โลปินาเวียร์/ริโตนาเวียร์
โลปินาเวียร์/ริโตนาเวียร์ (Lopinavir/ritonavir, LPV/r) มีชื่อทางการค้าว่า Kaletra (และชื่ออื่น ๆ) เป็นยาสูตรผสมที่มีสัดส่วนยาคงที่สำหรับการรักษาและป้องกันเอชไอวี/เอดส์ สูตรยารวมโลปินาเวียร์ เข้ากับริโตนาเวียร์ขนาดต่ำ โดยทั่วไปจะแนะนำให้ใช้ร่วมกับยาต้านรีโทรไวรัสอื่น ๆ อาจใช้ยาสำหรับการป้องกัน หลังจากได้รับบาดเจ็บจากเข็มหรือการสัมผัสอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้น โดยใช้การรับประทานทางปากซึ่งเป็นยาเม็ด, แคปซูล หรือสารละลาย
ส่วนผสมประกอบด้วย | |
---|---|
Lopinavir | ยับยั้งเอนไซม์โปรตีเอส |
Ritonavir | ยับยั้งเอนไซม์โปรตีเอส (ตัวเร่งเภสัชจลนศาสตร์) |
ข้อมูลทางคลินิก | |
ชื่อทางการค้า | Kaletra, Aluvia |
AHFS/Drugs.com | monograph |
MedlinePlus | a602015 |
ข้อมูลทะเบียนยา |
|
ระดับความเสี่ยงต่อทารกในครรภ์ |
|
ช่องทางการรับยา | ให้ยาทางปาก |
รหัส ATC |
|
กฏหมาย | |
สถานะตามกฏหมาย |
|
ตัวบ่งชี้ | |
เลขทะเบียน CAS |
|
PubChem CID |
|
KEGG |
|
NIAID ChemDB |
|
7 7 (what is this?) (verify) | |
ผลข้างเคียงที่พบบ่อย ได้แก่ ท้องเสีย, อาเจียน, อ่อนเพลีย, ปวดศีรษะ และปวดกล้ามเนื้อ ผลข้างเคียงที่รุนแรงอาจรวมถึง ตับอ่อนอักเสบ, ปัญหาที่ตับ และภาวะน้ำตาลในเลือดสูง มีการใช้ทั่วไปในหญิงตั้งครรภ์ และค่อนข้างปลอดภัย ยาทั้งสองชนิดนี้เป็นตัวยับยั้งเอนไซม์ย่อยโปรตีนเอชไอวี ริโตนาเวียร์ทำงานโดย ชะลอการสลายของโลปินาเวียร์
โลปินาเวียร์/ริโตนาเวียร์ ได้รับอนุมัติให้ใช้ในสหรัฐในปี พ.ศ. 2543 และอยู่ในรายชื่อยาสำคัญขององค์การอนามัยโลก ซึ่งเป็นยาที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพที่สุดที่จำเป็นในระบบสุขภาพ ค่าใช้จ่ายในประเทศกำลังพัฒนา (ราคาขายส่ง) คือ 18.96 ถึง 113.52 เหรียญสหรัฐต่อเดือน ในสหรัฐเนื่องจากไม่สามารถจำหน่ายเป็นยาชื่อสามัญ ทำให้มีค่าใช้จ่ายสูงกว่า 200 เหรียญสหรัฐต่อเดือน สำหรับกรณีทั่วไปในปี พ.ศ. 2559
การใช้ทางการแพทย์
ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2549 โลปินาเวียร์/ริโตนาเวียร์ เป็นส่วนหนึ่งของสูตรผสมที่นิยมใช้สำหรับการบำบัดเอชไอวีในขั้นแรก ที่ได้รับการแนะนำโดยกระทรวงสุขภาพและบริการมนุษย์สหรัฐ
ผลข้างเคียง
อาการไม่พึงประสงค์ที่พบบ่อยที่สุดของยาโลปินาเวียร์/ริโตนาเวียร์ ที่ตรวจพบคืออาการท้องเสียและคลื่นไส้ ในการทดลองทางคลินิกที่สำคัญพบว่ามีอาการท้องร่วงปานกลางถึงรุนแรงในผู้ป่วยมากถึง 27% และมีอาการคลื่นไส้ปานกลาง ถึงรุนแรงมากถึง 16% ผลข้างเคียงอื่น ๆ ที่พบบ่อย ได้แก่ ปวดท้อง, อาการอ่อนเพลีย, ปวดหัว, อาเจียน และโดยเฉพาะในเด็กพบผื่นขึ้น
ค่าเอนไซม์ตับที่สูงขึ้นและภาวะสารไขมันสูงในเลือด ทั้งภาวะไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง (hypertriglyceridemia) และภาวะคอเลสเตอรอลสูงในเลือด (hypercholesterolemia) ก็มักจะพบในระหว่างกระบวนการรักษาด้วยยาโลปินาเวียร์/ริโตนาเวียร์
โลปินาเวียร์/ริโตนาเวียร์ ได้รับการคาดว่ามีระดับของปฏิกริยาที่แปรปรวนเมื่อใช้ร่วมกับยาอื่น ๆ ที่เป็นตัวถูกเปลี่ยนของเอนไซม์ CYP3A และ/หรือไกลโคโปรตีน P-gp เช่นกัน
ผู้ที่มีรูปร่างหัวใจผิดปกติ, มีความผิดปกติของระบบการนำไฟฟ้าหัวใจมาก่อน, มีโรคหัวใจขาดเลือด หรือโรคของกล้ามเนื้อหัวใจ ควรใช้ยาโลปินาเวียร์/ริโตนาเวียร์ ด้วยความระมัดระวัง
เมื่อวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2554 องค์การอาหารและยาสหรัฐได้ประกาศเตือนแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพร้ายแรง ซึ่งได้รับรายงานในทารกที่คลอดก่อนกำหนดที่ได้รับยาโลปินาเวียร์/ริโตนาเวียร์ ทางปากในรูปสารละลาย ซึ่งอาจเป็นเพราะมีส่วนประกอบที่มีตัวทำละลายโพรพิลีนไกลคอล พวกเขาแนะนำให้หลีกเลี่ยงการใช้ยาในทารกคลอดก่อนกำหนด
ประวัติ
แอ๊บบอต ลาบอแรตอรีส (จากการแยกบริษัท ปัจจุบันคือ Abbvie) เป็นหนึ่งในผู้ใช้รายแรก ๆ ของเทคโนโลยี Advanced Photon Source (APS) จากแหล่งกำเนิดแสงการแผ่รังสีซินโครตรอนแห่งชาติที่ Argonne National Laboratory ของสหรัฐ โครงการวิจัยขั้นต้นคือการมุ่งเน้นไปที่การศึกษาโปรตีนจากไวรัสเอชไอวี (HIV) โดยการใช้เส้นลำแสง APS สำหรับการสร้างภาพโครงสร้างผลึกด้วยรังสีเอกซ์ ทำให้นักวิจัยได้ทราบลักษณะของโครงสร้างโปรตีนของไวรัส ซึ่งทำให้พวกเขาสามารถกำหนดแนวทางในการพัฒนาสารยับยั้งเอนไซม์โปรตีเอสของไวรัสเอชไอวี ซึ่งเป็นเอนไซม์เป้าหมายที่สำคัญที่ทำหน้าที่ผลิตโพลีโปรตีนเอชไอวีของไวรัสภายหลังการติดเชื้อ อันเป็นกลไกในการสืบต่อวัฏจักรชีวิตของไวรัส ผลจากวิธีการออกแบบยาจากฐานการวิเคราะห์โครงสร้างโดยใช้เทคโนโลยี APS ดังกล่าว แอ๊บบอตสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ยับยั้งเอนไซม์โปรตีเอสและหยุดการจำลองแบบตัวเองของไวรัสได้
โลปินาเวียร์ ได้รับการพัฒนาโดยแอ๊บบอต ในความพยายามของบริษัทที่จะปรับปรุงสารยับยั้งเอนไซม์โปรติเอสก่อนหน้านี้คือ ริโตนาเวียร์ โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับคุณสมบัติของสารที่มีผลในการจับกับโปรตีนในน้ำเลือด (ลดการแทรกแซงจากซีรั่มบนสารยับยั้งเอนไซม์โปรติเอส) และคุณสมบัติการต้านทานเอชไอวี (ลดการที่ไวรัสจะพัฒนาความต้านทานต่อยา) ในการให้ยาโลปินาเวียร์ชนิดเดียว พบว่ามีการดูดซึมไม่เพียงพอ อย่างไรก็ตาม เช่นเดียวกับในสารยับยั้งเอนไซม์โปรติเอสของไวรัสเอชไอวีหลาย ๆ ชนิด ปริมาณของยาในกระแสโลหิตจะเพิ่มขึ้นอย่างมากจากการใช้ยาริโตนาเวียร์ในปริมาณต่ำ ซึ่งมีอำนาจในการยับยั้งเอนไซม์ไซโตโครม P450 3A4 ของลำไส้และตับ อันเป็นกลไกลดระดับยาผ่านแคแทบอลิซึม ดังนั้นแอ๊บบอตจึงใช้กลยุทธ์ของการให้ยาโลปินาเวียร์ร่วมกับการใช้ยาริโตนาเวียร์ปริมาณต่ำ ในการรักษายับยั้งเชื้อเอชไอวี
โลปินาเวียร์/ริโตนาเวียร์ ได้รับการอนุมัติจากองค์การอาหารและยาสหรัฐ (FDA) เมื่อวันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2543 และจากองค์การยาสหภาพยุโรป (EMA) เมื่อวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2544
ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2563 ในระหว่างการระบาดของโรคโควิด-19 รัฐบาลอิสราเอลประกาศว่าจะบังคับให้ AbbVie ออกใบอนุญาตให้ใช้สิทธิบัตรสำหรับ โลปินาเวียร์/ริโตนาเวียร์ ในการตอบสนองทางบริษัท AbbVie ประกาศว่าจะยุติการบังคับใช้สิทธิบัตรในยาโดยสิ้นเชิง
สังคมและวัฒนธรรม
ราคา
ผลที่ตามมาจากราคาที่สูงและการแพร่กระจายของการติดเชื้อเอชไอวี รัฐบาลไทยได้ออกมาตรการบังคับใช้สิทธิเมื่อวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2550 เพื่อผลิตและ/หรือนำเข้ายาชื่อสามัญ (generic drug) ของโลปินาเวียร์/ริโตนาเวียร์ แอ๊บบอต ลาบอแรตอรีส ได้ถอนการจดทะเบียนยาโลปินาเวียร์ และยาตัวใหม่อื่น ๆ อีกเจ็ดตัวในประเทศไทยโดยอ้างว่ารัฐบาลไทยขาดความเคารพในสิทธิบัตร ทัศนคติของแอ๊บบอตถูกประณามจากองค์การนอกภาครัฐหลายแห่งทั่วโลก รวมถึงการประท้วงโดยการโจมตีทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่ริเริ่มโดยแอคอัพ-ปารีส (Act Up-Paris) และมีการเรียกร้องต่อสาธารณะโดยองค์กรพัฒนาเอกชนของฝรั่งเศส AIDES ให้คว่ำบาตรยาของแอ๊บบอตทั้งหมด
รูปแบบของยา
รูปแบบยาเม็ดชนิดทนความร้อนที่สามารถให้รับประทานทางปาก ได้ถูกพัฒนาขึ้นสำหรับใช้ในเด็ก
การวิจัย
ในขณะที่ข้อมูลดูมีประโยชน์สำหรับโรคซาร์ส ที่เกิดจากไวรัส SARS-CoV-1 แต่ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2563 ประโยชน์สำหรับโรคโควิด-19 นั้นยังไม่ชัดเจน การทดลองแบบสุ่มและไม่อำพรางในปี 2563 พบว่าโลปินาเวียร์/ริโตนาเวียร์ ไม่เป็นประโยชน์ในการรักษาโรคโควิด-19 ที่มีอาการรุนแรง ในการทดลองนี้โดยทั่วไปเริ่มให้ยาประมาณ 13 วันหลังจากผู้ป่วยเริ่มมีอาการ
อ้างอิง
- "Kaletra Product information". Health Canada. 2019-03-19. สืบค้นเมื่อ 18 March 2020.
- ↑ . The American Society of Health-System Pharmacists. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 20 December 2016. สืบค้นเมื่อ 28 November 2016.
- World Health Organization (2019). World Health Organization model list of essential medicines: 21st list 2019. Geneva: World Health Organization. hdl:10665/325771. WHO/MVP/EMP/IAU/2019.06. License: CC BY-NC-SA 3.0 IGO.
- . International Drug Price Indicator Guide. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 5 March 2017. สืบค้นเมื่อ 28 November 2016.
- Tarascon Pharmacopoeia 2016 Professional Desk Reference Edition. Jones & Bartlett Publishers. 2016. p. 67. ISBN 9781284095302.
- . AIDSinfo. 4 May 2006. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 6 May 2006. สืบค้นเมื่อ 6 May 2006.
- ↑ "Kaletra- lopinavir and ritonavir tablet, film coated Kaletra- lopinavir and ritonavir solution". DailyMed. 26 December 2019. สืบค้นเมื่อ 18 March 2020.
- Zhang L, Zhang Y, Huang SM (19 October 2009). "Scientific and regulatory perspectives on metabolizing enzyme-transporter interplay and its role in drug interactions: challenges in predicting drug interactions". Molecular Pharmaceutics. 6 (6): 1766–74. doi:10.1021/mp900132e. PMID 19839641.
- . Medscape. 10 April 2009. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 10 September 2017. สืบค้นเมื่อ 18 March 2020.
- . Drugs.com. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 2011-03-11.
- Foster, Catherine. . คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 2006-10-22. สืบค้นเมื่อ 2006-09-04.
- ↑ Sham HL, Kempf DJ, Molla A, Marsh KC, Kumar GN, Chen CM, และคณะ (December 1998). "ABT-378, a highly potent inhibitor of the human immunodeficiency virus protease". Antimicrobial Agents and Chemotherapy. 42 (12): 3218–24. doi:10.1128/AAC.42.12.3218. PMC 106025. PMID 9835517.
- "Drug Approval Package: Kaletra (Lopinavir/Ritonavir) NDA #21-226 & 21-251". U.S. Food and Drug Administration (FDA). 20 November 2001. สืบค้นเมื่อ 18 March 2020.
- "Generic Kaletra Availability". Drugs.com. สืบค้นเมื่อ 2020-02-18.
- "Kaletra EPAR". European Medicines Agency (EMA). สืบค้นเมื่อ 2020-02-18.
- "Inoculating the world may mean reviving old curbs on patents". Pittsburgh Post-Gazette. Bloomberg. 14 April 2020. สืบค้นเมื่อ 16 April 2020.
- Scheer, Steven (19 March 2020). "Israel approves generic HIV drug to treat COVID-19 despite doubts". Reuters. สืบค้นเมื่อ 16 April 2020.
- (PDF). คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม (PDF) เมื่อ 2011-07-17.
- "Abbott pulls HIV drug in Thai patents protest". Financial Times. 14 March 2007.
- (PDF). 1 July 2007. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม (PDF) เมื่อ 20 October 2007.
- Pasipanodya B, Kuwengwa R, Prust ML, Stewart B, Chakanyuka C, Murimwa T, และคณะ (December 2018). "Assessing the adoption of lopinavir/ritonavir oral pellets for HIV-positive children in Zimbabwe". Journal of the International AIDS Society. 21 (12): e25214. doi:10.1002/jia2.25214. PMC 6293134. PMID 30549217.
- ↑ McCreary, Erin K; Pogue, Jason M (23 March 2020). "COVID-19 Treatment: A Review of Early and Emerging Options". Open Forum Infectious Diseases. doi:10.1093/ofid/ofaa105.
- Cao B, Wang Y, Wen D, Liu W, Wang J, Fan G, และคณะ (March 2020). "A Trial of Lopinavir-Ritonavir in Adults Hospitalized with Severe Covid-19". New England Journal of Medicine. doi:10.1056/NEJMoa2001282. PMID 32187464.
This randomized trial found that lopinavir–ritonavir treatment added to standard supportive care was not associated with clinical improvement or mortality in seriously ill patients with Covid-19 different from that associated with standard care alone.
แหล่งข้อมูลอื่น
- "Lopinavir mixture with Ritonavir". Drug Information Portal. U.S. National Library of Medicine.
- "Fact sheet on lopinavir and ritonavir (Lpv/R) oral pellets". องค์การอนามัยโลก (WHO).