พระสุนทรราชวงศา (เจ้าคำสิงห์)
เจ้าพระสุนทรราชวงศา (เจ้าคำสิงห์) ดำรงตำแหน่งเจ้าประเทศราชครองเมืองยศสุนทรประเทศราชคนแรก (ปัจจุบันคือจังหวัดยโสธรในภาคอีสานของประเทศไทย) นามเดิมว่า เจ้าคำสิงห์ หรือ เจ้าราชวงศ์สิงห์ เป็นพระโอรสในเจ้าพระวิไชยราชสุริยวงษขัติยราช (เจ้าฝ่ายหน้า) เจ้าผู้ครองอาณาจักรล้านช้างจำปาศักดิ์ องค์ที่ 3 และเป็นพระนัดดาพระประทุมวรราชสุริยวงศ์ (เจ้าคำผง ณ อุบล) เจ้าผู้ครองเมืองอุบลราชธานีศรีวนาไลยประเทศราชองค์แรก สมภพที่นครเวียงจันทน์ สืบเชื้อสายเจ้านายราชวงศ์สุวรรณปางคำ อันมีพระเจ้าสุวรรณปางคำ (เจ้าปางคำ) เป็นปฐมราชวงศ์ผู้สร้างนครเขื่อนขันธ์กาบแก้วบัวบาน (จังหวัดหนองบัวลำภูในปัจจุบัน)
พระสุนทรราชวงศา (เจ้าคำสิงห์) | |
---|---|
พระอิสริยยศ | เจ้าผู้ครองเมือง |
ราชวงศ์ | สุวรรณปางคำ |
ครองราชย์ | พ.ศ. 2357 |
รัชกาลก่อน | เจ้าคำม่วง |
รัชกาลถัดไป | พระสุนทรราชวงศา (เจ้าสีชา) |
ข้อมูลส่วนพระองค์ | |
พิราลัย | พ.ศ. 2366 |
พระบิดา | พระวิไชยราชสุริยวงษขัติยราช |
พระมารดา | ไม่ปรากฏพระนาม |
พระมเหสี | ไม่ปรากฏพระนาม |
พระบุตร | เจ้าบุตร และเจ้าคำ |
ประวัติ
เมื่อปี พ.ศ. 2314 พระเจ้าสิริบุญสาร เจ้าผู้ครองนครเวียงจันทน์เกิดหวาดระแวงในเจ้าพระตา และเจ้าพระวอ จึงยกกองทัพจากนครเวียงจันทน์มาปราบปราม เจ้าพระตาถูกข้าศึกยิงด้วยอาวุธปืน และฟันด้วยดาบจนถึงแก่พิราลัยในที่สนามรบ ส่วนเจ้าพระวอ เจ้าคำผง เจ้าฝ่ายหน้า เจ้าทิดพรหม เจ้าก่ำ และเจ้าคำสิงห์ได้ยกทัพฝ่าหนีออกจากนครเขื่อนขันธ์กาบแก้วบัวบานลงมาตามลำน้ำชีมาพักกับเจ้าคำสูผู้ปกครองบ้านสิงห์ท่าสิงห์โคก ภายหลังต่อมาเจ้าพระวอดำริว่าหากอยู่กับเจ้าคำสูแล้ว ถ้าเวียงจันทน์ยกทัพมาก็จะเป็นการลำบากแก่บ้านสิงห์ท่าสิงห์โคก และจะเกิดศึกสงครามกันต่อไป เมื่อประชุมตกลงกันแล้วจึงได้พาไพร่พลอพยพลงไปตามลำน้ำมูล และสร้างเมืองใหม่ที่เวียงดอนกองเขตนครจำปาศักดิ์ ตามรับสั่งของพระเจ้าองค์หลวงไชยกุมาร เจ้าผู้ครองนครจำปาศักดิ์ โดยเจ้าพระวอให้สร้างค่ายขุดคูประตูหอรบขึ้นเรียกว่า "ค่ายบ้านดู่บ้านแก"
ต่อมาในปี พ.ศ. 2321 เมื่อพระเจ้าสิริบุญสารทราบเรื่อง จึงได้ยกทัพมาปราบอีกครั้งจนทำให้เจ้าพระวอถึงแก่พิลาลัยในสนามรบ เจ้าคำผง เจ้าฝ่ายหน้า เจ้าทิดพรหม เจ้าก่ำ และเจ้าคำสิงห์จึงพร้อมบริวารจึงได้อพยพต่อไปยังเกาะกลางลำน้ำมูลซึ่งเรียกว่า "ดอนมดแดง" แต่เนื่องจากเป็นที่ต่ำไม่เหมาะสมที่จะสร้างเมืองใหม่จึงอพยพขึ้นมาตามลำน้ำมูลถึงห้วยแจระแม แล้วมาสร้างเมืองขึ้นที่ดงอู่ผึ้ง เมื่อปีกุน พ.ศ. 2322 แล้วมีหนังสือกราบบังคมทูลขอขึ้นอยู่ในขอบขัณฑสีมาของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช แห่งกรุงธนบุรี จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามเมืองที่ตั้งว่าเมืองอุบล เพื่อเป็นการรำลึกถึงบ้านเมืองเดิมของตนคือเมืองนครเขื่อนขันธ์กาบแก้วบัวบาน (หนองบัวลุ่มภู) จากนั้นเจ้าคำผงได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาขึ้นเป็นเจ้าผู้ครองเมืองคนแรก และได้รับพระราชทานพระราชทินนามว่า "พระปทุมสุรราช"
และปี พ.ศ. 2329 เจ้าฝ่ายหน้า ผู้น้องพระปทุมสุรราช (เจ้าคำผง) พร้อมกับนางอูสา และเจ้าคำสิงห์ผู้เป็นหลาน ได้นำไพร่พลญาติวงศาอีกส่วนหนึ่งขอแยกตัวกลับมาอยู่ที่บ้านสิงห์ท่าซึ่งเจ้าคำสูปกครองอยู่ ตั้งมั่นเป็นกองนอกหวังจะตั้งบ้านเมืองขึ้นให้ใหญ่โตสมฐานะดั่งเมืองอุบล และพระปทุมสุรราช (เจ้าคำผง) ก็เห็นสมควรด้วยกับเจ้าฝ่ายหน้า ไม่ขัดข้องประการใด จึงได้แยกย้ายกันไปทำมาหากินที่บ้านสิงห์ท่า ได้ปรับปรุงและสร้างบ้านสิงห์ท่าจนเจริญรุ่งเรืองต่อจากเจ้าคำสู
ปี พ.ศ. 2334 เกิดกบฏอ้ายเชียงแก้วได้พาพรรคพวกเข้ายึดนครจำปาศักดิ์ ความทราบถึงพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยานครราชสีมา (ทองอิน) เมื่อครั้งเป็นพระพรหม ยกกระบัตร ยกกองทัพเมืองนครราชสีมา มาปราบกบฏอ้ายเชียงแก้ว ขณะที่กองทัพนครราชสีมายกมาไม่ถึงนั้น เจ้าพระประทุมสุรราช (เจ้าคำผง) และเจ้าฝ่ายหน้า ผู้น้องซึ่งเป็นนายกองนอกที่บ้านสิงห์ท่า พร้อมเจ้าคำสิงห์ พระโอรสคนโตได้ร่วมกันยกกำลังไปปราบกบฎอ้ายเชียงแก้วก่อน ทั้งสองฝ่ายได้สู้รบกันที่บริเวณแก่งตะนะ จนกองกำลังอ้ายเชียงแก้วแตกพ่ายไป เจ้าฝ่ายหน้าจับตัวอ้ายเชียงแก้วไว้ได้ และประหารชีวิตที่แก่งตะนะปากด่านแม่น้ำมูล เมื่อกองทัพเมืองนครราชสีมายกมาถึงนครจำปาศักดิ์เหตุการณ์ก็สงบเรียบร้อยแล้ว จึงพากันยกกองทัพไปตีพวกข่า ชาติกระเสงสวาง จะรายระแดร์ ซึ่งตั้งอยู่ฝั่งตะวันออกแม่น้ำโขง จับพวกข่าเป็นเชลยได้เป็นจำนวนมาก
ปี พ.ศ. 2335 จากความดีความชอบในการปราบปรามกบฏอ้ายเชียงแก้วครั้งนี้พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาให้เจ้าฝ่ายหน้าเป็นเจ้าพระวิไชยราชสุริยวงษขัติยราช (เจ้าฝ่ายหน้า) ดำรงฐานะเจ้าผู้ครองอาณาจักรล้านช้างจำปาศักดิ์ องค์ที่ 3 แทนพระเจ้าองค์หลวงไชยกุมารที่ถึงแก่พิราลัยไป และให้เจ้าคำสิงห์เป็นเจ้าราชวงศ์เมืองโขง หรือ สีทันดร พร้อมได้ย้ายไพร่พลส่วนหนึ่งจากบ้านสิงห์ท่าไปที่นครจำปาศักดิ์ ส่วนทางบ้านสิงห์ท่าได้ให้เจ้าคำม่วง เป็นผู้ปกครองแทน
ปี พ.ศ. 2354 เจ้าพระวิไชยวรราชสุริยวงศ์ขัตติยราชได้ถึงแก่พิราลัย พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้านู ซึ่งเป็นหลานพระเจ้าองค์หลวงไชยกุมาร เจ้าผู้ครองนครจำปาศักดิ์องค์ก่อน เป็นเจ้าผู้ครองนครจำปาาสักสืบต่อไป จึงทำให้เจ้าราชวงศ์เมืองโขง (เจ้าคำสิงห์) ไม่เป็นที่พอใจที่จะทำราชการกับเจ้าผู้ครองนครจำปาศักดิ์องค์ใหม่ จึงได้พาครอบครัว และไพร่พลอพยพมาอยู่ที่บ้านสิงท่าดังเดิม พร้อมนำอัฐิเจ้าพระวิไชยวรราชสุริยวงศ์ขัตติยราช (เจ้าฝ่ายหน้า) มาก่อเจดีย์บรรจุไว้ข้างองค์พระธาตุอานนท์ที่วัดมหาธาตุ เพราะเกรงว่าเจ้าผู้ครองนครจำปาศักดิ์องค์ใหม่ จะไม่เคารพอัฐิเจ้าพระวิไชยวรราชสุริยวงศ์ขัตติยราช (เจ้าฝ่ายหน้า) และได้ปรับปรุงพัฒนาบ้านสิงห์ท่าให้ใหญ่โตรุ่งเรืองขึ้นเป็นอันมาก
ปี พ.ศ. 2357 เจ้าราชวงศ์คำสิงห์ได้มีใบกราบบังคมทูลขอยกบ้านสิงห์ท่าขึ้นเป็นเมือง พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยกฐานะบ้านสิงห์ท่าขึ้นเป็นเมืองยศสุนทร มีฐานะเป็นเมืองประเทศราช ขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ ให้เจ้าราชวงศ์คำสิงห์ เป็นที่พระสุนทรราชวงศา (เจ้าคำสิงห์) เจ้าผู้ครองเมืองยศสุนทรคนแรก (พ.ศ. 2357-2366) ให้เมืองยศสุนทรส่งส่วยบำรุงราชการของหลวงคือ น้ำรักสองเลขต่อเบี้ย ป่านสองเลขต่อขวด
อาณาเขตเมืองยศสุนทร
- ทิศเหนือจรดภูสีฐานด่านเมยยอดยัง (ภูเขาในท้องที่ตำบลบ้านเหล่า อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร และมีต้นกำเนิดลำน้ำยัง ท้องที่บ้านดงหมู ตำบลคุ้มเก่า อำเภอเขาวง จังหวัดกาฬสินธุ์)
- ทิศใต้จรดห้วยก้ากว้าก (ท้องที่อำเภอมหาชนะชัยติดต่อกับอำเภอพนมไพร จังหวัดร้อยเอ็ด), อำเภอศิลาลาดจังหวัดศรีสะเกษ)
- ทิศตะวันออกถึงบ้านคำพระมะแงลำน้ำเซ (บ้านคำพระ ตำบลคำพระ อำเภอหัวตะพาน จังหวัดอำนาจเจริญ)
- ทิศตะวันตกจรดห้วยไส้ไก่วังเจ็ก (บริเวณห้วยไส้ไก่บรรจบแม่น้ำชีท้องที่ตำบลหน่อม อำเภออาจสามารถ จังหวัดร้อยเอ็ด)
- ทิศตะวันตกเฉียงเหนือจรดห้วยตาแหลว (บริเวณห้วยตาแหลวบรรจบแม่น้ำชี ท้องที่บ้านดงหวาย ตำบลเกาะแก้ว อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด)
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าบริเวณเมืองยศสุนทรในสมัยเริ่มตั้งเมืองนั้นได้มีอาณาเขตครอบคลุมพื้นที่พื้นที่บางส่วนของจังหวัดกาฬสินธุ์ และจังหวัดร้อยเอ็ดในปัจจุบัน ดังนี้
- ตำบลจุมจัง ตำบลสมสะอาด ตำบลเหล่าไฮงาม ตำบลบัวขาว ตำบลแจนแลน ตำบลหนองห้าง ตำบลเหล่าใหญ่ ตำบลกุดค้าว ตำบลนาโก และตำบลกุดหว้า ของอำเภอกุฉินารายณ์
- ตำบลกุดสิมคุ้มใหม่ และตำบลสงเปลือย ของอำเภอเขาวง
- ตำบลห้องแซง ตำบลศรีแก้ว ตำบลสามัคคี ตำบลสวาท ตำบลสร้างมิ่ง และตำบลกุดเชียงหมี ของอำเภอเลิงนกทา
- อำเภอไทยเจริญ
- อำเภอเสลภูมิ
- อำเภอโพนทอง
- อำเภอหนองพอก
- อำเภอเมยวดี
- อำเภอกุดชุม
- อำเภอป่าติ้ว
- อำเภอคำเขื่อนแก้ว
- อำเภอทรายมูล
- อำเภอเมืองยโสธร
พระญาติวงศ์
พระสุนทรราชวงศา (เจ้าคำสิงห์) มีพระอนุชา และพระขนิษฐา รวมทั้งหมด 4 พระองค์ คือ
- พระสุนทรราชวงศาฯ (เจ้าฝ่ายบุต) เจ้าผู้ครองเมืองยศสุนทรประเทศราช องค์ที่ 3
- เจ้านางแดง
- เจ้านางไทย
- เจ้านางก้อนแก้ว
พระโอรสและพระธิดา
พระสุนทรราชวงศา (เจ้าคำสิงห์) มีพระโอรสตามพงศาวดารกล่าวไว้เพียง 2 พระองค์ คือ
- เจ้าบุตร ต่อมาเป็นที่เจ้าอุปราชเมืองยศสุนทร และถูกเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) สั่งให้ประหารชีวิตในคุกเพลิง กรณีกบฎเจ้าอนุวงศ์
- เจ้าคำ ต่อมาถูกเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) สั่งให้ประหารชีวิตในคุกเพลิง กรณีกบฎเจ้าอนุวงศ์
กรณียกิจ
พระสุนทรราชวงศา (เจ้าคำสิงห์) ได้ให้ไพร่พลก่อสร้างฉางข้าว สร้างที่ว่าการเมือง สร้างท้องพระโรง (โฮงคำ)
พิราลัย
พระสุนทรราชวงศา (เจ้าคำสิงห์) ปกครองเมืองยสสุนทรประเทศราชให้ร่มเย็นเป็นสุข และเจริญรุ่งเรืองมาตลอดรัชสมัยจนถึงแก่พิราลัย ในปี พ.ศ. 2366
พงศาวลี
พงศาวลีของพระสุนทรราชวงศา (เจ้าคำสิงห์) | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
|
อ้างอิง
- เติม วิภาคย์พจนกิจ. ประวัติศาสตร์อีสาน. พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, 2546.
- สุรศักดิ์ ศรีสำอาง. ลำดับกษัตริย์ลาว. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: สำนักโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากร. 2545.
- ประวัติจังหวัดอุบลราชธานี (ศาลากลางจังหวัดอุบลราชธานี)
- http://kanchanapisek.or.th/kp8/culture/yst/yaso23.html
ก่อนหน้า | พระสุนทรราชวงศา (เจ้าคำสิงห์) | ถัดไป | ||
---|---|---|---|---|
บ้านสิงห์ท่า | เจ้าผู้ครองเมืองยศสุนทรประเทศราช (พ.ศ. 2357 - พ.ศ. 2366) | พระสุนทรราชวงศา (เจ้าสีชา) พ.ศ. 2366 (3 เดือน) |