อีกากินซาก
อีกากินซาก (อังกฤษ: carrion crow; ชื่อวิทยาศาสตร์: Corvus corone) จัดอยู่ในวงศ์นกกา อันดับนกเกาะคอน มีลักษณะเด่นจากนกกาอื่นคือ หัวแบน ขนแน่นสีดำล้วน และกินซากสัตว์ มีขนาด 45–47 เซนติเมตร ซึ่งเป็นนกกาที่ใหญ่ที่สุดชนิดหนึ่งในวงศ์ พบได้ในเขตชีวภาพพาลีอาร์กติก ตั้งแต่ สแกนดิเนเวีย และ ยุโรปตะวันตก ไปจนถึง ไซบีเรียตะวันออก ญี่ปุ่น และประเทศจีน
Carrion crow ช่วงเวลาที่มีชีวิตอยู่: Late Pleistocene–Recent | |
---|---|
กำลังหาอาหารบนหาด ในดอร์เซต ประเทศอังกฤษ | |
สถานะการอนุรักษ์ | |
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์ | |
อาณาจักร: | สัตว์ |
ไฟลัม: | สัตว์มีแกนสันหลัง |
ชั้น: | สัตว์ปีก |
อันดับ: | Passeriformes |
วงศ์: | วงศ์นกกา |
สกุล: | Corvus Linnaeus, 1758 |
สปีชีส์: | Corvus corone |
ชื่อทวินาม | |
Corvus corone Linnaeus, 1758 | |
Subspecies | |
| |
ระยะกระจายพันธุ์ของอีกากินซาก ช่วงตลอดปี ช่วงฤดูร้อน ช่วงฤดูหนาว |
อนุกรมวิธาน
อีกากินซาก (Corvus corone) เป็นหนึ่งในอีกาหลายสายพันธุ์ที่คาโรลัส ลินเนียส ระบุชนิดพันธุ์ในปี พ.ศ. 2301 ในหนังสือระบบธรรมชาติ (Systema Naturae) ชื่อทวินามจากภาษาละติน Corvus หมายถึง "กา" และภาษากรีก κορώνη (korōnē) หมายถึง "กา"
ก่อนหน้าในปี พ.ศ. 2545 อีกาหมวกดำ (Corvus cornix) ซึ่งเดิมเป็นชนิดย่อยของอีกากินซากได้ถูกแยกออกเป็นชนิดใหม่ ปัจจุบันมีการพิจารณาแยก "อีกากินซากตะวันออก" (C. c. orientalis) ออกเป็นชนิดย่อย จากความแตกต่างทางสรีระที่มากพอ คือมีขนาดใหญ่กว่า ทรงของแพนหางที่กว้างกว่า และจากการมีวิวัฒนาการอย่างอิสระในพื้นที่ของทั้งสองชนิดพันธุ์ย่อยที่แยกออกจากกันในตอนปลายสุดคนละฝั่งทะเลของผืนทวีปยูเรเชีย
ญาติสนิทที่สุดของอีกากินซากคือ อีกาอเมริกัน (Corvus brachyrhynchos) ในอเมริกาเหนือ ซึ่งอาศัยในนิเวศวิทยาและรูปร่างคล้ายคลึงกันมาก สันนิษฐานว่าอาจแยกออกจากกันในสมัยไพลโอซีน[ต้องการอ้างอิง]
ลักษณะทางกายวิภาค
อีกากินซาก (C. corone) อาศัยในระยะการกระจายพันธุ์ที่ใกล้เคียงและทับซ้อนกับนกกาชนิดอื่น ๆ ได้แก่ อีกาโคนปากขาว อีกาหมวกดำ และ นกเรเวน ซึ่งสามารถระบุความแตกต่างของลักษณะทางกายวิภาคได้ดังนี้
ขนของอีกากินซากมีสีดำ มีสีเหลื่อมของขนเป็นเงาสะท้อน สีเขียวหรือสีม่วง ซึ่งมีสีเหลื่อมเขียวสดกว่าขนของอีกาโคนปากขาว อีกากินซากมีมีจะงอยปาก ขา และเท้าสีดำ โดยทั่วไปมีขนาดลำตัวยาว 48-52 ซม. ซึ่งเล็กกว่านกเรเวน (ซึ่งยาวโดยเฉลี่ย 63 เซนติเมตร) และอีกากินซากมีขนสีดำล้วนต่างจากอีกาหมวกดำที่มีขนตัวสีเทาและหัวดำ
อีกากินซากมีช่วงปีกกว้าง 84–100 ซม. น้ำหนัก 400–600 กรัม มีลักษณะและขนาดที่คล้ายคลึงกันมากกับอีกาโคนปากขาว (C. frugilegus) โดยเฉพาะนกรุ่นซึ่งทั้งสองชนิดแทบไม่ต่างกันยกเว้นปีกของอีกากินซากที่ดูล่ำและสั้นกว่าเมื่อพับข้างตัว เมื่อบิน ปีกที่กางออกของอีกากินซากจะมีช่วงปีกสั้นกว่า และปีกกว้างกว่า (ในแนวหัวไปหาง) และเมื่อโตเต็มที่อีกาโคนปากขาวจะสลัดขนที่โคนปากจนเห็นหนังสีขาว ต่างจากอีกากินซากยังคงขนรอบโคนปากคล้ายขนแปรง
นอกจากนี้ในอีกากินซากรุ่น สามารถระบุได้จากขนที่ออกสีน้ำตาล และตาสีฟ้า ซึ่งจะเปลี่ยนเป็นขนสีดำและตาสีน้ำตาลเมื่อโตเต็มที่
การกระจายพันธุ์และถิ่นที่อยู่
อีกากินซาก (C. corone) และอีกาหมวกดำ (C. cornix) เป็นกาสองสายพันธุ์ที่เป็นญาติใกล้ชิดกันมาก และมีแหล่งกระจายพันธุ์ทั่วยุโรป (แบ่งตามแผนภาพประกอบ) สันนิษฐานว่า เดิมเป็นชนิดเดียวกันแต่อาจแยกถิ่นที่อยู่จากผลของวัฏจักรของธารน้ำแข็งในสมัยไพลสโตซีน ซึ่งทำให้ประชากรกลุ่มหลักเดิมแยกขาดออกจากกันเป็น 2 กลุ่ม และเริ่มวิวัฒนาการให้ลักษณะทางกายวิภาคต่างกัน ที่ชัดเจนที่สุดคือสีขน ต่อมาเมื่อที่สภาพอากาศร้อนขึ้นทั้ง 2 กลุ่มเริ่มขยายแหล่งกระจายพันธุ์อีกครั้งทำให้เกิดการติดต่อกันแบบย่อย ๆ ในบางพื้นที่ (พื้นที่เขตรอยต่อ)
เพิลสตราและคณะ (Poelstra, et al) วิเคราะห์เรียงลำดับจีโนมเกือบสมบูรณ์ จากตัวอย่างประชากรนกซึ่งเชื่อว่าอาศัยอยู่ในเขตที่ห่างพอจากพื้นที่เขตรอยต่อของทั้งสองชนิด พบว่าทั้งอีกาสองชนิดมีความเหมือนกันทางพันธุกรรมทั้งในดีเอ็นเอ และในรูปของ mRNA มีการความต่างกันของของจีโนมในสัดส่วนที่น้อยมาก (น้อยกว่า 0.28%) โดยเฉพาะที่อยู่บนโครโมโซมที่ 18 ซึ่งเป็นตัวกำหนกสีขนของอีกาหมวกดำให้มีสีลำตัวที่อ่อนกว่า ซึ่งหมายถึงทั้งสองชนิดสามารถผสมพันธุ์กันได้ และในความเป็นจริงได้เกิดขึ้นบางครั้งในพื้นที่เขตรอยต่อ แต่เนื่องจากไม่ได้ผสมข้ามพันธุ์กันเสียทุกกรณี คือ มีความเป็นไปได้ที่ในพื้นที่เขตรอยต่อ อีกากินซากที่สีดำล้วนผสมกับเฉพาะอีกากินซาก และในทำนองเดียวกันอีกาหมวกดำที่ผสมกับเฉพาะอีกาหมวกดำ คณะผู้วิจัยระบุว่า มีความชัดเจนว่ารูปลักษณ์ภายนอกของอีกาสองชนิดที่ต่างกัน อาจช่วยยับยั้งการผสมข้ามพันธุ์ สิ่งนี้เป็นการผสมพันธุ์แบบเลือกสรร (assortative mating) แทนที่จะเป็นการคัดเลือกทางนิเวศวิทยา ข้อได้เปรียบของการผสมพันธุ์แบบนี้ยังไม่เป็นที่ชัดเจน แต่อาจเร่งไปสู่การปรากฏตัวของชนิดย่อยใหม่ หรือแม้แต่ชนิดใหม่ได้อย่างรวดเร็ว และอาจเป็นไปได้ว่าเป็นสายพันธุ์ที่เกิดจากการผสมข้ามพันธุ์ยังดึงดูดซึ่งกันและกัน และขยายขนาดประชากร
อุนนิกฤษนัน และอาคีรา (Unnikrishnan และ Akhila) เสนอในทางกลับกันว่าเป็นพฤติกรรมชื่นชอบความคล้าย (koinophilia) เป็นคำอธิบายที่ชัดเจนกว่าสำหรับความต้านทานต่อการผสมพันธุ์ข้ามเขตติดต่อ แม้ว่าจะไม่มีอุปสรรคทางสรีรวิทยากายวิภาคหรือพันธุกรรมในการผสมพันธุ์ดังกล่าว
อีกากินซากยังพบได้ในภูเขาและป่าไม้ของญี่ปุ่นและในเมืองต่างๆของญี่ปุ่น และในบราซิลซึ่งสันนิษฐานว่าอาจมาจากผู้ตั้งถิ่นฐานในสมัยอาณานิคมโปรตุเกส
คาดว่าประชากรอีกากินซากทั้งหมดมีจำนวนหลักสิบล้าน จำนวนประชากรที่มากและการกระจายพันธุ์ที่กว้างขวางจึงจัดว่ามีความเสี่ยงต่ำในการสูญพันธุ์ (LC) โดย IUCN
พฤติกรรมและนิเวศวิทยา
โดยทั่วไปแล้วอีกาโคนปากขาว จะอยู่รวมกันเป็นฝูง และอีกากินซากอยู่แบบโดดเดี่ยว แต่บางครั้งอีกาโคนปากขาวทำรังในต้นไม้ที่แยกตัวออกมาจากฝูงและเป็นไปได้ว่าหากินร่วมกับอีกากินซาก และอีกาอื่นโดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาว
เนื่องจากอีกากินซากอาศัยในพื้นที่ทับซ้อนร่วมกับนกกาชนิดอื่น ๆ ลักษณะเด่นชัดในการจำแนกอีกากินซากคือ เสียงร้อง "กรา ๆ" ลึกกังวานในลำคอ ขณะที่อีกาโคนปากขาวร้อง "กา ๆ" ที่มีโทนเสียงแหลมสูง[ต้องการอ้างอิง]
อีกากินซากมักเกาะบนจุดที่มองโดยรอบได้ชัดที่สุดของอาคาร และส่งเสียงน่ารำคาญแบบชุดถึ่ ๆ (เสียง กรา ๆ) สามหรือสี่ครั้งติดต่อกันอย่างรวดเร็ว และพักเป็นช่วงสั้น ๆ ระหว่างชุด ในระหว่างร้องแต่ละครั้ง อีกากินซากอาจแสดงท่าทางประกอบโดยยกไหล่ (โคนปีก) ขึ้น ตีปีกต่ำ ๆ ก้มหัวและคอลงพร้อมกับเสียง "กรา" แต่ละครั้ง พฤติกรรมการตีปีกของอีกากินซากช้ากว่าและจงใจมากกว่าของอีกาโคนปากขาว[ต้องการอ้างอิง]
อีกากินซาก อาจเป็นมิตรและเข้าใกล้มนุษย์ มักพบได้ในบริเวณใกล้เคียงที่มีกิจกรรมของมนุษย์หรือที่อยู่อาศัยของมนุษย์เช่น เมือง ทุ่ง ป่าไม้ หน้าผาทะเล และพื้นที่เพาะปลูก ซึ่งพวกมันแข่งขันกับนกสังคมอื่น ๆ เช่น นกนางนวล นกกาอื่น ๆ และเป็ดเพื่อแย่งอาหารในสวนสาธารณะ และสวนต่าง ๆ
เช่นเดียวกับอีกาชนิดอื่น อีกากินซากจะก่อกวนนักล่าและคู่แข่งที่เข้ามาในดินแดนของมัน หรือคุกคามพวกมันหรือลูกหลานของพวกมัน ที่เรียกพฤติกรรมต่อต้านผู้ล่าที่รุกราน (mobbing behaviour) ซึ่งเป็นการปกป้องรังและลูกนกอย่างหนึ่ง
ความสามารถทางสติปัญญา
เช่นเดียวกับอีกาชนิดอื่น อีกากินซากแสดงพฤติกรรมความฉลาด เช่น สามารถแยกแยะระหว่างตัวเลขได้ถึง 30 ตัว มีความยืดหยุ่นในการตอบสนองต่อการสลับไปมาระหว่างกฎเกณฑ์ที่ต่างกัน และจดจำใบหน้าของมนุษย์และอีกาได้ ระดับความฉลาดจากความสามารถเหล่านี้เมื่อเทียบกับไพรเมต แม้ด้วยความแตกต่างของโครงสร้างของสมองอย่างสิ้นเชิงในอีกา ชี้ให้เห็นว่าสติปัญญาของอีกากินซาก (และอีกาอื่น) ได้รับการยอมรับว่าเป็นผลมาจากวิวัฒนาการที่บรรจบกัน
อาหาร
แม้ได้ชื่อว่ากินซากสัตว์ทุกชนิด แต่อีกากินซากกินแมลง ไส้เดือน เมล็ดธัญพืช ผลไม้ เมล็ดพืช สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็ก สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ เศษขยะ และไข่ อีกากินซากโดยทั่วไปเป็นสัตว์ที่ชอบกินของเน่าและสะสมของทิ้งแล้วโดยธรรมชาติ ซึ่งเป็นสาเหตุที่พวกมันมักจะไปอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มนุษย์อาศัยอยู่เป็นประจำเพื่อกินขยะครัวเรือน
อีกากินซากมักรังควาน นกนักล่า หรือแม้แต่สุนัขจิ้งจอก มักออกล่าอย่างแข็งขันและร่วมมือกับอีกาตัวอื่นเป็นครั้งคราวในการล่า และบางครั้งก็พบเห็นการล่าลูกเป็ดเป็นอาหาร เนื่องจากวิถีชีวิตที่อยู่รวมกันเป็นฝูงและความสามารถในการป้องกันของอีกากินซากทำให้มีสัตว์นักล่าตามธรรมชาติเพียงไม่กี่ชนิด อย่างไรก็ตามนกล่าเหยื่อที่ทรงพลัง เช่นนกเหยี่ยวเหนือ เหยี่ยวเพเรกริน นกเค้าแมวยูเรเชียน และนกอินทรีสีทองจะล่าอีกากินซากเป็นอาหารสำคัญในเขตที่อยู่อาศัยของนกล่าเหยื่อเหล่านั้น
การผสมพันธุ์และการทำรัง
มักสร้างรังขนาดใหญ่ด้วยกิ่งไม้บนต้นไม้สูง แต่บางครั้งอาจพบรังของอีกากินซากบนหน้าผา อาคารเก่า และเสา นอกจากนี้อาจพบการวางรังไว้บนหรือใกล้พื้นดินเป็นครั้งคราว รังมีลักษณะคล้ายรังกาทั่วไป แต่มีขนาดกระทัดรัดกว่า
ไข่ของอีกากินซาก มีสีฟ้าหรือสีเขียวที่มีจุดสีน้ำตาล 3 ถึง 4 ฟอง ฟักไข่เป็นเวลา 18−20 วัน โดยตัวเมียเพียงตัวเดียวและให้อาหารโดยตัวผู้ ลูกนกออกจากรังเมื่ออายุ 29−30 วัน
ลูกอีกากินซากที่เพิ่งอายุปีเดียว (จากรังปีก่อนหน้า) จะยังคงไม่แยกจากพ่อแม่ในปีถัดไป แต่อยู่ใกล้ ๆ และช่วยเหลือพ่อแม่ในการหาอาหารเลี้ยงดูแลลูกนกครอกใหม่ แทนที่จะหาคู่ครอง
อ้างอิง
- แม่แบบ:Url=https://www.iucnredlist.org/details/22706016/0
- Linnaeus, C (1758). (ภาษาละติน). Holmiae. (Laurentii Salvii). p. 105. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 19 มีนาคม 2015.
C. atro-caerulescens, cauda rotundata: rectricibus acutis.
- "Corvus". Merriam-Webster online. สืบค้นเมื่อ 2008-02-04.
- Parkin, David T. (2003). "Birding and DNA: species for the new millennium". Bird Study. 50 (3): 223–242. doi:10.1080/00063650309461316.
- Poelstra, Jelmer W.; Vijay, Nagarjun; Bossu, Christen M.; และคณะ (2014). "The genomic landscape underlying phenotypic integrity in the face of gene flow in crows" (PDF). Science. 344 (6190): 1410–1414. doi:10.1126/science.1253226. ISSN 0036-8075. PMID 24948738. Further reading: [1]
- Madge, Steve & Burn, Hilary (1994): Crows and jays: a guide to the crows, jays and magpies of the world. A&C Black, London. ISBN 0-7136-3999-7
- Holden, Peter (2012). RSPB Handbook Of British Birds. p. 274. ISBN 978-1-4081-2735-3.
- ↑ Poelstra, Jelmer W.; Vijay, Nagarjun; Bossu, Christen M.; และคณะ (2014). "The genomic landscape underlying phenotypic integrity in the face of gene flow in crows" (PDF). Science. 344 (6190): 1410–1414. Bibcode:2014Sci...344.1410P. doi:10.1126/science.1253226. ISSN 0036-8075. PMID 24948738.
- ↑ de Knijf, Peter (2014). "How carrion and hooded crows defeat Linnaeus's curse". Science. 344 (6190): 1345–1346. Bibcode:2014Sci...344.1345D. doi:10.1126/science.1255744. ISSN 0036-8075. PMID 24948724. Further reading: [2]
- Attenborough. D. 1998. The Life of Birds. pp.295 BBC ISBN 0563-38792-0
- International), BirdLife International (BirdLife (2016-10-01). "IUCN Red List of Threatened Species: Corvus corone". IUCN Red List of Threatened Species.
- Holden, Peter (2012). RSPB Handbook Of British Birds. p. 274. ISBN 978-1-4081-2735-3.
- Pettifor, R. A (1990). "The effects of avian mobbing on a potential predator, the European kestrel, Falco tinnunculus". Animal Behaviour. 39 (5): 821–827. doi:10.1016/S0003-3472(05)80945-5.
- Nieder A.; และคณะ (2017). "Inside the corvid brain—probing the physiology of cognition in crows". Current Opinion in Behavioral Sciences. 16 (8): 8–14. doi:10.1016/j.cobeha.2017.02.005.
- Ditz, Helen; Nieder, Andreas (2016). "Numerosity representations in crows obey the Weber–Fechner law". Proceedings of the Royal Society B: Biological Sciences. 283 (1827): 20160083. doi:10.1098/rspb.2016.0083. PMC 4822466. PMID 27009227.
- Andreas Nieder; Veit, Lena (2013-11-28). "Abstract rule neurons in the endbrain support intelligent behaviour in corvid songbirds". Nature Communications. 4: 2878. Bibcode:2013NatCo...4.2878V. doi:10.1038/ncomms3878. ISSN 2041-1723. PMID 24285080.
- Brecht, Katharina F.; Wagener, Lysann; Ostojić, Ljerka; Clayton, Nicola S.; Nieder, Andreas (2017-12-01). "Comparing the face inversion effect in crows and humans". Journal of Comparative Physiology A. 203 (12): 1017–1027. doi:10.1007/s00359-017-1211-7. ISSN 1432-1351. PMC 5696503. PMID 28905251.
- Nieder A.; และคณะ (2017). "Inside the corvid brain—probing the physiology of cognition in crows". Current Opinion in Behavioral Sciences. 16 (8): 8–14. doi:10.1016/j.cobeha.2017.02.005.
- British Trust for Ornithology (2005) Nest Record Scheme data.
- Baglione, V.; Marcos, J. M.; Canestrari, D.; Ekman, J. (2002). "Direct fitness benefits of group living in a complex cooperative society of carrion crows, Corvus corone corone". Animal Behaviour. 64 (6): 887–893. doi:10.1006/anbe.2002.2007. S2CID 53200940.