พรีเมียร์ลีก
- สำหรับพรีเมียร์ลีกอื่นๆ ดูที่ พรีเมียร์ลีก (แก้ความกำกวม)
พรีเมียร์ลีก (อังกฤษ: Premier League) หรือมักจะเรียกว่า พรีเมียร์ลีกอังกฤษ เป็นการแข่งขันฟุตบอลในระดับลีกสูงสุดของประเทศอังกฤษ โดยแข่งขันกัน 20 สโมสร มีระบบการตกชั้นไปสู่ อีเอฟแอลแชมเปียนชิป ฤดูกาลการแข่งขันเริ่มต้นตั้งแต่เดือนสิงหาคมถึงพฤษภาคม แต่ละทีมลงเล่นทั้งหมด 38 นัดจากการพบกันเหย้าและเยือน โดยนัดการแข่งขันส่วนใหญ่มักจะแข่งขันในช่วงบ่ายวันเสาร์และวันอาทิตย์ (เวลาท้องถิ่น)
ก่อตั้ง | 20 กุมภาพันธ์ 1992 |
---|---|
ประเทศ | อังกฤษ |
สมาพันธ์ | ยูฟ่า |
จำนวนทีม | 20 |
ระดับในพีระมิด | 1 |
ตกชั้นสู่ | อีเอฟแอลแชมเปียนชิป |
ถ้วยระดับประเทศ | เอฟเอคัพ เอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์ |
ถ้วยระดับลีก | อีเอฟแอลคัพ |
ถ้วยระดับนานาชาติ | ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ยูฟ่ายูโรปาลีก ยูฟ่ายูโรปาคอนเฟอเรนซ์ลีก |
ทีมชนะเลิศปัจจุบัน | แมนเชสเตอร์ซิตี (5 สมัย) (2020–21) |
ชนะเลิศมากที่สุด | แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด (13 สมัย) |
ผู้ลงเล่นมากที่สุด | แกเร็ท แบร์รี (653) |
ผู้ทำประตูสูงสุด | แอลัน เชียเรอร์ (260) |
หุ้นส่วนโทรทัศน์ | สกายสปอตส์, บีทีสปอตส์, แอมะซอนไพร์มวิดีโอ (ถ่ายทอดสด) สกายสปอตส์, บีบีซีสปอตส์ (ไฮไลต์) ทรูวิชั่นส์ (ถ่ายทอดสดและไฮไลต์สำหรับประเทศไทย) |
เว็บไซต์ | premierleague.com |
2021–22 |
การแข่งขันก่อตั้งในชื่อ เอฟเอพรีเมียร์ลีก เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1992 หลังการตัดสินใจของสโมสรใน ฟุตบอลลีกเฟิสต์ดิวิชัน ที่ต้องการจะแยกตัวออกจาก อิงกลิชฟุตบอลลีก ซึ่งก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1888 เพื่อรับผลประโยชน์จากข้อตกลงสิทธิ์ในการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ ข้อตกลงนั้นมีมูลค่าประมาณ 1 พันล้านปอนด์ต่อปี ณ ฤดูกาล 2013–14 โดยมี สกายและบีทีกรุป ได้สิทธิ์ในการถ่ายทอดสด 116 นัดและ 38 นัด ตามลำดับ พรีเมียร์ลีกเป็นบริษัทที่สโมสรเป็นสมาชิกทำหน้าที่เป็นผู้ถือหุ้นและสร้างรายได้ 2.2 พันล้านยูโรต่อปี จากสิทธิ์การถ่ายทอดสดทั้งในประเทศและต่างประเทศ สโมสรได้รับรายได้จากเงินส่วนกลางจำนวน 2.4 พันล้านปอนด์ในฤดูกาล 2016–1718 และอีก 343 ล้านปอนด์จ่ายให้กับสโมสรใน อิงกลิชฟุตบอลลีก (อีเอฟแอล)
พรีเมียร์ลีกเป็นลีกกีฬาที่มีผู้ชมมากที่สุดในโลก โดยมีการถ่ายทอดสดใน 212 ดินแดน ไปยังบ้าน 643 ล้านหลังและคาดว่ามีผู้ชมโทรทัศน์ 4.7 พันล้านคน มีผู้ชมในสนามเฉลี่ย 38,181 คน ในฤดูกาล 2018–19 เป็นรองแค่ บุนเดิสลีกา ซึ่งมีผู้ชมในสนามเฉลี่ยที่ 43,500 คน และมีผู้ชมในสนามสะสมในทุกนัดการแข่งขันที่ 14,508,981 คน ซึ่งสูงที่สุดมากกว่าลีกอื่น ๆ โดยเกือบทุกสนามมีผู้ชมเกือบเต็มความจุของสนาม พรีเมียร์ลีกมีค่าสัมประสิทธิ์ยูฟ่าเป็นอันดับที่สอง เป็นรองแค่ ลาลิกา โดยค่าสัมประสิทธิ์ยูฟ่านั้นคือการนำผลงานการแข่งขันในยุโรปจำนวนห้าฤดูกาลก่อนมาคำนวณ
มี 49 สโมสรที่เคยแข่งขันในพรีเมียร์ลีกตั้งแต่ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1992 โดยแบ่งเป็นสโมสรจากอังกฤษ 47 สโมสรและสโมสรจากเวลส์ 2 สโมสร มี 7 สโมสรจากทั้งหมดที่ชนะเลิศพรีเมียร์ลีก ได้แก่ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด (13), เชลซี (5), แมนเชสเตอร์ซิตี (5), อาร์เซนอล (3), แบล็กเบิร์นโรเวอส์ (1), เลสเตอร์ซิตี (1), ลิเวอร์พูล (1) สถิติคะแนนสูงสุดในพรีเมียร์ลีกคือ 100 คะแนน ทำโดยแมนเชสเตอร์ซิตีเมื่อ ฤดูกาล 2017–18
ประวัติ
เดิมฟุตบอลลีกแห่งนี้ ได้ใช้ชื่อว่า ฟุตบอลลีกดิวิชันหนึ่ง ซึ่งมีจัดการแข่งขันตั้งแต่ปี พ.ศ. 2431 (ค.ศ. 1888) และถือว่าเคยเป็นลีกฟุตบอลที่ยาวนานที่สุดในโลก โดยในปี พ.ศ. 2535 ในฤดูกาล 1992-93 ความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเกิดขึ้นจากรูเพิร์ธ เมอร์ด็อก (Rupert Murdoch) นักธุรกิจสื่อสารรายใหญ่เจ้าของเครือข่ายสถานีโทรทัศน์สกาย (BSkyB) พยายามผลักดันให้สโมสรฟุตบอลที่จะลงแข่งขันในดิวิชันหนึ่งประจำฤดูกาล 1992-93 ถอนตัวออกมาจัดตั้งเป็นพรีเมียร์ลีกทำให้ฟุตบอลลีกสูงสุดของอังกฤษในชื่อว่าดิวิชันหนึ่ง ซึ่งมีอายุ 104 ปี ต้องยุติลง ขณะเดียวกันทางฟุตบอลลีกเดิมได้เปลี่ยนชื่อจาก ดิวิชันสอง มาเป็น ดิวิชันหนึ่ง และดิวิชันอื่นได้เปลี่ยนตามกันไป
ในช่วงนั้นเป็นช่วงเวลาที่วงการฟุตบอลอาชีพของอังกฤษตกต่ำอย่างมาก เกิดเหตุการณ์หลายอย่างที่ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของฟุตบอลอังกฤษ เช่น เหตุการณ์เพลิงไหม้อัฒจันทร์วันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2528 ที่สนามฟุตบอลของแบรดฟอร์ดซิตีในระหว่างการแข่งขัน มีผู้เสียชีวิต 56 คน เหตุการณ์ภัยพิบัติฮิลส์โบโรวันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2532 ที่สนามฮิลส์โบโรของเชฟฟิลด์เวนส์เดย์ มีผู้คนเหยียบกันเสียชีวิต 96 คน นอกจากนี้ ภัยพิบัติเฮย์เซลซึ่งเกิดขึ้นระหว่างการแข่งขันฟุตบอลยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกรอบชิงชนะเลิศระหว่างลิเวอร์พูลและยูเวนตุสที่มีผู้เสียชีวิต 39 คน ทำให้ยูฟ่าสั่งห้ามไม่ให้สโมสรจากอังกฤษเข้าร่วมการแข่งขันชิงถ้วยสโมสรในยุโรปเป็นเวลา 5 ปี นอกจากนี้กลุ่มฮูลิแกนหรืออันธพาลลูกหนังที่ตามไปเชียร์ทีมที่ชื่นชอบก็ก่อพฤติกรรมเกะกะระรานหลังจบการแข่งขัน เข้าผับดื่มกินจนเมามาย บ้างก็วิวาทกับแฟนฟุตบอลเจ้าถิ่นเกิดเหตุการณ์วุ่นวายบางครั้งรุนแรงถึงขั้นจลาจลหรือไม่ก็มีคนเสียชีวิต โดยสาเหตุส่วนหนึ่งของภัยพิบัติเฮย์เซลก็เป็นการทะเลาะกันระหว่างแฟนบอลชาวอิตาลีที่มาชวนทะเลาะกับฮูลิแกน ซึ่งทำให้แฟนฟุตบอลไม่สามารถชมการแข่งขันได้อย่างสงบสุข เนื่องด้วยกลัวจะถูกลูกหลง ประกอบกับสภาพสนามที่ย่ำแย่ ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวก หรือการป้องกันเหตุฉุกเฉินอย่างดีพอ ทำให้ชาวอังกฤษหลายคนตัดสินใจรับชมการถ่ายทอดสดทางสถานีโทรทัศน์ที่บ้าน แทนที่จะเดินทางมาเชียร์ในสนามดังเช่นอดีต ช่วงทศวรรษ 1980 รายได้ของสโมสรจากค่าผ่านประตูซึ่งเป็นรายได้หลักได้ลดลงอย่างมาก มีเพียงสโมสรชั้นนำไม่กี่แห่งเท่านั้นที่ยังคงมีกำไร ในฤดูกาล 1986-87 ทุกสโมสรฟุตบอลมีกำไรสุทธิรวมเพียง 2.5 ล้านปอนด์ พอถึงฤดูกาล 1989-90 รวมทุกสโมสรขาดทุน 11 ล้านปอนด์ ทำให้นายทุนไม่กล้าจะเข้ามาลงทุนในธุรกิจกีฬาอาชีพนี้อย่างเต็มที่ หลายสโมสรในช่วงนั้นมีข่าวว่าใกล้จะล้มละลาย
ภายหลังเหตุการณ์ที่สนามฮิลส์โบโร รัฐบาลอังกฤษได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นสอบสวนเรื่องที่เกิดขึ้น โดยมีลอร์ดปีเตอร์ เทย์เลอร์ ผู้พิพากษาระดับรองประธานศาลฎีกา เป็นประธานคณะกรรมการ โดยผลการไต่สวนซึ่งเรียกว่ารายงานฉบับเทย์เลอร์ (Taylor Report) ได้กลายมาเป็นเอกสารสำคัญนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการฟุตบอลอังกฤษ เพราะกำหนดให้ทุกสโมสรต้องปรับปรุงสนามแข่งขัน ที่สำคัญคืออัฒจันทร์ชมการแข่งขันต้องเป็นแบบนั่งทั้งหมด ห้ามมีอัฒจันทร์ยืนเพื่อความปลอดภัยของผู้ชมการแข่งขัน โดยทีมในระดับดิวิชัน 1 และ 2 ต้องปรับปรุงให้เสร็จในปี 2537 และ ดิวิชัน 3 และ 4 ให้เสร็จในปี 2542 ส่งผลให้การยืนชมฟุตบอลซึ่งเป็นวัฒนธรรมการชมฟุตบอลของคนอังกฤษมานานต้องจบลง รวมทั้งบางแห่งที่มีชื่อเสียงอย่างเช่นอัฒจันทร์เดอะค็อปของสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล ถึงแม้ว่าในประเทศอังกฤษจะมีสโมสรฟุตบอลทั้งอาชีพและสมัครเล่นมากที่สุดในโลก แต่สนามฟุตบอลส่วนใหญ่มีสภาพเก่าแก่ทรุดโทรม บางสโมสรในระดับดิวิชันหนึ่งหรือดิวิชันสองยังคงมีอัฒจันทร์ที่สร้างด้วยไม้ ทำให้การปรับปรุงสนามฟุตบอลของสโมสรฟุตบอลอังกฤษครั้งนี้ต้องใช้เงินลงทุนมหาศาล ท่ามกลางสถานะทางการเงินที่ไม่มั่นคงเพราะรายได้ลดลงอย่างมาก สโมสรเล็กบางแห่งซึ่งมีผู้ชมน้อยอยู่แล้วจึงใช้วิธีปิดตายอัฒจันทร์ยืน ส่วนสโมสรใหญ่ที่ฐานะการเงินดีกว่าก็ประสบปัญหาเช่นกัน เพราะไม่อาจใช้วิธีเลี่ยงปัญหาแบบสโมสรเล็กได้ รัฐบาลอังกฤษในขณะนั้นต้องเข้าช่วยเหลือโดยลดค่าธรรมเนียมหรือภาษีธุรกิจพนันฟุตบอล นำเงินส่วนนี้มาตั้งกองทุนฟุตบอลจำนวน 100 ล้านปอนด์ ให้ฟุตบอลลีกเป็นคนจัดสรรให้สโมสรฟุตบอลซึ่งเป็นภาคีสมาชิกทั้ง 96 สโมสร นำไปพัฒนาปรับปรุงสนามแข่งขันของตนเอง แต่งบประมาณเท่านี้ต้องนับว่าน้อยมาก หากนำมาเฉลี่ยอย่างเท่ากันแล้วจะได้รับเงินเพียงสโมสรละ 1.08 ล้านปอนด์เท่านั้น ขณะที่สโมสรฟุตบอลชั้นแนวหน้าของลีกต้องใช้เงินในการณ์นี้สูงถึงกว่าสิบล้านปอนด์ สโมสรใหญ่ในดิวิชันหนึ่งจึงกดดันฟุตบอลลีกจัดสรรเงินให้มากกว่าสโมสรเล็ก เพราะหากไม่เสร็จทันตามกำหนดอาจจะถูกถอนใบอนุญาตได้
กิจการถ่ายทอดทางโทรทัศน์
ในช่วงเวลาที่สโมสรใหญ่ต้องการเงินทุนมหาศาลนี้ เป็นโอกาสให้เจ้าของสถานีโทรทัศน์สกาย ยื่นข้อเสนอให้สโมสรในดิวิชันหนึ่งประจำฤดูกาล 1992−93 ให้ถอนตัวจากสมาชิกฟุตบอลลีกเพื่อมาจัดตั้งเอฟเอพรีเมียร์ลีก โดยทางสถานีขอซื้อสิทธิผูกขาดในการถ่ายทอดการแข่งขันในราคาแพง ทำสัญญาฉบับแรกซื้อสิทธิผูกขาดในการถ่ายทอดการแข่งขันเป็นเวลา 5 ปี (ฤดูกาล 1992−93 ถึง 1996−97) จ่ายค่าตอบแทนให้ 304 ล้านปอนด์ เทียบกับในอดีตที่ฟุตบอลลีกได้รายได้จากการขายสิทธิให้สถานีไอทีวีของอังกฤษ เพียง 44 ล้านปอนด์ ในช่วงเวลา 4 ปี เงื่อนไขตอบแทนทางธุรกิจเช่นนี้ ดึงดูดให้สโมสรทั้งหลายสนใจเป็นอย่างยิ่ง จนผู้บริหารสโมสรบางคน เช่น นายแอลัน ชูการ์ เจ้าของสโมสรฟุตบอลทอตนัมฮอตสเปอร์ แสดงตนเป็นแกนนำในการล็อบบี้ให้สโมสรอื่น ๆ ในดิวิชันหนึ่งที่จะเริ่มแข่งขันในฤดูกาล 1992−93 เห็นชอบกับการก่อตั้งลีกแห่งนี้
สำหรับลิขสิทธิ์การเผยแพร่ในประเทศไทย ในช่วงฤดูกาล 2013−14, 2014−15 และ 2015−16 เป็นของบริษัท ซีทีเอช จำกัด (มหาชน) หน่วยงานกลางของกลุ่มผู้ประกอบการโทรทัศน์ผ่านสายเคเบิลระดับท้องถิ่น โดยต่อเนื่องมาจากบริษัท ทรูวิชันส์ จำกัด (มหาชน) ผู้ประกอบการโทรทัศน์ผ่านสายเคเบิลทั่วประเทศ ในเครือบริษัท ทรูคอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) ซึ่งถือลิขสิทธิ์ตั้งแต่ฤดูกาล 2007−08 จนถึง 2012−13 โดยต่อมาในปี 2016/2017 จนถึง 2018/2019 ช่องบีอินสปอตส์ได้ลิขสิทธิ์การถ่ายทอดดังกล่าว
การจัดตั้ง
17 กรกฎาคม พ.ศ. 2534 มีการลงนามข้อตกลงภาคีสมาชิกก่อตั้ง (Founder Members Agreement) เพื่อวางหลักการสำคัญในการจัดตั้งพรีเมียร์ลีก ได้แก่ ระบบลีกสูงสุดใหม่นี้จะดำเนินการทางธุรกิจด้วยตนเอง ทำให้พรีเมียร์ลีกมีอิสระที่จะเจรจาผลประโยชน์กับผู้สนับสนุน รวมทั้งสิทธิในการขายสิทธิถ่ายทอดโทรทัศน์ของตนเอง แยกขาดจากสมาคมฟุตบอลอังกฤษและฟุตบอลลีก จากนั้นในปี พ.ศ. 2535 ทั้ง 20 สโมสรได้ยื่นขอถอนตัวจากฟุตบอลลีกอย่างเป็นทางการ
ต่อมา 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 เอฟเอพรีเมียร์ลีกจึงก่อตั้งโดยจดทะเบียนในรูปบริษัทจำกัด มีสโมสรฟุตบอลสมาชิกทั้ง 20 แห่งเป็นหุ้นส่วน ความเป็นหุ้นส่วนจึงขึ้นอยู่กับผลการแข่งขันทางสโมสร หากทีมใดยังคงอยู่ในพรีเมียร์ลีกก็จะถือเป็นหุ้นส่วนของพรีเมียร์ลีกต่อไป ในช่วงปิดฤดูกาลสโมสรที่ตกชั้นจะต้องมอบสิทธิความเป็นหุ้นส่วนให้กับสโมสรที่เลื่อนชั้นมาจากดิวิชั่น 2 ที่เปลี่ยนชื่อเป็นดิวิชั่น 1 (ลีกแชมเปียนชิปในปัจจุบัน) โดยมีสมาคมฟุตบอลอังกฤษถือสิทธิเป็นหุ้นส่วนหลัก มีอำนาจที่จะคัดค้านในประเด็นสำคัญ เช่น การแต่งตั้งประธานกรรมการและผู้บริหารระดับสูง หลักการเลื่อนชั้นหรือตกชั้นของสโมสรเท่านั้น แต่ไม่อาจล่วงไปถึงกิจการเฉพาะของพรีเมียร์ลีก ซึ่งได้แก่เงื่อนไขและผลประโยชน์เชิงพาณิชย์ต่าง ๆ
ด้วยค่าตอบแทนจากการถ่ายทอดโทรทัศน์และประโยชน์ที่ได้รับจากผู้สนับสนุนการแข่งขัน ทำให้พรีเมียร์ลีกพัฒนาเป็นลีกฟุตบอลภายในประเทศที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
การซื้อตัวผู้เล่นต่างชาติ
จารีตอันยาวนานของสโมสรฟุตบอลอังกฤษในเรื่องนักฟุตบอลของทีมคือ แต่ละสโมสรจะส่งตัวแทนค้นหาเยาวชนที่มีความสามารถทางการเล่นฟุตบอลเพื่อนำมาฝึกหัดพัฒนาทักษะ โดยให้ลงเล่นตั้งแต่ในทีมระดับเยาวชน สมัครเล่น หรือทีมสำรอง ผู้ที่มีความโดดเด่นจะได้รับคัดเลือกให้ลงเล่นในทีมชุดใหญ่ซึ่งลงแข่งในฟุตบอลลีก หากจะมีการซื้อตัวผู้เล่น ก็มักจะมาจากสโมสรในดิวิชันหนึ่ง (เดิม) ซื้อตัวผู้เล่น ดาวรุ่ง จากดิวิชันที่ต่ำกว่าหรือจากสโมสรสมัครเล่นนอกลีก มีน้อยมากที่ซื้อนักฟุตบอลต่างชาติ (ไม่นับรวม สกอตแลนด์ เวลส์ และไอร์แลนด์) ต่างจากสโมสรฟุตบอลอาชีพทางยุโรปตอนใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสโมสรฟุตบอลในอิตาลีและสเปน ซึ่งมักจะได้รับฉายาว่า เจ้าบุญทุ่ม บ่อยครั้งที่สโมสรฟุตบอลจากสองประเทศนี้จ่ายเงินมหาศาล จนถึงขั้นสร้างสถิติโลกในการซื้อตัวนักฟุตบอลต่างชาติเพียงหนึ่งคน
แต่เมื่อพรีเมียร์ลีกก่อกำเนิด ธรรมเนียมการกว้านซื้อตัวนักฟุตบอลต่างชาติของสโมสรฟุตบอลอังกฤษจึงเริ่มมีมากขึ้น จารีตการสร้างนักฟุตบอลของตัวเองแม้จะยังคงอยู่แต่ก็ลดความสำคัญลงไปทุกขณะ เพราะต้องใช้เวลายาวนานอาจไม่ทันการณ์ สู้ใช้เงินซื้อนักฟุตบอลชื่อดังระดับโลกมาร่วมสังกัดไม่ได้ ที่สามารถดึงดูดแฟนฟุตบอลให้ซื้อบัตรเข้าชมการแข่งขันมากขึ้นในเวลาอันสั้น ลีลาการเล่นที่ตื่นเต้นเร้าใจย่อมขยายฐานแฟนคลับให้กว้างขวางออกไปอย่างรวดเร็ว เมื่อสโมสรชั้นนำในพรีเมียร์ลีกต่างมีสถานะทางการเงินที่มั่นคงกว่าเดิม จึงพร้อมที่จะทำในสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์
รูปโฉมใหม่ของฟุตบอลอาชีพอังกฤษเปิดฉากขึ้น ในฤดูกาล 1994-95 เมื่อท็อตนัมฮอตสเปอร์ซี่ซื้อตัวเยือร์เกิน คลินส์มันน์ นักฟุตบอลทีมชาติเยอรมันจากโมนาโกในลีกฝรั่งเศส ทักษะและลีลาการเล่นฟุตบอลของคลินส์มันน์สร้างความตื่นตาตื่นใจต่อผู้ชม ทำให้เขากลายเป็นขวัญใจของกองเชียร์ในเวลาไม่นาน สร้างความพึงพอใจต่อสโมสรต้นสังกัดเป็นอย่างยิ่ง ความสำเร็จของทอตนัมฮอตสเปอร์กระตุ้นให้สโมสรอื่น กล้าลงทุนซื้อตัวนักฟุตบอลระดับโลกมากขึ้น เพราะรายรับที่ได้กลับคืนมาคุ้มค่ากับการลงทุน
ในฤดูกาลถัดมานักฟุตบอลต่างชาติได้มาเล่นในฟุตบอลอังกฤษมากขึ้น ในฤดูกาล 1995-96 มิดเดิลสโบรห์ซื้อจูนินโญ่และเอเมอร์สัน (บราซิล) นิวคาสเซิลยูไนเต็ดซื้อฟาอุสติโน อัสปริญา (โคลอมเบีย) อาร์เซนอลซื้อแด็นนิส แบร์คกัมป์ (ฮอลแลนด์) เชลซีซื้อรืด คึลลิต (ฮอลแลนด์) เป็นต้น ฤดูกาล 1996-97 มิดเดิลสโบรห์ซื้อฟาบรีซีโอ ราวาเนลลี (อิตาลี) เชลซีซื้อจันลูกา วีอัลลี และจันฟรังโก โซลา (อิตาลี) สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลซื้อแพทริก แบเกอร์ (สาธารณรัฐเช็ก) และอาร์เซนอลซื้อปาทริค วิเอร่า (ฝรั่งเศส) เป็นต้น โดยในฤดูกาล 1999-2000 เชลซีได้ส่งผู้เล่น 11 ตัวจริงลงเล่นโดยที่ไม่มีผู้เล่นของอังกฤษหรือประเทศในสหราชอาณาจักรปนอยู่เลยเป็นทีมแรก
นอกจากนักฟุตบอลแล้ว ผู้จัดการทีมต่างชาติก็เข้ามามีบทบาทในพรีเมียร์ลีกจวบจนปัจจุบันนี้ ไม่ว่าจะเป็นอาร์แซน แวงแกร์, รืด คึลลิต, เฌราร์ อูลีเย, ราฟาเอล เบนีเตซ, โชเซ มูรีนโย ฯลฯ แม้แต่สโมสรฟุตบอลที่มีลักษณะอนุรักษนิยมสูง ดังเช่น ลิเวอร์พูล ที่ปรับตัวให้เข้ากับระบบใหม่ช้ากว่าคู่แข่งหลายทีม จนทำให้ยังไม่ประสบความสำเร็จในระดับแชมป์พรีเมียร์ลีก (ต่างจากยุคฟุตบอลลีก) และยังต้องปรับตัวต่อกระแสการซื้อตัวนักฟุตบอลและผู้จัดการทีมต่างชาติ เพื่อหวังจะครองแชมป์พรีเมียร์ลีกเป็นครั้งแรกให้ได้
อาจกล่าวได้ว่าในขณะนี้ พรีเมียร์ลีกเป็นลีกฟุตบอลภายในประเทศที่ดีที่สุดแห่งหนึ่ง ดึงดูดนักฟุตบอลชั้นดีให้มาประกอบวิชาชีพไม่ต่างจากเซเรียอาของประเทศอิตาลี หรือลาลิกาของประเทศสเปน ตัวชี้วัดคุณภาพที่ดีที่สุดคือนักฟุตบอลที่เข้าร่วมแข่งขันฟุตบอลโลก 2002 ซึ่งเกาหลีใต้-ญี่ปุ่น เป็นเจ้าภาพ มีจำนวน 101 คนที่เล่นฟุตบอลในอังกฤษ และปัจจุบันมีนักฟุตบอลต่างชาติในพรีเมียร์ลีกมากกว่า 290 คน
รูปแบบการแข่งขัน
การแข่งขัน
มีสโมสรร่วมกันแข่งขันในพรีเมียร์ลีก 20 ทีม ในช่วงระหว่างฤดูกาล (ตั้งแต่สิงหาคมถึงพฤษภาคม) โดยแต่ละทีมจะพบกันหมด เหย้าและเยือน ทีมชนะได้ 3 คะแนน ทีมเสมอได้ 1 คะแนน และทีมแพ้ไม่ได้คะแนน ตลอดฤดูกาลทุกทีมจะต้องแข่งขันทั้งสิ้น 38 นัด ทีมจะถูกจัดอันดับโดยเรียงจาก คะแนน, ผลประตูได้เสียและผลประตูรวม หากยังคงเท่ากันทีมจะถือว่าครองตำแหน่งเดียวกัน หากมีการเสมอกันในการตกชั้นสู่การแข่งขันลีกแชมเปียนชิป หรือ การคัดเลือกไปยังการแข่งขันอื่น ๆ จำเป็นต้องมีการแข่งขันเพลย์ออฟที่สนามกลางเพื่อตัดสินอันดับ
การเลื่อนชั้นและการตกชั้น
มีระบบการเลื่อนชั้นและการตกชั้น ระหว่าง พรีเมียร์ลีก และ อีเอฟแอลแชมเปียนชิป โดยสามทีมที่ได้อันดับต่ำสุดในพรีเมียร์ลีก จะต้องตกชั้นไปเล่นใน แชมเปียนชิป และ ทีมที่อันดับสูงที่สุดสองทีมในแชมเปียนชิปจะเลื่อนชั้นไป พรีเมียร์ลีก พร้อมกับอีกหนึ่งทีมที่มาจากการชนะเลิศในการแข่งขันเพลย์-ออฟระหว่างอันดับที่ 3, 4, 5 และ 6 แต่เดิมพรีเมียร์ลีกมี 22 ทีมตั้งแต่ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1992 แต่ลดลงเหลือ 20 ทีม เมื่อปี ค.ศ. 1995
การคัดเลือกไปยังการแข่งขันอื่น
4 ทีมที่อันดับดีสุดจะได้ผ่านเข้าไปเล่นในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก โดยสี่ทีมอันดับแรกจะผ่านเข้าไปรอในรอบแบ่งกลุ่ม (ทีมชนะเลิศได้อยู่โถ 1) ส่วนอันดับ 5 จะได้เล่นยูฟ่ายูโรปาลีก (ยูฟ่า คัพ เดิม) และทีมที่ชนะเลิศการแข่งขันฟุตบอลถ้วยภายในประเทศก็จะได้สิทธิ์ไปเล่นในยูโรปาลีก โดยอัตโนมัติเช่นกัน ส่วนทีมที่ชนะเลิศการแข่งขันฟุตบอลอีเอฟแอลคัพก็จะได้สิทธิ์ไปเล่นในยูฟ่ายูโรปาคอนเฟอเรนซ์ลีก โดยอัตโนมัติเช่นกัน ในกรณีที่ทีมอันดับ 1-4 ชนะการแข่งขันฟุตบอลถ้วยภายในประเทศและชนะการแข่งขันฟุตบอลลีกคัพ สิทธิ์การแข่งยูโรปาลีก จะได้แก่อันดับ 5 และ 6 ของพรีเมียร์ลีกแทน และสิทธิ์การแข่งคอนเฟอเรนซ์ลีก จะได้แก่อันดับ 7 ของพรีเมียร์ลีกแทน
ทีมพรีเมียร์ลีกที่ได้สิทธิไปแข่งฟุตบอลยุโรป มีเงื่อนไขดังนี้
- แชมป์พรีเมียร์ลีก : ผ่านเข้าไปเล่นในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในรอบแบ่งกลุ่มและได้อยู่โถ 1
- รองแชมป์พรีเมียร์ลีก : ผ่านเข้าไปเล่นในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในรอบแบ่งกลุ่ม
- อันดับที่ 3 : ผ่านเข้าไปเล่นในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในรอบแบ่งกลุ่ม
- แชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก : ผ่านเข้าไปเล่นในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในรอบแบ่งกลุ่มและได้อยู่โถ 1
- แชมป์ยูฟ่ายูโรปาลีก : ผ่านเข้าไปเล่นในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในรอบแบ่งกลุ่ม
- อันดับที่ 4 : ผ่านเข้าไปเล่นในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในรอบแบ่งกลุ่ม
- แชมป์เอฟเอคัพ : ผ่านเข้าไปเล่นในยูฟ่ายูโรปาลีกในรอบแบ่งกลุ่ม
- อันดับที่ 5 : ผ่านเข้าไปเล่นในยูฟ่ายูโรปาลีกในรอบแบ่งกลุ่ม
- แชมป์อีเอฟแอลคัพ : ผ่านเข้าไปเล่นในยูฟ่ายูโรปาคอนเฟอเรนซ์ลีกในรอบเพลย์ออฟ
ผู้สนับสนุนหลัก
รายชื่อผู้สนับสนุนหลักในรายการแข่งขันฤดูกาลต่างๆ
- 1993–2001: คาร์ลิง (FA Carling Premiership)
- 2001–2004: บัตรเครดิตบาร์เคลย์การ์ด (Barclaycard Premiership)
- 2004–2016: แบงค์บาร์เคลย์ (Barclay Premiership) (จนถึงปี 2007 ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น Barclay Premier League)
- 2016–ปัจจุปัน: ไม่มีผู้สนับสนุนหลัก (Premier League)
สโมสรที่เข้าร่วม
ฤดูกาล 2020–21
สโมสรต่อไปนี้จำนวน 20 สโมสรจะแข่งขันกันในฤดูกาล 2020–21
สโมสร | อันดับใน 2019–20 | ฤดูกาลแรกใน ดิวิชันสูงสุด | ฤดูกาลแรกใน พรีเมียร์ลีก | จำนวนฤดูกาล ที่อยู่ใน ดิวิชันสูงสุด | จำนวนฤดูกาล ที่อยู่ใน พรีเมียร์ลีก | ฤดูกาลแรกที่อยู่บน ดิวิชันสูงสุดแล้ว ยังอยู่ถึงปัจจุบัน | จำนวนครั้ง ที่ชนะเลิศใน ดิวิชันสูงสุด | ชนะเลิศ ครั้งสุดท้ายใน ดิวิชันสูงสุด |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|
อาร์เซนอลa, b | 8th | 1904–05 | 1992–93 | 104 | 29 | 1919–20 | 13 | 2003–04 |
แอสตันวิลลาa, c | 17th | 1888–89 | 1992–93 | 107 | 26 | 2019–20 | 7 | 1980–81 |
ไบรตันแอนด์โฮฟอัลเบียนb | 15th | 1979–80 | 2017–18 | 8 | 4 | 2017–18 | 0 | – |
เบิร์นลีย์c | 10th | 1888–89 | 2009–10 | 58 | 7 | 2016–17 | 2 | 1959–60 |
เชลซีa, b | 4th | 1907–08 | 1992–93 | 86 | 29 | 1989–90 | 6 | 2016–17 |
คริสตัลพาเลซa | 14th | 1969–70 | 1992–93 | 21 | 12 | 2013–14 | 0 | – |
เอฟเวอร์ตันa, b, c | 12th | 1888–89 | 1992–93 | 118 | 29 | 1954–55 | 9 | 1986–87 |
ฟูลัม | แชมเปียนชิป | 4th in the1949–50 | 2001–02 | 27 | 15 | 2020–21 | 0 | – |
ลีดส์ยูไนเต็ดa | แชมเปียนชิป | 1st in the1924–25 | 1992–93 | 51 | 13 | 2020–21 | 3 | 1991–92 |
เลสเตอร์ซิตี | 5th | 1908–09 | 1994–95 | 52 | 15 | 2014–15 | 1 | 2015–16 |
ลิเวอร์พูลa, b | 1st | 1894–95 | 1992–93 | 106 | 29 | 1962–63 | 19 | 2019–20 |
แมนเชอร์เตอร์ซิตีa | 2nd | 1899–1900 | 1992–93 | 92 | 24 | 2002–03 | 6 | 2018–19 |
แมนเชอร์เตอร์ยูไนเต็ดa, b | 3rd | 1892–93 | 1992–93 | 96 | 29 | 1975–76 | 20 | 2012–13 |
นิวคาสเซิลยูไนเต็ด | 13th | 1898–99 | 1993–94 | 89 | 26 | 2017–18 | 4 | 1926–27 |
เชฟฟีลด์ยูไนเต็ดa | 9th | 1893–94 | 1992–93 | 62 | 5 | 2019–20 | 1 | 1897–98 |
เซาแทมป์ตันa | 11th | 1966–67 | 1992–93 | 44 | 22 | 2012–13 | 0 | – |
ทอตนัมฮอตสเปอร์a, b | 6th | 1909–10 | 1992–93 | 86 | 29 | 1978–79 | 2 | 1960–61 |
เวสต์บรอมมิชอัลเบียนc | แชมเปียนชิป | 2nd in the1888–89 | 2002–03 | 81 | 13 | 2020–21 | 1 | 1919–20 |
เวสต์แฮมยูไนเต็ด | 16th | 1923–24 | 1993–94 | 63 | 25 | 2012–13 | 0 | – |
วุลเวอร์แฮมป์ตันวอนเดอเรอส์c | 7th | 1888–89 | 2003–04 | 66 | 7 | 2018–19 | 3 | 1958–59 |
- บอร์นมัท, วอตฟอร์ด และ นอริชซิตี ตกชั้นสู่ แชมเปียนชิป ฤดูกาล 2019–20 ขณะที่ ลีดส์ยูไนเต็ด, เวสต์บรอมมิชอัลเบียน และ ฟูลัม เลื่อนชั้นจาก แชมเปียนชิป ฤดูกาล 2019–20 จากการเป็นทีมชนะเลิศ, รองชนะเลิศและชนะเพลย์-ออฟ ตามลำดับ
- ไบรตันแอนด์โฮฟอัลเบียน เป็นสโมสรที่ยังอยู่ในพรีเมียร์ลีกตั้งแต่เลื่อนชั้นครั้งแรก โดยอยู่มา 4 ฤดูกาล (จาก 29) ตามลำดับ
a: สโมสรก่อตั้งพรีเมียร์ลีก
b: ไม่เคยตกชั้นจากพรีเมียร์ลีก
c: หนึ่งใน 12 ทีมดั้งเดิมในฟุตบอลลีก
d: สโมสรจากเวลส์
แผนที่
ทำเนียบผู้ชนะเลิศ
ผู้ชนะเลิศแบ่งตามปี
ผู้ชนะเลิศแบ่งตามสโมสร
สโมสร | สมัย | ปีที่ชนะเลิศ |
---|---|---|
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด | 13 | 1992–93, 1993–94, 1995–96, 1996–97, 1998–99, 1999–2000, 2000–01, 2002–03, 2006–07, 2007–08, 2008–09, 2010–11, 2012–13 |
เชลซี | 5 | 2004–05, 2005–06, 2009–10, 2014–15, 2016–17 |
แมนเชสเตอร์ซิตี | 5 | 2011–12, 2013–14, 2017–18, 2018–19, 2020–21 |
อาร์เซนอล | 3 | 1997–98, 2001–02, 2003–04 |
แบล็กเบิร์นโรเวอส์ | 1 | 1994–95 |
เลสเตอร์ซิตี | 1 | 2015–16 |
ลิเวอร์พูล | 1 | 2019–20 |
สถิติผู้ชนะเลิศ
ผู้ชนะเลิศแบ่งตามภูมิภาค
ภูมิภาค | สมัย | ทีมชนะเลิศ |
---|---|---|
นอร์ทเวสต์ | แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด (13), แมนเชสเตอร์ซิตี (5), แบล็กเบิร์นโรเวอส์ (1), ลิเวอร์พูล (1) | |
ลอนดอน | เชลซี (5), อาร์เซนอล (3) | |
อีสต์มิดแลนส์ | เลสเตอร์ซิตี (1) |
ผู้ชนะเลิศแบ่งตามเมือง
เมือง | สมัย | ทีมชนะเลิศ |
---|---|---|
แมนเชสเตอร์ | แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด (13), แมนเชสเตอร์ซิตี (5) | |
ลอนดอน | เชลซี (5), อาร์เซนอล (3) | |
แบล็กเบิร์น | แบล็กเบิร์นโรเวอส์ (1) | |
เลสเตอร์ | เลสเตอร์ซิตี (1) | |
ลิเวอร์พูล | ลิเวอร์พูล (1) |
นักเตะที่ลงเล่นสูงสุด
- ณ วันที่ 15 สิงหาคม 2021
อันดับ | ชื่อ | ลงเล่น |
---|---|---|
1 | แกเร็ท แบร์รี | 653 |
2 | ไรอัน กิกส์ | 632 |
3 | แฟรงก์ แลมพาร์ด | 609 |
4 | เดวิด เจมส์ | 572 |
5 | เจมส์ มิลเนอร์ | 565 |
6 | แกรี สปีด | 535 |
7 | เอมีล เฮสกีย์ | 516 |
8 | มาร์ก ชวาร์เซอร์ | 514 |
9 | เจมี คาร์เรเกอร์ | 508 |
10 | ฟิล เนวิล | 505 |
ตัวเอียง หมายถึง นักเตะที่ยังเล่นฟุตบอลอยู่
ตัวหนา หมายถึง นักเตะที่ยังเล่นฟุตบอลอยู่ในพรีเมียร์ลีก
ทำประตูสูงสุด
- ณ วันที่ 23 พฤษภาคม ค.ศ. 2021
อันดับ | ชื่อ | ปี | ประตู | ลงเล่น | อัตราส่วน |
---|---|---|---|---|---|
1 | อลัน เชียเรอร์ | 1992–2006 | 260 | 441 | 0.59 |
2 | เวย์น รูนีย์ | 2002–2018 | 208 | 491 | 0.42 |
3 | แอนดรูว์ โคล | 1992–2008 | 187 | 414 | 0.45 |
4 | เซร์ฆิโอ อาเกวโร | 2011–2021 | 184 | 275 | 0.67 |
5 | แฟรงก์ แลมพาร์ด | 1995–2015 | 177 | 609 | 0.29 |
6 | ตีแยรี อ็องรี | 1999–2007, 2012 | 175 | 258 | 0.68 |
7 | แฮร์รี เคน | 2012– | 166 | 245 | 0.68 |
8 | ร็อบบี ฟาวเลอร์ | 1993–2009 | 163 | 379 | 0.43 |
9 | เจอร์เมน เดโฟ | 2001–2003, 2004–2014, 2015–19 | 162 | 496 | 0.33 |
10 | ไมเคิล โอเวน | 1996–2004, 2005–13 | 150 | 326 | 0.46 |
ตัวเอียง หมายถึงผู้เล่นที่ยังเล่นฟุตบอลอยู่
ตัวหนา หมายถึงผู้เล่นที่ยังเล่นฟุตบอลอยู่ในพรีเมียร์ลีก
ดูเพิ่ม
อ้างอิง
- When will goal-line technology be introduced? 9 กรกฎาคม 2013 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน The total of matches be calculated using the formula n*(n-1) where n is the total number of teams.
- "United (versus Liverpool) Nations". The Observer. 6 January 2002. สืบค้นเมื่อ 8 August 2006.
- Gibson, Owen (13 June 2012). "Premier League lands £3bn deal". The Guardian. สืบค้นเมื่อ 14 June 2012.
- "Top Soccer Leagues Get 25% Rise in TV Rights Sales, Report Says". Bloomberg. Retrieved 4 August 2014
- "Premier League value of central payments to Clubs". Premier League. 1 June 2017. สืบค้นเมื่อ 6 June 2017.
- "History and time are key to power of football, says Premier League chief". The Times. 3 July 2013. สืบค้นเมื่อ 3 July 2013.
- "Playing the game: The soft power of sport". British Council. สืบค้นเมื่อ 9 October 2018.
- "English Premier League Performance Stats - 2018-19". global.espn.com. สืบค้นเมื่อ 16 August 2018.
- . ESPN FC. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 29 January 2016. สืบค้นเมื่อ 18 January 2018.
- "English Premier League Performance Stats - 2018-19". global.espn.com. สืบค้นเมื่อ 16 August 2018.
- Chard, Henry. "Your ground's too big for you! Which stadiums were closest to capacity in England last season?". Sky Sports. สืบค้นเมื่อ 30 January 2016.
- uefa.com (31 July 2018). "Member associations - Country coefficients – UEFA.com".
- "Liverpool win Premier League: Reds' 30-year wait for top-flight title ends". BBC Sport. 25 June 2020. สืบค้นเมื่อ 1 August 2020.
- "ยูโร 2016 ใครชนะใครแชมป์ 19 06 59 เบรก 1". ฟ้าวันใหม่. 19 June 2016. สืบค้นเมื่อ 20 June 2016.
- Northcroft, Jonathan (11 May 2008). "Breaking up the Premier League's Big Four". The Sunday Times. สืบค้นเมื่อ 26 May 2011.
- . Soccernet. ESPN. 29 January 2007. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 2007-12-23. สืบค้นเมื่อ 27 November 2007.
- "Alex McLeish says Aston Villa struggle to compete with top clubs". BBC Sport. British Broadcasting Corporation. 8 September 2011. สืบค้นเมื่อ 8 September 2011.
- Jolly, Richard (11 August 2011). "Changing dynamics of the 'Big Six' in Premier League title race". The National. สืบค้นเมื่อ 18 August 2013.
- "Barclays Premier League". Sporting Life. 365 Media Group. สืบค้นเมื่อ 26 November 2007.
- Baxter, Kevin (14 May 2016). "There are millions of reasons to want a promotion and avoid relegation in the English Premier League". Los Angeles Times. สืบค้นเมื่อ 11 January 2018.
- Fisher, Ben (9 May 2018). "Fulham lead march of heavyweights in £200m Championship play-offs". The Guardian. สืบค้นเมื่อ 19 July 2018.
- Miller, Nick (15 August 2017). "How the Premier League has evolved in 25 years to become what it is today". ESPN. สืบค้นเมื่อ 5 July 2018.
- ไขปม ตีตั๋วลุยยุโรปทีมแดน ผู้ดี
- "Clubs". Premier League. สืบค้นเมื่อ 25 January 2018.
แหล่งข้อมูลอื่น
- เว็บไซต์อย่างเป็นทางการ (อังกฤษ)
- Premier League (English) ทางเฟซบุ๊ก
- พรีเมียร์ลีกอังกฤษ (ไทย) ทางเฟซบุ๊ก
- Premier League ทางทวิตเตอร์