การปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2231
การปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2231 เป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของราชอาณาจักรอยุธยา เมื่อพระเพทราชา หนึ่งในขุนนางฝ่ายทหารที่สมเด็จพระนารายณ์มหาราชไว้วางพระราชหฤทัย ถือโอกาสในช่วงที่สมเด็จพระนารายณ์มหาราชกำลังประชวรหนัก จับพระปีย์ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้มีสิทธิ์สืบราชสมบัติสำเร็จโทษ พร้อมกับประหารชีวิตคอนสแตนติน ฟอลคอน หรือ เจ้าพระยาวิชาเยนทร์ ขุนนางคนสนิทของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช นอกจากนี้เมื่อพระเพทราชาได้ทรงกระทำการปราบดาภิเษกแล้ว พระองค์ยังได้ทรงสถาปนาเจ้าฟ้าสุดาวดี กรมหลวงโยธาเทพ พระราชธิดาพระองค์เดียวในสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ขึ้นเป็นพระอัครมเหสีฝ่ายซ้าย สมเด็จพระเพทราชาได้ทรงพยายามขับไล่กองทหารฝรั่งเศสออกจากสยาม ซึ่งหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญนั้นคือ การล้อมบางกอก กองทัพสยามจำนวนหลายหมื่นคนใช้เวลาสี่เดือนในการล้อมป้อมปราการของฝรั่งเศสภายในเมือง อันเป็นผลสืบเนื่องจากการปฏิวัติของพระองค์ ผลลัพธ์จากการปฏิวัติครั้งนั้นทำให้สยามตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับบรรดาชาติตะวันตกเกือบสิ้นเชิง กว่าจะมีการฟื้นฟูความสัมพันธ์ขึ้นอีกครั้งก็ต้องรอถึงช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 24
การปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2231 | |||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|
กองทหารสยามปิดล้อมป้อมวิชเยนทร์ซึ่งทหารฝรั่งเศสยึดไว้เป็นที่มั่น ระหว่างการปฏิวัติภายใต้การนำของพระเพทราชาในปี พ.ศ. 2231 | |||||||
| |||||||
คู่ขัดแย้ง | |||||||
พระเพทราชาและกลุ่มขุนนางชาวสยาม สนับสนุนโดย: สาธารณรัฐดัตช์ | ราชวงศ์ปราสาททอง ราชอาณาจักรฝรั่งเศส | ||||||
ผู้บัญชาการหรือผู้นำ | |||||||
พระเพทราชา หลวงสรศักดิ์ สมเด็จเจ้าฟ้าสุดาวดี กรมหลวงโยธาเทพ | สมเด็จพระนารายณ์มหาราช เจ้าพระยาวิชเยนทร์ นายเดอแวร์เตอซาล |
นโยบายการต่างประเทศของสมเด็จพระนารายณ์
รัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเป็นช่วงที่มีการต้อนรับคณะทูตต่างประเทศและส่งคณะทูตไปยังต่างประเทศเป็นจำนวนมาก โดยมีประเทศสำคัญ ได้แก่ ฝรั่งเศส อังกฤษ และวาติกัน นอกจากนี้ยังมีการสานความสัมพันธ์ทางการทูตต่อเปอร์เซีย อินเดีย และจีน ตลอดจนบรรดาอาณาจักรรอบข้างอีกด้วย สิ่งสำคัญอย่างยิ่งอีกประการหนึ่งในรัชสมัยของพระองค์ ได้แก่ อิทธิพลของชาวต่างชาติภายในราชสำนักสยาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการก้าวขึ้นสู่อำนาจของเจ้าพระยาวิชเยนทร์ (คอนสแตนติน ฟอลคอน) นักผจญภัยชาวกรีกผู้ดำรงตำแหน่งว่าที่สมุหนายก อัครมหาเสนาบดีฝ่ายพลเรือน ซึ่งเทียบเท่ากับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในสมัยปัจจุบัน
สมเด็จพระนารายณ์ทรงพยายามเจริญสัมพันธไมตรีกับราชอาณาจักรฝรั่งเศสมากเป็นพิเศษ เพื่อถ่วงดุลอำนาจของชาวโปรตุเกสและชาวฮอลันดาที่มีต่อราชอาณาจักรของพระองค์ และทรงปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าพระยาวิชเยนทร์ผู้เป็นอัครมหาเสนาบดี ทั้งนี้ ปรากฏหลักฐานว่าทั้งสองฝ่ายมีการส่งคณะทูตแลกเปลี่ยนกันหลายครั้ง
กระแสชาตินิยมที่เพิ่มขึ้น
ฝรั่งเศสพยายามจะชักจูงให้สมเด็จพระนารายณ์เข้ารีตในศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกและสถาปนากำลังรบของตนขึ้นในสยาม เมื่อได้รับพระบรมราชานุญาตจากสมเด็จพระนารายณ์แล้ว ป้อมปราการซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของกองทหารฝรั่งเศสจึงได้มีการก่อสร้างขึ้นที่เมืองมะริดและบางกอก เพื่อยืนยันสนธิสัญญาทางการค้าในปี พ.ศ. 2228 เพื่อถ่วงดุลอำนาจของดัตช์ (หรือฮอลันดา) ในภูมิภาคนี้ และเพื่อต่อต้านการปล้นสะดมจากกลุ่มโจรสลัด การยกพลขึ้นบกของฝรั่งเศสเช่นนี้ได้นำไปสู่ความเคลื่อนไหวในเชิงชาตินิยมอย่างรุนแรงในสยาม เมื่อถึงปี พ.ศ. 2231 ความรู้สึกต่อต้านต่างชาติซึ่งส่วนใหญ่มุ่งไปที่ฝรั่งเศสและเจ้าพระยาวิชเยนทร์ได้ทะยานขึ้นถึงขีดสุด บรรดาขุนนางชาวสยามต่างชิงชังต่ออิทธิพลในการบริหารราชการแผ่นดินของเจ้าพระยาวิชเยนทร์ โดยรวมไปถึงภรรยาผู้มีเชื้อสายโปรตุเกส-ญี่ปุ่น และวิถีชีวิตแบบชาวยุโรปอีกด้วย ในขณะที่พระสงฆ์ในศาสนาพุทธต่างก็พากันอึดอัดใจกับนักบวชคณะเยซูอิตของฝรั่งเศสที่มีบทบาทสำคัญมากขึ้น ในที่สุดบรรดาข้าราชบริพารจึงได้รวมตัวกันเป็นขั้วอำนาจฝ่ายต่อต้านชาวต่างชาติ ส่วนชาวต่างชาติซึ่งเข้ามาตั้งรกรากยังกรุงศรีอยุธยาก่อนชาวฝรั่งเศส โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้นับถือลัทธิโปรเตสแตนท์ชาวฮอลันดาและชาวอังกฤษ รวมถึงชาวมุสลิมเปอร์เซีย ต่างก็ไม่พอใจต่อการปรากฏตัวของฝรั่งเศสเช่นกัน โดยต่างก็เห็นว่าเป็นการละเมิดสนธิสัญญาทอร์เดสซิลลาส อิทธิพลของฝรั่งเศสที่เพิ่มขึ้นไม่เพียงเป็นการเพิ่มการแข่งขัน แต่ยังเป็นการย้ำเตือนอย่างไม่พึงปรารถนาต่อการเสื่อมอิทธิพลของชาวโปรตุเกสอีกด้วย
เมื่อสมเด็จพระนารายณ์ทรงพระประชวรหนักในเดือนมีนาคมปี พ.ศ. 2231 บรรดาผู้สมรู้ร่วมคิดจึงฉวยโอกาสยึดอำนาจจากพระองค์เสีย ในเดือนเมษายน เจ้าพระยาวิชเยนทร์ได้ขอความช่วยเหลือทางทหารจากฝรั่งเศสเพื่อต่อต้านแผนการดังกล่าว นายพลเดส์ฟาร์จได้นำกำลังทหาร 80 นาย พร้อมด้วยนายทหารอีก 10 นาย ออกจากบางกอก เดินไปยังพระราชวังเมืองลพบุรี อย่างไรก็ตามเขาได้ยับยั้งกำลังพลทั้งหมดอยู่ที่กรุงศรีอยุธยา และได้ตัดสินใจล้มเลิกแผนการและถอนตัวกลับไปยังบางกอก ด้วยเกรงว่าจะถูกซุ่มโจมตีจากกลุ่มกบฏชาวสยามและได้รับข่าวลือเท็จต่าง ๆ ซึ่งส่วนหนึ่งได้มาจากนายเวเรต์ (Monsieur Véret) ผู้อำนวยการบริษัทอินเดียตะวันออกของฝรั่งเศส อันรวมไปถึงข่าวลือที่ว่าสมเด็จพระนารายณ์เสด็จสวรรคตแล้ว
วิกฤติการณ์การสืบราชสมบัติ
ในวันที่ 10 พฤษภาคม สมเด็จพระนารายณ์ซึ่งมีพระอาการประชวรเพียบหนักและใกล้เสด็จสวรรคต ทรงตระหนักถึงปัญหาการสืบราชสมบัติที่ใกล้จะเกิดขึ้น จึงทรงเรียกบุคคลผู้ใกล้ชิดในพระองค์ ซึ่งได้แก่ เจ้าพระยาวิชเยนทร์ อัครมหาเสนาบดีชาวกรีก, พระเพทราชา พี่น้องร่วมพระนมและจางวางกรมพระคชบาล, และพระปีย์ พระราชโอรสบุญธรรม ให้เข้าเฝ้าฯ เฉพาะเบื้องพระพักตร์ ทรงมีพระราชดำริที่จะยกให้กรมหลวงโยธาเทพ พระราชธิดาเพียงพระองค์เดียวของพระองค์ ขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติ และให้บุคคลทั้งสามทำหน้าที่ว่าราชการแทนจนกว่าพระราชธิดาจะทรงตัดสินพระทัยว่าจะทรงเลือกอภิเษกสมรสกับพระปีย์หรือพระเพทราชาเป็นพระราชสวามี
การตัดสินพระทัยของสมเด็จพระนารายณ์ทำให้พระเพทราชาต้องเร่งตัดสินใจลงมือโดยเร็ว จากการที่สมเด็จพระนารายณ์ทรงพระประชวรเพียบหนัก พระเพทราชาจึงได้ดำเนินการทำรัฐประหารตามที่ได้วางแผนไว้มานาน โดยได้รับการสนับสนุนจากบรรดาข้าราชบริพารและพระสงฆ์ในศาสนาพุทธ กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติสยามในปี พ.ศ. 2231 สมเด็จพระนารายณ์ทรงถูกกักบริเวณควบคุมพระองค์เมื่อวันที่ 17-18 พฤษภาคม พ.ศ. 2231 และในวันที่ 5 มิถุนายน ฟอลคอนหรือเจ้าพระยาวิชเยนทร์ ก็ได้ถูกจับกุมด้วยข้อหากบฏและถูกสำเร็จโทษด้วยการตัดศีรษะในภายหลัง พระปีย์ถูกฆ่า พระญาติวงศ์หลายพระองค์ของสมเด็จพระนารายณ์ถูกลอบสังหาร พระอนุชาทั้งสองพระองค์ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิ์ในราชสมบัติโดยชอบธรรมต่างถูกปลงพระชนม์ในวันที่ 9 กรกฎาคม สมเด็จพระนารายณ์เสด็จสวรรคตระหว่างทรงถูกกักบริเวณเมื่อวันที่ 10-11 กรกฎาคม โดยที่การสวรรคตของพระองค์อาจถูกเร่งให้เร็วขึ้นด้วยการวางยาพิษ พระเพทราชาได้ทรงกระทำการปราบดาภิเษกเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม ออกพระวิสุทธสุนทร (ปาน) ราชทูตผู้เดินทางไปยังฝรั่งเศสเมื่อปี พ.ศ. 2229 และเป็นฝ่ายสนับสนุนพระเพทราชา ได้ดำรงตำแหน่งเสนาบดีกำกับกรมพระคลังและกรมท่า ดูแลด้านการค้าและการต่างประเทศ
สุดท้ายแล้ว กรมหลวงโยธาเทพได้ทรงอภิเษกสมรสกับพระเพทราชา และทรงได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นพระอัครมเหสี
การขับไล่กองทหารฝรั่งเศส
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ผลกระทบที่ตามมา
ฝรั่งเศสไม่สามารถกลับเข้ามาหรือจัดการโต้ตอบสยามได้แต่อย่างใด เนื่องจากขณะนั้นฝรั่งเศสติดพันกับเหตุขัดแย้งครั้งใหญ่ในทวีปยุโรป อันได้แก่สงครามสหพันธ์ออกสบูร์ก (ระหว่างปี ค.ศ. 1688-1697) และต่อเนื่องไปยังสงครามสืบราชสมบัติสเปน (ระหว่างปี ค.ศ. 1701 – 1713/14)
ทางฝ่ายสยามนั้น สมเด็จพระเพทราชาได้ทรงดำเนินการขับไล่ชาวฝรั่งเศสส่วนมากออกไปจากพระราชอาณาจักร แต่สำหรับคณะมิชชันนารีนั้น หลังจากได้มีการลงโทษจำคุกเป็นระยะเวลาสั้น ๆ คณะมิชชันนารีก็ได้รับอนุญาตให้ดำเนินศาสนกิจของตนในกรุงศรีอยุธยาต่อไปแม้ว่าจะต้องอยู่ภายใต้ข้อบังคับบางประการ บาทหลวงหลุยส์ ลาโน (Louis Laneau) บิชอปแห่งอยุธยา ได้พ้นพระราชอาญาจำคุกเมื่อ พ.ศ. 2234 ชาวฝรั่งเศสส่วนจำนวนหนึ่งซึ่งอยู่ในฐานะของข้าราชการในพระเจ้ากรุงศรีอยุธยา เช่น เรอเน ชาร์บองโน (René Charbonneau) อดีตเจ้าเมืองภูเก็ต ก็ยังคงได้รับอนุญาตให้อยู่ในกรุงศรีอยุธยาต่อไป
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายสยามก็ไม่ได้ตัดขาดการติดต่อกับชาวต่างชาติไปเสียสิ้นเชิง ในวันที่ 14 พฤศจิกายน หลังจากฝรั่งเศสถอนตัวออกไปจากกรุงสยามได้ไม่นาน ก็ได้มีการทบทวนสนธิสัญญาและข้อตกลงทางพันธไมตรีระหว่างสยามกับบริษัทอินเดียตะวันออกของดัตช์ มีเนื้อหารับรองให้ชาวฮอลันดามีสิทธิผูกขาดการส่งออกหนังกวางแต่เพียงฝ่ายเดียวดังเช่นที่เคยมีข้อตกลงกันมาก่อนในอดีต และอนุญาตให้ชาวฮอลันดาสามารถทำการค้าที่ท่าเรือต่าง ๆ ของสยามได้โดยอิสระ นอกจากนี้ยังให้สิทธิในการผูกขาดการส่งออกแร่ดีบุกจากเมืองนครศรีธรรมราชอีกด้วย (เดิมได้รับพระบรมราชานุมัติจากสมเด็จพระนารายณ์มาก่อนแล้ว ตั้งแต่ พ.ศ. 2217) นอกจากนี้ยังคงมีการส่งหัวหน้าสถานีการค้าของฮอลันดา (Opperhoofden) มาประจำการที่กรุงศรีอยุธยาเช่นกัน เช่น ปีเตอร์ ฟาน เดน ฮูร์น (Pieter van den Hoorn, ระหว่างปี 1688–1691) และโทมัส ฟาน ซัน (Thomas van Son, ระหว่างปี 1692–1697) เป็นต้น แม้กระนั้นความสัมพันธ์ระหว่างสยามกับชาติตะวันตกก็ยังคงมีอยู่เพียงประปราย และจะไม่กลับไปอยู่ในระดับเดียวกับที่เกิดขึ้นในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์จนกว่าจะถึงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ 25
นอกเหนือจากการติดต่อกับชาติตะวันตกแล้ว การค้าขายกับบรรดาชาติในทวีปเอเชียด้วยกันก็ยังคงเฟื่องฟูอยู่ต่อไปจากการที่สยามยังคงเกี่ยวข้องในการค้าขายระหว่างจีน-สยาม-ญี่ปุ่น ในรัชสมัยของสมเด็จพระเพทราชา ปรากฏบันทึกว่ามีเรือสำเภาจีนเข้ามาค้าขายที่กรุงศรีอยุธยา 50 ลำ และในระยะเดียวกันนั้นก็มีเรือสำเภาถึง 30 ลำ เดินทางจากกรุงศรีอยุธยาไปยังเมืองท่านางาซากิ ประเทศญี่ปุ่น
ความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการระหว่างสยามกับบรรดาชาติตะวันตกได้ฟื้นฟูขึ้นอีกครั้งด้วยการสนธิสัญญาทางพระราชไมตรีและการพาณิชย์กับสหราชอาณาจักร (ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อ "สนธิสัญญาเบอร์นี") ในปี พ.ศ. 2369 เริ่มมีการแลกเปลี่ยนทางการทูตกับสหรัฐอเมริกาในปี พ.ศ. 2376 ส่วนฝรั่งเศสนั้นกว่าจะกลับมาเปิดความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการก็ต้องรอจนถึงปี พ.ศ. 2399 เมื่อจักรพรรดินโปเลียนที่ 3 ทรงส่งคณะทูตภายใต้การนำของชาร์ล เดอ มองติญี (Charles de Montigny) มาเจริญพระราชไมตรียังพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการลงนามสนธิสัญญาระหว่างสยามกับฝรั่งเศสในวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2399 เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการค้า รับรองเสรีภาพทางศาสนา และอนุญาตให้เรือรบฝรั่งเศสเข้ามาจอดที่กรุงเทพมหานครได้ ต่อมาในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2404 สยามจึงได้ส่งคณะทูตซึ่งนำโดยพระยาศรีพิพัฒน์ (แพ บุนนาค) จางวางกรมพระคลังสินค้า โดยสารไปกับเรือรบฝรั่งเศส เพื่อไปเจริญพระราชไมตรียังประเทศฝรั่งเศสเป็นการตอบแทน
อ้างอิง
- เชิงอรรถ
- De la Touche, in Smithies 2002, p. 66–71
- Wills, p. 87
- Thai Ministry of Foreign Affairs
- Mission Made Impossible: The Second French Embassy to Siam, 1687, by Michael Smithies, Claude Céberet, Guy Tachard, Simon de La Loubère (2002) Silkworm Books, Thailand ISBN 974-7551-61-6 , p. 182
- Wills, p. 89
- Vollant des Verquains, in Smithies 2002, p.110
- Desfarges, in Smithies 2002, p.18
- Cruysse, Dirk van der. Siam and the West. p. 444.
- Wills, p. 92
- Desfarges, in Smithies 2002, p.46
- Smithies 2002, p.184
- Desfarges, in Smithies 2002, p.35
- ↑ Dhivarat na Pombejra in Reid, p.267
- Dhivarat na Pombejra in Reid, p.265
- Dhiravat na Pombejra, in Reid p.265-266
- Background Note: Thailand, US Department of State: Bureau of East Asian and Pacific Affairs, March 2008
- Dhiravat na Pombejra in Reid, p.266
- US Department of State
- Thai Ministry of Foreign Affairs
- บรรณานุกรม
- Hall, Daniel George Edward (1964) A History of South-east Asia St. Martin's Press
- Reid, Anthony (Editor), Southeast Asia in the Early Modern Era, Cornell University Press, 1993, ISBN 0-8014-8093-0
- Smithies, Michael (1999), A Siamese embassy lost in Africa 1686, Silkworm Books, Bangkok, ISBN 974-7100-95-9
- Smithies, Michael (2002), Three military accounts of the 1688 "Revolution" in Siam, Itineria Asiatica, Orchid Press, Bangkok, ISBN 974-524-005-2
- Stearn, Duncan. Chronology of South-East Asian History: 1400-1996. Dee Why: Mitraphab Centre, 1997. p49.
- John E. Wills, Jr. (2002). 1688: A Global History. W. W. Norton & Company. ISBN 978-0-393-32278-1.