ความสนใจต่อสิ่งภายนอก-ความสนใจต่อสิ่งภายใน
ลักษณะ ความสนใจต่อสิ่งภายนอก-ความสนใจต่อสิ่งภายใน หรือ ความสนใจภายนอก-ความสนใจภายใน (อังกฤษ: extraversion-introversion) เป็นมิติหลักอย่างหนึ่งของทฤษฎีบุคลิกภาพมนุษย์ ส่วนคำภาษาอังกฤษทั้งสองคำ คือ introversion และ extraversion เป็นคำที่จิตแพทย์ คาร์ล ยุง ได้สร้างความนิยม แม้ว่าการใช้คำทั้งโดยนิยมและทางจิตวิทยาจะต่างไปจากที่ยุงได้มุ่งหมาย ความสนใจต่อสิ่งภายนอกมักปรากฏโดยเป็นการชอบเข้าสังคม/เข้ากับคนอื่นได้ง่าย ช่างพูด กระตือรือร้น/มีชีวิตชีวา เทียบกับความสนใจต่อสิ่งภายในที่ปรากฏโดยเป็นคนสงวนท่าทีและชอบอยู่คนเดียวแบบจำลองบุคลิกภาพใหญ่ ๆ เกือบทั้งหมดมีแนวคิดเช่นนี้ในรูปแบบต่าง ๆ ตัวอย่างเช่นทฤษฎีลักษณะบุคลิกภาพใหญ่ 5 อย่าง, analytical psychology (ของยุง), three-factor model (ของ ศ. ดร. ฮันส์ ไอเซงค์), 16 personality factors (ของ ศ. ดร. Raymond Cattell), Minnesota Multiphasic Personality Inventory, และตัวชี้วัดของไมเออร์ส-บริกส์
ระดับความสนใจต่อสิ่งภายนอก-ความสนใจต่อสิ่งภายใน เป็นค่าที่ต่อเนื่องกันเป็นอันเดียวกัน ดังนั้น ถ้าค่าของอย่างหนึ่งสูง อีกอย่างหนึ่งก็จะต้องต่ำ แต่ว่า นพ. คาร์ล ยุง และผู้พัฒนาตัวชี้วัดของไมเออร์ส-บริกส์ มีมุมมองต่างจากนี้และเสนอว่า ทุกคนมีทั้งด้านที่สนใจต่อสิ่งภายนอกและด้านที่สนใจต่อสิ่งภายใน โดยมีด้านหนึ่งมีกำลังกว่า แต่แทนที่จะเพ่งความสนใจไปที่เพียงพฤติกรรมกับคนอื่น ยุงนิยามความสนใจในสิ่งภายในว่า "เป็นแบบทัศนคติ กำหนดได้โดยทิศทางของชีวิต ที่กรองผ่านสิ่งที่อยู่ในใจที่เป็นอัตวิสัย" (คือ สนใจในเรื่องภายในจิตใจ) และความสนใจในภายนอกว่า "เป็นแบบทัศนคติ กำหนดได้โดยการพุ่งความสนใจไปที่วัตถุภายนอก" (คือโลกภายนอก)
แบบต่าง ๆ
ความสนใจต่อสิ่งภายนอก
ความสนใจต่อสิ่งภายนอกเป็น "การกระทำ สภาวะ หรือนิสัยที่โดยมากเกี่ยวกับการหาความยินดีพอใจจากสิ่งที่อยู่นอกตัวเอง" คนสนใจต่อสิ่งภายนอกมักจะชอบปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่น กระตือรือร้น ชอบพูด กล้าพูด (assertive) และชอบสังคม เป็นคนที่มีชีวิตชีวาและมีความสุขเมื่ออยู่กับผู้อื่น เป็นผู้ที่ได้รับความเพลิดเพลินในกิจกรรมสังคมที่มีคนมาก เช่น งานปาร์ตี้ กิจกรรมชุมชน การประท้วง และในกลุ่มธุรกิจหรือการเมือง และมักจะทำงานได้ดีในกลุ่ม คนสนใจต่อสิ่งภายนอกมักจะชอบใช้เวลากับคนอื่น และได้ความพอใจน้อยกว่าเมื่อใช้เวลาคนเดียว มักจะมีชีวิตชีวาใกล้ ๆ คนอื่น และมักจะเบื่อถ้าอยู่กับตนเอง
ความสนใจต่อสิ่งภายใน
ความสนใจต่อสิ่งภายในเป็น "ภาวะหรือความโน้มเอียงที่จะเกี่ยวข้องและสนใจในชีวิตภายในใจของตนทั้งหมดหรือโดยมาก" เป็นผู้ที่คนอื่นเห็นว่าสงวนท่าทีและช่างใคร่ครวญมากกว่า นักจิตวิทยาที่ได้รับความนิยมบางคนกำหนดคนสนใจต่อสิ่งภายในว่าเป็นคนที่มีกำลังเพิ่มเมื่อใคร่ครวญและมีกำลังลดลงเมื่อต้องปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น นี่คล้ายกับมุมมองของยุง แม้ว่ายุงจะเพ่งความสนใจไปที่กำลังใจไม่ใช่ที่กำลังกาย แต่แนวคิดในปัจจุบันโดยมากไม่ได้แบ่งแยกในระดับนี้
คนสนใจต่อสิ่งภายในบ่อยครั้งมีความสุขในกิจกรรมที่ทำคนเดียวเช่นการอ่าน/เขียนหนังสือ การเล่นคอมพิวเตอร์ การเดินเล่น และการตกปลา นักศิลป์ นักเขียน นักประติมากรรม วิศวกร นักแต่งดนตรี และนักประดิษฐ์ ตัวอย่าง ๆ ล้วนแต่เป็นคนที่ใส่ใจต่อสิ่งภายในในระดับสูง เป็นคนที่ชอบใช้เวลาคนเดียวและได้ความยินดีพอใจน้อยกว่ากับเวลาที่ใช้กับกลุ่มคนใหญ่ ๆ แม้ว่ายังอาจชอบปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนที่ใกล้ชิด ความเชื่อใจมักจะเป็นเรื่องที่สำคัญ หลักชีวิตที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของผู้สนใจภายในก็คือการเลือกเพื่อนที่คู่ควร คนเช่นนี้มักชอบใจตั้งสมาธิทำอะไรทีละอย่าง และชอบสังเกตสถานการณ์ก่อนที่จะเข้าร่วม นี่เป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดในเด็กหรือวัยรุ่นที่กำลังเติบโต เป็นคนที่คิดก่อนพูด เป็นคนมักจะอึดอัดเวลามีสิ่งเร้าจากงานสังคมมากเกินไป มีแม้แต่คนที่ "นิยาม" ความสนใจต่อสิ่งภายในว่า ชอบสิ่งแวดล้อมที่เงียบ ๆ และมีสิ่งเร้าน้อย
แต่การเรียกคนสนใจสิ่งภายในว่าขี้อายเป็นความเข้าใจผิดที่สามัญ เพราะว่าพวกเขาชอบกิจกรรมคนเดียวมากกว่ากิจกรรมสังคม แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะกลัวการเข้าสังคมเหมือนกับคนขี้อาย นักเขียนผู้หนึ่งอ้างว่า วัฒนธรรมชาวตะวันตกในปัจจุบันเข้าใจความสามารถของคนที่สนใจต่อสิ่งภายในอย่างไม่ถูกต้อง ทำให้ไม่สามารถใช้พรสวรรค์และกำลังของบุคลากรได้อย่างเต็มที่ ผู้เขียนซึ่งเรียกตนเองว่าเป็นคนใส่ใจภายใน ชี้ว่าสังคมมีอคติต่อคนสนใจต่อสิ่งภายใน เพราะว่าตั้งแต่เด็ก พวกเขาจะถูกสอนให้รู้ว่าคนที่ชอบสังคมจะเป็นคนที่มีความสุข และดังนั้น ความสนใจต่อสิ่งภายในปัจจุบันจึงเป็นเรื่องที่ "อยู่ระหว่างความน่าผิดหวังกับความเป็นโรค" แล้วกล่าวว่า ความสนใจต่อสิ่งภายในไม่ใช่เป็นลักษณะ "ที่เป็นรอง" โดยยกตัวอย่างคนสนใจภายในเช่น นักเขียน เจ. เค. โรว์ลิง นักฟิสิกส์ ไอแซก นิวตัน และอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ผู้นำ มหาตมา คานธี ผู้กำกับภาพยนตร์ สตีเวน สปีลเบิร์ก และประธานกรรรมการบริษัทกูเกิล แลร์รี เพจ หนังสือของเธอแสดงว่าทั้งคนสนใจต่อสิ่งภายในและคนสนใจต่อสิ่งภายนอกทั้งสองล้วนช่วยพัฒนาสังคม
ความสนใจต่อสิ่งทั้งสอง
แม้ว่าจะมีคนมองว่า คำถามว่าบุคคลเป็นคนสนใจต่อสิ่งภายนอกหรือเป็นคนสนใจต่อสิ่งภายใน จะมีเพียงคำตอบเดียวจากที่เป็นไปได้สองคำตอบ แต่ว่า ทฤษฎีเกี่ยวกับลักษณะบุคลิกภาพปัจจุบันโดยมากวัดระดับความสนใจต่อสิ่งภายนอก-ความสนใจต่อสิ่งภายในโดยเป็นมิติเดียวที่เชื่อมต่อกัน ความสนใจต่อสิ่งทั้งสอง (Ambiversion) อยู่แทบจะตรงกลางพอดี คนสนใจต่อสิ่งทั้งสองจะรู้สึกสบายพอประมาณในกลุ่มและกับปฏิสัมพันธ์ทางสังคม แต่ก็ยังชอบใช้เวลาคนเดียวอีกด้วย
ความชุกสัมพัทธ์
หนังสือปี 2012 (Quiet: The Power of Introverts in a World That Can't Stop Talking) รายงานว่า มีงานศึกษาที่แสดงว่า 33-50% ของคนอเมริกันเป็นคนสนใจต่อสิ่งภายใน โดยมีคนบางกลุ่มที่มีความชุกที่สูงกว่า โดยมีงานสำรวจปี 2016 ที่ใช้ตัวชี้วัดของไมเออร์ส-บริกส์ (MBTI) ต่อคน 6,000 คนที่แสดงว่า ทนาย 60% และทนายทรัพย์สินทางปัญญา 90% เป็นคนสนใจต่อสิ่งภายใน
การวัด
การวัดระดับความสนใจต่อสิ่งภายนอก-ความสนใจต่อสิ่งภายในมักจะทำโดยการแจ้งเอง (self-report) แม้ว่าจะมีการวัดที่ให้บุคคลในกลุ่มเดียวกัน (peer-report) หรือคนอื่นเป็นผู้ประเมิน (third-party observation) ก็มี การวัดโดยแจ้งเองอาจจะเป็นแบบใช้คำ (lexical) หรือใช้บทความ (statements) ส่วนการตัดสินใจว่าจะใช้การวัดแบบไหนเพื่อใช้ในงานวิจัย จะกำหนดโดยค่าวัดทางจิตวิทยาอื่น ๆ (psychometric property) เวลา และพื้นที่ที่มีให้ใช้ในงานศึกษา
ในภาษาอังกฤษ การวัดโดยใช้คำ (lexical) จะใช้คำวิเศษณ์แต่ละคำที่สะท้อนถึงลักษณะต่าง ๆ ของบุคลิกภาพ เช่น ชอบเข้าสังคม/เข้ากับคนอื่นได้ง่าย ช่างพูด สงวนท่าที และเงียบ คำที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับความสนใจต่อสิ่งภายในจะมีค่าวัดเป็นลบเพื่อรวมคะแนนของความสนใจต่อสิ่งภายนอก-ความสนใจต่อสิ่งภายในโดยเป็นค่าเดียวกัน ในปี 1992 ศ.ดร.ลิวอิส โกลด์เบอร์ก ได้พัฒนาคำ 20 คำที่ใช้วัดลักษณะบุคลิกภาพ โดยเป็นส่วนของคำ 100 คำที่ใช้วัดลักษณะบุคลิกภาพใหญ่ 5 อย่าง (Big Five personality traits) ต่อมาในปี 1994 จึงมีการพัฒนาคำเพียง 8 คำที่ใช้วัด โดยเป็นส่วนของคำ 40 คำ แต่ว่า ต่อมาพบว่า คุณสมบัติทาง psychometric ของการวัดเช่นนี้ใช้ได้ไม่ดีกับคนนอกทวีปอเมริกาเหนือ ในปี 2008 จึงมีการปรับปรุงวิธีการวัดอย่างเป็นระบบ (ที่เรียกว่า International English Mini-Markers) โดยเปลี่ยนไปใช้คำภาษาอังกฤษสากล ซึ่งมีความสมเหตุสมผล (validity) และความสม่ำเสมอ (reliability) ที่ดีกว่าในประชากรทั้งภายในและภายนอกทวีปอเมริกาเหนือ คือ ความสม่ำเสมอของการวัดความสนใจต่อสิ่งภายนอกสำหรับผู้พูดภาษาอังกฤษแต่กำเนิดอยู่ที่ .92 และสำหรับผู้ไม่ได้พูดภาษาอังกฤษแต่กำเนิดอยู่ที่ .85
การวัดโดยใช้บทความ (statement) มักจะใช้คำมากกว่า ดังนั้นก็จะใช้เนื้อที่ในการเก็บข้อมูลมากกว่าการวัดโดยใช้คำ ตัวอย่างเช่น จะมีการถามผู้รับสอบว่า ตนสามารถ "คุยกับบุคคลต่าง ๆ หลายคนที่งานปาร์ตี้หรือไม่" หรือ "มักจะอึดอัดเมื่ออยู่ด้วยกันหลาย ๆ คนหรือไม่" แม้ว่าการวัดโดยวิธีนี้จะมีคุณลักษณะทางจิตวิทยาต่อประชากรอเมริกาเหนือเหมือนกับการวัดโดยคำ แต่การพัฒนาระบบวัดที่แฝงอยู่ใต้วัฒนธรรม ทำให้ใช้กับประชากรกลุ่มอื่นไม่ได้ดีเท่า ยกตัวอย่างเช่น บทความที่ถามถึงความเป็นคนช่างพูดในงานปาร์ตี้บางครั้งยากที่จะตอบให้ได้ความหมายสำหรับบุคคลที่ไม่ไปงานปาร์ตี้ ดังที่สมมุติว่าเป็นเรื่องปกติสำหรับคนอเมริกัน นอกจากนั้นแล้ว คำที่เป็นภาษาพูดเฉพาะคนอเมริกาเหนืออาจจะทำให้คำถามเช่นนั้นไม่เหมาะกับผู้อื่นนอกทวีป ยกตัวอย่างเช่น บทความเช่น "ไม่ขนขวายจะเป็นคนเด่น (Keep in the background)" และ "รู้วิธีให้คนอื่นสนใจสิ่งที่ตัวพูด (Know how to captivate people)" บางครั้งเป็นเรื่องยากสำหรับคนที่ไม่ได้พูดภาษาอังกฤษแต่กำเนิดที่จะเข้าใจยกเว้นเอาตามคำแปลตรง ๆ ตัว
ทฤษฎีของ ศ. ไอเซงค์
ศ. ดร. ฮันส์ ไอเซงค์แห่งมหาวิทยาลัยลอนดอนกล่าวถึงความสนใจต่อสิ่งภายนอก-ความสนใจต่อสิ่งภายใน ว่าเป็นระดับที่บุคคลชอบเข้าสังคม/เข้ากับคนอื่นได้ง่าย และชอบปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น โดยความแตกต่างทางพฤติกรรมเช่นนี้สมมุติว่าเป็นผลจากความต่างกันทางสรีรภาพของสมอง คนสนใจต่อสิ่งภายนอกสืบหาความตื่นเต้นและกิจกรรมทางสังคมเพื่อจะเพิ่มระดับความตื่นตัว ในขณะที่คนสนใจต่อสิ่งภายในมักจะหลีกเลี่ยงสถานการณ์ทางสังคมเพื่อที่จะลดความตื่นตัวให้ต่ำที่สุด ดร. ไอเซงค์กำหนดความสนใจต่อสิ่งภายนอกว่าเป็นลักษณะหนึ่งในสามลักษณะใหญ่ของทฤษฎี P-E-N model of personality ของเขา ซึ่งรวมลักษณะอื่น ๆ คือ psychoticism และ neuroticism
ในเบื้องต้น ดร. ไอเซงค์เสนอว่า ความสนใจต่อสิ่งภายนอกเป็นสภาวะรวมของความโน้มเอียงใหญ่สองอย่างคือ ความหุนหันพลันแล่น (impulsiveness) และความเข้าสังคมได้ (sociability) ต่อจากนั้นเขาได้เพิ่มลักษณะเฉพาะอื่น ๆ อีกหลายอย่าง รวมทั้งความกระตือรือร้น (liveliness) ระดับความมีชีวิตชีวา (activity level) และความตื่นเต้นได้ง่าย (excitability) ลักษณะต่าง ๆ เหล่านี้อยู่ในลำดับชั้นบุคลิกภาพของเขาและเชื่อมกับนิสัยที่เฉพาะเจาะจงบางอย่าง เช่น การชอบปาร์ตี้ในวันสุดสัปดาห์
ปัจจัยทางชีวภาพ
ความสำคัญสัมพัทธ์ระหว่างชีวภาพเทียบกับสิ่งแวดล้อม (nature versus environment) ที่เป็นตัวกำหนดความสนใจต่อสิ่งภายนอกยังเป็นเรื่องถกเถียงกันไม่ยุติ และเป็นจุดสนใจของงานศึกษาเป็นจำนวนมาก งานศึกษาในคู่แฝดพบว่า มีส่วนจากกรรมพันธุ์ระหว่าง 39%-58% และสิ่งแวดล้อมที่แชร์ในครอบครัวดูเหมือนจะสำคัญน้อยกว่าปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ ที่พี่น้องไม่ได้แชร์ร่วมกัน
ดร. ไอเซงค์เสนอว่า ความสนใจต่อสิ่งภายนอกมีเหตุมาจากความแตกต่างกันของความตื่นตัวในเปลือกสมอง (cortical arousal) โดยตั้งสมมติฐานว่า คนสนใจต่อสิ่งภายในมีระดับความตื่นตัวในสมองที่สูงกว่าคนสนใจต่อสิ่งภายนอก เพราะว่า คนสนใจต่อสิ่งภายนอกต้องการสิ่งเร้าภายนอกมากกว่าคนสนใจต่อสิ่งภายใน ดังนั้น จึงตีความว่านี่เป็นหลักฐานของสมมติฐานนี้ หลักฐานอื่นรวมทั้ง คนชอบใจต่อสิ่งภายในมีน้ำลายไหลออกมากกว่าโดยเป็นปฏิกิริยาต่อน้ำเลมอน (ปกติมีรสออกเปรี้ยว ๆ) ซึ่งมาจากระดับการทำงานที่สูงกว่าในส่วนสมองคือ reticular activating system ซึ่งตอบสนองต่อสิ่งเร้าเช่นอาหารและการอยู่กับบุคคลอื่น ๆ
มีหลักฐานว่าความสนใจต่อสิ่งภายนอกสัมพันธ์กับความไวที่สูงกว่าของสมองส่วน mesolimbic dopamine system ที่ทำให้เกิดความสุขเมื่อได้สิ่งเร้าที่สมควร (rewarding stimuli) ซึ่งอธิบายได้ส่วนหนึ่งว่าทำไมผู้สนใจต่อสิ่งภายนอกจึงมีอารมณ์เชิงบวกในระดับสูง เพาะว่า ตนไวต่อความตื่นเต้นที่ได้จากสิ่งเร้าที่อาจให้เกิดความสุขมากกว่า ผลอย่างหนึ่งก็คือ ผู้ที่สนใจต่อสิ่งภายนอกสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ที่มีการเสริมแรงเชิงบวก (positive reinforcement) คือให้เกิดความพอใจได้ดีกว่า เพราะว่าได้รับรางวัลคือความสุขมากกว่า
งานศึกษาหนึ่งพบว่า ผู้สนใจต่อสิ่งภายในมีการไหลเวียนของเลือดในสมองกลีบหน้าและสมองส่วนทาลามัสด้านหน้า (frontal หรือ anterior) มากกว่า ซึ่งเป็นส่วนที่ใช้ในการคิด เช่น การวางแผนหรือการแก้ปัญหา ส่วนผู้สนใจต่อสิ่งภายนอกมีการไหลเวียนของเลือดใน Anterior cingulate cortex สมองกลีบขมับ และทาลามัสด้านหลัง (posterior) มากกว่า ซึ่งเป็นส่วนที่ปฏิบัติการเกี่ยวกับประสบการณ์ทางความรู้สึก (sensory) หรือทางอารมณ์ (emotional) งานศึกษานี้และงานวิจัยอื่นชี้ว่า ความสนใจต่อสิ่งภายนอก-ความสนใจต่อสิ่งภายในสัมพันธ์กับการทำงานที่แตกต่างกันในสมองในระหว่างบุคคล
ส่วนงานศึกษาในเรื่องปริมาตรของเขตสมองพบว่า ความสนใจต่อสิ่งภายในมีสหสัมพันธ์กับปริมาตรเนื้อเทา (grey matter) ที่เพิ่มขึ้นใน prefrontal cortex ด้านขวาและจุดต่อของสมองกลีบขมับกับกลีบข้าง (temporoparietal junction) และมีสหสัมพันธ์กับปริมาตรเนื้อเทาที่เพิ่มขึ้นทั้งหมดโดยรวม ๆ ส่วนงานศึกษาอื่นพบว่า ความสนใจต่อสิ่งภายนอกมีสหสัมพันธ์กับปริมาตรที่สูงกว่าของ prefrontal cortex ด้านซ้าย และโดยทั่วไปแล้ว สมองส่วนนี้สัมพันธ์กับการเข้ารหัสความจำอาศัยเหตุการณ์ (episodic memory) ใหม่ ๆ และพฤติกรรมแบบเข้าไปตรวจสอบ (approach) ในขณะที่ prefrontal cortex ด้านขวาสัมพันธ์กับการระลึกถึงความจำอาศัยเหตุการณ์ และพฤติกรรมแบบหลีกหนี (withdrawal)
นอกจากนั้นแล้ว ความสนใจต่อสิ่งภายนอกยังสัมพันธ์กับปัจจัยทางสรีรภาพอื่น ๆ เช่น การหายใจ ผ่านการสัมพันธ์กับ surgency ซึ่งเป็นความไวปฏิกิริยาทางอารมณ์ที่บุคคลโน้มเอียงไปในอารมณ์เชิงบวกในระดับสูง
พฤติกรรม
คนสนใจต่อสิ่งภายนอกและคนสนใจต่อสิ่งภายในมีพฤติกรรมหลายอย่างที่แตกต่างกัน ตามงานศึกษาหนึ่ง คนสนใจต่อสิ่งภายนอกมักจะใส่เสื้อผ้าที่สวยงามกว่า เทียบกับคนสนใจต่อสิ่งภายในที่มักจะใส่เสื้อผ้าที่พอใช้ได้และใส่แล้วสบาย คนสนใจต่อสิ่งภายนอกมีโอกาสสูงกว่าที่จะชอบดนตรีที่ตื่นเต้น เร้าใจ และธรรมดา มากกว่าคนสนใจต่อสิ่งภายใน
บุคลิกภาพมีอิทธิพลต่อการจัดที่ทำงาน โดยทั่วไปแล้ว คนสนใจต่อสิ่งภายนอกประดับที่ทำงานของตนมากกว่า เปิดประตูทิ้งไว้ มีเก้าอี้สำรองให้นั่ง และมีโอกาสสูงกว่าที่จะมีขนมให้คนอื่นทานบนโต๊ะ ซึ่งเป็นความพยายามชักชวนเพื่อนร่วมงานสนับสนุนให้มีปฏิสัมพันธ์ เปรียบเทียบกับคนสนใจต่อสิ่งภายใน ผู้ประดับที่ทำงานน้อยกว่าและมักจะจัดระเบียบให้คนไม่มาหา
แม้ว่าจะมีความแตกต่างกันเช่นนี้ งานวิเคราะห์อภิมานในงานศึกษา 15 งานแสดงว่า มีความเหลื่อมล้ำกันอย่างมากระหว่างพฤติกรรมของคนทั้งสองชนิด ในงานศึกษาเหล่านี้ ผู้ร่วมการทดลองใช้อุปกรณ์เคลื่อนที่ได้เพื่อรายงานว่าตนมีพฤติกรรมแบบสนใจต่อสิ่งภายนอก (เช่น กล้า พูดเก่ง มั่นใจ ชอบสังคม) มากแค่ไหนในช่วงเวลาต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน งานพบว่า คนสนใจต่อสิ่งภายนอกกลับมีพฤติกรรมแบบสนใจต่อสิ่งภายในเป็นประจำ และคนสนใจต่อสิ่งภายในก็นัยเดียวกัน และจริง ๆ แล้ว พฤติกรรมสนใจต่อสิ่งภายนอกแตกต่างกันในบุคคลคนเดียวกันมากกว่าแตกต่างกันในระหว่างบุคคล จุดแตกต่างที่สำคัญที่สุดก็คือ คนสนใจต่อสิ่งภายนอกมักจะมีพฤติกรรมแบบสนใจภายนอกในระดับปานกลาง 5-10% บ่อยครั้งกว่าคนสนใจภายใน ดังนั้น จากมุมมองนี้ คนสนใจต่อสิ่งภายนอกและคนสนใจต่อสิ่งภายในไม่ใช่จะ "ต่างกันโดยพื้นฐาน" แต่ว่า คนสนใจต่อสิ่งภายนอกเป็นบุคคลที่มีพฤติกรรมแบบสนใจภายนอกบ่อยครั้งกว่า ซึ่งแสดงว่า ความสนใจต่อสิ่งภายนอกเป็นเรื่องเกี่ยวกับการทำ มากกว่าการมี
มนุษย์เป็นสัตว์ที่ซับซ้อนและไม่เหมือนใคร และเพราะว่า ความสนใจต่อสิ่งภายนอก-ความสนใจต่อสิ่งภายในต่าง ๆ กันไปอย่างต่อเนื่อง บุคคลคนหนึ่งอาจจะมีลักษณะทั้งสองอย่าง คนที่มีพฤติกรรมแบบสนใจภายในในสถานการณ์หนึ่ง อาจจะมีพฤติกรรมแบบสนใจภายนอกในอีกสถานการณ์หนึ่ง และบุคคลสามารถเรียนรู้ที่จะมีพฤติกรรมตรงข้ามกับที่ตนปกติมีในสถานการณ์บางอย่าง ยกตัวอย่างเช่น ทฤษฎี Free Trait Theory เสนอว่า บุคคลสามารถรับเอาลักษณะอิสระ (Free Traits) โดยประพฤติตัวแบบไม่ใช่ธรรมชาติของตน เพื่อช่วยให้งานที่สำคัญต่อตนก้าวหน้าต่อไปได้ แนวคิดต่าง ๆ เหล่านี้ อธิบายความสนใจต่อสิ่งภายนอกในแง่ดี คือ แทนที่จะเป็นเรื่องตายตัวหรือเสถียร บุคคลอาจจะมีพฤติกรรมสนใจภายนอกต่าง ๆ กันขึ้นอยู่กับขณะ และสามารถเลือกประพฤติตัวเพื่อทำงานที่สำคัญต่อตนให้ก้าวหน้า หรือแม้แต่เพิ่มความสุขของตน
ผล
การยอมรับว่า ความสนใจต่อสิ่งภายนอกและความสนใจต่อสิ่งภายในเป็นพฤติกรรมปกติ จะช่วยให้ยอมรับตัวเองและเข้าใจผู้อื่น ยกตัวอย่างเช่น คนสนใจต่อสิ่งภายนอกสามารถยอมรับความต้องการอยู่คนเดียวของคู่ครองของตน ในขณะที่คนสนใจต่อสิ่งภายในสามารถยอมรับความต้องการปฏิสัมพันธ์ของคู่ครอง
นักวิจัยได้พบว่า ความสนใจต่อสิ่งภายนอกมีสหสัมพันธ์กับความสุขที่ตนแจ้งเอง ซึ่งก็คือ มีคนสนใจต่อสิ่งภายนอกมากกว่าที่รายงานระดับความสุขที่สูงกว่าคนสนใจภายใน และมีงานวิจัยอื่นที่แสดงว่า การให้ผู้ร่วมการทดลองประพฤติแบบสนใจภายนอกช่วยเพิ่มอารมณ์ที่เป็นสุข แม้สำหรับบุคคลที่มีลักษณะเป็นคนสนใจภายใน แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าคนสนใจภายในจะไม่มีความสุข คนสนใจภายนอกเพียงแต่รายงานว่ามีอารมณ์เชิงบวกมากกว่า เทียบกับคนสนใจภายในที่มักจะอยู่ใกล้ ๆ ความรู้สึกเฉย ๆ มากกว่า นี่อาจจะเป็นเพราะว่า ความสนใจภายนอกเป็นคุณลักษณะที่นิยมกว่าในสังคมชาวตะวันตกปัจจุบัน และดังนั้น คนสนใจภายในจึงอาจรู้สึกว่าตนมีค่าน้อยกว่า
นอกจากงานวิจัยเกี่ยวกับความสุข งานอื่น ๆ พบว่า คนสนใจภายนอกมักจะรายงานความนับถือตน (self-esteem) สูงกว่า แต่ก็มีนักวิชาการอื่น ๆ ที่อ้างว่า ผลที่ได้สะท้อนให้เห็นถึงอคติทางสังคม-วัฒนธรรมที่มีในงานสำรวจ
นักวิชาการท่านหนึ่ง (ดร. David Meyers) อ้างว่า การมีความสุขเป็นเพียงการมีลักษณะ 3 อย่าง คือ ความนับถือตน (self-esteem) การมองโลกในแง่ดี (optimism) และการสนใจต่อสิ่งภายนอก และสรุปอย่างนี้โดยอาศัยงานศึกษาที่รายงานว่า คนสนใจต่อสิ่งภายนอกมีความสุขกว่า แต่ว่า งานศึกษาก็มีข้อน่าสงสัยเพราะคำถามที่ให้กับผู้ร่วมการทดลอง เช่น "ฉันชอบอยู่กันคนอื่น (I like to be with others)" "อยู่กันฉันสนุก (I'm fun to be with)" เป็นตัววัดความสุขโดยเฉพาะของคนที่สนใจภายนอก และตาม นพ.ยุง คนสนใจภายในยอมรับปัญหาและความต้องการทางจิตใจของตนได้ง่ายกว่า เทียบกับคนสนใจภายนอก ที่มักจะไม่ตระหนักถึงสิ่งเหล่านั้นเพราะมัวสนใจแต่โลกภายนอก และแม้ว่า ความสนใจต่อสิ่งภายนอกจะมองว่าเป็นเรื่องที่น่าชอบใจทางสังคมของวัฒนธรรมตะวันตก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป ยกตัวอย่างเช่น เยาวชนที่มีลักษณะสนใจต่อสิ่งภายนอกมักจะมีพฤติกรรมผิดกฎหมาย และในนัยตรงข้าม แม้ว่า ความสนใจภายในมองว่าน่าชอบใจทางสังคมน้อยกว่า แต่ก็สัมพันธ์กับลักษณะบวกอื่น ๆ เช่น ความฉลาด และพรสวรรค์ เป็นช่วงเวลานานที่นักวิจัยพบว่า คนสนใจต่อสิ่งภายในมักจะประสบความสำเร็จมากกว่าในอาชีพวิชาการ ที่คนสนใจภายนอกอาจจะเห็นว่าน่าเบื่อ ผู้ให้คำแนะนำด้านอาชีพบ่อยครั้งจะใช้ลักษณะบุคลิกภาพ รวมทั้งปัจจัยอื่น ๆ เช่นทักษะและความสนใจ เพื่อให้คำแนะนำ
งานวิจัยแสดงว่า ระบบภูมิคุ้มกันทางพฤติกรรม (behavioral immune system) (ซึ่งเป็นกลไกทางใจที่ช่วยให้สัตว์สามารถตรวจจับสิ่งที่ก่อโรคภายในสิ่งแวดล้อมรอบตัว และทำให้เกิดพฤติกรรมหลีกเลี่ยงวัตถุหรือบุคคลเหล่านั้น) อาจมีอิทธิพลต่อการชอบสังคม แม้ว่า ความสนใจภายนอกจะสัมพันธ์กับผลดีหลายอย่าง เช่น ระดับความสุขที่สูงกว่า คนสนใจภายนอกมีโอกาสสูงกว่าที่จะติดโรคติดต่อเพราะว่ามักจะเจอคนมากกว่า ถ้าบุคคลมีสุขภาพอ่อนแอ การเป็นคนช่างสังคมอาจจะมีราคาสูง ดังนั้น คนมักจะประพฤติแบบสนใจภายนอกน้อยกว่าเมื่อรู้สึกอ่อนแอ และนัยตรงกันข้ามก็เหมือนกัน
แม้ว่าทั้ง ความสนใจต่อสิ่งภายนอกและความสนใจต่อสิ่งภายในจะไม่จัดว่าเป็นโรค แต่ว่าผู้บำบัดโรคจิตสามารถพิจารณาพื้นอารมณ์แต่กำเนิด (temperament) เมื่อรักษาคนไข้ เพราะว่า คนไข้อาจจะตอบสนองต่อการรักษาแบบอื่นได้ดีกว่าขึ้นอยู่กับว่าตนอยู่ในจุดไหนของความสนใจภายใน-ความสนใจภายนอก ครูก็สามารถพิจารณาพื้นอารมณ์แต่กำเนิดของนักเรียนได้ด้วย เช่น ยอมรับว่า เด็กที่สนใจภายในจำเป็นต้องได้คำให้กำลังใจมากกว่าเมื่อต้องพูดต่อหน้าเพื่อน และเด็กที่สนใจภายนอกอาจจะอยู่ไม่เป็นสุขในช่วงที่ต้องอยู่ศึกษาแบบเงียบ ๆ[ต้องการอ้างอิง]
ความแตกต่างในภูมิภาคต่าง ๆ
นักวิชาการบางท่านอ้างว่า คนอเมริกันอยู่ในสังคมแบบสนใจต่อสิ่งภายนอก ที่ให้ความสำคัญต่อพฤติกรรมสนใจภายนอกและไม่ยอมรับความสนใจภายใน นี่เป็นเพราะว่าในปัจจุบันสหรัฐอเมริกาเป็นวัฒนธรรมที่เน้นบุคลิกภาพภายนอก เทียบกับวัฒนธรรมอื่น ๆ ที่คนอาจจะมีคุณค่าเพราะสิ่งที่อยู่ภายในหรือคุณธรรม
วัฒนธรรมอื่น ๆ เช่น ประเทศญี่ปุ่น และเขตอื่น ๆ ที่นับถือศาสนาคริสต์อีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์ ศาสนาพุทธ และลัทธิศูฟี เป็นต้น ให้ความสำคัญกับความสนใจต่อสิ่งภายใน ความแตกต่างทางวัฒนธรรมเช่นนี้สามารถพยากรณ์ความสุขของคนในวัฒนธรรมนั้น ๆ เช่น ผู้ที่มีระดับความสนใจภายนอกสูงจะมีความสุขกว่าโดยเฉลี่ย ในวัฒนธรรมที่ให้ความสำคัญต่อความสนใจภายนอก และในทางตรงกันข้ามก็เหมือนกัน
นักวิจัยพบว่า บุคคลที่อยู่บนเกาะมักจะเป็นคนสนใจภายในมากกว่าคนที่อยู่บนผืนแผ่นดิน และบุคคลที่มีบรรพบุรุษอยู่บนเกาะอย่างน้อย 20 ชั่วคนมักจะเป็นคนสนใจภายในมากกว่าคนที่เพิ่งมา นอกจากนั้นแล้ว คนที่อพยพจากเกาะไปยังผืนแผ่นดินมักจะสนใจภายนอกมากกว่าคนที่ยังคงอยู่บนเกาะ และมากกว่าคนที่อพยพไปยังเกาะ
ความสุข
ดังที่กล่าวมาแล้ว คนสนใจภายนอกบ่อยครั้งมีความสุขและอารมณ์เชิงบวกมากกว่าคนสนใจภายในบทความทบทวนวรรณกรรมทรงอิทธิพลงานหนึ่งสรุปว่า บุคลิกภาพ โดยเฉพาะความสนใจภายนอกและความเสถียรทางอารมณ์ เป็นตัวพยากรณ์ที่ดีที่สุดเกี่ยวกับความรู้สึกอยู่เป็นสุขที่เป็นอัตวิสัย (subjective well-being) ยกตัวอย่าง เช่นงานศึกษาปี 1990 พบว่า ความสนใจต่อสิ่งภายนอกดังที่วัดโดย Extraversion Scale ของชุดคำถาม Eysenck Personality Questionnaire (EPQ) มีสหสัมพันธ์อย่างสำคัญกับความสุขที่วัดโดย Oxford Happiness Inventory และโดยใช้วิธีวัดเดียวกัน งานปี 2001 ก็พบเช่นเดียวกัน
ส่วนงานปี 1986 แสดงว่า ความสนใจต่อสิ่งภายนอกมีสหสัมพันธ์อย่างสำคัญกับอารมณ์เชิงบวก (positive affect) แต่ไม่มีกับอารมณ์เชิงลบงานศึกษาตามยาวขนาดใหญ่ปี 1992 ก็พบผลเช่นเดียวกัน โดยประเมินผลจากผู้ร่วมการทดลอง 14,407 คนจากเขต 100 เขตในประเทศสหรัฐอเมริกา และใช้แบบวัดความสุข General Well-Being Schedule แบบย่อ ซึ่งวัดทั้งอารมณ์เชิงบวกและเชิงลบ และใช้ Revised NEO Personality Inventory แบบสั้น (ของ Costa & McCrae) เพื่อวัดบุคลิกภาพ ผู้เขียนรายงานว่า ผู้สนใจภายนอกประสบความอยู่เป็นสุข (well-being) ที่ดีกว่าในช่วงระยะเวลาสองระยะที่เก็บข้อมูล คือ ระหว่างปี 1971-1975 และ ระหว่าง 1981-1984
นอกจากนั้นแล้ว งานปี 1991 แสดงว่า คนสนใจภายนอกตอบสนองต่ออารมณ์เชิงบวกมากกว่าอารมณ์เชิงลบ เพราะว่า พวกเขาแสดงการตอบสนองด้วยอารมณ์เชิงบวกในระดับที่สูงกว่าเมื่อชักจูงให้เกิดอารมณ์เชิงบวก แต่ว่ากลับไม่ตอบสนองด้วยอารมณ์เชิงลบในระดับที่สูงกว่าเมื่อชักจูงให้เกิดอารมณ์เชิงลบ
Instrumental view
มุมมองแบบ instrumental view เสนอว่า ลักษณะบุคลิกภาพ (personality traits) เป็นปัจจัยให้เกิดสภาวะต่าง ๆ และการกระทำ ซึ่งมีผลต่ออารมณ์ และดังนั้นจึงสร้างความแตกต่างระหว่างบุคคลในเรื่องอารมณ์
ลักษณะบุคลิกภาพเป็นเหตุให้ชอบเข้าสังคม
ตาม instrumental view คำอธิบายอย่างหนึ่งที่ผู้สนใจสิ่งภายนอกแจ้งความอยู่เป็นสุขที่ดีกว่า อาจจะเป็นเพราะว่า ความสนใจต่อสิ่งภายนอกช่วยสร้างสถานการณ์ชีวิตที่โปรโหมตอารมณ์เชิงบวก (positive affect) ในระดับสูง โดยเฉพาะก็คือ ความสนใจต่อสิ่งภายนอกเป็นเครื่องอำนวยให้เกิดปฏิสัมพันธ์ทางสังคมมากขึ้น เพราะว่า ความตื่นตัวในระดับต่ำในเปลือกสมองของบุคคลเหล่านี้ทำให้ต้องหาสถานการณ์ทางสังคมเพื่อจะเพิ่มความตื่นตัว
สมมติฐานกิจกรรมทางสังคม
ตามสมมติฐานกิจกรรมทางสังคม (social activity hypothesis) การมีส่วนรวมในกิจกรรมสังคมสร้างอารมณ์เชิงบวก (positive affect) บ่อยครั้งขึ้น และในระดับที่สูงขึ้น ดังนั้น จึงเชื่อกันว่าเพราะว่าคนสนใจต่อสิ่งภายนอกเป็นคนชอบเข้าสังคมมากกว่า จึงมีอารมณ์เชิงบวกในระดับที่สูงกว่าเพราะการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม โดยเฉพาะก็คือ งานศึกษาปี 1990 แสดงว่า คนสนใจภายนอกชอบใจและเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคมมากกว่า และดังนั้น จึงรายงานระดับความสุขที่สูงกว่า และในงานปี 1990 คนสนใจภายนอกมีโอกาสน้อยกว่าที่จะหลีกเลี่ยงการเข้าร่วมกิจกรรมสังคมที่อึกทึก และมีโอกาสสูงกว่าที่จะเข้าร่วมกิจกรรมสังคมเช่น เกมในปาร์ตี้ เล่นตลก หรือว่าไปดูภาพยนตร์ งานปี 1984 ก็พบผลเช่นเดียวกัน คือพบว่า คนสนใจสิ่งภายนอกเสาะหากิจกรรมทางสังคมบ่อยครั้งกว่า โดยเฉพาะกิจกรรมเวลาว่าง
แต่ว่า มีผลงานศึกษาหลายงานที่ค้านสมมติฐานกิจกรรมสังคม เรื่องแรกสุด คือ มีการพบว่า คนสนใจต่อสิ่งภายนอกมีความสุขกว่าแม้เมื่ออยู่คนเดียว โดยเฉพาะก็คือ คนสนใจต่อสิ่งภายนอกมักจะมีความสุขว่าไม่ว่าจะอยู่คนเดียวหรืออยู่กับคนอื่น หรือเมื่ออยู่ในเมืองที่มีชีวิตชีวาหรืออยู่ในชนบท และโดยคล้าย ๆ กัน งานในปี 1992 แสดงว่า แม้ว่าคนสนใจภายนอกจะเลือกงานที่ต้องทำร่วมกับคนอื่นบ่อยครั้งกว่า (51%) เทียบกับคนสนใจภายใน (38%) แต่ก็ยังมีความสุขกว่าไม่ว่างานนั้นต้องทำร่วมกับคนอื่นหรือไม่ เรื่องที่สองก็คือ มีการพบว่า คนสนใจต่อสิ่งภายนอกรายงานกิจกรรมทางสังคมมากกว่าเป็นบางครั้งบางคราวเท่านั้น แต่โดยทั่วไปแล้ว ไม่ได้มีจำนวนการเข้าสังคมมากว่าคนสนใจต่อสิ่งภายใน ผลคล้าย ๆ กันก็พบในงานศึกษาปี 2008 ที่พบว่า ทั้งคนสนใจภายนอกและสนใจภายในทั้งสองล้วนชอบปฏิสัมพันธ์ทางสังคม แต่คนสนใจภายนอกเข้าร่วมกิจกรรมสังคมมากกว่า เรื่องที่สามก็คือ งานศึกษาต่าง ๆ แสดงว่าทั้งคนสนใจภายนอกและคนสนใจภายในเข้าร่วมกิจกรรมสังคม แต่ว่า คุณภาพของการเข้าร่วมกิจกรรมต่างกัน แม้ว่าการเข้าร่วมกิจกรรมสังคมที่บ่อยครั้งกว่าอาจเป็นเพราะคนสนใจภายนอกรู้จักคนมากกว่า แต่คนเหล่านี้อาจจะไม่ใช่เพื่อนที่ใกล้ชิด เทียบกับคนสนใจภายใน ที่เมื่อเข้าร่วมงานสังคม จะเลือกสรรมากกว่าและมีเพื่อนใกล้ชิดไม่กี่คนที่ตนใกล้ชิดเป็นพิเศษ
ทฤษฎีการใส่ใจทางสังคม
ยังมีคำอธิบายอีกอย่างหนึ่งเกี่ยวกับค่าสหสัมพันธ์ระดับสูงระหว่างความสนใจสิ่งภายนอกกับความสุข ที่มาจากงานศึกษาปี 2002 ซึ่งเสนอว่า ธรรมชาติหลักอย่างหนึ่งของความสนใจสิ่งภายนอกก็คือความโน้มเอียงที่จะประพฤติตัวเพื่อดึงดูด ธำรง และเพลิดเพลินต่อ ความสนใจทางสังคม และไม่ใช่เรื่องความไวต่อรางวัล (reward sensitivity) หรือความไวต่อความสุข โดยอ้างว่า คุณสมบัติพื้นฐานของความใส่ใจทางสังคมอย่างหนึ่ง ก็คืออาจมีผลให้ความสุข (rewarding) ดังนั้น ถ้าบุคคลแสดงอารมณ์เชิงบวกคือความกระตือรือร้น ความมีชีวิตชีวา และความตื่นเต้น คนอื่นก็จะมองคนนั้นในแง่ดี และคนนั้นก็จะได้ความใส่ใจจากผู้อื่น ปฏิกิริยาที่ดีจากคนอื่นก็จะสนับสนุนให้คนสนใจต่อสิ่งภายนอกแสดงพฤติกรรมแบบนั้น ๆ เพิ่มขึ้น งานปี 2002 แสดงว่า วิธีการวัดการใส่ใจทางสังคมของพวกเขา คือ Social Attention Scale มีระดับสหสัมพันธ์กับความสนใจสิ่งภายนอกมากกว่าค่าวัดของความไวรางวัล (reward sensitivity)
พื้นอารมณ์แต่กำเนิด
มุมมองแบบพื้นอารมณ์แต่กำเนิด (Temperamental view) ตั้งอยู่ในแนวคิดว่า ลักษณะบุคลิกภาพของบุคคลสัมพันธ์โดยตรงกับความไวอารมณ์บวกและอารมณ์ลบของบุคคล
แบบจำลองปฏิกิริยาทางอารมณ์
แบบจำลองปฏิกิริยาทางอารมณ์ (affective reactivity model) อ้างว่า กำลังปฏิกิริยาของบุคคลต่อเหตุการณ์ที่ก่อให้เกิดอารมณ์ที่สมควร มีเหตุมาจากความแตกต่างทางอารมณ์ (affect) แบบจำลองนี้ตั้งอยู่บนทฤษฎีความไวต่อการเสริมแรง (reinforcement sensitivity theory) ของ ศ.ดร.เจฟฟรีย์ อะแลน เกรย์ ที่กล่าวว่า บุคคลที่มี behavioral activation system (BAS) ที่มีกำลังกว่าจะตอบสนองต่อรางวัล (reward คือความสุข) ในระดับสูง และมีแนวโน้มที่จะมีลักษณะสนใจในภายนอก ส่วนคนที่มีระบบ behavioral inhibition system (BIS) ที่มีกำลังกว่า จะตอบสนองต่อรางวัลคือความสุขน้อยกว่า และมีแนวโน้มที่จะมีลักษณะ neuroticism และความสนใจภายใน ดังนั้น จึงเป็นการมองคนสนใจภายนอกว่า มีความโน้มเอียงทางพื้นอารมณ์แต่กำเนิดไปทางการมีอารมณ์เชิงบวก เนื่องจากการชักจูงให้เกิดอารมณ์เชิงบวกมีผลมากกว่าในบุคคลเหล่านี้เทียบกับคนสนใจภายใน ดังนั้น คนสนใจภายนอกจึงมักไวที่จะมีปฏิกิริยาต่อปรากฏการณ์ที่ให้ความสุข
ยกตัวอย่างเช่น งานปี 2000 พบในการทดลองต่อกัน 2 อย่างว่า คนที่มีระบบ BIS ไวกว่า รายงานระดับอารมณ์เชิงลบที่สูงกว่าโดยเฉลี่ย ในขณะที่บุคคลที่มีระบบ (BAS) ไวกว่า รายงานระดับอารมณ์เชิงบวกที่สูงกว่า และงานปี 1999 พบว่า บุคคลที่มีระบบ BAS ไวกว่า รายงานอารมณ์เชิงบวกมากกว่าเมื่อมีการชักจูงให้มีอารมณ์เชิงบวก ในขณะที่ผู้มีระบบ BIS ไวกว่า รายงานว่ามีอารมณ์เชิงลบมากกว่าเมื่อมีการชักจูงให้เกิดอารมณ์เชิงลบ[ต้องการอ้างอิง]
Social reactivity theory
ทฤษฎีปฏิกิริยาทางสังคม (social reactivity theory) อ้างว่า มนุษย์ทุกคนต้องเข้าร่วมสถานการณ์ทางสังคมไม่ว่าจะชอบใจหรือไม่ และเพราะคนสนใจภายนอกชอบปฏิสัมพันธ์ทางสังคมมากกว่าคนสนใจภายใน จึงได้อารมณ์เชิงบวก (positive affect) จากสถานการณ์เช่นนั้นมากกว่า หลักฐานสนับสนุนทฤษฎีนี้มาจากงานของนักเขียน ไบรอัน ลิตเติล ผู้ทำแนวคิดเกี่ยวกับ restorative niches (ช่องคืนสภาพ) ให้เป็นที่นิยม คือเขาอ้างว่า ชีวิตบ่อยครั้งบังคับให้บุคคลมีส่วนร่วมในสถานการณ์ทางสังคม และเพราะว่าการประพฤติให้เข้ากับคนอื่นได้ไม่เป็นธรรมชาติของคนสนใจภายใน จึงทำให้รู้สึกอยู่ไม่เป็นสุข ดังนั้น วิธีการหนึ่งที่จะรักษาความรู้สึกอยู่เป็นสุขก็คือต้องชาร์จแบ็ตให้บ่อยที่สุดในที่ที่ตนสามารถกลับไปสู่สภาวะธรรมชาติของตน เป็นที่ที่ลิตเติลเรียกว่า ช่องคืนสภาพ
อย่างไรก็ดี ก็ยังมีงานศึกษาที่พบว่า คนสนใจภายนอกไม่ได้ตอบสนองต่อสถานการณ์ทางสังคมอย่างมีกำลังกว่า และก็ไม่ได้รายงานระดับอารมณ์เชิงบวกที่สูงกว่าในปฏิสัมพันธ์เช่นนั้นอีกด้วย
การควบคุมอารมณ์
ส่วนคำอธิบายอีกอย่างหนึ่งเกี่ยวกับการมีความสุขมากกว่า ก็คือ คนสนใจภายนอกสามารถควบคุมอารมณ์ของตนได้ดีกว่า ซึ่งหมายความว่า ในสถานการณ์ที่ไม่ชัดเจน (เช่น ในที่ที่มีการชักจูงให้เกิดพื้นอารมณ์ [mood] ทั้งเชิงบวกและเชิงลบรวม ๆ กันในปริมาณเท่า ๆ กัน) คนสนใจต่อสิ่งภายนอกมีระดับอารมณ์เชิงบวกที่ลดลงช้ากว่า และดังนั้น จึงมีอารมณ์เชิงบวกมากกว่า คนสนใจต่อสิ่งภายนอกอาจจะเลือกกิจกรรมที่อำนวยความสุข (เช่น คิดถึงความจำที่ดี ๆ) มากกว่าคนสนใจภายในเมื่อคิดถึงงานยากที่ต้องทำ
set-point model หรือ affect-level model
ตามแบบจำลองขีดตั้ง (set-point model) ระดับอารมณ์เชิงบวกและลบปกติโดยประมาณแล้วตายตัวในแต่ละบุคคล และดังนั้น หลังจากเหตุการณ์บวกหรือลบ พื้นอารมณ์ (mood) ของบุคคลนั้นจะกลับไปที่จุดตั้ง ตามทฤษฎีนี้ คนสนใจภายนอกประสบความสุขมากกว่าเพราะว่าพื้นอารมณ์ของตนมีขีดตั้งเป็นบวกกว่า และดังนั้น จึงต้องอาศัยการเสริมแรงเชิงบวก (positive reinforcement) น้อยกว่าเพื่อที่จะรู้สึกเป็นสุข
ความสัมพันธ์ระหว่างความสุข-ความตื่นตัว
งานวิจัยปี 2008 แสดงว่า เมื่อกำลังรู้สึกสุข คนสนใจภายนอกและคนสนใจภายในทำสิ่งที่แตกต่างกัน ซึ่งอาจจะอธิบายการประเมินความถี่และกำลังของความสุขที่มีโดยคนสนใจภายในน้อยเกินไป โดยเฉพาะก็คือ งานพบว่า สำหรับคนสนใจภายนอก ความตื่นตัวมีสหสัมพันธ์เชิงบวกกับความสุข ซึ่งก็หมายความว่า ความรู้สึกสุขมีโอกาสสูงกว่าที่จะประกอบด้วยความตื่นตัวในระดับสูงสำหรับคนสนใจภายนอก และโดยนัยตรงกันข้าม สำหรับคนสนใจภายใน ความตื่นตัวมีสหสัมพันธ์เชิงลบกับความสุข คือมีผลว่าจะมีความสุขก็เมื่อมีความตื่นตัวน้อย กล่าวอีกอย่างก็คือ ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามแผนในชีวิต ซึ่งนำมาซึ่งความสุข คนสนใจภายนอกจะเห็นสถานการณ์เช่นนี้ว่าเป็นโอกาสที่จะเริ่มทำอะไรบางอย่างและเพื่อติดตามเป้าหมาย ซึ่งนำมาซึ่งสภาวะที่ไม่อยู่เฉย ๆ ตื่นตัวและมีความสุข แต่เมื่อทุกอย่างเป็นไปตามแผนสำหรับคนสนใจภายใน บุคคลจะเห็นว่าเป็นโอกาสที่จะทำตัวสบาย ๆ ทำให้รู้สึกผ่อนคลายและมีความสุข
ปัญหาค่าสหสัมพันธ์
แม้ว่า ความสนใจต่อสิ่งภายนอกจะมีค่าสหสัมพันธ์ที่สม่ำเสมอและมีกำลังกับความสุข (happiness) และความอยู่เป็นสุข (well-being) ผลงานเหล่านี้มีปัญหาเพราะมีลักษณะบุคลิกภาพอื่น ๆ ที่ก็เป็นตัวชี้ความสุขที่มีกำลังเหมือนกัน
Neuroticism และความสนใจภายนอก
ในงานศึกษาหลายงาน neuroticism พบว่ามีผลเท่า ถ้าไม่มากกว่าความสนใจภายนอก ต่อความสุขและความอยู่เป็นสุข งานปี 2008 จัดเด็กให้อยู่ใน 4 กลุ่มขึ้นอยู่กับคะแนนที่ได้จากการวัดความสนใจภายนอกและความเสถียรทางอารมณ์ (neuroticism) ผลงานนี้ไม่แสดงความแตกต่างของระดับความสุขอย่างสำคัญของผู้สนใจภายในและผู้สนใจภายนอกที่มีอารมณ์เสถียร ในขณะบุคคลที่มีอารมณ์ไม่เสถียรในแบบทั้งสองแสดงความสุขที่น้อยกว่าบุคคลที่เสถียร ดังนั้น ในงานศึกษานี้ neuroticism ปรากฏว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญกว่าต่อความเป็นอยู่ที่ดีโดยทั่วไป
ในงานศึกษาต่อ ๆ มา นักวิจัยได้ใช้คำถามประเมินตรวจสอบลักษณะต่าง ๆ เช่น ความนับถือตนเอง (self-esteem) และเป้าหมายในชีวิต ซึ่งงานก่อน ๆ พบว่ามีสหสัมพันธ์กับความสุข การตอบสนองของผู้ร่วมการทดลองต่อวิธีวัดเหล่านี้แสดงว่า neuroticism มีผลต่อความอยู่เป็นสุขมากกว่าความสนใจต่อสิ่งภายนอก
ลักษณะบุคลิกภาพใหญ่ 5 อย่างอื่น ๆ
แม้ว่า ความสนใจต่อสิ่งภายนอกและ neuroticism จะมีผลที่ใหญ่ที่สุดต่อความสุข แต่ว่า ปัจจัยอื่น ๆ ของลักษณะบุคลิกภาพใหญ่ 5 อย่างก็มีหลักฐานว่ามีสหสัมพันธ์กับความสุขและความเป็นอยู่ที่ดี ยกตัวอย่างเช่น งานศึกษาหนึ่งแสดงว่า ความพิถีพิถัน (conscientiousness) และความยินยอมเห็นใจ (agreeableness) ว่ามีค่าสหสัมพันธ์ 0.20 กับความอยู่เป็นสุขที่เป็นอัตวิสัย (subjective well-being) แม้ว่า ผลของลักษณะอื่น ๆ เหล่านี้จะไม่มีกำลังเท่าความสนใจต่อสิ่งภายนอกและ neuroticism แต่ก็ชัดเจนว่ายังมีผลต่อความสุขบ้าง
นอกจากนั้นแล้ว ปฏิสัมพันธ์ระหว่างความสนใจภายนอก neuroticism และความพิถีพิถัน มีอิทธิพลอย่างสำคัญต่อความอยู่เป็นสุขที่เป็นอัตวิสัย ในงานศึกษาหนึ่ง นักวิจัยใช้วิธีการวัด 3 อย่าง เพื่อประเมินความอยู่เป็นสุขที่เป็นอัตวิสัย แล้วพบว่า ความสนใจต่อสิ่งภายนอกบวก neuroticism สามารถใช้พยากรณ์ความอยู่เป็นสุขอย่างหนึ่ง ในขณะที่ความอยู่เป็นสุขที่วัดอีก 2 อย่าง พยากรณ์ได้ดีกว่าโดยความพิถีพิถันและ neuroticism นอกจากความสำคัญในการรวมปัจจัยอื่น ๆ เพื่อประเมินความสุข งานศึกษานี้ยังแสดงอีกด้วยว่า บทนิยามปฏิบัติการ (operational definition) ของความอยู่เป็นสุข (well-being) จะไม่เหมือนกันขึ้นอยู่กับว่าความสนใจต่อสิ่งภายนอกเป็นหรือไม่เป็นปัจจัยพยากรณ์สำคัญ
ปัจจัยบุคลิกภาพอื่น ๆ ที่มีส่วน
มีหลักฐานด้วยว่า ปัจจัยทางบุคลิกภาพที่ไม่ใช่ trait (ลักษณะ) อื่น ๆ อาจมีสหสัมพันธ์กับความสุข ยกตัวอย่างเช่น งานศึกษาหนึ่งแสดงว่า มิติต่าง ๆ เกี่ยวกับเป้าหมาย เช่น ความก้าวหน้าไปยังเป้าหมายต่าง ๆ ที่สำคัญ หรือความขัดแย้งระหว่างเป้าหมาย สามารถมีผลต่อความอยู่เป็นสุขทั้งทางอารมณ์และทางความคิด นักวิจัยหลายท่านยังเสนออีกด้วยว่า อย่างน้อยในวัฒนธรรมที่เน้นความเป็นตัวของตัวเอง การเข้าใจที่สอดคล้องในบุคลิกภาพของตนเอง (และประพฤติตัวตามความเข้าใจนั้น) สัมพันธ์กับความอยู่เป็นสุข ดังนั้น การสนใจแต่ความสนใจต่อสิ่งภายนอก หรือแม้แต่ทั้งความสนใจต่อสิ่งภายนอกและ neuroticism น่าจะให้ความเข้าใจที่ไม่สมบูรณ์ในเรื่องความสัมพันธ์ของความสุขกับบุคลิกภาพ
วัฒนธรรม
นอกจากนั้นแล้ว วัฒนธรรมของตนอาจมีอิทธิพลต่อความสุข (happiness) และความอยู่เป็นสุขที่เป็นอัตวิสัย (subjective well-being) โดยทั่วไป ระดับความสุขทั่วไปจะต่าง ๆ กันไปในวัฒนธรรมต่าง ๆ และการแสดงออกถึงความสุขก็เช่นกัน การสำรวจนานาชาติพบว่า ประเทศต่าง ๆ และแม้แต่กลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ในประเทศนั้น ๆ มีความพึงพอใจในชีวิตโดยเฉลี่ยที่แตกต่างกัน
ยกตัวอย่างเช่น นักวิจัยคนหนึ่งพบว่าระหว่างปี 1958-1987 ความพอใจในชีวิตของคนญี่ปุ่นอยู่ราว ๆ 6 เต็ม 10 ในขณะที่คนเดนมาร์กราว ๆ 8 เมื่อเปรียบเทียบกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ภายในสหรัฐอเมริกา งานวิจัยหนึ่งพบว่า คนอเมริกันเชื้อสายยุโรปรายงานว่า มีความสุขกับชีวิตมากกว่าคนอเมริกันเชื้อสายเอเชียอย่างสำคัญ นักวิจัยได้ตั้งสมมติฐานปัจจัยหลายอย่างที่อาจเป็นเหตุของความแตกต่างในประเทศต่าง ๆ รวมทั้งความแตกต่างระหว่างรายได้ของประเทศ ความเอนเอียงรับใช้ตนเอง (self-serving) การยกตนเอง (self-enhancement) และธรรมชาติที่ชอบตรวจสอบ (approach) หรือหลีกเลี่ยง (avoidance) โดยรวม ๆ กันแล้ว งานศึกษาเหล่านี้แสดงว่า แม้ว่า ความสนใจต่อสิ่งภายนอก-ความสนใจต่อสิ่งภายในจะมีค่าสหสัมพันธ์ที่มีกำลังกับความสุข แต่ก็ยังไม่สามารถใช้เป็นตัวพยากรณ์เดียวของความอยู่เป็นสุขที่เป็นอัตวิสัย และต้องรวมปัจจัยอื่น ๆ ด้วยเมื่อพยายามที่จะกำหนดว่าปัจจัยอะไรสัมพันธ์กับความสุข
ดูเพิ่ม
เชิงอรรถและอ้างอิง
- สอ เสถบุตร, "extrovert", ThaiSoftware Dictionary v 6.0 (New Model English-Thai Dictionary),
ผู้ที่ชอบเอาใจใส่กับสิ่งภายนอก
- สอ เสถบุตร, "introversion", ThaiSoftware Dictionary v 6.0 (New Model English-Thai Dictionary),
การสนใจกับสิ่งภายในตัว
- ↑ Juung, C. G. (1921). Psychologische Typen. Zurich: Rascher Verlag.CS1 maint: uses authors parameter (link) (translation H.G. Baynes, 1923)
- ↑ Thompson, Edmund R. (2008). "Development and Validation of an International English Big-Five Mini-Markers". Personality and Individual Differences. 45 (6): 542–8. doi:10.1016/j.paid.2008.06.013.
- Jung, Carl (1995). Memories, Dreams, Reflections. London: Fontana Press. pp. 414–5. ISBN 0-00-654027-9.
attitude-type characterised by orientation in life through subjective psychic contents", "an attitude type characterised by concentration of interest on the external object
- "Extraversion", Merriam-Webster Collegiate Dictionary (11 ed.), Springfield, Massachusetts, USA: Merriam-Webster, Inc., 2003,
the act, state, or habit of being predominantly concerned with obtaining gratification from what is outside the self
- ↑ "Extraversion or Introversion". The Myers & Briggs Foundation.
- "Introversion", Merriam-Webster Collegiate Dictionary (11 ed.), Springfield, Massachusetts, USA: Merriam-Webster, Inc., 2003,
the state of or tendency toward being wholly or predominantly concerned with and interested in one's own mental life
- Helgoe, Laurie (2008). Introvert Power: Why Your Inner Life is Your Hidden Strength. Naperville, Illinois: Sourcebooks, Inc.CS1 maint: uses authors parameter (link)[ต้องการหน้า]
- Introversion. Gale Encyclopedia of Childhood & Adolescence. Gale Research. 1998.
- ↑ Laney, Marti Olsen (2002). The Introvert Advantage: How to Thrive in an Extrovert World. Workman Publishing. ISBN 0-7611-2369-5.CS1 maint: uses authors parameter (link)
- Cain, Susan (2012). Quiet: The Power of Introverts in a World That Can't Stop Talking. Crown Publishing.CS1 maint: uses authors parameter (link) อ้างอิงโดย
- Szalavitz, Maia (2012-01-27). "'Mind Reading': Q&A with Susan Cain on the Power of Introverts". เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-03-19. สืบค้นเมื่อ 2016-07-24.
- Cook, Gareth. "The Power of Introverts: A Manifesto for Quiet Brilliance". Scientific American. เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-03-16. สืบค้นเมื่อ 2016-07-24.
- Whitten, Meredith (2001-08-21). "All About Shyness". Psych Central.
- Cain, Susan. "Quiet: The Power of Introverts in a World That Can't Stop Talking". www.cbsnews.com. สืบค้นเมื่อ 2015-10-05.
- ↑ "Book Review: Quiet: The Power of Introverts in a World That Can't Stop Talking by Susan Cain". สืบค้นเมื่อ 2015-10-05.
- "The OCEAN of Personality: Personality Synopsis, Chapter 4: Trait Theory". AllPsych Online. สืบค้นเมื่อ 2004-03-23.
- "Ambiversion", WordNet 2.0, eDocuLab Inc (Princeton University), 2003,
(psychology) a balanced disposition intermediate between extroversion and introversion
- Cohen, Donald; Schmidt, James P. (1979). "Ambiversion: Characteristics of Midrange Responders on the Introversion-Extraversion Continuum". Journal of Personality Assessment. 43 (5): 514–6. doi:10.1207/s15327752jpa4305_14. PMID 16367029.
- * Cain, Susan (2012). Quiet: The Power of Introverts in a World That Can't Stop Talking. page 3 (Introduction) & page 280 (note 11).CS1 maint: uses authors parameter (link)
- Goudreau, Jenna (2012-01-26). "The Secret Power Of Introverts". Forbes. เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-03-14. สืบค้นเมื่อ 2016-07-24.
- Gordon, Leslie A (2016-01-01). . ABA Journal. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 2016-01-08. Unknown parameter
|deadurl=
ignored (help)CS1 maint: uses authors parameter (link) - ↑ Goldberg, Lewis R.; Johnson, John A.; Eber, Herbert W.; Hogan, Robert; Ashton, Michael C.; Cloninger, C. Robert; Gough, Harrison G. (2006). "The international personality item pool and the future of public-domain personality measures". Journal of Research in Personality. 40 (1): 84–96. doi:10.1016/j.jrp.2005.08.007.
- Goldberg, Lewis R. (1992). "The development of markers for the Big-Five factor structure". Psychological Assessment. 4 (1): 26–42. doi:10.1037/1040-3590.4.1.26.
- Saucier, Gerard (1994). "Mini-Markers: A Brief Version of Goldberg's Unipolar Big-Five Markers". Journal of Personality Assessment. 63 (3): 506–16. doi:10.1207/s15327752jpa6303_8. PMID 7844738.
- Piedmont, R. L.; Chae, J.-H. (1997). "Cross-Cultural Generalizability of the Five-Factor Model of Personality: Development and Validation of the NEO PI-R for Koreans". Journal of Cross-Cultural Psychology. 28 (2): 131–155. doi:10.1177/0022022197282001.
- Eysenck, H. J. (1967). The biological basis of personality. Springfield, IL: Thomas Publishing.[ต้องการหน้า]
- Tellegen, Auke; Lykken, David T.; Bouchard Jr, Thomas J.; Wilcox, Kimerly J.; Segal, NL; Rich, S (1988). "Personality similarity in twins reared apart and together". Journal of Personality and Social Psychology. 54 (6): 1031–9. doi:10.1037/0022-3514.54.6.1031. PMID 3397862.
- "Lemon juice experiment". BBC Home. 2014-09-17.
- ↑ Depue, RA; Collins, PF (1999). "Neurobiology of the structure of personality: Dopamine, facilitation of incentive motivation, and extraversion". The Behavioral and brain sciences. 22 (3): 491–517, discussion 518-69. doi:10.1017/S0140525X99002046. PMID 11301519.
- Johnson, DL; Wiebe, JS; Gold, SM; Andreasen, NC; Hichwa, RD; Watkins, GL; Boles Ponto, LL (1999). "Cerebral blood flow and personality: A positron emission tomography study". The American Journal of Psychiatry. 156 (2): 252–7. PMID 9989562.
- Forsman, LJ; de Manzano, Ö; Karabanov, A; Madison, G; Ullén, F (2012). "Differences in regional brain volume related to the extraversion-introversion dimension—a voxel based morphometry study". Neuroscience research. 72 (1): 59–67.CS1 maint: uses authors parameter (link)
- Shiner, Rebecca; Caspi, Avshalom (2003). "Personality differences in childhood and adolescence: Measurement, development, and consequences". Journal of Child Psychology and Psychiatry. 44 (1): 2–32. doi:10.1111/1469-7610.00101. PMID 12553411.
- Sharma, R. S. (1980). "Clothing behaviour, personality, and values: A correlational study". Psychological Studies. 25 (2): 137–42.
- Rentfrow, Peter J.; Gosling, Samuel D. (2003). "The do re mi's of everyday life: The structure and personality correlates of music preferences". Journal of Personality and Social Psychology. 84 (6): 1236–56. doi:10.1037/0022-3514.84.6.1236. PMID 12793587.
- Gosling, S (2008). Snoop. New York: Basic Books.CS1 maint: uses authors parameter (link)[ต้องการหน้า]
- Fleeson, W.; Gallagher, P. (2009). "The Implications of Big Five Standing for the Distribution of Trait Manifestation in Behavior: Fifteen Experience-Sampling Studies and a Meta-Analysis". Journal of Personality and Social Psychology. 87 (6): 1097–1114. doi:10.1037/a0016786.
- Little, B. R. (1996). "Free traits, personal projects and idio-tapes: Three tiers for personality research". Psychological Inquiry. 8: 340–344. doi:10.1207/s15327965pli0704_6.
- Little, B. R. (2008). "Personal Projects and Free Traits: Personality and Motivation Reconsidered". Social and Personality Psychology Compass. 2 (3): 1235–1254. doi:10.1111/j.1751-9004.2008.00106.x.
- Myers, David G (1992-07-01). "The Secrets of Happiness". Psychology Today.CS1 maint: uses authors parameter (link)
- ↑ Pavot, William; Diener, Ed; Fujita, Frank (1990). "Extraversion and happiness". Personality and Individual Differences. 11 (12): 1299–306. doi:10.1016/0191-8869(90)90157-M.
- Fleeson, William; Malanos, Adriane B.; Achille, Noelle M. (2002). "An intraindividual process approach to the relationship between extraversion and positive affect: Is acting extraverted as 'good' as being extraverted?". Journal of Personality and Social Psychology. 83 (6): 1409–22. doi:10.1037/0022-3514.83.6.1409. PMID 12500821.
- Swickert, Rhonda; Hittner, James B.; Kitos, Nicole; Cox-Fuenzalida, Luz-Eugenia (2004). "Direct or indirect, that is the question: A re-evaluation of extraversion's influence on self-esteem". Personality and Individual Differences. 36 (1): 207–17. doi:10.1016/S0191-8869(03)00080-1.
- Cheng, Helen; Furnham, Adrian (2003). "Personality, self-esteem, and demographic predictions of happiness and depression". Personality and Individual Differences. 34 (6): 921–42. doi:10.1016/S0191-8869(02)00078-8.
- . Blind Privilege. 2007-03-05. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 2010-02-25. Unknown parameter
|deadurl=
ignored (help) - Ryckman, R. (2004). Theories of Personality. Belmont, CA: Thomson/Wadsworth.[ต้องการหน้า]
- Furnham, Adrian; Forde, Liam; Cotter, Tim (1998). "Personality and intelligence". Personality and Individual Differences. 24 (2): 187–92. doi:10.1016/S0191-8869(97)00169-4.
- Gallagher, S. A. (1990). "Personality patterns of the gifted". Understanding Our Gifted. 3 (1): 11–13.
- Hoehn, L.; Birely, M.K. (1988). "Mental process preferences of gifted children". Illinois Council for the Gifted Journal. 7: 28–31.
- Eysenck, H. J. (1971). Readings in Extraversion-Introversion. New York: Wiley.[ต้องการหน้า]
- Ateel, Saqib Ali (2005). "Personality Career Tests".CS1 maint: uses authors parameter (link)
- Schaller, Mark (2011-10-31). "The behavioural immune system and the psychology of human sociality". Philosophical Transactions B. 366 (1583): 3418–3426. doi:10.1098/rstb.2011.0029.
- Diamond, Stephen A. (2008-11-07). "The Therapeutic Power of Sleep". Psychology Today. สืบค้นเมื่อ 2012-02-04.
- "Quiet, Please: Unleashing 'The Power Of Introverts'". NPR. 2012-01-30. สืบค้นเมื่อ 2012-02-04.
- Cain, Susan. "The Power of Introverts". TED. สืบค้นเมื่อ 2012-12-27.
- ↑ Fulmer, C. Ashley; Gelfand, Michele J.; Kruglanski, Arie W.; Kim-Prieto, Chu; Diener, Ed; Pierro, Antonio; Higgins, E. Tory (2010). "On 'Feeling Right' in Cultural Contexts: How Person-Culture Match Affects Self-Esteem and Subjective Well-Being". Psychological Science. 21 (11): 1563–9. doi:10.1177/0956797610384742. PMID 20876880.
- ↑ McCrae, Robert R.; Costa, Paul T. (1991). "Adding Liebe und Arbeit: The Full Five-Factor Model and Well-Being". Personality and Social Psychology Bulletin. 17 (2): 227–32. doi:10.1177/014616729101700217.
- ↑ Furnham, Adrian; Brewin, Chris R. (1990). "Personality and happiness". Personality and Individual Differences. 11 (10): 1093–6. doi:10.1016/0191-8869(90)90138-H.
- Diener, Ed; Suh, Eunkook M.; Lucas, Richard E.; Smith, Heidi L. (1999). "Subjective well-being: Three decades of progress". Psychological Bulletin. 125 (2): 276–302. doi:10.1037/0033-2909.125.2.276.
- ↑ Argyle, Michael; Lu, Luo (1990). "The happiness of extraverts". Personality and Individual Differences. 11 (10): 1011–7. doi:10.1016/0191-8869(90)90128-E.
- ↑ Hills, Peter; Argyle, Michael (2001). "Emotional stability as a major dimension of happiness". Personality and Individual Differences. 31 (8): 1357–64. doi:10.1016/S0191-8869(00)00229-4.
- Emmons, Robert A.; Diener, Ed (1986). "Influence of impulsivity and sociability on subjective well-being". Journal of Personality and Social Psychology. 50 (6): 1211–5. doi:10.1037/0022-3514.50.6.1211.
- ↑ Diener, Ed; Sandvik, Ed; Pavot, William; Fujita, Frank (1992). "Extraversion and subjective well-being in a U.S. National probability sample". Journal of Research in Personality. 26 (3): 205–15. doi:10.1016/0092-6566(92)90039-7.
- Costa, Paul T.; McCrae, Robert R. (1986). "Cross-sectional studies of personality in a national sample: I. Development and validation of survey measures". Psychology and Aging. 1 (2): 140–3. doi:10.1037/0882-7974.1.2.140. PMID 3267390.
- ↑ Larsen, Randy J.; Ketelaar, Timothy (1991). "Personality and susceptibility to positive and negative emotional states". Journal of Personality and Social Psychology. 61 (1): 132–40. doi:10.1037/0022-3514.61.1.132. PMID 1890584.
- ↑ Zelenski, John M.; Larsen, Randy J. (1999). "Susceptibility to Affect: A Comparison of Three Personality Taxonomies". Journal of Personality. 67 (5): 761–91. doi:10.1111/1467-6494.00072. PMID 10540757.
- Watson, D. (2000). Mood and Temperament. New York, NY: Guilford Press.[ต้องการหน้า]
- ↑ Lucas, Richard E.; Le, Kimdy; Dyrenforth, Portia S. (2008). "Explaining the Extraversion/Positive Affect Relation: Sociability Cannot Account for Extraverts' Greater Happiness". Journal of Personality. 76 (3): 385–414. doi:10.1111/j.1467-6494.2008.00490.x. PMID 18399958.
- Eysenck, H. J. (1967). The biological basis of personality. Springfield, IL: Charles C. Thomas.[ต้องการหน้า]
- Campbell, A.; Converse, P.; Rodgers, W. (1976). The quality of American life. New York, NY: Sage.[ต้องการหน้า]
- Eysenck, H. J.; Eysenck, M. W. (1985). Personality and individual differences. New York, NY: Plenum Press.[ต้องการหน้า]
- Snyder, M. (1981). "On the influence of individuals on situations". ใน Cantor, N.; Kihlstrom, J. (บ.ก.). Personality, cognition and social interaction. Hillsdale, NJ: Erlbaum. pp. 309–29.
- ↑ Diener, Ed; Larsen, Randy J.; Emmons, Robert A. (1984). "Person × Situation interactions: Choice of situations and congruence response models". Journal of Personality and Social Psychology. 47 (3): 580–92. doi:10.1037/0022-3514.47.3.580. PMID 6491870.
- ↑ Srivastava, Sanjay; Angelo, Kimberly M.; Vallereux, Shawn R. (2008). "Extraversion and positive affect: A day reconstruction study of person-environment transactions". Journal of Research in Personality. 42 (6): 1613–8. doi:10.1016/j.jrp.2008.05.002.
- ↑ Ashton, Michael C.; Lee, Kibeom; Paunonen, Sampo V. (2002). "What is the central feature of extraversion? Social attention versus reward sensitivity". Journal of Personality and Social Psychology. 83 (1): 245–52. doi:10.1037/0022-3514.83.1.245. PMID 12088129.
- ↑ Tellegen, A. (1985). "Structures of mood and personality and their relevance to assessing anxiety, with an emphasis on self-report". ใน Tuma, A. H.; Maser, J. D. (บ.ก.). Anxiety and the anxiety disorders. Hillsdale, NJ: Erlbaum. pp. 681–706.
- Gray, J. A. (1994). "Personality dimensions and emotion systems". ใน Ekman, P.; Davidson, R. (บ.ก.). The nature of emotions: Fundamental questions. New York, NY: Oxford University Press. pp. 329–31.
- Carver, C. S.; Sutton, S. K.; Scheier, M. F. (2000). "Action, Emotion, and Personality: Emerging Conceptual Integration". Personality and Social Psychology Bulletin. 26 (6): 741–51. doi:10.1177/0146167200268008.
- ↑ Rusting, Cheryl L.; Larsen, Randy J. (1995). "Moods as sources of stimulation: Relationships between personality and desired mood states". Personality and Individual Differences. 18 (3): 321–329. doi:10.1016/0191-8869(94)00157-N.
- Gable, Shelly L.; Reis, Harry T.; Elliot, Andrew J. (2000). "Behavioral activation and inhibition in everyday life". Journal of Personality and Social Psychology. 78 (6): 1135–49. doi:10.1037/0022-3514.78.6.1135. PMID 10870914.
- Little, Brian R. (2000). "Free traits and personal contexts: Expending a social ecological model of well-being". ใน Welsh, W. Bruce; Craik,, Kenneth H.; Price, Richard H. (บ.ก.). Person-environment Psychology: New Directions and Perspectives. Mahwah, NJ: Lawrence Erlbaum and Associates. pp. 87–116. ISBN 978-0-8058-2470-4.CS1 maint: extra punctuation (link)
- Lischetzke, Tanja; Eid, Michael (2006). "Why Extraverts Are Happier Than Introverts: The Role of Mood Regulation". Journal of Personality. 74 (4): 1127–61. doi:10.1111/j.1467-6494.2006.00405.x. PMID 16787431.
- Tamir, Maya (2009). "Differential Preferences for Happiness: Extraversion and Trait-Consistent Emotion Regulation". Journal of Personality. 77 (2): 447–70. doi:10.1111/j.1467-6494.2008.00554.x. PMID 19220724.
- ↑ Kuppens, Peter (2008). "Individual differences in the relationship between pleasure and arousal". Journal of Research in Personality. 42 (4): 1053–9. doi:10.1016/j.jrp.2007.10.007.
- Young, R; Bradley, M.T. (2008). "Social withdrawal: self-efficacy, happiness, and popularity in introverted and extroverted adolescents". Canadian Journal of School Psychology. 14 (1): 21–35.
- Hills, P.; Argyle, M. (2001). "Happiness, introversion-extraversion and happy introverts". Personality and Individual Differences. 30: 595–608. doi:10.1016/s0191-8869(00)00058-1.
- Hills, P; Argyle, M. "Emotional stability as a major dimension of happiness". Personality and Individual Differences. 31: 1357–1364. doi:10.1016/s0191-8869(00)00229-4.
- DeNeve, KM; Cooper, H (1998). "The happy personality: A meta-analysis of 137 personality traits and subjective well-being". Psychology Bulletin. 124: 197–229. doi:10.1037/0033-2909.124.2.197. PMID 9747186.
- Hayes, N; Joseph, S. "Big 5 correlates of three measures of subjective well-being". Personality and Individual Differences. 34: 723–727. doi:10.1016/s0191-8869(02)00057-0.
- Emmons, RA (1986). "Personal strivings: an approach to personality and subjective". Annual Review of Psychology. 54: 403–425.
- Cantor, N; Sanderson, CA (1999). "Life task participation and well-being: the importance of taking part in daily life". Well-Being: Foundations of Hedonic Psychology: 230–243.
- Higgins, ET; Grant, H; Shah, J. "Self regulation and quality of life: emotional and non-emotional life experiences". Well-Being: Foundations of Hedonic Psychology: 244–266.
- Scheier, MF; Carver, CS (1993). "On the power of positive thinking: the benefits of being optimistic". Current Directions in Psychological Science. 2 (1): 26–30. doi:10.1111/1467-8721.ep10770572.
- Veenhoven, R (1993). Happiness in Nations: Subjective Appreciation of Life in 56 Nations 1946-1992. Rotterdam, The Netherlands: Erasmus University.
- Oishi, S (2001). "Culture and memory for emotional experiences: on-line vs. retrospective judgments of subjective well-being". Dissertation Abstracts International: Section B: The Sciences and Engineering. 61.
- Diener, E; Oishi, S; Lucas, R (2003). "Personality, Culture, and Subjective Well-Being: Emotional and Cognitive Evaluations Of Life". Annual Review of Psychology. 54: 403–425. doi:10.1146/annurev.psych.54.101601.145056.
แหล่งข้อมูลอื่น
- Secrets of a super successful introvert Susan Cain article from CNN Living
- TED talks - Susan Cain: The power of introverts talk by Susan Cain, author of Quiet: The Power of Introverts in a World That Can't Stop Talking (January 2012), talks about reasons we should celebrate and encourage introversion
- Revenge of the Introvert Laurie Helgoe's article about introversion published in Psychology Today (2010)
- General description of the types Jung's original article (1921)
- BBC - The Human Mind - Personality Description of introversion and extraversion, focusing on reward-seeking behavior
- Changing Minds Another description of introversion and extraversion, taking a Jungian view
- Extraversion Gale Encyclopedia of Childhood & Adolescence. Gale Research, 1998.
- Introversion Gale Encyclopedia of Childhood & Adolescence. Gale Research, 1998.
- USA Today article about CEO introverts/extraverts
- "Caring for Your Introvert" Article in The Atlantic, March 2003
- "Ten Myths About Introverts" Article by Carl King, 2009.
- J. Wilt and W. Revelle review chapter on extraversion
- Scientific American article on Introversion
- Scientific American blogs: What Kind of Introvert are you?
- Temperament and the Brain: Introverts and Extraverts 2016-03-14 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน