อ็อทโท ฟ็อน บิสมาร์ค
อ็อทโท เอดูอาร์ท เลโอพ็อลท์ ฟ็อน บิสมาร์ค-เชินเฮาเซิน (เยอรมัน: Otto Eduard Leopold von Bismarck-Schönhausen) หรือที่นิยมเรียกว่า อ็อทโท ฟ็อน บิสมาร์ค เป็นรัฐบุรุษและนักการทูตแห่งราชอาณาจักรปรัสเซียและจักรวรรดิเยอรมัน เขาเป็นผู้นำทางการเมืองที่ทรงอิทธิพลที่สุดในยุโรประหว่างทศวรรษ 1860 ถึง 1890 และดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกแห่งจักรวรรดิเยอรมันระหว่าง 1871 ถึง 1890
อ็อทโท ฟ็อน บิสมาร์ค | |
---|---|
บิสมาร์คในปี ค.ศ. 1881 | |
นายกรัฐมนตรีจักรวรรดิเยอรมัน | |
ดำรงตำแหน่ง 21 มีนาคม ค.ศ. 1871 – 20 มีนาคม ค.ศ. 1890 | |
กษัตริย์ | จักรพรรดิวิลเฮ็ล์มที่ 1 จักรพรรดิฟรีดริชที่ 3 จักรพรรดิวิลเฮ็ล์มที่ 2 |
รอง | อ็อทโท ฟ็อน ชโตลแบร์ก-เวอร์นีเกอร์รอเดอ คาร์ล ไฮน์ริช ฟ็อน เบิร์ททีเคอร์ |
ก่อนหน้า | ตำแหน่งใหม่ |
ถัดไป | เลโอ ฟ็อน คาพรีวี |
มุขมนตรีปรัสเซีย | |
ดำรงตำแหน่ง 9 พฤศจิกายน ค.ศ. 1873 – 20 มีนาคม ค.ศ. 1890 | |
กษัตริย์ | วิลเฮ็ล์มที่ 1 ฟรีดริชที่ 3 วิลเฮ็ล์มที่ 2 |
ก่อนหน้า | อัลเบร็ชท์ ฟ็อน โรน |
ถัดไป | เลโอ ฟ็อน คาพรีวี |
ดำรงตำแหน่ง 23 กันยายน ค.ศ. 1862 – 1 มกราคม ค.ศ. 1873 | |
กษัตริย์ | จักรพรรดิวิลเฮ็ล์มที่ 1 |
ก่อนหน้า | เจ้าชายอดอล์ฟแห่งโฮเฮนโลเฮอ-อินเกิลฟินเกิน |
ถัดไป | อัลเบร็ชท์ ฟ็อน โรน |
นายกรัฐมนตรีสมาพันธรัฐเยอรมันเหนือ | |
ดำรงตำแหน่ง 1 กรกฎาคม ค.ศ. 1867 – 21 มีนาคม ค.ศ. 1871 | |
ประธานาธิบดี | จักรพรรดิวิลเฮ็ล์มที่ 1 |
ก่อนหน้า | ตำแหน่งใหม่ |
ถัดไป | ล้มเลิกตำแหน่ง |
รัฐมนตรีการต่างประเทศปรัสเซีย | |
ดำรงตำแหน่ง 23 พฤศจิกายน ค.ศ. 1862 – 20 มีนาคม ค.ศ. 1890 | |
ก่อนหน้า | อัลเบรชท์ ฟ็อน แบร์นชตอฟฟ |
ถัดไป | เลโอ ฟ็อน คาพรีวี |
ข้อมูลส่วนบุคคล | |
เกิด | 1 เมษายน ค.ศ. 1815 เชินเฮาเซิน มณฑลซัคเซิน ราชอาณาจักรปรัสเซีย (รัฐซัคเซิน-อันฮัลท์ในปัจจุบัน) |
เสียชีวิต | 30 กรกฎาคม ค.ศ. 1898 (อายุ 83 ปี) ฟรีดริชซรู รัฐชเลสวิช-ฮ็อลชไตน์ จักรวรรดิเยอรมัน |
พรรคการเมือง | ไม่สังกัดพรรคการเมือง |
คู่สมรส | โยฮันนา ฟ็อน พุทท์คาเมอร์ (ค.ศ. 1847–94; เสียชีวิต) |
บุตร | มารี แฮร์แบร์ท ฟ็อน บิสมาร์ค วิลเฮ็ล์ม ฟ็อน บิสมาร์ค |
ศิษย์เก่า | มหาวิทยาลัยเกิททิงเงิน มหาวิทยาลัยฮุมโบลท์แห่งเบอร์ลิน มหาวิทยาลัยไกร์ฟซวัลด์ |
วิชาชีพ | นักกฎหมาย |
ศาสนา | คริสต์นิกายลูเทอแรน |
ลายมือชื่อ |
ในปี 1862 จักรพรรดิวิลเฮ็ล์มที่ 1 แห่งปรัสเซีย ทรงแต่งตั้งบิสมาร์คเป็นมุขมนตรีแห่งปรัสเซีย ซึ่งเขาดำรงตำแหน่งนี้จนถึงปี 1890 เขานำพาปรัสเซียเข้าสู่สงครามสามครั้งอันได้แก่ สงครามชเลสวิชครั้งที่สอง, สงครามออสเตรีย-ปรัสเซีย และสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย และได้รับชัยชนะในสงครามทั้งสาม หลังชนะในสงครามกับออสเตรีย บิสมาร์คได้ยุบสมาพันธรัฐเยอรมันทิ้ง และจัดตั้งสมาพันธรัฐเยอรมันเหนืออันมีปรัสเซียเป็นแกนนำขึ้นมาแทน ศูนย์อำนาจทางการเมืองของยุโรปภาคพื้นทวีปได้ย้ายจากกรุงเวียนนาของออสเตรียไปยังกรุงเบอร์ลินของปรัสเซีย และเมื่อปรัสเซียมีชัยชนะเหนือฝรั่งเศสแล้ว บิสมาร์คก็ได้สถาปนาสมาพันธรัฐเยอรมันเหนือขึ้นเป็นจักรวรรดิเยอรมัน โดยทูลเชิญจักรพรรดิวิลเฮ็ล์มที่ 1 ขึ้นดำรงตำแหน่งจักรพรรดิเยอรมันพระองค์แรกในปี 1871 บิสมาร์คจึงกลายเป็นทั้งหัวหน้าฝ่ายบริหารของปรัสเซียและจักรวรรดิเยอรมัน
ความสำเร็จในการรวมชาติเยอรมันในปี 1871 บิสมาร์คได้ใช้ทักษะทางการทูตของเขารักษาดุลอำนาจของเยอรมันในยุโรปไว้ บิสมาร์คได้อุทิศตนเองในการพยายามรักษาสันติภาพในบรรดามหาอำนาจเป็นเวลากว่าสองทศวรรษ อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากที่เยอรมันผนวกแคว้นอาลซัส-ลอแรนมาจากฝรั่งเศส ได้จุดชนวนขบวนการชาตินิยมขึ้นในฝรั่งเศส การเรืองอำนาจของเยอรมันทำให้เกิดภาวะ "กลัวเยอรมัน" (Germanophobia) ขึ้นในฝรั่งเศส เป็นความครุกครุ่นก่อนปะทุเป็นสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
นโยบาย realpolitik ของบิสมาร์คประกอบกับบารมีที่มากล้นของเขาทำให้บิสมาร์คได้รับสมญาว่า นายกฯเหล็ก ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ก้าวกระโดดของเยอรมันถือเป็นรากฐานของนโยบายเหล่านี้ บิสมาร์คเป็นคนไม่ชอบการล่าอาณานิคมแต่เขาก็จำยอมฝืนใจต้องสร้างจักรวรรดิอาณานิคมเยอรมันขึ้นจากเสียงเรียกร้องของบรรดาชนชั้นนำและมวลชนในจักรวรรดิ บิสมาร์คมีชั้นเชิงทางการทูตชนิดหาตัวจับได้ยาก เขาเล่นกลการเมืองด้วยการจัดการประชุม การเจรจา และการร่วมเป็นพันธมิตรที่สอดประสานกันอย่างซับซ้อนหลายครั้งเพื่อถ่วงดุลอำนาจในทวีปยุโรปให้เกิดสันติสุขตลอดช่วงคริสต์ทศวรรษ 1870 และ 1880 ได้สำเร็จ
ไม่เพียงด้านการทูตและการต่างประเทศเท่านั้น บิสมาร์คยังเป็นปรมาจารย์ด้านการเมืองในประเทศ เขาริเริ่มรัฐสวัสดิการเป็นครั้งแรกในโลกสมัยใหม่ มีเป้าหมายเพื่อดึงการสนับสนุนของมวลชนจากชนชั้นแรงงาน ซึ่งมิเช่นนั้นแล้วมวลชนเหล่านี้อาจไปเข้าร่วมกับสังคมนิยมซึ่งเป็นศัตรูของเขาได้ ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1870 เขาเข้าเป็นพันธมิตรกับเสรีนิยม (ผู้นิยมอัตราภาษีศุลกากรระดับต่ำและต่อต้านคาทอลิก) และต่อสู้กับศาสนจักรคาทอลิกที่ซึ่งถูกขนานนามว่า คุลทูร์คัมพฟ์ (เยอรมัน: Kulturkampf; การต่อสู้ทางวัฒนธรรม) แต่พ่ายแพ้ โดยฝ่ายศาสนจักรตอบโต้ด้วยการจัดตั้งพรรคกลาง (Centre Party) อันทรงพลังและใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งทั่วไปของชายเพื่อให้ได้ที่นั่งในสภา ด้วยเหตุนี้บิสมาร์คจึงกลับลำ ล้มเลิกปฏิบัติการคุลทูร์คัมพฟ์ ตัดขาดกับฝ่ายเสรีนิยม กำหนดภาษีศุลกากรแบบคุ้มกัน และร่วมเป็นพันธมิตรทางการเมืองกับพรรคกลางเพื่อต่อกรกับฝ่ายสังคมนิยม
บิสมาร์คเป็นผู้เลื่อมใสศรัทธาในนิกายลูเทอแรนอย่างมาก จึงจงรักภักดีต่อกษัตริย์ของตนผู้ซึ่งมีทัศนะขัดแย้งกับเขา แต่ท้ายที่สุดก็ทรงโอนอ่อนและสนับสนุนเขาจากคำแนะนำของพระมเหสีและพระรัชทายาท ในขณะนั้นสภาไรชส์ทาคมาจากเลือกตั้งแบบสิทธิออกเสียงเลือกตั้งทั่วไปของชายชาวเยอรมัน แต่ไรชส์ทาคไม่มีอำนาจควบคุมนโยบายของรัฐบาลมากนัก บิสมาร์คไม่เชื่อในระบอบประชาธิปไตยจึงปกครองผ่านระบบข้าราชการประจำที่แข็งแกร่งและได้รับการฝึกฝนมาดีในอุ้งมือของอภิชนยุงเคอร์เดิมซึ่งประกอบด้วยขุนนางเจ้าที่ดินในปรัสเซียตะวันออก ในรัชกาลจักรพรรดิวิลเฮ็ล์มที่ 1 เขาเป็นผู้ควบคุมกิจการในประเทศและต่างประเทศเสียเป็นส่วนใหญ่ จนเมื่อจักรพรรดิวิลเฮ็ล์มที่ 2 ถอดเขาจากตำแหน่งในปี 1890 เมื่อเขาอายุได้ 75 ปี
บุคลิก
บิสมาร์คผู้เป็นขุนนางศักดินา ยุงเคอร์ มีบุคคลิกเด่น ๆ คือหัวรั้น ปากกล้า และบางครั้งเอาแต่ใจ แต่ในขณะเดียวกันก็สุภาพ มีเสน่ห์ และมีไหวพริบด้วยเช่นกัน ในบางโอกาสเขาก็เป็นคนที่มีอารมณ์รุนแรง บิสมาร์ครักษาอำนาจของเขาด้วยการเล่นละครแสดงบทบาทอ่อนไหวพร้อมขู่ว่าจะลาออกจากตำแหน่งอยู่ซ้ำ ๆ ซึ่งมักจะทำให้จักรพรรดิวิลเฮ็ล์มที่ 1 ทรงเกรงกลัว นอกจากนี้บิสมาร์คไม่เพียงแต่มีวิสัยทัศน์เกี่ยวกับกิจการภายในและต่างประเทศอันยาวไกลเท่านั้น แต่ยังมีทักษะที่สามารถเล่นกลทางการเมืองเพื่อแทรกแซงสถานการณ์อันซับซ้อนที่กำลังดำเนินไปในระยะสั้นได้ด้วย จนกลายเป็นผู้นำที่ถูกนักประวัติศาสตร์ขนานนามว่าเป็น "ฝ่ายอนุรักษนิยมสายปฏิวัติ" (revolutionary conservatism) สำหรับนักชาตินิยมเยอรมัน บิสมาร์คคือวีรบุรุษของพวกเขา มีการจัดสร้างอนุสาวรีย์ของบิสมาร์คหลายแห่งเพื่อเชิดชูเกียรติผู้ก่อตั้ง ไรซ์ ยุคใหม่ นักประวัติศาสตร์หลายคนเองก็ชื่นชมเขาในฐานะผู้มีวิสัยทัศน์ไกล ผู้ซึ่งมีส่วนสำคัญในการรวมเยอรมนีให้เป็นหนึ่งเดียวและช่วยให้ยุโรปดำรงสันติภาพเอาไว้ได้ผ่านการทูตอันชาญฉลาดของเขา
บรรดาศักดิ์
อาร์มประจำตัว |
บิสมาร์คได้รับบรรดาศักดิ์ กราฟแห่งบิสมาร์ค-เชินเฮาเซิน (Graf von Bismarck-Schönhausen) ในปีค.ศ. 1865 ลูกหลานเพศชายของบิสมาร์คทุกคนจะมีบรรดาศักดิ์นี้ ต่อมาในปีค.ศ. 1871 เขาได้รับการเลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น เฟือสท์แห่งบิสมาร์ค (Fürst von Bismarck) ซึ่งเป็นการยกฐานันดรจากขุนนางขึ้นเป็นเจ้า (Prinz) บรรดาศักดิ์เฟือสท์นี้จะตกและสืบทอดในสายทายาทชายคนโตเท่านั้น เลาเอินบวร์คเป็นอดีตแคว้นของปรัสเซีย บิสมาร์คได้ทูลขอไกเซอร์วิลเฮ็ล์มที่ 1 ให้ทรงยกอำนาจปกครองเลาเอินบวร์คให้แก่เขาเพื่อตอบแทนคุณความดีที่เขาทุ่มเทเพื่อราชวงศ์และจักรวรรดิ แต่องค์ไกเซอร์เห็นว่าบิสมาร์คเหมือนจะพยายามรื้อพื้นระบอบแว่นแคว้นดังเช่นในสมัยกลาง และยังทรงดำริว่ารางวัลที่ทรงมอบให้บิสมาร์คนั้นมากเกินพอแล้ว เมื่อบิสมาร์คถูกบีบบังคับให้ลาออกในปี ค.ศ. 1890 เขาได้รับพระราชทานยศ ดยุกแห่งเลาเอินบวร์ค (Herzog zu Lauenburg) ตำแหน่งดยุกที่เขาได้รับนั้นเป็นตำแหน่งที่ตั้งเป็นเกียรติยศเท่านั้น ไม่มีอำนาจปกครองแคว้นเช่นในอดีต สร้างความขุ่นเคืองแก่บิสมาร์คไม่น้อย
อ้างอิง
- Steinberg, Jonathan. Bismarck: A Life. p. 51. ISBN 9780199782529.
- Hopel, Thomas (23 August 2012) "The French-German Borderlands: Borderlands and Nation-Building in the 19th and 20th Centuries"
- Steinberg, 2011, pp.8, 424, 444; Bismarck specifically referred to Socialists, among others, as "Enemies of the Reich".
- Hull, Isabel V. (2004). The Entourage of Kaiser Wilhelm II, 1888–1918. p. 85. ISBN 9780521533218.
- "A Veteran Diplomat" (27 September 1908). "The "Mediatized" – or the "High Nobility" of Europe; Consisting of Something Like Fifty families Which Enjoyed Petty Sovereignty Before the Holy Roman Empire's Overthrow, They Still Exercise Certain Special Privileges Mixed with Unusual Restrictions". The New York Times.