พระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาในรัชกาลที่ 9
พระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา เป็นพระราชพิธีที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีตลอดรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรตามหมายกำหนดการจากสำนักพระราชวัง
พระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร | |
---|---|
ชื่อ | พระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา |
วันและเวลา | 2-8 ธันวาคมของทุกปี (ถึงปัจจุบัน) |
สถานที่ | ประเทศไทย |
ผู้จัด | รัฐบาลไทยและสำนักพระราชวัง |
โอกาส | การพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา |
วันที่ 2 ธันวาคม
พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงเสด็จพระราชดำเนิน ไปในพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณตนและสวนสนามของทหารรักษาพระองค์ ณ พระลานพระบรมรูปทรงม้า พระราชวังดุสิต หรืออาจมีการเปลี่ยนแปลง เช่น ปี พ.ศ. 2552 แต่ได้มีการเปลี่ยนสถานที่จากลานพระราชวังดุสิตเป็นท้องสนามหลวงอันเป็นการลดพระราชภาระของพระบาทสมเด็จพระภัทรมหาราชเกล้าเจ้าอยู่หัวแต่พิธีนั้นจัดยาวตั้งแต่เวลา13:00-18:00น.แล้วจะเสด็จพระราชดำเนินกลับในเวลา18:20น.
วันที่ 4 ธันวาคม
พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จพระราชดำเนิน พร้อมด้วย พระบรมวงศานุวงศ์ทุกๆพระองค์ ในการที่ให้คณะบุคคลต่างๆ เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายพระพรชัยมงคล ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนิน พร้อมด้วย พระบรมวงศานุวงศ์ ในการที่คณะบุคคลต่างๆ เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายพระพรชัยมงคล ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต
วันที่ 5 ธันวาคม
เวลาเช้า โดยพระองค์ทรงเครื่องบรมขัตติยราชภูษิตาภรณ์ พร้อมเครื่องแบบเต็มยศ ประทับพระราชบัลลังก์ บนพระที่นั่งพุดตานกาญจนสิงหาสน์ เหนือพระแท่นนพปฎลมหาเศวตฉัตร ซึ่งตั้งอยู่หน้าพระที่นั่งบุษบกมาลามหาจักรพรรดิพิมาน และอยู่เบื้องหลังพระวิสูตร (ม่าน) พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าทูลละอองธุลีพระบาท (อยู่เบื้องหลังพระวิสูตร) และคณะบุคคลต่างๆ (อยู่เบื้องหน้าพระวิสูตร) เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ถวายพระพรชัยมงคล
เวลาบ่าย เสด็จพระราชดำเนินไปยังพระบรมมหาราชวัง เข้าสู่มุขหน้าพระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยมีบรรพชิตญวณและจีนถวายพระพรชัยมงคล แล้วจึงเสด็จเข้าสู่พระอุโบสถ ทรงจุดธูปเทียนบูชาพระพุทธมหามณีรัตรปฏิมากร พระสัมพุทธพรรณีและพระพุทธรูปฉลองพระองค์ ทรงจุดธูปเทียนบูชาเทพยดานพเคราะห์แล้วเสด็จสู่มุขหน้าพระอุโบสถ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระราชทานสังคหวัตถุแก่ข้าทูลละอองธุลีพระบาทผู้สูงอายุ แล้วเสด็จพระราชดำเนิน จากพระอุโบสถไปประทับรถยนต์พระที่นั่งที่ประตูหลังวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ไปเทียบหน้าพระทวารเทเวศรรักษาเสด็จเข้าสู่พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ทรงประเคนสัญญาบัตร พัดยศ ไตร แก่พระสงฆ์ซึ่งเข้ารับพระราชทานสมณศักดิ์ใหม่พระสงฆ์ถวายอนุโมทนา สมเด็จพระราชาคณะถวายอดิเรก ถวายพระพรลา จากนั้นพระสงฆ์ 60 รูป เจริญพระพุทธมนต์การพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงจุดเทียนพระมหามงคลเทียนเท่าพระองค์ และธูปเทียนบูชาพระพุทธรูป เทวรูป พระเคราะห์ แล้วจึงทรงจุดธูปเทียนนมัสการ ทรงศีล จากนั้นพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร จึงเสด็จขึ้นพระที่นั่งไพศาลทักษิณ ทางพระทวารเทวราชมเหศวร์ ทรงจุดธูปเทียนบูชาพระสยามเทวาธิราช แล้วเสด็จออกพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์พระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาจบแล้ว สมเด็จพระราชาคณะถวายอดิเรกถวายพระพรลา แล้วจึงเสด็จพระราชดำเนิน กลับโดยประทับรถยนต์พระที่นั่งพระทวารเทเวศรรักษา
เวลาค่ำ พิธีถวายเครื่องราชสักการะและจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล และถวายราชสดุดีเฉลิมพระเกียรติ ของเหล่าข้าราชการ และพสกนิกรชาวไทย ซึ่งกำหนดจัดที่ มณฑลพิธี ท้องสนามหลวง และ ศาลากลางจังหวัดทุกจังหวัด
วันที่ 6 ธันวาคม
พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จพระราชดำเนิน ไปยังพระบรมมหาราชวัง ยังพระที่นั่งไพศาลทักษิณ ทรงจุดธูปเทียนบูชาพระสยามเทวาธิราชแล้วเสด็จออกพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยทางพระทวารเทวาราชมเหศวร์ ทรงประกอบพิถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์เสร็จแล้วสมเด็จพระราชาคณะถวายพระธรรมเทศนามงคลวิเศษกัณฑ์ 1 จบพิธีสงฆ์แล้วจึงเสด็จพระราชดำเนิน กลับโดยประทับรถยนต์พระที่นั่งที่พระทวารเทเวศรรักษา
วันที่ 7 ธันวาคม
แต่เดิมจะเสด็จพระราชดำเนินออกท้องพระโรงกลาง พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ให้คณะทูตานุทูตต่างประเทศ และผู้แทนฝ่ายกงสุล เฝ้าทูลละอองพระบาท ถวายพระพรชัยมงคล มีพระราชดำรัสตอบ แล้วจึงเสด็จพระราชดำเนินขึ้น ก่อนจะเปลี่ยนแปลงเป็นวันที่ 8 ธันวาคม และสถานที่ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา ตามหมายกำหนดการเป็นวันที่ 8 ธันวาคม ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2520 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน และครั้นถัดมาในวันที่ 7 ธันวาคม (บางปีเลื่อนไปเป็นวันที่ 9 ธันวาคม) ก็เสด็จพระราชดำเนินทรงเป็นองค์ประธาน ในรัฐพิธีสโมสรสันนิบาตเฉลิมพระเกียรติ ที่สนามหญ้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล
(เว้นในปี พ.ศ. 2551 จัดที่หอประชุมกองทัพเรือ)
วันที่ 8 ธันวาคม
เสด็จลง ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้คณะทูตานุทูต ต่างประเทศและผู้แทนฝ่ายกงสุลเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ถวายพระพรชัยมงคลมีพระราชดำรัสตอบแล้วจึงเสด็จพระราชดำเนินขึ้น
กิจกรรมของประชาชนทั่วไป
ทุกปีจะมีการประดับธงชาติและธงพระปรมาภิไธยย่อ ภปร. ในทุกหน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ราชการ โรงเรียน บริษัท และบ้านเรือน เพื่อถวายพระพรให้พระองค์มีพระชนมายุยิ่งยืนนาน และยังมีการทำความสะอาดแม่น้ำลำคลอง ถนน โรงพยาบาล และประดับรูปของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไว้ที่หน้าบริษัทหรือหน่วยงานต่างๆ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ด้วย
กิจกรรมสำหรับลูกในวันพ่อแห่งชาติ คือ ประดับธงชาติตามอาคารบ้านเรือน จัดกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ หรือบำเพ็ญกุศล ทำบุญใส่บาตร เพื่ออุทิศส่วนกุศล และระลึกถึงพระคุณของพ่อ
นอกจากนี้ยังมีการจัดกิจกรรมประกาศเกียรติคุณ พ่อตัวอย่าง หรือพ่อดีเด่น โดยกำหนดคุณสมบัติ คือ มีอายุ 40 ปีขึ้นไป ส่งเสริมการศึกษาของบุตร ธิดา นับถือศาสนาโดยเคร่งครัด งดเว้นอบายมุขทุกชนิด อุทิศตนเพื่อประโยชน์ต่อสาธารณชน
อ้างอิง
- ในหลวงประกาศเลื่อนสวนสนามปี 2553จากสำนักข่าวเจ้าพระยา
- สำนักงานเสริมสร้างเอกลักษณ์ของชาติ, พระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา
- งานสโมสรสันนิบาต จากเว็บไซต์หนังสือพิมพ์ข่าวสด
ดูเพิ่ม
วิกิซอร์ซ มีงานต้นฉบับเกี่ยวกับ: เมืองไทยในอดีต/ประเพณีทำบุญวันเกิด และพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา |