นกกางเขน
นกกางเขน | |
---|---|
ตัวผู้ (♂) ที่ดอยอ่างกา เสียงร้อง (วิธีใช้·ข้อมูล) | |
ตัวเมีย (♀) ที่ดอยอ่างกา | |
สถานะการอนุรักษ์ | |
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์ | |
อาณาจักร: | Animalia |
ไฟลัม: | Chordata |
ชั้น: | Aves |
อันดับ: | Passeriformes |
วงศ์: | Muscicapidae |
สกุล: | Copsychus |
สปีชีส์: | C. saularis |
ชื่อทวินาม | |
Copsychus saularis (Linnaeus, 1758) |
นกกางเขน หรือ นกกางเขนบ้าน (อังกฤษ: Oriental magpie robin, ชื่อวิทยาศาสตร์: Copsychus saularis) เป็นนกชนิดหนึ่งที่กินแมลง มีขนาดไม่ใหญ่นัก ยาวประมาณ 18-20 เซนติเมตร ส่วนบนลำตัวสีดำเงา ส่วนล่างตั้งแต่หน้าอกลงไปจะเป็นสีขาวหม่น ใต้หางและข้างหางมีสีขาว ปีกมีลายพาดสีขาวทั้งปีก ตัวผู้สีจะชัดกว่าตัวเมีย ส่วนที่เป็นสีดำในตัวผู้ ในตัวเมียจะเป็นสีเทาแก่ ปากและขาสีดำ มักจะพบเป็นตัวเดียวหรือเป็นกลุ่มเล็ก ๆ หากินแมลงตามพุ่มไม้ บางครั้งก็โฉบจับแมลงกลางอากาศ หางของมันมักกระดกขึ้นลง ร้องเสียงสูงบ้าง ต่ำบ้าง ฟังไพเราะ ทำรังตามโพรงไม้ที่ไม่สูงนัก มันจะวางไข่ครั้งละ 4-5 ฟองและตัวเมียเท่านั้นจะกกไข่ และจะฟักไข่นานประมาณ 8-14 วัน อายุ 15 วัน แล้วจะเริ่มหัดบิน ในประเทศไทยพบทั่วไปในทุกภาคแม้ในเมืองใหญ่ ๆ เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535
นกกางเขนเป็นนกเกาะคอน (อันดับ Passeriformes) ที่เคยจัดเป็นวงศ์นกเดินดง (Turdidae) แต่ปัจจุบันจัดอยู่ในวงศ์นกจับแมลงและนกเขน (Muscicapidae) เป็นนกสีดำขาวที่เด่น มองเห็นได้ง่าย มีหางยาวที่จะกระดกขึ้นลงเมื่อหาอาหารที่พื้นหรือจับบนต้นไม้ เป็นนกที่มีอยู่กระจายไปทั่วเอเชียใต้และบางส่วนของเอเชียอาคเนย์ เป็นนกที่สามัญทั้งตามสวนในเมืองและในป่า เป็นนกที่รู้จักกันดีเพราะร้องเสียงเพราะ และเคยเป็นนกเลี้ยงที่นิยม นกกางเขนเป็นนกประจำชาติของประเทศบังกลาเทศ ซึ่งเรียกนกว่า "Doyel"
ชื่ออังกฤษของนกคือ Oriental Magpie Robin อาจจะเป็นเพราะนกดูคล้ายนกสาลิกาปากดำ (Common Magpie)
ลักษณะ
นกสปีชีส์นี้ยาวประมาณ 19 ซ.ม. รวมหาง มีรูปร่างคล้ายกับ European robin (Erithacus rubecula) แต่หางจะยาวกว่า ตัวผู้มีส่วนบนเป็นสีดำตรงส่วนของหัวและคอ ที่ต่างหากจากแถบขาวตรงไหล่และปีก ส่วนข้างล่างและด้านข้างของหางยาวเป็นสีขาว ตัวเมียมีสีดำออกเทาด้านบนและสีขาวออกเทาด้านล่าง ส่วนลูกนกจะมีมีสีน้ำตาลเป็นเกล็ดด้านบนและที่หัว (ดูภาพด้านล่าง) นกกางเขนเป็นนกประจำชาติของประเทศบังกลาเทศ
สปีชีส์ย่อยต้นแบบ (nominate subspecies) พบในเอเชียใต้ ตัวเมียของพันธุ์ย่อยนี้มีสีอ่อนที่สุด ส่วนตัวเมียของหมู่เกาะอันดามันมีชื่อสปีชีส์ย่อยเป็น andamanensis มีสีเข้มกว่า มีปากที่แข็งแรงกว่า และมีหางที่สั้นกว่า ส่วนสปีชีส์ย่อยในประเทศศรีลังกาที่มีชื่อว่า ceylonensis (ซึ่งก่อนหน้านี้รวมนกในอินเดียที่อยู่ทางใต้เขตแม่น้ำกาเวรี) และสปีชีส์ย่อยต้นแบบที่อยู่ทางใต้ของอินเดียประกอบด้วยตัวผู้ตัวเมียที่มีสีเกือบเหมือนกัน
ส่วนนกในเขตประเทศภูฏานและประเทศบังกลาเทศมีขนหางที่ดำมากกว่า และก่อนหน้านี้มีชื่อต่างหากว่า erimelas ส่วนนกในประเทศพม่าและทางใต้ของไทย มีชื่อสปีชีส์ย่อยว่า musicus (เป็นคุณศัพท์ภาษาละตินแปลว่า "เกี่ยวกับดนตรี") ซึ่งต่างที่ขนคือ ขนหางคู่ที่ 3 เป็นสีดำโดยมาก และคู่ที่ 4 เป็นสีดำล้วนหรือเกือบล้วน ส่วนใต้ปีกก็เป็นสีดำล้วนหรือเกือบล้วน มีชื่อสปีชีส์ย่อยอื่น ๆ ตามเขตภูมิภาครวมทั้ง prosthopellus (ฮ่องกง), nesiotes, zacnecus, nesiarchus, masculus, pagiensis, javensis, problematicus, amoenus, adamsi, pluto, deuteronymus และ mindanensis แต่ว่า พันธุ์ย่อย ๆ หลายอย่างเหล่านี้ไม่มีความแตกต่างที่ชัดเจน และยังไม่มีมติที่ลงตัวกัน มีบางสปีชีส์ย่อยเช่น mindanensis ที่นักวิชาการบางพวกปัจจุบันจัดเป็นสปีชีส์ต่างหากเช่น Philippine magpie-robin ขนของตัวเมียต่างไปตามเขตภูมิภาคมากกว่าของตัวผู้
นกมักจะเห็นในที่ใกล้ ๆ พื้น กระโดดไปมาตามกิ่งไม้ หรือหาอาหารตามใบไม้แห้งโดยมีหางกระดกขึ้นลง ตัวผู้จะร้องเสียงดังไพเราะจากกิ่งไม้สูงในฤดูผสมพันธุ์
แถบที่อยู่
นกกางเขนเป็นนกอยู่ประจำในเขตร้อนของทวีปเอเชีย ตั้งแต่ประเทศบังกลาเทศ, ทางใต้ของประเทศจีน, ประเทศอินเดีย, ทางตะวันออกของประเทศอินโดนีเซีย, ประเทศมาเลเซีย, ทางตะวันออกของประเทศปากีสถาน, ประเทศสิงคโปร์, ประเทศศรีลังกา, ประเทศไทย และเป็นนกนำเข้าในประเทศออสเตรเลีย
นกกางเขนมักจะพบในป่าโปร่ง ป่าชายเลน พื้นที่เกษตรกรรม สวนผลไม้ สวนสาธารณะในเมือง เมืองใหญ่ มักจะอยู่ใกล้ที่อยู่ของมนุษย์ เป็นนกที่พบได้ทั่วประเทศไทย
พฤติกรรม
นกกางเขนผสมพันธุ์กันในระหว่างเดือนมีนาคมจนถึงเดือนกรกฎาคมในอินเดีย และในระหว่างเดือนมกราคมจนถึงเดือนมิถุนายนในเอเชียอาคเนย์ ตัวผู้ร้องเสียงไพเราะจากที่สูงในช่วงจีบตัวเมีย ลีลาแสดงตัวของตัวผู้รวมทั้งทำขนให้ฟูขึ้น ยกปาก คลี่หาง และเดินวางมาด นกทำรังในโพรงไม้ หรือที่เวิ้งกำแพงหรืออาคาร และบางครั้งจะเข้าไปอยู่ในกล่องที่ทำไว้ให้นกอยู่ นกจะเอาหญ้าและฟางมาปูรัง ตัวเมียจะทำการสร้างรังมากกว่า และจะทำก่อนการวางไข่ประมาณอาทิตย์หนึ่ง นกจะวางไข่ 4-5 ฟองภายใน 24 ชม. ไข่มีรูปร่างกลมรี มีสีเขียวอ่อน ๆ มีจุดสีน้ำตาล ดูเข้ากับสีของหญ้าและฟางที่ปูในรัง ตัวเมียเท่านั้นจะกกไข่เป็นเวลา 8-14 วัน รังนกจะมีกลิ่นแบบเฉพาะตัว
ตัวเมียเลี้ยงลูกมากกว่าตัวผู้ ส่วนตัวผู้จะค่อนข้างดุในฤดูผสมพันธุ์ จะป้องกันอาณาเขตของตน และจะมีปฏิกิริยาต่อเสียงนกอื่นในอาณาเขต หรือแม้แต่เงาในกระจกของตนเอง ตัวผู้จะทำการป้องกันอาณาเขตมากกว่าตัวเมีย งานศึกษาต่าง ๆ พบว่า เสียงร้องของนกจะต่างไปตามถิ่น แม้แต่นกที่อยู่ใกล้ ๆ กัน นกอาจจะเลียนแบบเสียงร้องของนกสปีชีส์อื่น ๆ ซึ่งอาจจะแสดงว่า นกที่โตแล้วจะย้ายกระจายไปที่อื่น ไม่กลับมาที่กำเนิด (philopatric) ตัวเมียอาจจะส่งเสียงร้องระยะสั้น ๆ เมื่อเจอตัวผู้
นอกจากเพลงที่ร้องแล้ว นกยังส่งเสียงร้องประเภทหลัก ๆ รวมทั้งการประกาศอาณาเขต (territorial call) การออกและการกลับรัง (emergence and roosting call) การแสดงภัย (threat call) การยอมแพ้ (submissive call) การขออาหาร (begging call) และการร้องทุกข์ (distress call) ส่วนเสียงร้องประเภทอื่น ๆ ที่ใช้เป็นบางครั้งคือ เสียงร้องหนี (escape call) และเสียงร้องฉุน (anger call) นอกจากนั้นแล้ว ยังมีเสียงร้องให้รุมตี (mobbing call) อีกด้วย อาหารโดยมากเป็นแมลงและสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังอื่น ๆ แต่บางครั้งก็จะกินน้ำหวานดอกไม้ ตุ๊กแก (และจิ้งจก)ปลิงตะขาบ และแม้แต่ปลาด้วย
นกจะออกมาหากินบ่อยครั้งในยามสายัณห์ บางครั้งจะเล่นน้ำฝนที่รวมอยู่ที่ใบไม้
นกกางเขนเป็นนกขยันทำมาหากิน เมื่ออิ่มก็จะบินขึ้นไปเกาะที่โล่ง ๆ สูง ๆ เช่นสายไฟ เสาอากาศ แล้วร้องเสียงไพเราะ และเมื่อหิวก็จะลงมาหากินใหม่ มักจะได้ยินเสียงทั้งในเวลาอรุณและในยามสายัณห์
สถานะการอนุรักษ์
สปีชีส์นี้มีความเสี่ยงต่ำ (little concern) โดยทั่ว ๆ ไป แต่ในบางภูมิภาคจะเริ่มลดจำนวนลง และบางที่รวดเร็วจนกระทั่งว่า นักวิชาการสนับสนุนมาตรการเพื่อช่วยให้นกสามารถอยู่รอดได้ โดยอ้างว่า
นกกางเขนกำลังหมดไปรวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ เป็นนกที่รู้จักกันดีเพราะเพลงที่มีเสน่ห์และขนที่สวยงาม เป็นนกที่ช่วยรักษาความสมดุลในระบบนิเวศและมีประโยชน์ต่อเกษตรกรรมเพราะโดยทั่วไปกินแมลงที่ทำอันตรายและหนอนก่อโรค ควรทำทุกอย่างเพื่อสนับสนุนให้มีสำนึกเกี่ยวกับ C. saularis และเพื่อรักษามรดกธรรมชาตินี้
การจับไปเป็นสัตว์เลี้ยงและการเปลี่ยนแปลงทางนิเวศน์ก็มีส่วนทำให้ลดจำนวนลง ดังนั้น จึงเป็นนกที่มีกฎหมายป้องกันในบางพื้นที่ ในประเทศสิงคโปร์และฮ่องกง นกชนิดนี้ค่อนข้างจะสามัญในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1920 แต่เริ่มลดจำนวนลงในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1970 เชื่อกันว่าเพราะเหตุการแข่งขันจากนกเอี้ยงสาริกาที่นำมาจากถิ่นอื่น ปัจจุบันยังจัดอยู่ในประเภท "สิ่งมีชีวิตที่ใกล้การสูญพันธุ์" (endangered) ในประเทศสิงคโปร์ ในประเทศไทย เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535 จึงห้ามล่า พยายามล่า ห้ามค้า ห้ามนำเข้าหรือส่งออก ห้ามครอบครอง ห้ามเพาะพันธุ์ ห้ามเก็บหรือทำอันตรายรัง การห้ามการครอบครองและการค้ามีผลไปถึงไข่และซาก
นกกางเขนมีนกล่าเหยื่อที่เป็นศัตรูน้อย แต่ว่ามีการรายงานถึงเชื้อโรคและปรสิตหลายอย่าง
- มีการพบปรสิตโรคมาลาเรียนกจากสปีชีส์นี้
- มีการพบไข้หวัดนกประเภท H4N3 และ H5N1 ในหลายกรณี
- มีการพบหนอนตัวกลม (nematode) ในตา
ในวัฒนธรรมต่าง ๆ
ในอดีต คนอินเดียได้เลี้ยงนกกางเขนเพราะมีเสียงเพราะและเพื่อการตีนก และปัจจุบันก็ยังเป็นนกที่ถูกจับมาเลี้ยงในบางส่วนของเอเชียอาคเนย์
นกกางเขนเป็นนกประจำชาติของประเทศบังกลาเทศซึ่งมีนกอยู่ทั่วไปอย่างสามัญโดยเรียกว่า Doyel หรือ Doel (เบงกอล: দোয়েল) มีการใช้เป็นสัญลักษณ์ต่าง ๆ เป็นจำนวนมากในประเทศ รวมทั้งบนธนบัตร มีจุดสำคัญในมหานครธากาที่เรียกว่า Doyel Chatwar แปลว่า จตุรัสนกกางเขน
นกกางเขนเป็นสัญลักษณ์ของสมาคมอนุรักษ์นกและธรรมชาติแห่งประเทศไทย (Bird Conservation Society of Thailand) ก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2529 และในวัฒนธรรมปักษ์ใต้ของไทย โดยเฉพาะเพลงร่วมสมัย มักจะมีการอ้างอิงถึงนกกางเขนบ่อย ๆ โดยเรียกว่า "นกบินหลา" ด้วยเป็นนกที่รักและหวงถิ่นฐาน เหมือนคนใต้รักถิ่นที่อยู่
เชิงอรรถและอ้างอิง
- BirdLife International (2004). Copsychus saularis. 2006 IUCN Red List of Threatened Species. IUCN 2006. Retrieved on 2006-05-12.
- ↑ Siddique, Yasir Hasan (2008). "Breeding Behavior of Copsychus saularis in Indian-Sub-Continent: A Personal Experience" (PDF). International Journal of Zoological Research. 4 (2): 135–137. doi:10.3923/ijzr.2008.135.137.
- "Magpie-robin". Banglapedia. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 2009-06-02. Unknown parameter
|deadurl=
ignored (help) - ↑ Pillai,NG (1956). "Incubation period and 'mortality rate' in a brood of the Magpie-Robin Copsychus saularis (Linn.)". J. Bombay Nat. Hist. Soc. 54 (1): 182–183.
- ↑ "สัตว์ป่าคุ้มครอง". โลกสีเขียว. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 2015-03-26. สืบค้นเมื่อ 2015-04-23. Unknown parameter
|deadurl=
ignored (help) - ↑ "นกกางเขนบ้าน / Oriental Magpie Robin (Copsychus saularis)". นกป่าสัปดาห์ละตัว. plains-wanderer blog. 2013-01-13.
- ↑ Ali, S & S D Ripley (1997). Handbook of the birds of India and Pakistan. 8 (2 ed.). Oxford University Press. pp. 243–247. ISBN 0-19-562063-1.
- ↑ Rasmussen, PC; Anderton, JC (2005). Birds of South Asia. The Ripley Guide. Volume 2. Smithsonian Institution and Lynx Edicions. p. 395.CS1 maint: multiple names: authors list (link)
- Baker, ECS (1921). "Handlist of the birds of the Indian empire". J. Bombay Nat. Hist. Soc. 27 (4): 87–88.
- ↑ Baker, ECS (1924). The Fauna of British India, Including Ceylon and Burma. Birds - Volume II. 2. Taylor and Francis, London. pp. 112–116.
- Ripley, S D (1952). "The thrushes". Postilla. 13: 1–48.
- Hoogerwerf, A (1965). "Notes on the taxonomy of Copsychus saularis with special reference to the subspecies amoenus and javensis" (PDF). Ardea. 53: 32–37.
- Sheldon, FH; Lohman, DH; Lim, HC; Zou, F; Goodman, SM; Prawiradilaga, DM; Winker, K; Braile, TM; Moyle, RG (2009). "Phylogeography of the magpie-robin species complex (Aves: Turdidae: Copsychus) reveals a Philippine species, an interesting isolating barrier and unusual dispersal patterns in the Indian Ocean and Southeast Asia" (PDF). Journal of Biogeography. 36 (6): 1070–1083. doi:10.1111/j.1365-2699.2009.02087.x.CS1 maint: multiple names: authors list (link)
- "Inventory of exotic (non-native) bird species known to be in Australia" (PDF). 2007.
- ↑ "นกในศาลายา". กองกายภาพและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยมหิดล. สืบค้นเมื่อ 2014-02-05.
- Hume, AO (1890). The nests and eggs of Indian birds. 2 (2 ed.). London: R H Porter. pp. 80–85.
- Narayanan E. (1984). "Behavioural response of a male Magpie-Robin (Copsychus saularis Sclater) to its own song". J. Bombay Nat. Hist. Soc. 81 (1): 199–200.
- Cholmondeley,EC (1906). "Note on the Magpie Robin (Copsychus saularis)". J. Bombay Nat. Hist. Soc. 17 (1): 247.
- Sethi, Vinaya Kumar; Bhatt, Dinesh (2007). "Provisioning of young by the Oriental Magpie-robin". The Wilson Journal of Ornithology. 119 (3): 356–360.CS1 maint: multiple names: authors list (link)
- Dunmak, Aniroot; Sitasuwan, Narit (2007). "Song Dialect of Oriental Magpie-robin (Copsychus saularis) in Northern Thailand" (PDF). The Natural History Journal of Chulalongkorn University. 7 (2): 145–153. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม (PDF) เมื่อ 2011-10-06. Unknown parameter
|deadurl=
ignored (help)CS1 maint: multiple names: authors list (link) - Neelakantan,KK (1954). "The secondary song of birds". J. Bombay Nat. Hist. Soc. 52 (3): 615–620.
- Law,SC (1922). "Is the Dhayal Copsychus saularis a mimic?". J. Bombay Nat. Hist. Soc. 28 (4): 1133.
- Bhattacharya, H.; J. Cirillo, B.R. Subba and D. Todt (2007). "Song Performance Rules in the Oriental Magpie Robin (Copsychus salauris)" (PDF). Our Nature. 5: 1–13. doi:10.3126/on.v5i1.791.CS1 maint: multiple names: authors list (link)
- Kumar, Anil; Bhatt, Dinesh (Unknown). "Characteristics and significance of song in female Oriental Magpie-Robin, Copysychus saularis". J. Bombay Nat. Hist. Soc. 99 (1): 54–58. Check date values in:
|year=
(help)CS1 maint: multiple names: authors list (link) - Kumar, A; Bhatt, D. (2001). "Characteristics and significance of calls in Oriental magpie robin" (PDF). Curr. Sci. 80: 77–82.CS1 maint: multiple names: authors list (link)
- Bonnell,B (1934). "Notes on the habits of the Magpie Robin Copsychus saularis saularis Linn". J. Bombay Nat. Hist. Soc. 37 (3): 729–730.
- Sumithran,Stephen (1982). "Magpie-Robin feeding on geckos". J. Bombay Nat. Hist. Soc. 79 (3): 671.
- Saxena, Rajiv (1998). "Geckos as food of Magpie Robin". J. Bombay Nat. Hist. Soc. 95 (2): 347.
- Karthikeyan,S (1992). "Magpie Robin preying on a leech". Newsletter for Birdwatchers. 32 (3&4): 10.
- Kalita,Simanta Kumar (2000). "Competition for food between a Garden Lizard Calotes versicolor (Daudin) and a Magpie Robin Copsychus saularis Linn". Journal-Bombay Natural. JC Daniel for Bombay. 97 (3): 431.
- Sharma, Satish Kumar (1996). "Attempts of female Magpie Robin to catch a fish". J. Bombay Nat. Hist. Soc. 93 (3): 586.
- Donahue,Julian P (1962). "The unusual bath of a Lorikeet [Loriculus vernalis (Sparrman)] and a Magpie-Robin [Copsychus saularis (Linn.)]". J. Bombay Nat. Hist. Soc. 59 (2): 654.
- Yap, Charlotte A. M; Sodhi, Navjot S. (2004). "Southeast Asian invasive birds: ecology, impact and management". Ornithological Science. 3: 57–67. doi:10.2326/osj.3.57.CS1 maint: multiple names: authors list (link)
- Huong, SL; Sodhi, NS (1997). "Status of the Oriental Magpie Robin Copsychus saularis in Singapore". Malay Nat. J. 50: 347–354.CS1 maint: multiple names: authors list (link)
- "Oriental Magpie Robins – Father & Son or Brothers?". 2011-10-17. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 2014-08-01. Unknown parameter
|deadurl=
ignored (help) - Ogaki, M. (1949). "Bird Malaria Parasites Found in Malay Peninsula". Am. J. Trop. Med. 29 (4): 459–462.
- Alexander, Dennis J. (1992). Avian Influenza in the Eastern Hemisphere 1986-1992. Avian Diseases 47. Special Issue. Third International Symposium on Avian Influenza. 1992 Proceedings. pp. 7–19.
- Quarterly Epidemiology Report Jan-Mar 2006 (PDF). Hong Kong Government. 2006.
- Sultana, Ameer (1961). "A Known and a New Filariid from Indian Birds". The Journal of Parasitology. The American Society of Parasitologists. 47 (5): 713–714. doi:10.2307/3275453. JSTOR 3275453. PMID 13918345.
- Law, Satya Churn (1923). Pet birds of Bengal. Thacker, Spink & Co.
- "ทำไมนกบินหลา ถึงพูดถึงในเพลงปักษ์ใต้มีความสำคัญต่อชีวิตชาวใต้อย่างไรครับ". พันทิปดอตคอม. 6 April 2014. สืบค้นเมื่อ 30 December 2015.
แหล่งข้อมูลอื่น
คอมมอนส์ มีภาพและสื่อเกี่ยวกับ: Copsychus saularis |
- รูปที่สวยงามของนก "นกกางเขนบ้าน / Oriental Magpie Robin (Copsychus saularis)". นกป่าสัปดาห์ละตัว. plains-wanderer blog. 2013-01-13. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 2015-05-06. Unknown parameter
|deadurl=
ignored (help) - ภาพยนตร์ รูป และเสียงร้อง ของนกกางเขน on the Internet Bird Collection
- Mehrotra, P. N (1982). "Morphophysiology of the cloacal protuberance in the male Copsychus saularis (L.) (Aves, Passeriformes)". Science and Culture. 48: 244–246.