เจ้าหญิงเฟาซียะห์แห่งอียิปต์
เจ้าหญิงเฟาซียะห์แห่งอียิปต์ (อาหรับ: فوزية بنت فؤاد الأول; เปอร์เซีย: فوزیه فؤاد; ประสูติ: 5 พฤศจิกายน ค.ศ. 1921 — สิ้นพระชนม์: 2 กรกฎาคม ค.ศ. 2013) เจ้าหญิงแห่งอียิปต์และอดีตสมเด็จพระราชินีในโมฮัมหมัด เรซา ปาห์ลาวี ชาห์อิหร่าน
เจ้าหญิงเฟาซียะห์แห่งอียิปต์ | |
---|---|
พระอิสริยยศ | เจ้าหญิงแห่งอียิปต์ เจ้าหญิงแห่งอิหร่าน |
ฐานันดรศักดิ์ | เฮอร์อิมพีเรียลไฮนิส เฮอร์รอยัลไฮนิส |
ราชวงศ์ | มุฮัมมัดอะลี (ประสูติ) ปาห์ลาวี (เสกสมรส) |
ข้อมูลส่วนพระองค์ | |
ประสูติ | 5 พฤศจิกายน ค.ศ. 1921 อะเล็กซานเดรีย รัฐสุลต่านอียิปต์ |
สิ้นพระชนม์ | 2 กรกฎาคม ค.ศ. 2013 (91 ปี) อะเล็กซานเดรีย ประเทศอียิปต์ |
พระบิดา | พระเจ้าฟุอาดที่ 1 |
พระมารดา | สมเด็จพระราชินีนาซลี |
พระสวามี |
|
พระบุตร |
|
หลังจากการเสกสมรสอีกครั้งใน ค.ศ. 1949 พระองค์ได้ใช้พระนามว่า เฟาซียะห์ ชีรีน เรื่อยมาจนถึงการโค่นล้มพระราชวงศ์ในอียิปต์ในเหตุการณ์ปฏิวัติอียิปต์ใน ค.ศ. 1952 แม้พระองค์จะถูกถอดออกจากฐานันดรศักดิ์แล้ว แต่พระองค์ยังเป็นคนในพระราชวงศ์มฮัมมัดอะลีที่อาวุโสคนหนึ่งในราชวงศ์
พระประวัติ
เจ้าหญิงเฟาซียะห์แห่งอียิปต์ ประสูติเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน ค.ศ. 1921 ที่พระราชวังราส เอล-ติน ที่เมืองอะเล็กซานเดรีย ประเทศอียิปต์ เป็นพระธิดาในพระเจ้าฟุอาดที่ 1 กับสมเด็จพระราชินีนาซลีแห่งอียิปต์ ซึ่งพระมารดาของพระองค์สืบเชื้อสายมาจากสุลัยมาน พาชา ทหารชาวฝรั่งเศสของนโปเลียนที่หันมานับถือศาสนาอิสลาม นอกจากนี้พระปัยกาฝ่ายพระชนนีของพระองค์ก็สืบเชื้อสายมาจากตุรกี พระองค์จึงมีเชื้อสายแอลเบเนีย, ฝรั่งเศส และตุรกี
เจ้าหญิงเฟาซียะห์มีพระเชษฐาคือพระเจ้าฟารุกที่ 1 แห่งอียิปต์ และมีพระขนิษฐาได้แก่ เจ้าหญิงฟัยซะฮ์, เจ้าหญิงฟัยกะฮ์ และเจ้าหญิงฟัตฮียะฮ์ ทั้งยังมีพระเชษฐาและพระเชษฐภคินีต่างมารดาด้วย 2 พระองค์ คือ เจ้าชายอิสมาอีล และเจ้าหญิงเฟากียะฮ์
พระองค์เข้ารับการศึกษาในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ สามารถตรัสภาษาอาหรับ อังกฤษ และฝรั่งเศส ขณะที่ยังพระองค์ยังเป็นดรุณีแรกรุ่น พระองค์ที่เป็นสตรีที่ทรงพระสิริโฉมมากจนถือเป็น "หนึ่งในสตรีที่สวยที่สุดในโลก" ในขณะนั้น ได้รับการยกย่องว่า "มีความงามดุจเทพธิดาวีนัส" ทั้งยังได้รับการเปรียบเทียบว่ามีพระพักตร์คล้ายนักแสดงหญิงที่มีชื่อเสียงในยุคนั้นคือ เฮดี ลามาร์ และวิเวียน ลีห์
ชีวิตส่วนพระองค์
อภิเษกสมรสกับชาห์แห่งอิหร่าน
พระองค์ได้เข้าพระราชพิธีหมั้นกับมกุฎราชกุมารโมฮัมหมัด เรซาแห่งอิหร่านในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1938 ทั้งสองพบกันในพระราชพิธีหมั้นเพียงครั้งเดียวก่อนพระราชพิธีอภิเษกสมรส พระราชพิธีอภิเษกสมรสถูกจัดขึ้นที่พระราชวังอับดีน กรุงไคโรในวันที่ 15 มีนาคม ค.ศ. 1939 หลังจากการฮันนีมูน ทั้งสองก็จัดพิธีอภิเษกสมรสอีกครั้งที่พระราชวังหินอ่อนในเตหะราน ซึ่งจัดตามพระราชประสงค์ของชาห์เรซา การอภิเษกสมรสของทั้งสองถูกจัดขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญระหว่างเจ้าหญิงที่เป็นสุหนี่กับมกุฎราชกุมารที่เป็นชีอะห์
สองปีต่อมาพระสวามีได้ขึ้นครองราชสมบัติ เจ้าหญิงเฟาซียะห์จึงกลายเป็น สมเด็จพระราชินีแห่งอิหร่าน พระราชินีเฟาซียะห์ทรงเป็นนางแบบให้เซซิล บีตัน ถ่ายพระฉายาลักษณ์เพื่อตีพิมพ์ลงในนิตยสารไลฟ์ (Life) โดยนายเซซิล บีตันได้กล่าวชื่นชมพระราชินีองค์นี้ว่าทรงเป็น "เทพธิดาวีนัสแห่งเอเชีย" ทั้งยังเสริมว่า "มีพระพักตร์รูปหัวใจคมซีดเผือดผิดปกติ แต่มีดวงพระเนตรสีฟ้าอันเฉียบคม"
หลังจากการอภิเษกสมรส ทั้งสองพระองค์ก็มีพระธิดาด้วยกัน 1 พระองค์ คือ เจ้าหญิงชาห์นาซ แต่ชีวิตสมรสของทั้งสองไม่ราบรื่นนัก พระราชินีเฟาซียะห์เสด็จกลับกรุงไคโรราวเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1945 และทำการหย่าร้างในอียิปต์ ทรงให้เหตุผลว่าเตหะรานนั้นด้อยพัฒนาตรงกันข้ามกับไคโรที่แลดูทันสมัยและเป็นสากล
นอกจากนี้พระราชินีเฟาซียะห์ยังทรงมีช่วงเวลาที่น่าลำบากจากความไม่ซื่อสัตย์ของชาห์ พระองค์จึงเข้าพบจิตแพทย์อเมริกันที่แบกแดดไม่นานนักก่อนที่จะเสด็จออกจากเตหะราน ตรงกันข้ามรายงานของซีไอเออ้างว่าพระราชินีทรงเยาะเย้ยและละอายพระทัยเกี่ยวกับการหย่อนสมรรถภาพทางเพศของชาห์จนนำไปสู่การหย่าร้าง ขณะที่บันทึกของเจ้าหญิงอัชราฟ พระขนิษฐาฝาแฝดของชาห์ได้ให้ข้อมูลว่า พระราชินีมิได้รับสั่งเรื่องการหย่ากับชาห์เลย
ต่อมาทั้งสองพระองค์ได้หย่ากันที่อียิปต์เมื่อ ค.ศ. 1945 นั้นมิได้รับการยอมรับในประเทศอิหร่านนานหลายปี แต่อย่างไรก็ดีทั้งสองพระองค์ก็ได้ทำการหย่ากันอย่างเป็นทางการในอิหร่านเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน ค.ศ. 1948 พระราชินีเฟาซียะห์ได้กลับมาใช้พระอิสริยยศเดิมคือ เจ้าหญิงแห่งอียิปต์ ส่วนพระราชธิดานั้นตกอยู่ในการดูแลของชาห์
ทั้งนี้ทางสำนักพระราชวังได้ให้เหตุผลว่า "ด้วยสภาวะอากาศของเปอร์เซียทำให้สุขภาพของราชินีเฟาซียะห์ทรุดโทรม ดังนั้นจึงเห็นด้วยกับพระขนิษฐากษัตริย์อียิปต์ที่ต้องการจะหย่า" และชาห์ก็ออกมาประกาศว่า "ไม่มีผลกระทบต่อความสัมพันธ์อันดีที่มีอยู่ระหว่างอียิปต์กับอิหร่าน"
ดังนั้นสมเด็จพระราชินีเฟาซียะห์จึงกลับมาดำรงพระยศเป็นเจ้าแห่งอียิปต์และซูดานตามเดิม ส่วนพระเชษฐาของเจ้าหญิงเฟาซียะห์คือพระเจ้าฟารุกที่ 1 แห่งอียิปต์ ก็ได้ทำการหย่าร้างกับสมเด็จพระราชินีฟารีดาในสัปดาห์เดียวกัน ซึ่งเรื่องราวดังกล่าวเป็นที่สนใจของโลกตะวันตกอย่างมาก
การสมรสครั้งที่สอง
เจ้าหญิงเฟาซียะห์แห่งอียิปต์ ได้สมรสอีกครั้งเมื่อวันที่ 28 มีนาคม ค.ศ. 1949 กับพันเอกอิสมาอีล ฮุซัยน์ ชีรีน เบย์ (ค.ศ. 1919-1994) ที่ถูกจัดขึ้นที่พระราชวังคุบบา อิสมาอีลซึ่งเป็นพระญาติห่าง ๆ ของพระองค์ เป็นบุตรคนโตของฮุซัยน์ ชีรีน กับเจ้าหญิงอามีนะห์ บีห์รุซ ขณะนั้นเขาได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมและกองทัพเรือของอียิปต์ หลังจากการสมรสทั้งสองได้พำนักในที่ดินส่วนพระองค์ที่มาอ์ดีในกรุงไคโร และพำนักที่บ้านอีกแห่งในอะเล็กซานเดรีย
ทั้งคู่มีบุตร-ธิดา 2 คน คือ นาดียะห์ (ค.ศ. 1950-2009) และฮุซัยน์ (เกิด ค.ศ. 1955)
พระบุตร
เจ้าหญิงเฟาซียะห์แห่งอียิปต์ ทรงให้ประสูติกาลพระโอรส-ธิดา รวมกัน 1 พระองค์ กับอีก 2 คน โดยเป็นชาย 1 คน และหญิง 2 คน ซึ่งเป็นบุตรจากการสมรสครั้งแรก 1 พระองค์ และจากการสมรสครั้งที่สองอีก 2 คน คือ
- เจ้าหญิงชาห์นาซแห่งอิหร่าน (ประสูติ: ค.ศ. 1940) เสกสมรสครั้งแรกกับอาร์เดชีร์ ซาเฮดี ภายหลังทรงหย่าและเสกสมรสกับโคสเลา จาฮันบานี มีพระธิดาจากการสมรสครั้งแรกหนึ่งพระองค์ และโอรสธิดาอย่างละคนจากการสมรสครั้งที่สอง ปัจจุบันประทับอยู่ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์
- นาดียะห์ ราชิด (เกิด: 19 ธันวาคม ค.ศ. 1950 - ค.ศ. 2009) สมรสครั้งแรกกับยูซุฟ ซะบาอัน นักแสดงชาวอียิปต์ มีธิดาด้วยกัน 1 คน คือ ซีไน ฟารามาวี (ค.ศ. 1973) ต่อมาได้สมรสครั้งที่สองกับมุสตอฟา ราชิด มีธิดาด้วยกัน 1 คน คือ เฟาซียะห์ ราชิด
- ฮุซัยน์ ชีรีน (เกิด ค.ศ. 1955) พระโอรสที่เกิดกับอิสมาอีล ฮุซัยน์ ชีรีน เบย์
ปลายพระชนม์ชีพและการสิ้นพระชนม์
ในปลายชนม์พระองค์ประทับอยู่ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งในปี ค.ศ. 2004 ได้มีการเผยแพร่พระฉายาลักษณ์ล่าสุดของพระองค์คู่กับอาร์เดชีร์ ซาเฮดี อดีตพระชามาดา มีการเข้าใจผิดเกี่ยวกับข่าวการสิ้นพระชนม์เมื่อเดือนมกราคม ค.ศ. 2005 ที่เกิดการสับสนในเรื่องพระนามที่เหมือนกันของพระองค์กับพระภาติยะ คือ เจ้าหญิงเฟาซียะห์ (ค.ศ. 1940-2005) ซึ่งเป็นพระธิดาของพระเชษฐาคือพระเจ้าฟารุกที่ 1 แห่งอียิปต์
เจ้าหญิงเฟาซียะห์แห่งอียิปต์ ได้เสด็จกลับมาประทับในเมืองอะเล็กซานเดรีย ประเทศอียิปต์ ก่อนสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม ค.ศ. 2013 ขณะมีพระชนมายุ 91 พรรษา พระราชพิธีศพถูกจัดขึ้นในช่วงบ่ายของวันที่ 3 กรกฎาคมที่มัสยิดซาเยดา กรุงไคโร และฝังพระศพที่ไคโรเคียงข้างกับอิสมาอีล พระภัสดาคนที่สอง
พระเกียรติยศ
พระอิสริยยศ
- เฮอร์สุลตานิกไฮนิส เจ้าหญิงเฟาซียะห์แห่งรัฐสุลต่านอียิปต์และซูดาน (5 พฤศจิกายน ค.ศ. 1921 – 15 มีนาคม ค.ศ. 1922)
- เฮอร์รอยัลไฮนิส เจ้าหญิงเฟาซียะห์แห่งอียิปต์และซูดาน (15 มีนาคม ค.ศ. 1922 – 15 มีนาคม ค.ศ. 1939)
- เฮอร์อิมพีเรียลและรอยัลไฮนิส เจ้าหญิงเฟาซียะห์แห่งอิหร่าน, เจ้าหญิงแห่งอียิปต์และซูดาน (15 มีนาคม ค.ศ. 1939 –16 มีนาคม ค.ศ. 1939)
- เฮอร์อิมพีเรียลและรอยัลไฮนิส เจ้าหญิงเฟาซียะห์ มกุฎราชกุมารีแห่งอิหร่าน, เจ้าหญิงแห่งอียิปต์ (16 มีนาคม ค.ศ. 1939 – 16 กันยายน ค.ศ. 1941)
- เฮอร์อิมพีเรียลมาเจสตี สมเด็จพระราชินีเฟาซียะห์แห่งอิหร่าน (16 กันยายน ค.ศ. 1941 – ค.ศ. 1948)
- เฮอร์อิมพีเรียลและรอยัลไฮนิส เจ้าหญิงเฟาซียะห์แห่งอิหร่าน, เจ้าหญิงแห่งอียิปต์และซูดาน (ค.ศ. 1948 – 28 มีนาคม ค.ศ. 1949)
- เฟาซียะห์ ชีรีน (28 มีนาคม ค.ศ. 1949 – 2 กรกฎาคม ค.ศ. 2013)
เครื่องราชอิสริยาภรณ์
พระอนุสรณ์
มีการตั้งนามเมืองแห่งหนึ่งในอียิปต์ว่า เฟาซียะห์บัด (Fawziabad) เมื่อปี ค.ศ. 1939 เพื่อเทิดพระเกียรติพระองค์ และช่วงปี ค.ศ. 1950 มีถนนย่านมาอ์ดีในกรุงไคโรชื่อ อามีราเฟาซียะห์ (Amira Fawzia) แต่ในปี ค.ศ. 1956 ได้เปลี่ยนชื่อถนนเป็น มุสตาฟาญามาล (Mustafa Kamel)
สู่งานเขียน
เรื่องราวของเจ้าหญิงเฟาซียะห์แห่งอียิปต์ได้ถูกถ่ายทอดเรื่องราวลงในหนังสือ ฟอว์ซียา...วีนัสแห่งลุ่มน้ำไนล์ ในเรื่องราวของหญิงงามดุจเทพธิดาวีนัส ที่ได้เป็นพระมเหสีพระองค์แรกของพระเจ้าชาห์ โมฮัมหมัด เรซา ปาห์ลาวี พระเจ้าชาห์แห่งอิหร่าน แต่พระสิริโฉม และฐานะอันสูงส่งของพระองค์ก็มิได้ทำให้พระองค์ทรงมีความสุขเลย แต่กลับต้องตกอยู่ภายใต้ความโศกเศร้าเสียใจ
พงศาวลี
พงศาวลีในเจ้าหญิงเฟาซียะห์แห่งอียิปต์ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
|
อ้างอิง
- ↑ การอภิเษกสมรสของพระเจ้าชาห์ โมฮัมหมัด เรซา ปาห์ลาวี
- ↑ "Princess Fawzia Fuad of Egypt". The Telegraph. 5 July 2013. สืบค้นเมื่อ 16 July 2013.
- Goldschmidt, Arthur (2000). Biographical dictionary of modern Egypt. Lynne Rienner Publishers. p. 191. ISBN 1555872298.
- Montgomery-Massingberd, Hugh, บ.ก. (1980). "The French Ancestry of King Farouk of Egypt". Burke's Royal Families of the World. Volume II: Africa & the Middle East. London: Burke's Peerage. p. 287. ISBN 978-0-85011-029-6. OCLC 18496936.
- ↑ "Colorful Fetes Mark Royal Wedding that will Link Egypt and Persian". The Meriden Daily Journal. 13 March 1939. สืบค้นเมื่อ 8 August 2013.
- "Bidding Farewell" (Press release) (ภาษาอังกฤษ). Al-Ahram Weekly. สืบค้นเมื่อ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2556. Check date values in:
|accessdate=
(help) - ↑ ฟอว์ซียา..วีนัสแห่งลุ่มน้ำไนล์
- Suzy Hansen (มมป.). "QUEEN FAWZIA". The New York Times Magazine. สืบค้นเมื่อ 17 ตุลาคม 2557. Check date values in:
|accessdate=, |date=
(help) - Charmody, Diedre (27 July 1973). "Nixon forth to see Shah". The Leader Post. New York. สืบค้นเมื่อ 10 November 2012.
- Rizk, Yunan Labib (2–8 March 2006). "Royal mix". Al Ahram Weekly (784). สืบค้นเมื่อ 16 July 2013.
- ↑ "Earlier Marriages Ended In Divorce. Deposed Shah of Iran". The Leader Post. AP. 29 July 1980. สืบค้นเมื่อ 16 July 2013.
- ↑ Ghazal, Rym (8 July 2013). "A forgotten Egyptian Princess remembered". The National. สืบค้นเมื่อ 16 July 2013.
- ↑ "Princess Fawzia of Egypt Married". The Meriden Daily Journal. Cairo. AP. 15 March 1939. สืบค้นเมื่อ 16 July 2013.
- Camron Michael Amin (1 December 2002). The Making of the Modern Iranian Woman: Gender, State Policy, and Popular Culture, 1865-1946. University Press of Florida. p. 137. ISBN 978-0-8130-3126-2. สืบค้นเมื่อ 3 July 2013.
- "The Pahlavi Dynasty". Royal Ark. สืบค้นเมื่อ 23 July 2013.
- "Princess Fawzia Fuad of Egypt". Telegraph. 2 กรกฎาคม 2013. สืบค้นเมื่อ 19 มกราคม 2016.
- Dagres, Holly (4 February 2013). "When they were friends: Egypt and Iran". Ahram Online. สืบค้นเมื่อ 4 February 2013.
- Jeffrey Lee (1 April 2000). Crown of Venus. Universe. p. 51. ISBN 978-0-595-09140-9. สืบค้นเมื่อ 3 July 2013.
- ↑ "Iran and its playboy king". The Milwaukee Journal. Time Magazine. 9 January 1946. สืบค้นเมื่อ 23 July 2013.
- Steyn, Mark (5 July 2013). "The Princess and the Brotherhood". National Review Online. สืบค้นเมื่อ 16 July 2013.
- ↑ Anderson, Jack; Les Whitten (11 July 1975). "CIA: Shah of Iran a dangerous ally". St. Petersburg Times. Washington. สืบค้นเมื่อ 16 July 2013.
- Noblesse & Royautés - Egypte
- ↑ "Queens Lack Male Heirs, Lose Mates". Pittsburgh Post Gazette. Cairo. AP. 19 November 1948. สืบค้นเมื่อ 16 July 2013.
- "2 Moslem Rulers let the man and wife divorce if they need to", The New York Times, 20 November 1948, page 1.
- Bernard Reich (1 January 1990). Political Leaders of the Contemporary Middle East and North Africa: A Biographical Dictionary. Greenwood Publishing Group. p. 188. ISBN 978-0-313-26213-5. สืบค้นเมื่อ 16 July 2013.
- "Queen Farida of Egypt Dies at 68". 1988-11-17. สืบค้นเมื่อ 2009-06-06.
- "Princess Fawzia engaged". The Indian Expree. 28 March 1949. สืบค้นเมื่อ 4 February 2013.
- ↑ "Princess Fawzia weds diplomat". Meriden Record. 29 March 1949. สืบค้นเมื่อ 16 July 2013.
- "Maadi's Ottomans". Egy. สืบค้นเมื่อ 17 July 2013.
- ↑ Sami, Soheir (4–10 June 1998). "Profile: Youssef Shaaban". Al Ahram Weekly (380). สืบค้นเมื่อ 17 July 2013.
- "Shah's ex-wives keep low profiles in Egypt, Europe". The Palm Beach Post. AP. 28 July 1980. สืบค้นเมื่อ 6 November 2012.
- ↑ Parstime - Shahnaz Pahlavi
- "Shah's daughter 'could not stand' exile". BBC News. 2001-06-12. สืบค้นเมื่อ 2010-07-14.
- "Girl is born to Princess Fawzia". Pittsburgh Post Gazette. Cairo. AP. 20 December 1950. สืบค้นเมื่อ 5 February 2013.
- ↑ EGYPT -The Muhammad 'Ali Dynasty
- ↑ "EGYPTIAN SHAHBANOU: Princess Fawzia and Son-in-Law Ardeshir Zahedi (2004)" (Press release) (ภาษาอังกฤษ). Iranian. 5 กุมภาพันธ์ 2554. สืบค้นเมื่อ 24 มีนาคม 2555. Check date values in:
|accessdate=, |date=
(help) - "Princess Fawzia, Shah's first wife, dies in Egypt". Reuters.
- "Death of Princess Fawzia". Alroeya News. 2 July 2013. สืบค้นเมื่อ 17 July 2013.
- "Maadi Street Names". Egy. สืบค้นเมื่อ 9 August 2013.
- Montgomery-Massingberd, Hugh, บ.ก. (1980). "The French Ancestry of King Farouk of Egypt". Burke's Royal Families of the World. Volume II: Africa & the Middle East. London: Burke's Peerage. p. 287. ISBN 9780850110296. OCLC 18496936.
แหล่งข้อมูลอื่น
คอมมอนส์ มีภาพและสื่อเกี่ยวกับ: เจ้าหญิงเฟาซียะห์แห่งอียิปต์ |
- EGYPT
- Pandora's Box
- Egyptian Royalty by Ahmed S. Kamel, Hassan Kamel Kelisli-Morali, Georges Soliman and Magda Malek.
- L'Egypte D'Antan... Egypt in Bygone Days by Max Karkegi.
ก่อนหน้า | เจ้าหญิงเฟาซียะห์แห่งอียิปต์ | ถัดไป | ||
---|---|---|---|---|
ตาจญ์อัลโมลูก อัยรุมลู | สมเด็จพระราชินีแห่งอิหร่าน (ค.ศ. 1941-1948) | โซรยา อัสฟานดิยารี |