fbpx
วิกิพีเดีย

วัดพระแท่นศิลาอาสน์

วัดพระแท่นศิลาอาสน์ เดิมชื่อ วัดมหาธาตุ ตั้งอยู่ที่บนเนินเขาเต่า หรือเขาทอง บ้านพระแท่น ตำบลทุ่งยั้ง อำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ ติดกับวัดพระยืนพุทธบาทยุคล ซึ่งตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันออก บนเนินเขาลูกเดียวกันแต่คนละยอด

วัดพระแท่นศิลาอาสน์
พระวิหารหลวง ประดิษฐาน พระแท่นศิลาอาสน์ ปูชนัยวัตถุสำคัญของจังหวัดอุตรดิตถ์
ชื่อสามัญวัดพระแท่นศิลาอาสน์
ที่ตั้งตำบลทุ่งยั้ง อำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ 53210
ประเภทพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ
นิกายเถรวาท (ธรรมยุตินิกาย)
เจ้าอาวาสพระวินัยสาทร (ถวิล ถาวโร)
ความพิเศษพระอารามหลวง เป็นที่ประดิษฐานพระแท่นศิลาอาสน์ ปูชนียวัตถุสถานสำคัญของจังหวัดอุตรดิตถ์
จุดสนใจสักการะพระแท่นศิลาอาสน์, ชม พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านล้านนา ภายในวัด
กิจกรรมงานนมัสการพระแท่นศิลาอาสน์ ตั้งแต่ วันขึ้น 8 ค่ำ ถึง วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน สาม
ส่วนหนึ่งของสารานุกรมพระพุทธศาสนา

วัดพระแท่นศิลาอาสน์เป็นวัดโบราณ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าผู้ใดสร้าง และสร้างแต่เมื่อใด ในศิลาจารึกครั้งกรุงสุโขทัยไม่ปรากฏข้อความกล่าวถึงพระแท่นศิลาอาสน์ แต่เพิ่งมีปรากฏในหนังสือพระราชพงศาวดาร ในรัชสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ พระองค์ได้เสด็จนมัสการพระแท่นศิลาอาสน์ เมื่อปี พ.ศ. 2283 ได้แสดงว่าพระแท่นศิลาอาสน์ได้มีมาก่อนหน้านี้แล้ว จนเป็นที่เคารพสักการะของคนทั่วไปอย่างกว้างขวาง และทางราชการได้นำพระแท่นศิลาอาสน์ไปประดิษฐานไว้ในตราประจำจังหวัดอุตรดิตถ์ แสดงถึงความศรัทธาเลื่อมใสและความสำคัญขององค์พระแท่นศิลาอาสน์ได้เป็นอย่างดี

ปัจจุบันวัดพระแท่นศิลาอาสน์ ได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นพระอารามหลวงชั้นตรี สังกัดธรรมยุตินิกาย เมื่อปี พ.ศ. 2549

พระแท่นศิลาอาสน์

 
"องค์พระแท่นศิลาอาสน์" ตัวพระแท่นทำด้วยศิลาแลง

พระแท่นศิลาอาสน์เป็นพุทธเจดีย์ เช่นเดียวกับพระแท่นดงรัง เป็นที่เชื่อกันมาแต่โบราณว่า สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งห้าพระองค์ในภัทรกัปนี้ ได้เสด็จและจะได้เสด็จมาประทับนั่งบนพระแท่นแห่งนี้ เพื่อเจริญภาวนา และได้ประทับยับยั้งในเวลาที่ตรัสรู้แล้ว เพื่อโปรดสัตว์ ซึ่งแสดงว่าพระแท่นศิลาอาสน์นี้ มีประวัติความเป็นมาอย่างต่อเนื่อง ในพระพุทธศาสนามายาวนาน ตัวพระแท่นเป็นศิลาแลง มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาดกว้าง 8 ฟุต ยาวประมาณ 10 ฟุต สูง 3 ฟุต ที่ฐานพระแท่นประดับด้วยลายกลีบบัวโดยรอบ มีพระมณฑป ศิลปะเชียงแสนครอบ อยู่ภายในพระวิหารวัดพระแท่นศิลาอาสน์

ประวัติ

 
ภาพถ่ายเก่าพระวิหารหลวงประดิษฐานองค์พระแท่นศิลาอาสน์ ในสมัยรัชกาลที่ 5 ปัจจุบันได้ทำการบูรณะใหม่แล้วหลังจากถูกไฟป่าไหม้ไปเมื่อปี พ.ศ. 2451

สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงสันนิษฐานว่า พระแท่นศิลาอาสน์อาจมีมาก่อนแล้วช้านาน ก่อนที่พระเจ้าบรมโกศเสด็จไปบูชา เพราะพระแท่นศิลาอาสน์อยู่ริมเมืองทุ่งยั้งซึ่งมีมาตั้งแต่ครั้งสมัยอาณาจักรเชียงแสนก่อนสุโขทัย และบางทีชื่อทุ่งยั้งนั้นเอง จะเป็นนิมิตให้เกิดมีพระแท่น เป็นที่พระพุทธเจ้าประทับยับยั้ง เมื่อเสด็จผ่านมาทางนั้น ในทางตำนานมีคติที่เชื่อว่าพระพุทธเจ้าได้เสด็จยังประเทศต่าง ๆ ภายนอกอินเดียด้วยอิทธิฤทธิ์ฌานสมาบัติ และได้ประดิษฐานเจดีย์ หรือตรัสพยากรณ์อะไรไว้ในประเทศเหล่านั้น เป็นคติที่เกิดในลังกาทวีป และประเทศอื่นได้รับเอาไปเชื่อถือด้วย จึงเกิดมีเจดีย์วัตถุและพุทธพยาการณ์ ที่อ้างว่าพระพุทธองค์ได้ทรงประดิษฐานเจดีย์ไว้ มากบ้าง น้อยบ้างทุกประเทศ เฉพาะเมืองไทย มีปรากฏในพงศาวดารโดยลำดับมาว่า พบรอยพระพุทธบาท ณ ไหล่เขาสุวรรณบรรพต เมื่อรัชกาลพระเจ้าทรงธรรม รัชกาลพระเจ้าเสือได้เสด็จไปบูชาพระพุทธฉาย ณ เขาปัถวี และพระเจ้าบรมโกศ เสด็จไปบูชาพระแท่นศิลาอาสน์

ตำนานพระแท่นศิลาอาสน์ได้กล่าวว่า พระพุทธเจ้าพร้อมกับพระอรหันต์500องค์ ได้เสด็จมาประทับยับยั้งที่เนินเขา นอกเมืองแห่งหนึ่ง ภายหลังเรียกเมืองนั้นว่า เมืองทุ่งยั้ง เจ้าอายลูกนายไทย ซึ่งเป็นใหญ่แก่คนทั้งหลายบริเวณนั้น จึงได้ประกาศให้ชาวเมือง นำเต้าแตงถั่วงาปลาอาหารมาถวาย พระพุทธเจ้าจึงได้เทสนาสั่งสอน พระอานนท์ได้นำบาตรพระพุทธเจ้าไปแขวนห้อยไว้บนต้นพุทรา ภายหลังเรียกว่า ต้นพุทราแขวนบาตร และพระพุทธเจ้าได้ทรงกระทำภัตตกิจบนแท่นศิลาที่พระโพธิสัตว์ทุกพระองค์เคยนั่งบำเพ็ญบารมี ภายหลังเรียกว่า พระแท่นศิลาอาสน์ เมื่อเสร็จแล้วพระพุทธเจ้าทรงแย้มพระโอษฐ์ พระอานนท์กับพระเรวตะจึงทูลถามถึงสาเหตุที่พระองค์ทรงแย้มพระโอษฐ์ พระพุทธเจ้าจึงตรัสตอบว่าในกาลบัดนี้ มีมหายักษ์ผู้หนึ่งได้นำเอาน้ำใส่คนโทแก้วมาถวาย แต่เดินไม่ระวังไปเหยียบมดง่ามที่หอมกลิ่นข้าวที่พระองค์ทำภัตตกิจตายไป4ตัว พระพุทธเจ้าได้ตรัสให้ศีลแก่มหายักษ์ มหายักษ์เลื่อมใสได้ถอดเขี้ยวแก้วถวายและลากลับไป และมีพุทธฎีกากับพระอานนท์ว่า ภายหลังพระองค์ปรินิพพานไปได้ 2,000 ปี มดง่ามทั้ง4จะได้กลับมาเกิดเป็นกษัตริย์ ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้รุ่งเรืองสืบไป แล้วทรงบ้วนพระโอษฐ์ใส่กระโถนศิลาแลงข้างพระแท่น ภายหลังเรียกว่า บ้วนพระโอษฐ์ (จากการค้นคว้าของอาจารย์ธีระวัฒน์ แสนคำ พบว่าเดิมวิหารพระแท่นศิลาอาสน์มีมุขยื่นออกมาจากตัววิหารด้านทิศเหนือเรียกว่า "มุขบ้วนพระโอษฐ์" ประดิษฐานบ้วนพระโอษฐ์ไว้ที่นั้น ภายหลังวิหารไฟไหม้ในปีพ.ศ. 2451 ช่างบูรณะได้ตัดส่วนมุขบ้วนพระโอษฐ์นี้ไปเสีย ปัจจุบันบ้วนพระโอษฐ์พระพุทธเจ้าถูกทิ้งไว้ข้างๆซุ้มประตูพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นวัดพระแท่นศิลาอาสน์) ครั้นเสร็จแล้วพระองค์จึงลุกจากแท่นศิลา มาประทับยืนเหนือแท่นศิลาบนภูเขาอีกยอด หันพระพักตร์ไปทางทิศเหนือ ทอดพระเนตรหนองน้ำใหญ่แห่งหนึ่ง ภายหลังเรียก หนองพระแล พระองค์ทรงประทับรอยพระพุทธบาทบนก้อนศิลานั้น ภายหลังคือวัดพระยืนพุทธบาทยุคล แล้วพระองค์เสด็จลงงจากเนินเขาไปทางทิศเหนือเพื่อเดินจงกรม จากนั้นพระพุทธเจ้าจึงเสด็จมาบรรทมเหนือแท่นศิลา เหนือเนินเขาอีกยอด ภายหลังคือวัดพระนอนพุทธไสยาสน์ ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะเสด็จไปเมืองอื่นต่อไป สันนิฐานว่าตำนานพระแท่นศิลาอาสน์นี้ได้รับอิทธิพลมาจากตำนานพระเจ้าเลียบโลกของล้านนา เนื่องจากเมืองทุ่งยั้งอยู่ติดกับเขตล้านนา

มีเรื่องเล่าสืบต่อกันมาว่า นายช่างที่สร้างวิหาร วัดพระแท่นศิลาอาสน์ วัดพระฝาง และวัดสุทัศน์ เป็นนายช่างคนเดียวกัน บานประตูเก่าของพระวิหารเป็นไม้แกะสลักฝีมือดี แกะไม้ออกมาเด่น เป็นลายซ้อนกันหลายชั้น แม่ลายเป็นก้านขด ปลายเป็นรูปภาพต่าง ๆ เป็นลายเดียวกับลายบานมุขที่วิหารพระพุทธชินราช อาจสร้างแต่ครั้งพระเจ้าติโลกราช กษัตริย์แห่งราชอาณาจักรล้านนา เคียงคู่กับสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ กษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา ในสมัยนั้น

ต่อมาพระเจ้าบรมโกศมีพระราชศรัทธา ให้ทำประตูมุขตามลายเดิมถวายแทน แล้วโปรดให้เอาบานเดิมนั้นไปใช้เป็นบานวิหารวัดพระแท่นศิลาอาสน์ ประตูวิหารเก่าบานดังกล่าวได้ถูกไฟไหม้ไปเมื่อ วันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2451 เป็นไฟป่าลุกลามไหม้เข้ามาถึงวัด ไฟไหม้ครั้งนั้น เหลือกุฏิซึ่งประดิษฐานหลวงพ่อธรรมจักรอยู่เพียงหลังเดียว ต่อมาพระยาวโรดมภักดีศรีอุตรดิตถ์นคร (อั้น หงษนันท์) เจ้าเมืองอุตรดิตถ์ ได้เรี่ยไรเงินสร้างและซ่อมแซมวิหาร ภายในวิหารมีซุ้มมณฑปครอบพระแท่นศิลาอาสน์ไว้

งานเทศกาลนมัสการพระแท่นศิลาอาสน์

 
ปัจจุบันงานเทศกาลนมัสการพระแท่นศิลาอาสน์ จัดขึ้นทุกปีโดยเริ่มวันงาน ตั้งแต่ วันขึ้น 8 ค่ำ ถึง วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน สาม

ประเพณี ทำบุญไหว้พระแท่นศิลาอาสน์มีมานานหลายชั่วอายุคนแล้ว มีผู้มาสักการบูชาทั้งในเทศกาลและนอกเทศกาลตลอดปี พุทธศาสนิกชนมีความเชื่อว่า การได้มาสักการบูชาพระแท่นศิลาอาสน์ จะได้รับอานิสงส์สูงสุด และเช่นเดียวกับพระพุทธบาทสระบุรี พุทธศาสนิกชนผู้มีความศรัทธา จะขวนขวายมานมัสการให้ได้ครั้งหนึ่งในชีวิต ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่อยู่ในพื้นที่ตอนเหนือจังหวัดอุตรดิตถ์ จะพยายามเดินทางมานมัสการ พระแท่นศิลาอาสน์ แม้ว่าหนทางจะทุรกันดารเพียงใดก็ไม่ย่อท้อถอย และเห็นว่า เป็นการได้สร้างบุญกุศลที่มีค่าควร การมานมัสการจะกระทำทุกครั้งที่เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันมาฆบูชา ณ วันเพ็ญ เดือนสาม

งานเทศกาลนมัสการพระแท่นศิลาอาสน์ ณ วันเพ็ญ เดือนสาม อันเป็นวันมาฆบูชา จะเริ่มตั้งแต่ วันขึ้น 8 ค่ำ ถึง วันขึ้น 15 ค่ำ เดือนสาม บรรดาพระภิกษุสงฆ์จะธุดงค์มาปักกลดพักแรมที่บริเวณใกล้วัด เมื่อถึงวันมาฆบูชา เวลาประมาณ 19.30 น. พระภิกษุสงฆ์จะเข้าไปในพระวิหาร แล้วสวดพระพุทธมนต์ มีพระธรรมจักรกัปปวัตตนสูตร เป็นต้น เมื่อเสร็จพิธีแล้ว ก็ออกมาให้ศีลให้พรแก่ผู้ที่มานมัสการพระแท่นศิลาอาสน์ ในตอนเช้าของทุกวันในระหว่างเทศกาล บรรดาพระสงฆ์ที่ธุดงค์มานมัสการ พระแท่นศิลาอาสน์ จะเดินทางเข้าไปบิณฑบาตตามหมู่บ้าน และบรรดาชาวบ้านจะนำอาหารมาถวายที่วัดอีกเป็นจำนวนมาก เมื่อพระฉันอาหารเสร็จแล้ว ชาวบ้านก็จะแบ่งปันอาหารร่วมรับประทานด้วยกัน รวมทั้งผู้ที่เดินทางมานมัสการพระแท่นศิลาอาสน์ด้วย นับว่าเป็นการทำบุญกลางแจ้งที่ยิ่งใหญ่เป็นประจำทุกปี

เนื่องจากวัดพระนอนพุทธไสยาสน์ และวัดพระยืนพุทธบาทยุคล มีอาณาบริเวณอยู่ติดต่อกัน จึงจัดงานประจำปีพร้อมกันกับวัดพระแท่นศิลาอาสน์ เป็นเวลา 8 วัน 8 คืน ทำให้พุทธศาสนิกชนที่มาในงานเทศกาลนี้ได้ นมัสการพระบรมธาตุ และพระพุทธบาทด้วย เป็นการได้นมัสการพระพุทธเจดียสถาน อันเป็นที่เคารพสักการะ ได้ครบถ้วนในโอกาสเดียวกัน ยากจะหาที่ใดเสมอเหมือน

พระแท่นศิลาอาสน์

 
ตราประจำจังหวัดอุตรดิตถ์ แสดงภาพมณฑปพระแท่นศิลาอาสน์

ใน พ.ศ. 2483 เมื่อจอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้ดำริให้มีการออกแบบตราประจำจังหวัดต่างๆ เพื่อใช้เป็นสัญลักษณ์สำคัญของจังหวัด และนำเสนอสถานที่สำคัญของแต่ละจังหวัดให้เป็นที่รู้จักกว้างขวางขึ้น คณะกรมการจังหวัดอุตรดิตถ์จึงได้เสนอให้กรมศิลปากร นำรูปมณฑปพระแท่นศิลาอาสน์มาประดิษฐ์เป็นตราประจำจังหวัด ตรานี้จึงได้รับการออกแบบครั้งแรกโดยพระพรหมพิจิตร เขียนลายเส้นโดย นายอุณห์ เศวตมาลย์ ลักษณะเป็นรูปมณฑปพระแท่นศิลาอาสน์มีลายช่อกนกขนาบอยู่สองข้างในวงกลม ต่อมาทางราชการจึงเพิ่มรูปครุฑ และอักษรบอกนามจังหวัดว่า "จังหวัดอุตรดิตถ์" เข้าไว้ที่ส่วนใต้ภาพพระแท่นด้วย ซึ่งตราดังกล่าวก็ยังใช้มาจนถึงปัจจุบัน

ดูเพิ่ม

  • พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 6 "เที่ยวเมืองพระร่วง ตอนที่ ๔ ระยะทางเสด็จกลับ อุตรดิตถ์ ลับแล ทุ่งยั้ง พิชัย พิษณุโลก สระหลวง"

อ้างอิง

  1. ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เรื่อง ยกวัดราษฎร์เป็นพระอารามหลวง, เล่ม ๑๒๓, ตอนที่ ๙๖ ง , ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๙, หน้า ๑๖
  2. ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การปฏิสังขรณ์วิหารพระแท่นศิลาอาสน์ ซึ่งเป็นอันตรายด้วยลูกไฟเผาป่าปลิวมาตกไหม้, เล่ม ๒๖, ตอนที่ ๐ ง, ๒๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๕๒, หน้า ๒๔๗
  3. สัญลักษณ์และเพลงประจำจังหวัดอุตรดิตถ์ (เว็บไซต์ศาลากลางจังหวัดอุตรดิตถ์)

แหล่งข้อมูลอื่น

  • วัดพระแท่นศิลาอาสน์
  • หอมรดกไทย กองทัพบก

ดพระแท, นศ, ลาอาสน, เด, มช, ดมหาธาต, งอย, บนเน, นเขาเต, หร, อเขาทอง, านพระแท, ตำบลท, งย, อำเภอล, บแล, งหว, ดอ, ตรด, ตถ, ดก, บว, ดพระย, นพ, ทธบาทย, คล, งต, งอย, ทางด, านท, ศตะว, นออก, บนเน, นเขาล, กเด, ยวก, นแต, คนละยอดพระว, หารหลวง, ประด, ษฐาน, พระแท, นศ, ลาอา. wdphraaethnsilaxasn edimchux wdmhathatu tngxyuthibneninekhaeta hruxekhathxng banphraaethn tablthungyng xaephxlbael cnghwdxutrditth tidkbwdphrayunphuththbathyukhl sungtngxyuthangdanthistawnxxk bneninekhalukediywknaetkhnlayxdwdphraaethnsilaxasnphrawiharhlwng pradisthan phraaethnsilaxasn puchnywtthusakhykhxngcnghwdxutrditthchuxsamywdphraaethnsilaxasnthitngtablthungyng xaephxlbael cnghwdxutrditth 53210praephthphraxaramhlwngchntri chnidsamynikayethrwath thrrmyutinikay ecaxawasphrawinysathr thwil thawor khwamphiessphraxaramhlwng epnthipradisthanphraaethnsilaxasn puchniywtthusthansakhykhxngcnghwdxutrditthcudsnicskkaraphraaethnsilaxasn chm phiphithphnthphunbanlanna phayinwdkickrrmngannmskarphraaethnsilaxasn tngaet wnkhun 8 kha thung wnkhun 15 kha eduxn samswnhnungkhxngsaranukrmphraphuththsasnawdphraaethnsilaxasnepnwdobran imprakthlkthanwaphuidsrang aelasrangaetemuxid insilacarukkhrngkrungsuokhthyimpraktkhxkhwamklawthungphraaethnsilaxasn aetephingmipraktinhnngsuxphrarachphngsawdar inrchsmyphraecaxyuhwbrmoks phraxngkhidesdcnmskarphraaethnsilaxasn emuxpi ph s 2283 idaesdngwaphraaethnsilaxasnidmimakxnhnaniaelw cnepnthiekharphskkarakhxngkhnthwipxyangkwangkhwang aelathangrachkaridnaphraaethnsilaxasnippradisthaniwintrapracacnghwdxutrditth aesdngthungkhwamsrththaeluxmisaelakhwamsakhykhxngxngkhphraaethnsilaxasnidepnxyangdipccubnwdphraaethnsilaxasn idrbkarykthanakhunepnphraxaramhlwngchntri sngkdthrrmyutinikay emuxpi ph s 2549 1 enuxha 1 phraaethnsilaxasn 2 prawti 3 nganethskalnmskarphraaethnsilaxasn 4 phraaethnsilaxasn 5 duephim 6 xangxing 7 aehlngkhxmulxunphraaethnsilaxasn aekikh xngkhphraaethnsilaxasn twphraaethnthadwysilaaelng phraaethnsilaxasnepnphuththecdiy echnediywkbphraaethndngrng epnthiechuxknmaaetobranwa smedcphrasmmasmphuththeca thnghaphraxngkhinphthrkpni idesdcaelacaidesdcmaprathbnngbnphraaethnaehngni ephuxecriyphawna aelaidprathbybynginewlathitrsruaelw ephuxoprdstw sungaesdngwaphraaethnsilaxasnni miprawtikhwamepnmaxyangtxenuxng inphraphuththsasnamayawnan twphraaethnepnsilaaelng milksnaepnrupsiehliymphunpha khnadkwang 8 fut yawpraman 10 fut sung 3 fut thithanphraaethnpradbdwylayklibbwodyrxb miphramnthp silpaechiyngaesnkhrxb xyuphayinphrawiharwdphraaethnsilaxasnprawti aekikh phaphthayekaphrawiharhlwngpradisthanxngkhphraaethnsilaxasn insmyrchkalthi 5 pccubnidthakarburnaihmaelwhlngcakthukifpaihmipemuxpi ph s 2451 smedckrmphrayadarngrachanuphaphthrngsnnisthanwa phraaethnsilaxasnxacmimakxnaelwchanan kxnthiphraecabrmoksesdcipbucha ephraaphraaethnsilaxasnxyurimemuxngthungyngsungmimatngaetkhrngsmyxanackrechiyngaesnkxnsuokhthy aelabangthichuxthungyngnnexng caepnnimitihekidmiphraaethn epnthiphraphuththecaprathbybyng emuxesdcphanmathangnn inthangtananmikhtithiechuxwaphraphuththecaidesdcyngpraethstang phaynxkxinediydwyxiththivththichansmabti aelaidpradisthanecdiy hruxtrsphyakrnxairiwinpraethsehlann epnkhtithiekidinlngkathwip aelapraethsxunidrbexaipechuxthuxdwy cungekidmiecdiywtthuaelaphuththphyakarn thixangwaphraphuththxngkhidthrngpradisthanecdiyiw makbang nxybangthukpraeths echphaaemuxngithy mipraktinphngsawdarodyladbmawa phbrxyphraphuththbath n ihlekhasuwrrnbrrpht emuxrchkalphraecathrngthrrm rchkalphraecaesuxidesdcipbuchaphraphuththchay n ekhapthwi aelaphraecabrmoks esdcipbuchaphraaethnsilaxasntananphraaethnsilaxasnidklawwa phraphuththecaphrxmkbphraxrhnt500xngkh idesdcmaprathbybyngthieninekha nxkemuxngaehnghnung phayhlngeriykemuxngnnwa emuxngthungyng ecaxayluknayithy sungepnihyaekkhnthnghlaybriewnnn cungidprakasihchawemuxng naetaaetngthwngaplaxaharmathway phraphuththecacungidethsnasngsxn phraxannthidnabatrphraphuththecaipaekhwnhxyiwbntnphuthra phayhlngeriykwa tnphuthraaekhwnbatr aelaphraphuththecaidthrngkrathaphttkicbnaethnsilathiphraophthistwthukphraxngkhekhynngbaephybarmi phayhlngeriykwa phraaethnsilaxasn emuxesrcaelwphraphuththecathrngaeymphraoxsth phraxannthkbphraerwtacungthulthamthungsaehtuthiphraxngkhthrngaeymphraoxsth phraphuththecacungtrstxbwainkalbdni mimhayksphuhnungidnaexanaiskhnothaekwmathway aetedinimrawngipehyiybmdngamthihxmklinkhawthiphraxngkhthaphttkictayip4tw phraphuththecaidtrsihsilaekmhayks mhaykseluxmisidthxdekhiywaekwthwayaelalaklbip aelamiphuththdikakbphraxannthwa phayhlngphraxngkhpriniphphanipid 2 000 pi mdngamthng4caidklbmaekidepnkstriy thanubarungphraphuththsasnaihrungeruxngsubip aelwthrngbwnphraoxsthiskraothnsilaaelngkhangphraaethn phayhlngeriykwa bwnphraoxsth cakkarkhnkhwakhxngxacarythirawthn aesnkha phbwaedimwiharphraaethnsilaxasnmimukhyunxxkmacaktwwihardanthisehnuxeriykwa mukhbwnphraoxsth pradisthanbwnphraoxsthiwthinn phayhlngwiharifihminpiph s 2451 changburnaidtdswnmukhbwnphraoxsthniipesiy pccubnbwnphraoxsthphraphuththecathukthingiwkhangsumpratuphiphithphnththxngthinwdphraaethnsilaxasn khrnesrcaelwphraxngkhcunglukcakaethnsila maprathbyunehnuxaethnsilabnphuekhaxikyxd hnphraphktripthangthisehnux thxdphraentrhnxngnaihyaehnghnung phayhlngeriyk hnxngphraael phraxngkhthrngprathbrxyphraphuththbathbnkxnsilann phayhlngkhuxwdphrayunphuththbathyukhl aelwphraxngkhesdclngngcakeninekhaipthangthisehnuxephuxedincngkrm caknnphraphuththecacungesdcmabrrthmehnuxaethnsila ehnuxeninekhaxikyxd phayhlngkhuxwdphranxnphuththisyasn kxnthiphraphuththecacaesdcipemuxngxuntxip snnithanwatananphraaethnsilaxasnniidrbxiththiphlmacaktananphraecaeliybolkkhxnglanna enuxngcakemuxngthungyngxyutidkbekhtlannamieruxngelasubtxknmawa naychangthisrangwihar wdphraaethnsilaxasn wdphrafang aelawdsuthsn epnnaychangkhnediywkn banpratuekakhxngphrawiharepnimaekaslkfimuxdi aekaimxxkmaedn epnlaysxnknhlaychn aemlayepnkankhd playepnrupphaphtang epnlayediywkblaybanmukhthiwiharphraphuththchinrach xacsrangaetkhrngphraecatiolkrach kstriyaehngrachxanackrlanna ekhiyngkhukbsmedcphrabrmitrolknath kstriyaehngkrungsrixyuthya insmynntxmaphraecabrmoksmiphrarachsrththa ihthapratumukhtamlayedimthwayaethn aelwoprdihexabanedimnnipichepnbanwiharwdphraaethnsilaxasn pratuwiharekabandngklawidthukifihmipemux wnthi 25 minakhm ph s 2451 epnifpaluklamihmekhamathungwd ifihmkhrngnn ehluxkutisungpradisthanhlwngphxthrrmckrxyuephiynghlngediyw txmaphrayawordmphkdisrixutrditthnkhr xn hngsnnth ecaemuxngxutrditth ideriyirenginsrangaelasxmaesmwihar phayinwiharmisummnthpkhrxbphraaethnsilaxasniw 2 nganethskalnmskarphraaethnsilaxasn aekikh pccubnnganethskalnmskarphraaethnsilaxasn cdkhunthukpiodyerimwnngan tngaet wnkhun 8 kha thung wnkhun 15 kha eduxn sam praephni thabuyihwphraaethnsilaxasnmimananhlaychwxayukhnaelw miphumaskkarbuchathnginethskalaelanxkethskaltlxdpi phuththsasnikchnmikhwamechuxwa karidmaskkarbuchaphraaethnsilaxasn caidrbxanisngssungsud aelaechnediywkbphraphuththbathsraburi phuththsasnikchnphumikhwamsrththa cakhwnkhwaymanmskarihidkhrnghnunginchiwit dwyehtuni phuthixyuinphunthitxnehnuxcnghwdxutrditth caphyayamedinthangmanmskar phraaethnsilaxasn aemwahnthangcathurkndarephiyngidkimyxthxthxy aelaehnwa epnkaridsrangbuykuslthimikhakhwr karmanmskarcakrathathukkhrngthiepnwnsakhythangphraphuththsasna odyechphaaxyangyinginwnmakhbucha n wnephy eduxnsamnganethskalnmskarphraaethnsilaxasn n wnephy eduxnsam xnepnwnmakhbucha caerimtngaet wnkhun 8 kha thung wnkhun 15 kha eduxnsam brrdaphraphiksusngkhcathudngkhmapkkldphkaermthibriewniklwd emuxthungwnmakhbucha ewlapraman 19 30 n phraphiksusngkhcaekhaipinphrawihar aelwswdphraphuththmnt miphrathrrmckrkppwttnsutr epntn emuxesrcphithiaelw kxxkmaihsilihphraekphuthimanmskarphraaethnsilaxasn intxnechakhxngthukwninrahwangethskal brrdaphrasngkhthithudngkhmanmskar phraaethnsilaxasn caedinthangekhaipbinthbattamhmuban aelabrrdachawbancanaxaharmathwaythiwdxikepncanwnmak emuxphrachnxaharesrcaelw chawbankcaaebngpnxaharrwmrbprathandwykn rwmthngphuthiedinthangmanmskarphraaethnsilaxasndwy nbwaepnkarthabuyklangaecngthiyingihyepnpracathukpienuxngcakwdphranxnphuththisyasn aelawdphrayunphuththbathyukhl mixanabriewnxyutidtxkn cungcdnganpracapiphrxmknkbwdphraaethnsilaxasn epnewla 8 wn 8 khun thaihphuththsasnikchnthimainnganethskalniid nmskarphrabrmthatu aelaphraphuththbathdwy epnkaridnmskarphraphuththecdiysthan xnepnthiekharphskkara idkhrbthwninoxkasediywkn yakcahathiidesmxehmuxnphraaethnsilaxasn aekikh trapracacnghwdxutrditth aesdngphaphmnthpphraaethnsilaxasn in ph s 2483 emuxcxmphl p phibulsngkhram naykrthmntriinkhnann iddariihmikarxxkaebbtrapracacnghwdtang ephuxichepnsylksnsakhykhxngcnghwd aelanaesnxsthanthisakhykhxngaetlacnghwdihepnthiruckkwangkhwangkhun khnakrmkarcnghwdxutrditthcungidesnxihkrmsilpakr narupmnthpphraaethnsilaxasnmapradisthepntrapracacnghwd tranicungidrbkarxxkaebbkhrngaerkodyphraphrhmphicitr ekhiynlayesnody nayxunh eswtmaly lksnaepnrupmnthpphraaethnsilaxasnmilaychxknkkhnabxyusxngkhanginwngklm txmathangrachkarcungephimrupkhruth aelaxksrbxknamcnghwdwa cnghwdxutrditth ekhaiwthiswnitphaphphraaethndwy sungtradngklawkyngichmacnthungpccubn 3 duephim aekikhphrarachniphnthinrchkalthi 6 ethiywemuxngphrarwng txnthi 4 rayathangesdcklb xutrditth lbael thungyng phichy phisnuolk srahlwng xangxing aekikh rachkiccanuebksa prakassanknganphraphuththsasnaaehngchati eruxng ykwdrasdrepnphraxaramhlwng elm 123 txnthi 96 ng 19 knyayn ph s 2549 hna 16 rachkiccanuebksa aecngkhwamkrathrwngmhadithy eruxng karptisngkhrnwiharphraaethnsilaxasn sungepnxntraydwylukifephapapliwmatkihm elm 26 txnthi 0 ng 23 phvsphakhm ph s 2452 hna 247 sylksnaelaephlngpracacnghwdxutrditth ewbistsalaklangcnghwdxutrditth aehlngkhxmulxun aekikhwdphraaethnsilaxasn hxmrdkithy kxngthphbkkhxmmxns miphaphaelasuxekiywkb wdphraaethnsilaxasnekhathungcak https th wikipedia org w index php title wdphraaethnsilaxasn amp oldid 9501741, wikipedia, วิกิ หนังสือ, หนังสือ, ห้องสมุด,

บทความ

, อ่าน, ดาวน์โหลด, ฟรี, ดาวน์โหลดฟรี, mp3, วิดีโอ, mp4, 3gp, jpg, jpeg, gif, png, รูปภาพ, เพลง, เพลง, หนัง, หนังสือ, เกม, เกม