ผลต่อสุขภาพจากเสียง
ผลต่อสุขภาพจากเสียง (อังกฤษ: Noise health effects) เป็นผลต่าง ๆ จากการได้รับเสียงดังจากที่ทำงานหรือที่อื่น ๆ ซึ่งอาจทำให้การได้ยินพิการ เกิดความดันสูง โรคหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจ ความรำคาญ และปัญหาในการนอน นอกจากนั้น ปัญหาระบบภูมิคุ้มกัน และความพิการของทารกแรกเกิด อาจมีเหตุจากเสียงดัง
แม้ว่า หูตึงเหตุสูงอายุ (presbycusis) ก็อาจเกิดตามธรรมชาติได้เหมือนกัน แต่ว่าในประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศ ปัญหาสะสมจากเสียงก็พอสร้างความเสียหายต่อประชากรเป็นจำนวนมากภายในชั่วชีวิตแล้ว การได้รับเสียงดังยังก่ออาการเสียงในหู (tinnitus) ความดันสูง การตีบของหลอดเลือด (vasoconstriction) และปัญหาทางหัวใจหลอดเลือดอื่น ๆ
นอกจากผลเหล่านี้ เสียงดังยังสามารถทำให้เครียด เพิ่มอัตราอุบัติเหตุในที่ทำงาน และก่อความก้าวร้าวและพฤติกรรมต้านสังคมอื่น ๆ แหล่งเสียงที่สำคัญที่สุดคือจากรถยนต์กับเครื่องบิน การฟังเสียงดนตรีดัง ๆ บ่อย ๆ และเสียงจากอุตสาหกรรม ในประเทศนอร์เวย์ เสียงจราจรพบว่า เป็นเหตุต่อความรำคาญเสียงถึง 88% ที่รายงาน
เสียงอาจจะมีผลให้เกิดโรคจิตอีกด้วย เช่น เสียงประทัดอาจทำทั้งสัตว์เลี้ยงสัตว์ป่า หรือบุคคลที่ได้รับความบอบช้ำทางจิตใจให้แตกตื่น (คนที่บอบช้ำทางจิตใจรวมทั้งคนที่ผ่านสงครามมา) แต่เพียงแค่กลุ่มคนเสียงดังก็อาจจะก่อการร้องทุกข์หรือปัญหาพฤติกรรมอื่น ๆ แล้ว แม้ทารกก็ตื่นเสียงได้ง่ายอีกด้วย
ค่าเสียหายทางสังคมเนื่องจากเสียงจราจรในประเทศยุโรป 22 ประเทศอาจมีค่าถึง 4 หมื่นล้านยูโรต่อปีโดยปี 2550 (ประมาณ 1.5 ล้านล้านบาท) โดยรถโดยสารและรถบรรทุกเป็นเหตุหลักของปัญหา เสียงจราจรอย่างเดียวทำให้สุขภาพของคนเกือบ 1/3 ในเขตยุโรปเสียหาย โดยประชากรยุโรป 1 ใน 5 จะได้รับเสียงตอนกลางคืนเป็นปกติในระดับที่อาจทำให้สุขภาพเสียหายอย่างสำคัญ
เสียงยังเป็นอัตรายต่อระบบนิเวศทั้งทางบกและทางน้ำอีกด้วย
การเสียการได้ยิน
กลไกการเสียการได้ยินเกิดจากความบอบช้ำต่อ stereocilia ของคอเคลีย ซึ่งเป็นโครงสร้างหลักเต็มไปด้วยน้ำของหูชั้นใน ใบหูบวกกับหูชั้นกลางจะขยายความดันเสียงถึง 20 เท่า จึงเป็นความดันเสียงในระดับสูงที่เข้ามาถึงคอเคลียแม้จะเกิดจากเสียงในอากาศที่ไม่ดังมาก เหตุโรคของคอเคลียก็คือ สารมีออกซิเจนที่มีฤทธิ์ (reactive oxygen species) ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการตายเฉพาะส่วนกับอะพอพโทซิสที่เกิดจากเสียงของ stereocilia การได้รับเสียงดัง ๆ มีผลต่าง ๆ กันต่อบุคคลกลุ่มต่าง ๆ บทบาทของสารมีออกซิเจนที่มีฤทธิ์อาจชี้วิธีการป้องกันและรักษาความเสียหายต่อการได้ยิน และชี้โครงสร้างต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกัน
เสียงดังเป็นเหตุให้โครงสร้างในคอเคลียบอบช้ำ ซึ่งทำให้เสียการได้ยินอย่างแก้ไม่ได้ เสียงดังในพิสัยความถี่โดยเฉพาะสามารถทำให้เซลล์ขนของคอเคลียที่ตอบสนองที่ความถี่นั้น ๆ เสียหาย และดังนั้น จะลดสมรรถภาพของหูในการได้ยินเสียงที่ความถี่นั้น ๆ ในอนาคต แต่ว่า เสียงดังในพิสัยความถี่ไหนก็ตาม ก็ยังมีผลไม่ดีต่อการได้ยินของมนุษย์ตลอดทุกพิสัย เพราะหูชั้นนอก (คือส่วนที่สามารถมองเห็นได้) บวกกับหูชั้นกลาง จะขยายเสียงประมาณ 20 เท่าแล้วก่อนจะถึงหูชั้นใน
หูตึงเหตุสูงอายุ (presbycusis)
การเสียการได้ยินมักจะเลี่ยงไม่ได้เมื่อสูงอายุขึ้น แม้ว่า ชายสูงอายุที่ได้รับเสียงดัง ๆ จะไวเสียงน้อยกว่าอย่างสำคัญเทียบกับชายที่ไม่ได้รับ แต่ว่า ความแตกต่างจะลดลงไปเรื่อย ๆ และกลุ่มทั้งสองจะไม่แตกต่างกันเลยโดยอายุ 79 ปี หญิงที่ได้รับเสียงดังในอาชีพจะไม่ไวเสียงต่างจากหญิงที่ไม่ได้รับ และก็ยังได้ยินเสียงได้ดีกว่ากลุ่มชายที่ไม่ได้รับเสียงดังด้วย เนื่องจากเสียงดนตรีและเสียงจากสิ่งแวดล้อมที่หนวกหู เยาวชนในสหรัฐอเมริกาจะมีอัตราความพิการทางการได้ยินเป็น 2.5 เท่าของพ่อแม่ปู่ย่าตายาย โดยจะมีคนพิการถึงประมาณ 50 ล้านคนโดยปี 2050
งานศึกษาปี 2533 ในเรื่องผลทางสุขภาพและการเสียการได้ยิน ติดตามคนเผ่า Maaban ในประเทศกานา ผู้ได้รับเสียงเพราะการคมนาคมและอุตสาหกรรมน้อย โดยเปรียบเทียบอย่างมีระบบกับคนรุ่นเดียวกัน (cohort) ในสหรัฐ แล้วพิสูจน์ว่า ความสูงอายุเป็นเหตุการเสียการได้ยินเพียงเล็กน้อยจนเกือบไม่มีนัยสำคัญ แต่มีเหตุมาจากการได้รับเสียงค่อนข้างดังอย่างเรื้อรังจากสิ่งแวดล้อม
ผลต่อระบบหลอดเลือดหัวใจ
เสียงสัมพันธ์กับปัญหาสุขภาพทางหลอดเหลือดหัวใจอย่างสำคัญ ในปี 2542 องค์การอนามัยโลกสรุปว่า หลักฐานที่มีแสดงสหสัมพันธ์อ่อน ๆ ระหว่างการได้ยินเสียงมากกว่า 67-70 dB(A) นาน ๆ กับความดันโลหิตสูง งานศึกษาปี 2546 แสดงว่า เสียงดังกว่า 50 dB(A) ตอนกลางคืนจะเพิ่มความเสี่ยงกล้ามเนื้อหัวใจตายเหตุขาดเลือด เพราะเพิ่มการผลิตคอร์ติซอล (ฮอร์โมนเครียด) อย่างเรื้อรัง
เสียงรถในถนนก็พอทำให้เส้นเลือดแดงที่ออกจากหัวใจตีบแล้ว ซึ่งทำให้ความเกิดความดันโลหิตสูง และก็มีประชากรบางกลุ่มที่เสี่ยงเรื่องนี้มากกว่า ซึ่งอาจจะเกิดจากความรำคาญเสียงซึ่งเพิ่มระดับอะดรีนาลีน ซึ่งจุดชนวนการทำให้เส้นเลือดตีบ หรืออาจเกิดจากปฏิกิริยาแบบเครียด ผลอื่น ๆ ของเสียงดังรวมทั้งปวดศีรษะ ความล้า แผลในกระเพาะอาหาร และอาการรู้สึกหมุน ที่เกิดเพิ่มขึ้น
ความเครียด
งานวิจัยที่บริษัทผลิตฉนวนกันเสียงจ้างให้ทำแสดงว่า ในสหราชอาณาจักร ผู้ประสบความวุ่นวายในครอบครัวถึง 1/3 อ้างว่า งานเลี้ยงเสียงดังทำให้ตนนอนไม่หลับหรือเครียดภายใน 2 ปีท่ผ่านมา ประมาณ 1/11 ของผู้ประสบความวุ่นวายอ้างว่า เสียงเช่นนั้นทำให้ตนรำคาญหรือเครียดอย่างเรื้อรัง ประชากรมากกว่า 1.8 ล้านคนอ้างว่า เพื่อนบ้านเสียงดังทำให้ชีวิตเป็นทุกข์และไม่สามารถอยู่อย่างเป็นสุขที่บ้านตัวเองได้ ผลเสียของเสียงต่อสุขภาพอาจเป็นปัญหาสำคัญทั่วสหราชอาณาจักร โดยมีสถิติว่าคนอังกฤษกว่า 17.5 ล้านคน (คือ 38% ของประเทศ) ถูกรบกวนโดยเพื่อนบ้านภายใน 2 ปีที่ผ่านมา และสำหรับประชากรเกือบ 7% นี่จะเป็นปัญหาประจำ
ความแพร่หลายของปัญหามลพิษเสียงยังได้การยืนยันจากสถิติที่ตรวจเทียบกับการแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ในเขต งานวิจัยแสดงว่าในช่วงระหว่างเมษายน 2551-2552 สภาจังหวัดอังกฤษต่าง ๆ ได้รับการแจ้งความ 315,838 รายเกี่ยวกับเสียงดังจากบ้านส่วนตัว ซึ่งมีผลให้เจ้าหน้าที่รักษาสิ่งแวดล้อมทั่วราชอาณาจักรต้องยื่นใบสั่งให้ลดเสียง หรือให้ใบสั่งปรับตามกฎหมายของสกอตแลนด์ ส่วนเทศบาลนครเวสต์มินสเตอร์ เป็นเขตที่ได้รับการแจ้งความต่อหัวประชากรมากที่สุดเขตหนึ่งในสหราชอาณาจักร คือ 9,814 รายการเกี่ยวกับเสียง ซึ่งเท่ากับ 42.32 รายต่อประชากร 1,000 คน ส่วนเทศบาลที่มีการแจ้งความมากที่สุด 8 เทศบาลแรกอยู่ในนครลอนดอน
ความรำคาญ
เพราะว่าความเครียดบางอย่างจะขึ้นอยู่กับลักษณะเสียงนอกจากความดัง อาจจะต้องพิจารณาความรำคาญเสียงว่ามีผลต่อสุขภาพอย่างไร ยกตัวอย่างเช่น เสียงสนามบินมักจะน่ารำคาญมากกว่าเสียงจราจรแม้ดังเท่ากัน กลุ่มประชากรต่าง ๆ รำคาญเสียงไม่ต่างกัน แต่แหล่งเสียงตลอดจนความไวเสียงของบุคคลจะมีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อความรำคาญ แม้เสียงดังแค่ 40 dB(A) (คือประมาณเท่าตู้เย็นหรือในห้องสมุด) ก็สามารถสร้างความรำคาญจนถึงกับต้องแจ้งความได้แล้ว และขีดเสียงที่กวนการนอนก็อยู่เพียงแค่ 45 dB(A) หรือต่ำกว่านั้น
ปัจจัยเสียงอื่น ๆ ที่มีผลต่อความรำคาญรวมทั้งความเชื่อเกี่ยวกับการป้องกันเสียง ความจำเป็นของแหล่งเสียง และปัจจัยที่ไม่เกี่ยวกับเสียง ยกตัวอย่างเช่น ในที่ทำงาน เสียงพูดโทรศัพท์และเสียงคุยกันของเพื่อนร่วมงานอาจน่ารำคาญได้โดยขึ้นอยู่กับเรื่องที่คุย ระดับความรำคาญและความสัมพันธ์ระหว่างระดับเสียงกับผลทางสุขภาพ ยังสามารถแปรตามคุณภาพความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมงาน ตลอดจนระดับความเครียดที่เกิดจากงาน หลักฐานว่าการเปลี่ยนแปลงของเสียงที่พึ่งเริ่มเร็ว ๆ นี้ หรือเสียงที่มีอยู่แล้วในระยะยาว อะไรมีผลมากกว่ากัน ก็ยังไม่ชัดเจน
การประเมินความรำคาญมักใช้ตัวกรองตามน้ำหนัก (weighting filter) ซึ่งพิจารณาความถี่เสียงบางพิสัยว่า สำคัญกว่าพิสัยอื่น ๆ แล้วแต่ว่ามนุษย์ได้ยินได้ดีแค่ไหน ตัวกรองตามน้ำหนักเก่า คือ dB(A) ตามที่ได้กล่าวถึงแล้ว จะใช้อย่างกว้างขวางในสหรัฐอเมริกา แต่เป็นระบบที่ประเมินผลของความถี่เสียงใกล้ ๆ 6 กิโลเฮิรตซ์และความถี่ต่ำมาก ๆ น้อยเกินไป ส่วนตัวกรอง ITU-R 468 noise weighting จะนิยมใช้กว่าในยุโรป การกระจายเสียงจะต่างกันขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อม ยกตัวอย่างเช่น เสียงความถี่ต่ำมักจะไปได้ไกลกว่า ดังนั้น ตัวกรองที่ต่างกัน เช่น dB(B) และ dB(C) ก็อาจต้องใช้ในกรณีโดยเฉพาะ ๆ
นอกจากนั้นแล้ว งานศึกษาแสดงว่า เสียงใกล้ ๆ บ้าน (รวมทั้งจากอะพาร์ตเมนต์ใกล้ ๆ กัน และเสียงภายในอะพาร์ตเมนต์หรือบ้านตัวเอง) สามารถทำให้รำคาญและเครียด เนื่องจากเวลาที่ใช้อยู่ในบ้านมาก ซึ่งสามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อความซึมเศร้า โรคทางจิตเวชอื่น ๆไมเกรน และแม้แต่ความเครียด ในที่ทำงาน มลพิษเสียงมักจะเป็นปัญหาเมื่อดังเกินกว่า 55 dB(A) งานศึกษาบางงานแสดงว่า ผู้ทำงานประมาณ 35%-40% บอกว่าเสียงที่ 55-60 dB(A) น่ารำคาญมาก
ระเดับเสียงในเยอรมนีที่จัดเป็นมาตรฐานว่าเป็นงานเครียด อยู่ที่ 55 dB(A) แต่ว่า ถ้าเสียงมีอยู่เป็นประจำ ขีดที่ผู้ทำงานทนได้จะต่ำกว่า 55 dB(A)
ผลสำคัญจากเสียงอย่างหนึ่งก็คือทำให้ได้ยินเสียงพูดได้น้อยลง แม้สมองมนุษย์จะสามารถชดเชยเสียงพื้นหลังเมื่อพูด ด้วยกระบวนการที่เรียกว่า Lombard effect ที่มนุษย์จะเน้นคำพูดมากขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ แต่ว่า กระบวนการนี้ก็ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาความชัดเจนของสิ่งที่สื่อทั้งหมดเมื่ออยู่ในที่เสียงดัง
พัฒนาการทางกายของด็ก
สำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อมสหรัฐพิมพ์จุลสารในปี 2521 ที่แสดงว่า มีสหสัมพันธ์ระหว่างเสียงดังกับเด็กคลอดตัวเล็ก (โดยใช้มาตรฐานขององค์การอนามัยโลกที่ 2.5 กิโลกรัม) และกับอัตราความพิการของทารกแรกเกิดเพิ่มขึ้นในสถานที่หญิงมีครรภ์ต้องได้รับเสียงดัง เช่นที่สนามบิน ความพิการรวมทั้งปากแหว่ง เพดานปากโหว่ และความพิการของกระดูกสันหลัง
ตามนักวิชาการของรายงานนั้น "มีหลักฐานเพียงพอว่า สิ่งแวดล้อมมีบทบาทในการกำหนดรูปร่าง พฤติกรรม และหน้าที่ของร่างกายในสัตว์ รวมทั้งมนุษย์ เริ่มตั้งแต่ปฏิสนธิ ไม่ใช่เพียงตั้งแต่คลอด สัตว์ในครรภ์สามารถได้ยินเสียงและตอบสนองด้วยการเคลื่อนไหวหรือการเปลี่ยนอัตราหัวใจเต้น" เสียงดังมีผลมากที่สุดในระหว่าง 15-60 วันหลังปฏิสนธิ ซึ่งเป็นช่วงที่อวัยวะภายในหลัก ๆ และระบบประสาทกลางจะพัฒนาขึ้น ผลทางพัฒนาการภายหลังจะเกิดขึ้นถ้าเสียงดังทำให้เส้นเลือดของมารดาตีบแล้วลดการไหลเวียนของเลือด และดังนั้น จึงลดออกซิเจนและสารอาหารไปยังทารก
การมีน้ำหนักน้อยและเสียง ยังสัมพันธ์กับระดับฮอร์โมนบางอย่างที่ต่ำในมารดาอีกด้วย ฮอร์โมนเหล่านี้เชื่อว่ามีผลต่อการเติบโตของทารกและเป็นตัวบ่งชี้การผลิตโปรตีนที่ดี ความแตกต่างของฮอร์โมนมารดาในที่เสียงดังและในที่เงียบจะเพิ่มมากขึ้นเมื่อใกล้คลอดขี้นเรื่อย ๆ
อย่างไรก็ดี ในงานศึกษาปี 2543 ซึ่งทบทวนงานศึกษาในเรื่องน้ำหนักแรกเกิดและการได้รับเสียงชี้ว่า แม้ว่า งานศึกษาแล้ว ๆ มาอาจจะแสดงว่า เมื่อหญิงได้รับเสียงเกิน 65 dB เนื่องจากเครื่องบิน น้ำหนักแรกเกิดจะลดลงหน่อยหนึ่ง แต่ว่า งานศึกษาหลังจากนั้นในหญิงชาวไต้หวัน 200 คนซึ่งวัดการได้รับเสียงโดยเฉพาะสำหรับแต่ละคน ๆ ไม่พบความสัมพันธ์ที่มีนัยสำคัญระหว่างการได้รับเสียงกับน้ำหนักแรกเกิดหลังจากปรับตัวแปรกวนที่สมควร เช่น ระดับชั้นทางสังคม น้ำหนักเพิ่มของมารดาระหว่างตั้งครรภ์ เป็นต้น
พัฒนาการทางประชาน
เมื่อเด็กเล็ก ๆ ได้รับเสียงดังเรื่อย ๆ ที่รบกวนการพูด ก็อาจจะมีปัญหาการพูดหรือการอ่าน เพราะว่า การได้ยินไม่สมบูรณ์ โดยเด็ก ๆ จะพัฒนาการเข้าใจคำพูดจนกระทั่งถึงวัยรุ่น หลักฐานแสดงว่าเมื่อเด็กเรียนในห้องเรียนที่เสียงดังกว่า ก็จะมีปัญหาเข้าใจคำพูดมากกว่าเด็กที่เรียนในที่ ๆ เงียบกว่า
ในงานศึกษาของมหาวิทยาลัยคอร์เนลปี 2536 เด็กที่ได้ยินเสียงดังในที่ ๆ เรียนมีปัญหาในการแยกแยะคำพูด และมีพัฒนาการทางประชานที่ล่าช้าหลายอย่าง รวมทั้งปัญหาการเขียนแบบ dysgraphia ซึ่งมักสัมพันธ์กับตัวสร้างความเครียดในห้องเรียน เสียงดังยังมีหลักฐานว่า ทำสุขภาพของเด็กเล็ก ๆ ให้เสีย เช่น เด็กจากบ้านที่เสียงดังบ่อยครั้งมีอัตราการเต้นหัวใจที่สูงกว่าอย่างสำคัญ (โดยเฉลี่ย 2 ครั้งต่อนาที) เทียบกับเด็กจากบ้านที่เงียบกว่า
กฎหมาย
กฎหมายควบคุมเสียงมักจะกำหนดเสียงนอกอาคารมากที่สุดระหว่าง 60-65 dB(A) ในขณะที่องค์กรความปลอดภัยทางอาชีพจะแนะนำว่า ระดับเสียงที่ควรได้รับมากที่สุด ก็คือ 85-90 dB(A) ต่ออาทิตย์ (40 ชม.) และในทุก ๆ 3 dB(A) ที่เพิ่มขึ้น เวลาที่ได้รับควรลดลงครึ่งหนึ่ง เช่น 20 ชม. ต่ออาทิตย์ที่ 88 dB(A) บางครั้ง การลดลงครึ่งหนึ่งจะใช้ในทุก ๆ 5 dB(A) ที่เพิ่มขึ้น แต่ว่า วรรณกรรมทางสุขภาพแสดงว่า กฎนี้ไม่เพียงพอเพื่อป้องกันการเสียการได้ยินและผลทางสุขภาพอื่น ๆ เมื่อเร็ว ๆ นี้ สหรัฐอเมริกาได้เริ่มใช้โปรแกรม "ซื้อเสียงเบา" (Buy Quiet) เพื่อต่อสู้กับการได้รับสียง เป็นโปรแกรมที่สนับสนุนให้ซื้ออุปกรณ์และเครื่องมือที่เงียบกว่า เพื่อจูงใจให้ผู้ผลิตออกแบบอุปกรณ์ที่เบาเสียงกว่า
สำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อมสหรัฐไม่ได้ตั้งกฎจำกัดระดับเสียงภายในที่อยู่อาศัย แต่ก็แนะนำระดับต่าง ๆ ในคู่มือ Model Community Noise Control Ordinance ซึ่งจัดพิมพ์ในปี 2518 ยกตัวอย่างเช่น ระดับเสียงที่แนะนำภายในบ้านก็คือให้เท่ากับหรือน้อยกว่า 45 dB
การควบคุมมลพิษเสียงภายในบ้านไม่ได้รับเงินทุนจากรัฐบาลกลางสหรัฐโดยส่วนหนึ่งก็เพราะว่า ไม่สามารถตกลงกันได้ให้ชัดเจนในเรื่องเหตุที่เสียงมีผลเป็นความเสี่ยงต่อสุขภาพ เพราะว่า บ่อยครั้ง นี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับใจด้วย และเพราะเสียงไม่ได้ทิ้งร่องรอยความเสียหายให้ตรวจได้ทางกาย ยกตัวอย่างเช่น การเสียการได้ยินอาจจะเกิดจากปัจจัยอื่น ๆ ได้รวมทั้งอายุ ไม่ใช่เพราะได้ยินเสียงดังเพียงอย่างเดียว แต่ว่ารัฐบาลระดับรัฐและระดับเทศบาลในสหรัฐก็ยังสามารถกำหนดกฎเกี่ยวกับเสียงภายในบ้าน เช่นเสียงรบกวนเพื่อนบ้าน
ดูเพิ่ม
เชิงอรรถและอ้างอิง
- ↑ Passchier-Vermeer W, Passchier WF (2000). "Noise exposure and public health". Environ. Health Perspect. 108 Suppl 1: 123–31. doi:10.2307/3454637. JSTOR 3454637. PMC 1637786. PMID 10698728.
- ↑ Rosenhall, U; Pedersen, K; Svanborg, A (1990). "Presbycusis and noise-induced hearing loss". Ear Hear. 11 (4): 257–63. doi:10.1097/00003446-199008000-00002. PMID 2210099.CS1 maint: multiple names: authors list (link)
- ↑ Schmid, RE (2007-02-18). . CBS News. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 2007-11-15. สืบค้นเมื่อ 2007-02-18.
- Senate Public Works Committee, Noise Pollution and Abatement Act of 1972, S. Rep. No. 1160, 92nd Cong. 2nd session
- "Noise: Health Effects and Controls" (PDF). University of California, Berkeley. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม (PDF) เมื่อ 2007-09-25. สืบค้นเมื่อ 2007-12-22.
- Kryter, Karl D. (1994). The handbook of hearing and the effects of noise: physiology, psychology, and public health. Boston: Academic Press. ISBN 0-12-427455-2.
- "About Norwegian Association Against Noise". คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 2017-05-10. สืบค้นเมื่อ 2017-05-10. Unknown parameter
|deadurl=
ignored (help) - (PDF). 2007-08. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม (PDF) เมื่อ 2016-03-05. Unknown parameter
|deadurl=
ignored (help); Check date values in:|date=
(help) - . WHO. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 2010-08-26. Unknown parameter
|deadurl=
ignored (help) - "Impact Of Man-made Noise - Whale Acoustics". whaleacoustics.com.
- ↑ Henderson, D; Bielefeld, EC; Harris, KC; Hu, BH (2006). "The role of oxidative stress in noise-induced hearing loss". Ear Hear. 27 (1): 1–19. doi:10.1097/01.aud.0000191942.36672.f3. PMID 16446561.CS1 maint: multiple names: authors list (link)
- ↑ Rosen, S; Olin, P (1965). "Hearing Loss and Coronary Heart Disease" (PDF). Bull N Y Acad Med. 41 (10): 1052–1068.CS1 maint: uses authors parameter (link)
- "Preventing Hearing Damage When Listening With Headphones" (PDF). สืบค้นเมื่อ 2017-05-11.
- . dtic.mil. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 2008-04-24. Unknown parameter
|deadurl=
ignored (help) - ↑ "Noise: A Health Problem" (PDF). United States Environmental Protection Agency, Office of Noise Abatement and Control, Washington. 1978-08. สืบค้นเมื่อ 2017-05-17. Check date values in:
|date=
(help) - Ising, H; Babisch, W; Kruppa, B (1999). "Noise-Induced Endocrine Effects and Cardiovascular Risk". Noise Health. 1 (4): 37–48. PMID 12689488.CS1 maint: multiple names: authors list (link)
- Berglund, B; Lindvall, T; Schwela, D; Goh, KT (1999). "World Health Organization: Guidelines for Community Noise". World Health Organization.CS1 maint: uses authors parameter (link)
- Maschke, C (2003). "Stress Hormone Changes in Persons exposed to Simulated Night Noise". Noise Health. 5 (17): 35–45. PMID 12537833. สืบค้นเมื่อ 2007-12-22.
- Franssen, EA; van Wiechen, CM; Nagelkerke, NJ; Lebret, E (2004). "Aircraft noise around a large international airport and its impact on general health and medication use". Occup Environ Med. 61 (5): 405–13. doi:10.1136/oem.2002.005488. PMC 1740783. PMID 15090660.CS1 maint: multiple names: authors list (link)
- Lercher, P; Hörtnagl, J; Kofler, WW (1993). "Work noise annoyance and blood pressure: combined effects with stressful working conditions". Int Arch Occup Environ Health. 65 (1): 23–8. doi:10.1007/BF00586054. PMID 8354571.CS1 maint: multiple names: authors list (link)
- "How Noisy Neighbours Blight Millions of Lives". The Daily Express.
- ↑ Clout, Laura. "How noisy neighbours millions of lives". Express.co.uk.
- "London is home to the noisiest neighbours". The Evening Standard.
- Miedema and Oudshoorn 2001 cited in "Hypertension and exposure to noise near airports". Medscape.
- Miedema, HME; Vos, H (1999). "Demographic and attitudinal factors that modify annoyance from transportation noise". Journal of the Acoustical Society of America. 105 (6): 3336–44. doi:10.1121/1.424662.CS1 maint: multiple names: authors list (link)
- "Noise Facts and Figures!" (PDF). Chiltern District Council. สืบค้นเมื่อ 2007-12-13.
- Gelfand, Stanley A (2001). Essentials of Audiology. New York: Thieme Medical Publishers. ISBN 1-58890-017-7.
- Walker, JR; Fahy, Frank (1998). Fundamentals of noise and vibration. London: E & FN Spon. ISBN 0-419-22700-8.CS1 maint: multiple names: authors list (link)
- ↑ Field, JM (1993). "Effect of personal and situational variables upon noise annoyance in residential areas". Journal of the Acoustical Society of America. 93 (5): 2753–63. doi:10.1121/1.405851. สืบค้นเมื่อ 2007-12-13.
- ↑ Passchier-Vermeer, W; Passchier, W.F. (2000-03). "Noise exposure and public health" (PDF). Environment Health Perspectives. 108 (1): 123–131. doi:10.2307/3454637. JSTOR 3454637. PMC 1637786. PMID 10698728. Check date values in:
|date=
(help)CS1 maint: multiple names: authors list (link) - Halpern, David (1995). Mental health and the built environment: more than bricks and mortar?. Taylor & Francis. ISBN 0-7484-0235-7.
- Pichot, P. (1992-03). "Noise, sleep and behavior". Bulletin de l'Academie nationale de médecine. 176 (3): 393–9. Check date values in:
|date=
(help) - ↑ Niemann, H; และคณะ (2006). "Noise-induced annoyance and morbidity results from the pan-European LARES study". Noise Health. 8 (31): 63–79. doi:10.4103/1463-1741.33537. PMID 17687182. Explicit use of et al. in:
|author=
(help) - Stellman, Jeanne Mager (1998). Encyclopedia of occupational health and safety. International Labour Organization. ISBN 92-2-109203-8.
- Nelson, Peggy B. (1959). "Sound in the Classroom". ASHRAE journal. 45 (2): 22–25.
- Wakefield, Julie (2002-06). "Learning the Hard Way". Environmental Health Perspectives. 110 (6). Check date values in:
|date=
(help) - Goran, Belojevic; และคณะ (2008). "Urban Road Traffic Noise and Blood Pressure and Heart Rate in Preschool Children". Environment International. 34 (2): 226–231. doi:10.1016/j.envint.2007.08.003. PMID 17869340. Explicit use of et al. in:
|author=
(help) - "CDC - Buy Quiet - NIOSH Workplace Safety and Health Topics". cdc.gov.
- Williams, Luanne Kemp; Langley, Rick L. (2000). Environmental Health Secrets. Philadelphia: Elsevier Health Sciences. ISBN 1-56053-408-7.CS1 maint: multiple names: authors list (link)
- "EPA Identifies Noise Levels Affecting Health and Welfare". 1972-04-02.
- ↑ Schmidt, Charles W. (2005-01). "Noise that Annoys: Regulating Unwanted Sound". Environmental Health Perspectives. 113 (1): A42–A44. doi:10.1289/ehp.113-a42. Check date values in:
|date=
(help) - Staples, Susan L. (1996-02). "Human response to environmental noise: Psychological research and public policy". American Psychologist. 51 (2): 143–150. doi:10.1037/0003-066X.51.2.143. PMID 8746149. Check date values in:
|date=
(help) - Leighton, Paul (2009-04-14). "Beverly considers rules to quiet loud parties". The Salem News.
แหล่งข้อมูลอื่น
- Acoustical Society of America
- Noise and Health International Journal devoted to research on all aspects of noise and its effects on human health
- World Health Organization: Guidelines for Community Noise
- ICBEN International Commission on Biological Effects of Noise
- How Sound Affects Us (8:18) —TED talk by Julian Treasure
- NIOSH Buy Quiet Topic Page
[[:สื่อ:|]] (วิธีใช้·[[:ไฟล์:|ข้อมูล]])