เราไม่สามารถคาดหวังอะไรได้เลยนอกเสียจากความสงบสุขซึ่งบีบบังคับให้เราละทิ้งการเลือกตั้งโดยเสรี ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการยอมรับระบอบเผด็จการรูปแบบใหม่ ไตรภาคีได้นำเราไปสู่แนวทางใหม่ ที่ทางตะวันออกจะรับรองเรา ส่วนทางตะวันตกปฏิเสธ...
- รัฐธรรมนูญได้กีดกันพระสงฆ์ ฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง อดีตผู้แสวงหาผลประโยชน์ และอาชญากร จากสิทธิในเลือกตั้ง ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว ผู้ที่มีสิทธิในการเลือกตั้งต้องมีคุณสมบัติเป็นผู้ชายผู้หญิงอายุสิบแปดปีขึ้นไป Janos, p. 193.
- ปัจจุบันคือกอชิตเซ ประเทศสโลวาเกีย
- ในภาษาฮังการี เรียกว่า "โปโจญ" (Pozsony)
อ้างอิง
- Angyal, Pál (1927). . A magyar büntetőjog kézikönyve. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 March 2016.
- ↑ Völgyes 1970, p. 58.
- John C. Swanson (2017). Tangible Belonging: Negotiating Germanness in Twentieth-Century Hungary. University of Pittsburgh Press. p. 80. ISBN 9780822981992.
- ↑ Juhász 1979, p. 18.
- ↑ Király & Pastor 1988, p. 92.
- ↑ Balogh 1976, p. 15.
- ↑ Janos 1981, p. 195.
- Király & Pastor 1988, p. 34.
- ↑ Bodo 2010, p. 703.
- ↑ Király & Pastor 1988, p. 6.
- ↑ Szilassy 1971, p. 37.
- ↑ Király & Pastor 1988, p. 226.
- ↑ Janos 1981, p. 201.
- Balogh 1975, p. 298; Király & Pastor 1988, p. 226.
- ↑ Király & Pastor 1988, p. 4.
- ↑ Völgyes 1971, p. 61.
- Völgyes 1971, p. 84.
- ↑ Király & Pastor 1988, p. 166.
- Völgyes 1971, p. 88.
- Pastor 1976, p. 37.
- Zsuppán 1965, p. 314.
- ↑ Szilassy 1969, p. 96.
- ↑ Janos 1981, p. 191.
- ↑ Szilassy 1969, p. 97.
- ↑ Zsuppán 1965, p. 315.
- ↑ Király & Pastor 1988, p. 29.
- ↑ Völgyes 1970, p. 62.
- Völgyes 1971, p. 162.
- ↑ Janos & Slottman 1971, p. 66.
- Janos 1981, p. 190.
- ↑ Zsuppán 1965, p. 321.
- ↑ Zsuppán 1965, p. 320.
- ↑ Zsuppán 1965, p. 317.
- Király & Pastor 1988, p. 127.
- Zsuppán 1965, p. 322.
- ↑ Zsuppán 1965, p. 323.
- ↑ Zsuppán 1965, p. 325.
- Zsuppán 1965, p. 326.
- ↑ Zsuppán 1965, p. 327.
- Zsuppán 1965, p. 319.
- ↑ Zsuppán 1965, p. 324.
- ↑ Janos & Slottman 1971, p. 67.
- Zsuppán 1965, p. 328.
- ↑ Zsuppán 1965, p. 329.
- ↑ Király & Pastor 1988, p. 129.
- Völgyes 1971, p. 164.
- ↑ Zsuppán 1965, p. 330.
- ↑ Zsuppán 1965, p. 333.
- ↑ Zsuppán 1965, p. 331.
- ↑ Zsuppán 1965, p. 332.
- ↑ Janos 1981, p. 192.
- ↑ Juhász 1979, p. 19.
- Szilassy 1969, p. 98.
- Szilassy 1971, p. 32.
- ↑ Pastor 1976, p. 140.
- ↑ Szilassy 1971, p. 33.
- ↑ Zsuppán 1965, p. 334.
- Pastor 1976, p. 141.
- Völgyes 1970, p. 64.
- ↑ Király & Pastor 1988, p. 259.
- ↑ Janos & Slottman 1971, p. 68.
- Bodo 2010, p. 708.
- ↑ Pastor 1976, p. 143.
- Király & Pastor 1988, p. 272.
- ↑ Pastor 1976, p. 144.
- ↑ Király & Pastor 1988, p. 245.
- Völgyes 1970, p. 65.
- Király & Pastor 1988, p. 31.
- ↑ Völgyes 1970, p. 66.
- Szilassy 1971, p. 39.
- ↑ Szilassy 1971, p. 38.
- ↑ Völgyes 1970, p. 68.
- ↑ Balogh 1976, p. 16.
- ↑ Janos & Slottman 1971, p. 61.
- Balogh 1976, p. 23.
- Janos & Slottman 1971, p. 64.
- ↑ Király & Pastor 1988, p. 5.
- Janos 1981, p. 193.
- ↑ Janos 1981, p. 194.
- Völgyes 1970, p. 93.
- ↑ Mocsy 1983, p. 98.
- ↑ Király & Pastor 1988, p. 76.
- Király & Pastor 1988, p. 172.
- ↑ Király & Pastor 1988, p. 36.
- ↑ Király & Pastor 1988, p. 37.
- Király & Pastor 1988, p. 237.
- ↑ Juhász 1979, p. 23.
- ↑ Juhász 1979, p. 22.
- ↑ Király & Pastor 1988, p. 43.
- ↑ Király & Pastor 1988, p. 42.
- ↑ Király & Pastor 1988, p. 49.
- ↑ Király & Pastor 1988, p. 65.
- Király & Pastor 1988, p. 50.
- ↑ Király & Pastor 1988, p. 309.
- ↑ Király & Pastor 1988, p. 58.
- ↑ Király & Pastor 1988, p. 59.
- Juhász 1979, p. 2.
- Juhász 1979, p. 24.
- Szilassy 1971, p. 42.
- Szilassy 1969, p. 99.
- ↑ Király & Pastor 1988, p. 69.
- ↑ Juhász 1979, p. 25.
- Janos & Slottman 1971, p. 82.
- ↑ Király & Pastor 1988, p. 81.
- Szilassy 1971, p. 43.
- ↑ Szilassy 1969, p. 100.
- Király & Pastor 1988, p. 7.
- Balogh 1976, p. 29.
- ↑ Szilassy 1971, p. 45.
- ↑ Király & Pastor 1988, p. 72.
- ↑ Juhász 1979, p. 26.
- ↑ Király & Pastor 1988, p. 71.
- Király & Pastor 1988, p. 82.
- ↑ Király & Pastor 1988, p. 83.
- ↑ Bodo 2010, p. 704.
- Király & Pastor 1988, p. 73.
- ↑ Szilassy 1971, p. 46.
- Szilassy 1971, p. 48.
- ↑ Király & Pastor 1988, p. 74.
- ↑ Király & Pastor 1988, p. 84.
- Völgyes 1971, p. 167.
- ↑ Völgyes 1971, p. 63.
- ↑ Völgyes 1971, p. 64.
- ↑ Völgyes 1971, p. 70.
- Völgyes 1971, p. 71.
- ↑ Völgyes 1971, p. 65.
- ↑ Völgyes 1971, p. 66.
- ↑ Völgyes 1971, p. 67.
- ↑ Völgyes 1971, p. 68.
- ↑ Völgyes 1971, p. 69.
- Balogh 1976, p. 26.
- ↑ Balogh 1976, p. 34.
- Balogh 1976, p. 33.
- Szilassy 1971, p. 47.
- ↑ Szilassy 1971, p. 49.
- ↑ Szilassy 1969, p. 101.
- Szilassy 1971, p. 52.
- Király & Pastor 1988, p. 75.
- Balogh 1975, p. 298.
บรรณานุกรม
- Balogh, Eva S. (1975). "Romanian and Allied Involvement in the Hungarian Coup d'Etat of 1919". East European Quarterly. 9 (3): 297–314. ISSN 0012-8449.
- Balogh, Eva S. (March 1976). "The Hungarian Social Democratic Centre and the Fall of Béla Kun". Canadian Slavonic Papers. Taylor & Francis. 18 (1): 15–35. doi:10.1080/00085006.1976.11091436. JSTOR 40867035.
- Bodo, Bela (October 2010). "Hungarian Aristocracy and the White Terror". Journal of Contemporary History. SAGE Publications. 45 (4): 703–724. doi:10.1177/0022009410375255. JSTOR 25764578. S2CID 154963526.
- Juhász, Gyula (1979). Hungarian Foreign Policy, 1919–1945. Akadémiai Kiadó. ISBN 978-96-30-51882-6.
- Janos, Andrew C.; Slottman, William B. (1971). Revolution in Perspective: Essays on the Hungarian Soviet Republic of 1919. University of California Press. ISBN 978-05-20-01920-1.
- Janos, Andrew C. (1981). The Politics of Backwardness in Hungary: Dependence and Development on the European Periphery, 1825-1945 (ภาษาอังกฤษ). Princeton University Press. p. 370. ISBN 9780691101231.
- Király, Béla K.; Pastor, Peter (1988). War and Society in East Central Europe. Columbia University Press. ISBN 978-08-80-33137-1.
- Mocsy, Istvan I. (1983). "The Uprooted: Hungarian Refugees and Their Impact on Hungary's Domestic Politics, 1918–1921". East European Monographs. doi:10.2307/2499355. ISBN 978-08-80-33039-8. JSTOR 2499355.
- Pastor, Peter (1976). Hungary Between Wilson and Lenin (ภาษาอังกฤษ). East European Monograph. p. 191. ISBN 9780914710134.
- Szilassy, Sándor (1969). "Hungary at the Brink of the Cliff 1918-1919". East European Quarterly. 3 (1): 95–109. ISSN 0012-8449.
- Szilassy, Sándor (1971). Revolutionary Hungary 1918–1921. Aston Park, Florida: Danubian Press. ISBN 978-08-79-34005-6.
- Swanson, John C. (2017). Tangible Belonging: Negotiating Germanness in Twentieth-Century Hungary. University of Pittsburgh Press. ISBN 978-0-8229-8199-2.
- Völgyes, Iván (1970). "The Hungarian Dictatorship of 1919: Russian Example versus Hungarian Reality". East European Quarterly. 1 (4). ISSN 0012-8449.
- Völgyes, Iván (1971). Hungary in Revolution, 1918–1919: Nine Essays. University of Nebraska Press. ISBN 978-08-03-20788-2.
- Zsuppán, Ferenc Tibor (1965). "The Early Activities of the Hungarian Communist Party, 1918-19". The Slavonic and East European Review. 43 (101): 314–334. ISSN 0037-6795.
หนังสืออ่านเพิ่มเติม
- György Borsányi, The life of a Communist revolutionary, Bela Kun translated by Mario Fenyo, Boulder, Colorado: Social Science Monographs, 1993.
- Andrew C. Janos and William Slottman (editors), Revolution in Perspective: Essays on the Hungarian Soviet Republic of 1919. Berkeley, CA: University of California Press, 1971.
- Bennet Kovrig, Communism in Hungary: From Kun to Kádár. Stanford University: Hoover Institution Press, 1979.
- Bela Menczer, "Bela Kun and the Hungarian Revolution of 1919," History Today, vol. 19, no. 5 (May 1969), pp. 299–309.
- Peter Pastor, Hungary between Wilson and Lenin: The Hungarian Revolution of 1918–1919 and the Big Three. Boulder, CO: East European Quarterly, 1976.
- Thomas L. Sakmyster, A Communist Odyssey: The Life of József Pogány. Budapest: Central European University Press, 2012.
- Rudolf Tokes, Béla Kun and the Hungarian Soviet Republic: The Origins and Role of the Communist Party of Hungary in the Revolutions of 1918–1919. New York: F.A. Praeger, 1967.
แหล่งข้อมูลอื่น
- Gioielli, Emily R. (2015). 'White Misrule': Terror and Political Violence During Hungary's Long World War I, 1919–1924 (PDF) (PhD). Central European University. สืบค้นเมื่อ 3 September 2021 – โดยทาง Electronic Theses & Dissertations.
- Hajdu, Tibor (1979). "The Hungarian Soviet Republic". Studia Histórica. Budapest: Akadémiai Kiadó (131). สืบค้นเมื่อ 3 September 2021 – โดยทาง Internet Archive.