รัฐเชียงตุง
เขตรัฐตุงคบุรี หรือ เขมรัฐโชติตุงบุรี โดยย่อว่า เขมรัฐ (พม่า: ခေမာရဋ္ဌ เขมารฏฺฐ; บาลี: เขมรฏฺ) หรือ รัฐเชียงตุง (พม่า: ကျိုင်းတုံ; ไทใหญ่: ၵဵင်းတုင်) บ้างเรียก เมืองเขิน (ไทเขิน: ᨾᩧᩙᨡᩧ᩠ᨶ) เป็นรัฐเจ้าฟ้าแห่งหนึ่งในกลุ่มสหพันธรัฐชาน ปัจจุบันอยู่ในเขตประเทศพม่า มีราชธานีคือเชียงตุง ซึ่งเป็นเขตเมืองใหญ่เพียงแห่งเดียวเพราะเป็นแอ่งที่ราบขนาดใหญ่ ทั้งประเทศเป็นเขตภูเขาสูงสลับซับซ้อนของเทือกเขาแดนลาวมีที่ราบขนาดแคบ ถือเป็นรัฐที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่ที่สุดในหมู่รัฐชานอื่น ๆ ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้สุดของรัฐชาน ตั้งแต่แม่น้ำสาละวินจรดแม่น้ำโขง และถูกแยกจากรัฐชานตอนเหนือด้วยแม่น้ำข่า
เชียงตุง | |||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|
รัฐเจ้าฟ้าของสหพันธรัฐชาน | |||||||
ราว พ.ศ. 1786 – พ.ศ. 2502 | |||||||
รัฐเชียงตุง (สีฟ้า) ในแผนที่รัฐชาน | |||||||
พื้นที่ | |||||||
• พ.ศ. 2444 | 31,079 km2 (12,000 sq mi) | ||||||
ประชากร | |||||||
• พ.ศ. 2444 | 190,698 คน | ||||||
ประวัติศาสตร์ | |||||||
• ก่อตั้งโดยผู้แทนของพญามังราย | ราว พ.ศ. 1786 | ||||||
• เจ้าฟ้าองค์สุดท้ายสละอำนาจ | พ.ศ. 2502 | ||||||
|
รัฐเชียงตุงมีลักษณะเป็นรัฐชายขอบ โอนอ่อนไปตามอิทธิพลของรัฐรอบข้างคือ พม่า จีน และล้านนา เมื่อรัฐใดรัฐหนึ่งมีอำนาจมากกว่า เจ้าผู้ครองเชียงตุงก็จะเข้าสวามิภักดิ์กับฝ่ายนั้น กระนั้นเชียงตุงยังคงรักษาความสัมพันธ์กับเชียงใหม่ในฐานะบ้านพี่เมืองน้องมาตลอด แต่ในช่วงหลังเชียงตุงสวามิภักดิ์กับพม่า เพราะพม่าไม่มีนโยบายกวาดต้อนผู้คน ต่างจากฝ่ายสยามที่มุ่งทำลายเมืองเชียงตุง เพราะไม่ต้องการให้ฝ่ายพม่าใช้เชียงตุงเป็นที่มั่นสำหรับโจมตีเมืองเชียงราย
หลังการสละราชอำนาจของเจ้าจายหลวง มังราย เมื่อ พ.ศ. 2502 รัฐเชียงตุงถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของรัฐชานโดยสมบูรณ์ แม้จะพยายามต่อสู้เพื่อเอกราชหลายครั้ง แต่ก็ตกเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของพม่าไปโดยปริยาย และหลังการรัฐประหารของนายพลเนวี่นเมื่อ พ.ศ. 2505 สิทธิพิเศษของเจ้าฟ้าไทใหญ่ต่าง ๆ ถูกยกเลิกลงทั้งหมด
ประวัติ
แรกเริ่ม
รัฐเชียงตุงเกิดจากการขยายอำนาจขึ้นทางเหนือของพญามังรายแห่งอาณาจักรล้านนา ที่ส่งพระราชนัดดาชื่อเจ้าน้ำท่วมขึ้นปกครองเชียงตุง อันเป็นดินแดนของชาวว้าและไทใหญ่ ประชากรส่วนใหญ่ในเมืองหลวงเป็นชาวเขิน ต่างจากหัวเมืองอื่น ๆ ที่ส่วนใหญ่เป็นไทใหญ่ ตามประวัติศาสตร์ พญามังรายสร้างเมืองเชียงตุงเมื่อ พ.ศ. 1810 เพื่อเป็นเมืองหน้าด่านทางทิศเหนือของล้านนา โดยมีสัมพันธ์อันดีจนถึงรัชสมัยพญากือนา ส่วนรัชสมัยพญาแสนเมืองมาจนถึงพญาสามฝั่งแกน เชียงตุงสวามิภักดิ์กับจีน จนรัชสมัยพระเจ้าติโลกราชความสัมพันธ์ระหว่างเชียงตุงกับล้านนาจึงเฟื่องฟูอีกครั้ง เพราะมีการเผยแผ่ศาสนาพุทธและวรรณกรรมล้านนาไปยังเชียงตุง
ร่วมสมัย
จักรพรรดิเฉียนหลงกระทำสงครามกับพระเจ้ามังระช่วง พ.ศ. 2303 รัฐเชียงตุงจึงสวามิภักดิ์ต่อเชียงใหม่ใน พ.ศ. 2345 แต่ภายหลังเชียงตุงได้รับความช่วยเหลือจากพม่า จึงกลับเข้าสู่กับปกครองของพม่าตามเดิมและผนวกรัฐเมืองยองไปด้วยกันใน พ.ศ. 2357
ยุครัตนโกสินทร์ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นต้นมา สยามมีนโยบายมุ่งแผ่อำนาจไปยังเชียงตุงและเชียงรุ่ง แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ แม้ทั้งสองเมืองนี้จะยอมสวามิภักดิ์ต่อสยามก็ตาม หลังการปักปันเขตแดนกับสหราชอาณาจักรเมื่อ พ.ศ. 2428-2438 สยามเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เมื่อเขตแดนแบ่งออกอย่างชัดเจน สยามมีดินแดนสุดที่แม่สาย ส่วนเมืองเชียงตุง เมืองยอง และหัวเมืองไทใหญ่อื่น ๆ ขึ้นในอารักขาของสหราชอาณาจักร ต่อมาสหราชอาณาจักรยุบรัฐเชียงแขงขึ้นกับเชียงตุง
27 พฤษภาคม พ.ศ. 2485 ตรงกับสงครามโลกครั้งที่สอง รัฐเชียงตุงถูกกองทัพพายัพจากประเทศไทยรุกรานและเข้ายึดเชียงตุงซึ่งเป็นเมืองหลวง ตามข้อตกลงระหว่างจอมพลแปลก พิบูลสงครามกับจักรวรรดิญี่ปุ่น เดือนธันวาคมปีเดียวกันกองทัพไทยเข้ายึดรัฐเชียงตุงและสี่อำเภอของรัฐเมืองปั่น ที่สุดรัฐบาลไทยผนวกดินแดนนี้อย่างเป็นทางการและประกาศจัดตั้งสหรัฐไทยเดิมและอำเภอเมืองพานเมื่อ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2486 ภายหลังประเทศไทยถอนตัวออกจากรัฐเชียงตุงและเมืองปั่นเมื่อ พ.ศ. 2488 และยกเลิกการอ้างสิทธิใน พ.ศ. 2489 เพื่อเข้าร่วมกับองค์การสหประชาชาติและยกเลิกการคว่ำบาตรจากการเข้าร่วมกับฝ่ายอักษะ
หลังการสละราชอำนาจของเจ้าจายหลวง มังราย เมื่อ พ.ศ. 2502 รัฐเชียงตุงถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของรัฐชานโดยสมบูรณ์ แม้จะพยายามต่อสู้เพื่อเอกราชหลายครั้ง แต่ก็ตกเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของพม่าไปโดยปริยาย และหลังการรัฐประหารของนายพลเนวี่นเมื่อ พ.ศ. 2505 สิทธิพิเศษของเจ้าฟ้าไทใหญ่ต่าง ๆ ถูกยกเลิกลงทั้งหมด
การปกครอง
รัฐเชียงตุงปกครองด้วยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มีเจ้าฟ้าเป็นผู้ปกครอง ใช้พระนามว่า เขมาธิปติราชา เช่น รัตนภูมินทะนรินทาเขมาธิปติราชา หรือ พญาศรีสุธรรมกิตติ สิริเมฆนรินทร์ เขมาธิปติราชา ในยุคเริ่มต้น เชียงตุงมีฐานะเป็นประเทศราชของอาณาจักรล้านนา มีเจ้าผู้ครองปกครองตนเองด้วยจารีตท้องถิ่น และได้รับเกียรติเรียกเจ้าผู้ครองเชียงตุงว่า "พระหัวเจ้า" เชียงตุงต้องแสดงความจงรักภักดีต่อราชธานีที่ยิ่งใหญ่กว่าด้วยการประกอบพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา
ล้านนามักส่งลูกหลานกษัตริย์หรือขุนนางที่ใกล้ชิดจากเชียงใหม่ปกครองเชียงตุง แต่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 24 เป็นต้นมา เชียงตุงยอมรับอำนาจของพม่า ส่วนเชียงใหม่ยอมรับอิทธิพลของสยาม ความขัดแย้งระหว่างสยามและพม่าส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างเชียงใหม่และเชียงตุง จนก่อให้เกิดสงครามเชียงตุงช่วงต้นรัตนโกสินทร์
เจ้าผู้ครองรัฐเป็นผู้บริหารและใช้อำนาจเต็ม ปกครองประชากรด้วยความผาสุก กอปรด้วยความอารีอย่างบิดากับบุตร หากมีผู้ใดกระทำผิดก็จะใช้อำนาจเด็ดขาดในการปราบปราม เช่น หากมีผู้ใดโกรธชักดาบออกจากฝักเพียงฝ่ามือเดียวจะถูกปรับไหมเป็นเงินหลายรูปี เป็นต้น ทั้งนี้รัฐเชียงตุงยังมีนครรัฐน้อย ๆ เป็นบริวารในอำนาจตนเองจำนวนหนึ่งเช่น รัฐเมืองเลน รัฐเมืองสาต และรัฐเมืองปุ
เศรษฐกิจ
แม้รัฐเชียงตุงจะเป็นรัฐบนภูเขาสูงสลับซับซ้อน แต่มีราชธานีตั้งอยู่บนแอ่งที่ราบขนาดใหญ่ เป็นพื้นที่ชุมนุมทางการค้าขนาดใหญ่ ทั้งยังเป็นศูนย์กลางทางการเมือง การปกครอง และเศรษฐกิจ ด้วยเหตุนี้เชียงตุงจึงเป็นรัฐเกษตรกรรมผสมผสานกับการค้า ขณะที่เมืองยองซึ่งอยู่ตะวันออกสุด ที่ราบขนาดขนาดกว้าง สามารถพึ่งพาตัวเองได้ ถือเป็นพื้นที่เกษตรกรรมของรัฐเชียงตุง เชียงตุงเป็นศูนย์กลางทางการค้าทางเกวียนจากเมืองต้าหลี่ และสิบสองพันนา ก่อนส่งต่อไปยังย่างกุ้งและมะละแหม่ง ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 ทุกปีจะมีคาราวานขนถ่ายสินค้าจากจีน ผ่านเชียงตุงไปเชียงใหม่ ด้วยล่อจำนวน 8,000 ตัว
สินค้าจากเชียงตุงส่วนใหญ่คือใบชา ฝิ่น ส้มจุก และหนังสัตว์
ประชากรศาสตร์
ชาติพันธุ์
รัฐเชียงตุงมีประชากรหลายเชื้อชาติ ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวไทใหญ่ แต่ในราชธานีและพื้นที่ตอนกลางของประเทศมีประชากรหลักเป็นชาวไทเขิน บ้างก็ว่าชาวไทเขินคือชาวไทยวนที่อพยพขึ้นมาจากอาณาจักรล้านนาในรัชสมัยพญามังราย ตรงกับคริสต์ศตวรรษที่ 13 ตามหัวเมืองก็มีประชากรชาติอื่น ๆ เข้าไปอาศัย เช่น ฮ่อ พม่า กะเหรี่ยง กุรข่า ไทลื้อ ม้ง ปะหล่อง และกะชีน นอกนั้นยังมีชาวไทเหนือซึ่งอพยพมาจากยูนนาน และชาวเขาหลายเผ่าอาศัยอยู่ เช่น ไตหลอย มูเซอ ละว้า และอ่าข่า ส่วนอดีตรัฐเมืองยองทางตะวันออกสุด ซึ่งถูกรวมเข้ากับรัฐเชียงตุงนั้น มีประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวไทลื้อลูกผสมกับชาวไทใหญ่และเขิน
ชาวไทเขินที่เป็นประชากรหลักของราชธานีมักสวมเครื่องแต่งกายสีฉูดฉาด ประกอบด้วยผ้าโพกศีรษะ เสื้อปั๊ด ผ้าคาดเอว แต่ละชิ้นมักไม่ซ้ำสีกัน ในอดีตผู้ชายมักสักด้วยอักขระอาคมต่าง ๆ ในยุคที่ตกอยู่ในอารักขาของสหราชอาณาจักร ชาวเขินมักถูกรวมเข้ากับชาวไทใหญ่
ภาษา
ภาษาไทเขิน มีความคล้ายและใกล้เคียงกับภาษายองและไทลื้อมาก ทั้งยังคล้ายกับภาษาไทยวน ต่างเพียงแค่สำเนียง และการลงท้ายคำ ซึ่งชาวเขินแบ่งออกเป็นสามกลุ่มคือ กลุ่มเขินก่อ-เขินแด้, กลุ่มเขินอู และกลุ่มเขินหวา ส่วนอักษรไทเขินได้รับอิทธิพลอักษรจากล้านนาจากการเผยแผ่ศาสนา โดยรับอักษรธรรมล้านนาและอักษรฝักขามไปพร้อม ๆ กับศาสนา จึงมีลักษณะคล้ายกับอักษรธรรมล้านนา รวมทั้งยังรับวรรณกรรมล้านนาที่แพร่หลายสู่เชียงตุงด้วย
นอกจากนี้ชาวเชียงตุงบางส่วนที่เคยได้รับการเรียนภาษาไทยช่วงที่ไทยเข้าปกครอง สามารถพูดและอ่านภาษาไทยได้ดี
ศาสนา
เดิมประชากรนับถือศาสนาผี ปัจจุบันนับถือศาสนาพุทธ มีวัดอยู่ทุกหมู่บ้าน มีวัฒนธรรมสูง และไม่ชอบการลักขโมย สืบเนื่องคณะสงฆ์จากอาณาจักรล้านนาเดินทางเข้าไปเผยแผ่ศาสนา ดังจะพบว่ามีการสถาปนาวัดนิกายสวนดอก (นิกายรามัญ หรือยางกวง) และนิกายป่าแดง (หรือนิกายสีหล) สู่เชียงตุงตั้งแต่รัชสมัยพญากือนาและพระเจ้าติโลกราชเป็นต้นมา ซึ่งเกิดขึ้นก่อนการเผยแผ่ศาสนาในรัชสมัยพระเจ้าบุเรงนองเสียอีก โดยพญากือนาทรงสนับสนุนให้พระสงฆ์จากเชียงแสนและเชียงตุงศึกษาศาสนาพุทธจากวัดสวนดอกในเชียงใหม่ ต่อมาในรัชกาลพญาสามฝั่งแกนมีการรับคัมภีร์ศาสนาจากลังกาเรียกว่านิกายป่าแดงตามชื่อวัดป่าแดง ก่อนแพร่หลายไปทั่วล้านนาและเชียงตุง ซึ่งพระยาสิริธัมมจุฬา เจ้าเมืองเชียงตุงสร้างวัดป่าแดงเป็นอรัญวาสีประจำเมืองเชียงตุงเมื่อ พ.ศ. 1989 สองนิกายนี้เคยเกิดสังฆเภทเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 15 จนพระเมืองแก้วทรงไกล่เกลี่ยให้สองนิกายนี้กลับมาปรองดองกัน
ในช่วงหลังนิกายป่าแดงได้รับความนิยมมากกว่านิกายยางกวง ในด้านพระธรรมวินัยและการสวดแบบบาลีที่ถูกต้องแบบเดียวกับการสวดของพระสงฆ์ไทย แต่นิกายยางกวงยังปรากฏอิทธิพลอยู่บ้างตามชุมชนห่างไกล ด้านการสวดมนต์ พระสงฆ์ไทใหญ่และพม่าจะสวดบาลีสำเนียงพม่า ด้วยเหตุนี้พระสงฆ์เขินจึงไม่สังฆกรรมกับพระสงฆ์ไทใหญ่และพม่า แม้ปัจจุบันพระสงฆ์เขินแสดงเจตจำนงรวมเข้ากับนิกายสุธัมมาของพม่า กระนั้นคณะสงฆ์เขินยังคงจารีตและระบบสมณศักดิ์เดิมตามอย่างล้านนา และอิงการศึกษาศาสนาอย่างคณะสงฆ์ไทยในปัจจุบัน
คณะสงฆ์เขินมี สมเด็จอาชญาธรรม เป็นประมุขสงฆ์แห่งเมืองเชียงตุงและหัวเมืองทางฟากตะวันออกของแม่น้ำสาละวิน เปรียบตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชแห่งเชียงตุง แต่หลังคณะสงฆ์เขินรวมเข้ากับนิกายสุธัมมาของพม่าแล้ว ตำแหน่งสมเด็จอาชญาธรรมถูกลดฐานะลงเทียบเจ้าคณะอำเภอเชียงตุงเท่านั้น
อ้างอิง
- เชิงอรรถ
- ↑ ความเป็นมาของคำสยาม, ไทย ลาว และขอม และลักษณะทางสังคมของชื่อชนชาติ, หน้า 395
- เที่ยวเมืองเชียงตุงและแคว้นสาละวิน, หน้า 103
- ↑ 30 ชาติในเชียงราย, หน้า 98-99
- Society, Royal Geographical (1857). The Journal of the Royal Geographical Society: JRGS (ภาษาอังกฤษ). Murray.
- รัฐฉาน (เมืองไต) : พลวัติของชาติพันธุ์ในบริบทประวัติศาสตร์และการเมืองร่วมสมัย, หน้า 71
- เที่ยวเมืองเชียงตุงและแคว้นสาละวิน, หน้า 106
- ↑ ประวัติศาสตร์ล้านนา, หน้า 370
- ประวัติศาสตร์ล้านนา, หน้า 372
- ประวัติศาสตร์ล้านนา, หน้า 373
- ↑ Donald M. Seekins, Historical Dictionary of Burma (Myanmar), p. 251
- รัฐฉาน (เมืองไต) : พลวัติของชาติพันธุ์ในบริบทประวัติศาสตร์และการเมืองร่วมสมัย, หน้า 76-77
- รัฐฉาน (เมืองไต) : พลวัติของชาติพันธุ์ในบริบทประวัติศาสตร์และการเมืองร่วมสมัย, หน้า 82
- ประวัติศาสตร์ล้านนา, หน้า 228
- ประวัติศาสตร์ล้านนา, หน้า 371
- ↑ Imperial Gazetteer of India, v. 15, p. 200.
- ประวัติศาสตร์ล้านนา, หน้า 383
- . คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 2013-11-27. สืบค้นเมื่อ 2014-09-08.
- "ประกาส รวมกลันตัน ตรังกานู ไซบุรี ปะลิส เชียงตุง และเมืองพาน เข้าไนราชอาณาจักรไทย" (PDF). ราชกิจจานุเบกสา. 60 (55ก): 1532–1533. 18 ตุลาคม พ.ศ. 2486. Check date values in:
|date=
(help) - Shan and Karenni States of Burma
- David Porter Chandler & David Joel Steinberg eds. In Search of Southeast Asia: A Modern History. p. 388
- "WHKMLA : History of the Shan States". 18 May 2010. สืบค้นเมื่อ 21 December 2010.
- Ben Cahoon (2000). "World Statesmen.org: Shan and Karenni States of Burma". สืบค้นเมื่อ 7 July 2014.
- เที่ยวเมืองเชียงตุงและแคว้นสาละวิน, หน้า 104
- ↑ ประวัติศาสตร์ล้านนา, หน้า 229
- ↑ 30 ชาติในเชียงราย, หน้า 101
- Sir Charles Crosthwaite "The pacification of Burma"
- ประวัติศาสตร์ล้านนา, หน้า 231
- 30 ชาติในเชียงราย, หน้า 93
- รัฐฉาน (เมืองไต) : พลวัติของชาติพันธุ์ในบริบทประวัติศาสตร์และการเมืองร่วมสมัย, หน้า 82-83
- 30 ชาติในเชียงราย, หน้า 106
- รัฐฉาน (เมืองไต) : พลวัติของชาติพันธุ์ในบริบทประวัติศาสตร์และการเมืองร่วมสมัย, หน้า 71
- ↑ 30 ชาติในเชียงราย, หน้า 97
- 30 ชาติในเชียงราย, หน้า 94
- เที่ยวเมืองเชียงตุงและแคว้นสาละวิน, หน้า 107
- "ไทเขินบ้านต้นแหนนน้อย". ศูนย์ข้อมูลกลางทางวัฒนธรรม. 31 พฤษภาคม 2555. สืบค้นเมื่อ 31 ธันวาคม 2557. Check date values in:
|accessdate=, |date=
(help)[ลิงก์เสีย] - ประวัติศาสตร์ล้านนา, หน้า 230
- บรรจบ พันธุเมธา. ไปสอบคำไทย. กรุงเทพฯ : โครงการเผยแพร่เอกลักษณ์ของไทย กระทรวงศึกษาธิการ, 2522, หน้า 174
- ประวัติศาสตร์ล้านนา, หน้า 162
- สมโชติ อ๋องสกุล (22 กุมภาพันธ์ 2560). "เจ้านางสุคันธา ณ เชียงใหม่ สายใยรักสองราชสำนัก เชียงใหม่-เชียงตุง". ศิลปวัฒนธรรม. สืบค้นเมื่อ 12 กันยายน 2563. Check date values in:
|accessdate=, |date=
(help) - ↑ รัฐฉาน (เมืองไต) : พลวัติของชาติพันธุ์ในบริบทประวัติศาสตร์และการเมืองร่วมสมัย, หน้า 132
- รัฐฉาน (เมืองไต) : พลวัติของชาติพันธุ์ในบริบทประวัติศาสตร์และการเมืองร่วมสมัย, หน้า 130
- รัฐฉาน (เมืองไต) : พลวัติของชาติพันธุ์ในบริบทประวัติศาสตร์และการเมืองร่วมสมัย, หน้า 131
- บรรณานุกรม
- จิตร ภูมิศักดิ์. ความเป็นมาของคำสยาม, ไทย ลาว และขอม และลักษณะทางสังคมของชื่อชนชาติ. พิมพ์ครั้งที่ 6. กรุงเทพฯ : ชนนิยม, 2556. 440 หน้า. ISBN 978-974-9747-21-6
- บ. บุญค้ำ. เที่ยวเมืองเชียงตุงและแคว้นสาละวิน. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : ศยาม, 2555. 392 หน้า. ISBN 978-974-315-802-5
- บุญช่วย ศรีสวัสดิ์. 30 ชาติในเชียงราย. พิมพ์ครั้งที่ 8. กรุงเทพฯ : สยามปริทัศน์, 2557. 592 หน้า. ISBN 978-974-315-871-1
- สรัสวดี อ๋องสกุล. ประวัติศาสตร์ล้านนา. พิมพ์ครั้งที่ 7, กรุงเทพฯ : อมรินทร์, 2553. 660 หน้า. ISBN 978-974-8132-15-0
- เสมอชัย พูลสุวรรณ. รัฐฉาน (เมืองไต) : พลวัติของชาติพันธุ์ในบริบทประวัติศาสตร์และการเมืองร่วมสมัย. กรุงเทพฯ : ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน), 2552. 222 หน้า. ISBN 9789746605694
แหล่งข้อมูลอื่น
- วิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อเกี่ยวกับ รัฐเชียงตุง