เรขาคณิต (อังกฤษ: Geometry; กรีก: γεωμετρία, geometria; geo = พื้นดิน/โลก, metria = วัด) เป็นสาขาความรู้ที่เกี่ยวข้องกับรูปทรง ขนาดและตำแหน่งของวัตถุในปริภูมิ
ในช่วงก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 19 เรขาคณิตแบบยุคลิดแทบจะเป็นเรขาคณิตแบบเดียวที่เป็นที่รู้จักและถูกศึกษามากที่สุด เรขาคณิตแบบยุคลิดเป็นการศึกษาเรขาคณิตบนระนาบ และเรขาคณิตในปริภูมิสามมิติ โดยมี จุด เส้น ระนาบ ระยะทาง มุม และเป็นพื้นฐาน เรขาคณิตอีกแบบที่เป็นที่รู้จักคือเรขาคณิตทรงกลม ซึ่งใช้ในการศึกษาดาราศาสตร์ และการเดินทาง
ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 มีการค้นพบใหม่ ๆ ที่ขยายสาขาเรขาคณิตออกไปโดยกว้าง หนึ่งในนั้นคือ (ทฤษฎีบทอันน่าทึ่ง) โดย คาร์ล ฟรีดริช เกาส์ ซึ่งกล่าวโดยคร่าวว่า ของพื้นผิวเป็นคุณสมบัติเฉพาะของพื้นผิวที่สามารถวัดได้จากบนพื้นผิวนั้น และไม่ขึ้นอยู่กับปริภูมิแวดล้อมที่พื้นผิวนั้นอาศัยอยู่ใน การค้นพบนี้นำไปสู่
ถัดมาในช่วงหลังคริสต์ศตวรรษที่ 19 มีการค้นพบเรขาคณิตในรูปแบบอื่นที่นอกเหนือไปจากเรขาคณิตแบบยุคลิดโดยปฏิเสธสัจพจน์เส้นขนานของยุคลิด ผ่านงานของ และ ปัจจุบันเรียกเรขาคณิตที่ไม่มีสัจพจน์เส้นขนานว่า : 359–365 เรขาคณิตที่ใช้ในทฤษฎีสัมพัทธภาพของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เป็นตัวอย่างหนึ่งของเรขาคณิตแบบไม่ยุคลิดซึ่งมีชื่อเสียงที่สุด
ในปัจจุบันเรขาคณิตได้ขยายออกไปกว้างขวางมาก และแบ่งย่อยออกไปตามเครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาปัญหาทางเรขาคณิต ตัวอย่างเช่น เรขาคณิตเชิงพีชคณิต และอื่น ๆ หรือแบ่งตามสมบัติที่เรขาคณิตนั้นแตกต่างไปจากเรขาคณิตแบบยุคลิด เช่น ไม่มีแนวคิดเกี่ยวกับระยะทางและเส้นขนาน ไม่มีแนวคิดเกี่ยวกับมุมและระยะทาง เป็นต้น
นอกจากนี้แล้ว เรขาคณิตยังมีบทประยุกต์ในคณิตศาสตร์สาขาอื่น ๆ ที่ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องกับเรขาคณิตโดยตรง ตัวอย่างที่เป็นที่รู้จักคือ ทฤษฎีบทสุดท้ายของแฟร์มา ซึ่ง ได้พิสูจน์สำเร็จในปี ค.ศ. 1994 บทพิสูจน์ของไวลส์ใช้เครื่องมือทางเรขาคณิตเชิงพีชคณิตเป็นหัวใจสำคัญ
สาขาของเรขาคณิต
เรขาคณิตแบบยุคลิด
เรขาคณิตแบบยุคลิดเป็นเรขาคณิตแบบคลาสสิค ซึ่งศึกษารูปร่างและรูปทรงที่เป็นไปตามสัจพจน์ที่ริเริ่มโดยยุคลิด
เรขาคณิตเชิงอนุพันธ์
![image](https://www.wiki3.th-th.nina.az/image/aHR0cHM6Ly93d3cud2lraTMudGgtdGgubmluYS5hei9pbWFnZS9hSFIwY0hNNkx5OTFjR3h2WVdRdWQybHJhVzFsWkdsaExtOXlaeTkzYVd0cGNHVmthV0V2WTI5dGJXOXVjeTkwYUhWdFlpODRMemc1TDBoNWNHVnlZbTlzYVdOZmRISnBZVzVuYkdVdWMzWm5Mekl5TUhCNExVaDVjR1Z5WW05c2FXTmZkSEpwWVc1bmJHVXVjM1puTG5CdVp3PT0ucG5n.png)
เรขาคณิตเชิงอนุพันธ์มุ่งศึกษาเรขาคณิตของเส้นโค้ง และแมนิโฟลด์ โดยอาศัยเครื่องมือและวิธีการจาก หรือ เข้าร่วม
ทอพอโลยี
ทอพอโลยีเป็นสาขาเกี่ยวข้องกับการส่งต่อเนื่อง และสมบัติของปริภูมิ อาทิ ความเชื่อมโยง และความกระชับ
เรขาคณิตเชิงพีชคณิต
เรขาคณิตเชิงพีชคณิตพัฒนามาจากการหาคำตอบของเซตของพหุนามในระบบพิกัดคาร์ทีเซียน เรขาคณิตเชิงพีชคณิตอาศัยเครื่องมือจาก และ ซึ่งต่างเป็นสาขาที่เพิ่งสร้างขึ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา ในช่วงท้ายของทศวรรษ 1950 เรขาคณิตเชิงพีชคณิตได้รับการพัฒนาฐานรากจากงานของ และ ซึ่งเสนอแนวคิดเรื่อง และประยุกต์ใช้วิธีทางทอพอโลยี
บทพิสูจน์ทฤษฎีบทสุดท้ายของแฟร์มา โดย ใช้เครื่องมือขั้นสูงจากเรขาคณิตเชิงพีชคณิตมาแก้ปัญหาในทฤษฎีจำนวน
รายการอ้างอิง
- "Geometry - Encyclopedia of Mathematics". encyclopediaofmath.org.
- "Euclidean geometry | Definition, Axioms, & Postulates | Britannica". www.britannica.com (ภาษาอังกฤษ).
- Tabak, John (2004). Geometry : the language of space and form. New York: Facts On File. ISBN . OCLC 52819880.
- McCleary, John. Geometry from a Differentiable Viewpoint (2 ed.). Cambridge University Press. p. 174, 176. ISBN .
- Stillwell, John. Mathematics and Its History. Springer International Publishing. ISBN .
- Carmeli, Moshe (2008). Relativity: Modern Large-Scale Structures of the Cosmos. World Scientific Publishing. p. 92-93.
- https://www.ams.org/publications/journals/notices/201703/rnoti-p209.pdf
- "Differential geometry - Encyclopedia of Mathematics". encyclopediaofmath.org.