fbpx
วิกิพีเดีย

อาหารไทย

อาหารไทย เป็นอาหารประจำของประเทศไทย ที่มีการสั่งสมและถ่ายทอดมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน จนเป็นเอกลักษณ์ประจำชาติ ถือได้ว่าอาหารไทยเป็นวัฒนธรรมประจำชาติที่สำคัญของประเทศไทย อาหารที่ขึ้นชื่อที่สุดของคนไทย คือ น้ำพริกปลาทู พร้อมกับเครื่องเคียงที่จัดมาเป็นชุด

ยำวุ้นเส้น

จากผลการสำรวจ 50 อาหารที่อร่อยที่สุดในโลกปี 2554 โดยซีเอ็นเอ็น (CNN) ผลปรากฏว่า อาหารไทยติดหลายอันดับ ได้แก่ ส้มตำ อันดับที่ 46, น้ำตกหมู อันดับที่ 19, ต้มยำกุ้ง อันดับที่ 8 และแกงมัสมั่น ติดอันดับที่ 1

จุดเด่นของอาหารไทย

คนไทยบริโภคข้าวเป็นอาหารหลัก โดยนิยมกัน 2 ชนิดคือ ข้าวเหนียวและข้าวเจ้า คนไทยภาคอีสานและภาคเหนือนิยมกินข้าวเหนียวเป็นหลัก ส่วนคนไทยภาคกลางและภาคใต้นิยมกินข้าวเจ้าเป็นหลัก ประเทศไทยนั้นเป็นประเทศที่ผูกพันกับสายน้ำมาช้านาน ทำให้อาหารประจำครัวไทยประกอบด้วยปลาเสียเป็นส่วนใหญ่ ทั้ง ปลาย่าง ปลาปิ้ง จิ้มน้ำพริก กินกับผักสดที่หาได้ตามหนองน้ำ ชายป่า หากกินปลาไม่หมดก็สามารถนำมาแปรรูปให้เก็บไว้ได้นาน ๆ ไม่ว่าจะเป็นปลาแห้ง ปลาเค็ม ปลาร้า ปลาเจ่า ส่วนอาหารรสเผ็ดที่ได้จากพริกนั้น ไทยได้รับนำมาเป็นเครื่องปรุงจากบาทหลวงชาวโปรตุเกสในสมัยพระนารายณ์ ส่วนอาหารประเภทผัดไฟแรง ได้รับมาจากชาวจีนที่อพยพมาอยู่ในเมืองไทยในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์

เมื่อมีการเลี้ยงสัตว์ขายเป็นอาชีพและมีโรงฆ่าสัตว์ ทำให้มีการหาเนื้อสัตว์มารับประทานมากขึ้น มีการใช้เครื่องเทศหลากชนิดเพื่อช่วยดับกลิ่นคาวของเนื้อที่นำมาปรุงเป็นอาหาร เครื่องเทศที่คนไทยนิยมนำมาปรุงอาหารประเภทนี้เช่น ขิง กระชาย ที่ใช้ดับกลิ่นคาวปลามานาน ก็นำมาประยุกต์กับเนื้อสัตว์ประเภทวัว ควาย เป็นสูตรใหม่ของคนไทยได้อีกด้วย

จุดกำเนิด

อาหารไทยมีจุดกำเนิดพร้อมกับการตั้งชนชาติไทย และมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยจนถึงปัจจุบัน จากการศึกษาของ อาจารย์กอบแก้ว นาจพินิจ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต เรื่องความเป็นมาของอาหารไทยยุคต่าง ๆ สรุปได้ดังนี้

ยุคก่อนประวัติศาสตร์

จากหลักฐานที่พบในช่องท้องของศพผู้หญิง อายุราว 3,000 ปี ที่บ้านโคกพนมดี อำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี พบข้าวเปลือก กระดูก เกล็ดและก้างปลาหมอ นอกจากนี้ยังพบซากปลาช่อนทั้งตัวขดอยู่ในหม้อดินเผา ที่ตำบลพลสงคราม อำเภอโนนสูง จังหวัดนครราชสีมา มีอายุไม่น้อยกว่า 3,000 ปี ทำให้เห็นว่าคนไทยเมื่อ 3,000 ปี ก่อน กินข้าวและปลาเป็นอาหาร

สมัยสุโขทัย

อาหารไทยในสมัยสุโขทัยได้อาศัยหลักฐานจากศิลาจารึก และวรรณคดี สำคัญคือ ไตรภูมิพระร่วงของพญาลิไท ที่ได้กล่าวถึงอาหารไทยในสมัยนี้ว่า มีข้าวเป็นอาหารหลัก โดยกินร่วมกันกับเนื้อสัตว์ ที่ส่วนใหญ่ได้มาจากปลา มีเนื้อสัตว์อื่นบ้าง กินผลไม้เป็นของหวาน การปรุงอาหารได้ปรากฏคำว่า

“แกง” ใน ไตรภูมิพระร่วงที่เป็นที่มาของคำว่า ข้าวหม้อแกงหม้อ ผักที่กล่าวถึงในศิลาจารึก คือ แฟง แตง และน้ำเต้า ส่วนอาหารหวานก็ใช้วัตถุดิบพื้นบ้าน เช่น ข้าวตอก และน้ำผึ้ง ส่วนหนึ่งนิยมกินผลไม้แทนอาหารหวาน

สมัยอยุธยา

สมัยนี้ถือว่าเป็นยุคทองของไทย ได้มีการติดต่อกับชาวต่างประเทศมากขึ้นทั้งชาวตะวันตกและตะวันออก จากบันทึกเอกสารของชาวต่างประเทศ พบว่าคนไทยกินอาหารแบบเรียบง่าย ยังคงมีปลาเป็นหลัก มีต้ม แกง และคาดว่ามีการใช้น้ำมันในการประกอบอาหารแต่เป็นน้ำมันจากมะพร้าวและกะทิมากกว่าไขมันหรือน้ำมันจากสัตว์มาทำอาหารอยุธยามีเช่น หนอนกะทิ วิธีทำคือ ตัดต้นมะพร้าว แล้วเอาหนอนที่อยู่ในต้นนั้นมาให้กินกะทิแล้วก็นำมาทอดก็กลายเป็นอาหารชาววังขึ้น คนไทยสมัยนี้มีการถนอมอาหาร เช่นการนำไปตากแห้ง หรือทำเป็นปลาเค็ม มีอาหารประเภทเครื่องจิ้ม เช่นน้ำพริกกะปิ นิยมบริโภคสัตว์น้ำมากกว่าสัตว์บก โดยเฉพาะสัตว์ใหญ่ ไม่นิยมนำมาฆ่าเพื่อใช้เป็นอาหาร ได้มีการกล่าวถึงแกงปลาต่างๆ ที่ใช้เครื่องเทศ เช่น แกงที่ใส่หัวหอม กระเทียม สมุนไพรหวาน และเครื่องเทศแรงๆ ที่คาดว่านำมาใช้ประกอบอาหารเพื่อดับกลิ่นคาวของเนื้อปลา หลักฐานจากการบันทึกของบาทหลวงชาวต่างชาติที่แสดงให้เห็นว่าอาหารของชาติต่าง ๆ เริ่มเข้ามามากขึ้นในสมเด็จพระนารายณ์ เช่น ญี่ปุ่น โปรตุเกส เหล้าองุ่นจากสเปน เปอร์เซีย และฝรั่งเศส สำหรับอิทธิพลของอาหารจีนนั้นคาดว่าเริ่มมีมากขึ้นในช่วงยุคกรุงศรีอยุธยาตอนปลายที่ไทยตัดสัมพันธ์กับชาติตะวันตก ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าอาหารไทยในสมัยอยุธยา ได้รับเอาวัฒนธรรมจากอาหารต่างชาติ โดยผ่านทางการมีสัมพันธไมตรีทั้งทางการทูตและทางการค้ากับประเทศต่างๆ และจากหลักฐานที่ปรากฏทางประวัติศาสตร์ว่าอาหารต่างชาติส่วนใหญ่แพร่หลายอยู่ในราชสำนัก ต่อมาจึงกระจายสู่ประชาชน และกลมกลืนกลายเป็นอาหารไทยไปในที่สุด

สมัยธนบุรี

จากหลักฐานที่ปรากฏในหนังสือแม่ครัวหัวป่าก์ ซึ่งเป็นตำราการทำกับข้าวเล่มที่ 2 ของไทย ของท่านผู้หญิงเปลี่ยน ภาสกรวงษ์ พบความต่อเนื่องของวัฒนธรรมอาหารไทยจากกรุงสุโขทัยมาถึงสมัยอยุธยา และสมัยกรุงธนบุรี และยังเชื่อว่าเส้นทางอาหารไทยคงจะเชื่อมจากกรุงธนบุรีไปยังสมัยรัตนโกสินทร์ โดยผ่านทางหน้าที่ราชการและสังคมเครือญาติ และอาหารไทยสมัยกรุงธนบุรีน่าจะคล้ายคลึงกับสมัยอยุธยา แต่ที่พิเศษเพิ่มเติมคือมีอาหารประจำชาติจีน

สมัยรัตนโกสินทร์

การศึกษาความเป็นมาของอาหารไทยในยุครัตนโกสินทร์นี้ได้จำแนกตามยุคสมัยที่นักประวัติศาสตร์ได้กำหนดไว้ คือ ยุคที่ 1 ตั้งแต่สมัย รัชกาลที่ 1 จนถึงรัชกาลที่ 3 และยุคที่ 2 ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 จนถึงรัชกาลปัจจุบัน ดังนี้

พ.ศ. 2325–2394

อาหารไทยในยุคนี้เป็นลักษณะเดียวกันกับสมัยธนบุรี แต่มีอาหารไทยเพิ่มขึ้นอีก 1 ประเภท คือ นอกจากมีอาหารคาว อาหารหวานแล้วยังมีอาหารว่างเพิ่มขึ้น ในช่วงนี้อาหารไทยได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมอาหารของประเทศจีนมากขึ้น และมีการปรับเปลี่ยนเป็นอาหารไทย ในที่สุด จากจดหมายความทรงจำของกรมหลวงนรินทรเทวี ที่กล่าวถึงเครื่องตั้งสำรับคาวหวานของพระสงฆ์ ในงานสมโภชน์ พระพุทธมณีรัตนมหาปฏิมากร (พระแก้วมรกต) ได้แสดงให้เห็นว่ารายการอาหารนอกจากจะมีอาหารไทย เช่น ผัก น้ำพริก ปลาแห้ง หน่อไม้ผัด แล้วยังมีอาหารที่ปรุงด้วยเครื่องเทศแบบอิสลาม และมีอาหารจีนโดยสังเกตจากการใช้หมูเป็นส่วนประกอบ เนื่องจากหมูเป็นอาหารที่คนไทยไม่นิยม แต่คนจีนนิยม

บทพระราชนิพนธ์กาพย์เห่เรือชมเครื่องคาวหวาน ของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยได้ทรงกล่าวถึงอาหารคาวและอาหารหวานหลายชนิด ซึ่งได้สะท้อนภาพของอาหารไทยในราชสำนักที่ชัดเจนที่สุด ซึ่งแสดงให้เห็นลักษณะของอาหารไทยในราชสำนักที่มีการปรุงกลิ่น และรสอย่างประณีต และให้ความสำคัญของรสชาติอาหารมากเป็นพิเศษ และถือว่าเป็นยุคสมัยที่มีศิลปะการประกอบอาหารที่ค่อนข้างสมบูรณ์ที่สุด ทั้งรส กลิ่น สี และการตกแต่งให้สวยงามรวมทั้งมีการพัฒนาอาหารนานาชาติให้เป็นอาหารไทย

จากบทพระราชนิพนธ์ทำให้ได้รายละเอียดที่เกี่ยวกับการแบ่งประเภทของอาหารคาวหรือกับข้าวและอาหารว่าง ส่วนทีเป็นอาหารคาวได้แก่ แกงชนิดต่างๆ เครื่องจิ้ม ยำต่างๆ สำหรับอาหารว่างส่วนใหญ่เป็นอาหารว่างคาว ได้แก่ หมูแนม ล่าเตียง หรุ่ม รังนก ส่วนอาหารหวานส่วนใหญ่เป็นอาหารที่ทำด้วยแป้งและไข่เป็นส่วนใหญ่ มีขนมที่มีลักษณะอบกรอบ เช่น ขนมผิง ขนมลำเจียก และมีขนมที่มีน้ำหวานและกะทิเจืออยู่ด้วย ได้แก่ ซ่าหริ่ม บัวลอย เป็นต้น

นอกจากนี้ วรรณคดีไทย เรื่องขุนช้างขุนแผน ซึ่งถือว่าเป็นวรรณคดีที่สะท้อนวิถีชีวิตของคนในยุคนั้นอย่างมากรวมทั้งเรื่องอาหารการกินของชาวบ้าน พบว่ามีความนิยมขนมจีนน้ำยา และมีการกินข้าวเป็นอาหารหลัก ร่วมกับกับข้าวประเภทต่างๆ ได้แก่ แกง ต้ม ยำ และคั่ว อาหารมีความหลากหลายมากขึ้นทั้งชนิดของอาหารคาว และอาหารหวาน

พ.ศ. 2395–ปัจจุบัน

ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 ประเทศไทยมีการพัฒนาอย่างมาก และมีการตั้งโรงพิมพ์แห่งแรกในประเทศไทย ดังนั้น ตำรับอาหารการกินของไทยเริ่มมีการบันทึกมากขึ้น โดยเฉพาะในสมัยรัชกาลที่ 5 เช่นในบทพระราชนิพนธ์เรื่องไกลบ้าน จดหมายเหตุ เสด็จประพาสต้น เป็นต้น และยังมีบันทึกต่างๆ โดยผ่านการบอกเล่าสืบทอดทางเครือญาติ และบันทึกที่เป็นทางการอื่น ๆ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ได้สะท้อนให้เห็นลักษณะของอาหารไทย ที่มีความหลากหลายทั้งที่เป็น กับข้าวอาหารจานเดียว อาหารว่าง อาหารหวาน และอาหารนานาชาติ ทั้งที่เป็นวิธีปรุงของราชสำนัก และวิธีปรุงแบบชาวบ้านที่สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าอาหารไทยบางชนิดในปัจจุบันได้มีวิธีการปรุงหรือส่วนประกอบของอาหารผิดเพี้ยนไปจากของดั้งเดิม จึงทำให้รสชาติของอาหารไม่ใช่ตำรับดั้งเดิม และขาดความประณีตที่น่าจะถือว่าเป็นเอกลักษณ์ที่สำคัญของอาหารไทย

อาหารไทยภาคต่าง ๆ

อาหารพื้นบ้านภาคเหนือ

 
อาหารไทยภาคเหนือจากร้านอาหารในเชียงใหม่

ภาคเหนือรวม 17 จังหวัดประกอบด้วยภูมินิเวศน์ที่หลากหลายพร้อมด้วยชาติพันธุ์ต่าง ๆ ที่ตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ราบลุ่ม ที่ดอน และที่ภูเขาสูงในการดำรงชีพ การตั้งถิ่นฐานของชาวไทยพื้นราบซึ่งเป็นชาติพันธุ์ส่วนใหญ่จะกระจุกตัวอยู่ที่พื้นที่ลุ่มบริเวณแม่น้ำสายใหญ่ เช่น ปิง วัง ยม น่าน

ของลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนบน และ อิง ลาว ของลุ่มน้ำโขง มีวิถีชีวิตผูกพันกับวัฒนธรรมการปลูกข้าวโดยชาวไทยพื้นราบภาคเหนือตอนบน 9 จังหวัด (เชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง ลำพูน แม่ฮ่องสอน พะเยา อุตรดิตถ์ แพร่ น่าน) มีวัฒนธรรมการผลิตและการบริโภคข้าวเหนียวเป็นหลัก

อาหารของคนเหนือจะมีความงดงาม เพราะด้วยนิสัยคนเหนือจะมีกริยาที่แช่มช้อย จึงส่งผลต่ออาหาร โดยมากมักจะเป็นผัก

อาหารภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

ประชากรในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีหลากหลายชาติพันธุ์ เนื่องจากภาคอีสานมีพื้นที่ใหญ่สุดของประเทศ ผู้คนมีวิถีชีวิตผูกติดกับทรัพยากรธรรมชาติที่แตกต่างหลากหลาย ทั้งในเขตที่ราบ ในแอ่งโคราชและแอ่งสกลนคร อาศัยลำน้ำสำคัญยังชีพ เช่น ชี มูล สงคราม โขง คาน เลย หมัน พอง พรม ก่ำ เหือง พระเพลิง ลำตะคอง ลำเชียงไกร เซิน ปาว ยัง คันฉู อูน เชิงไกร ปลายมาศ โดมใหญ่ โดมน้อย น้ำเสียว เซบาย มูลน้อย เป็นต้น และชุมชนที่อาศัยในเขตภูเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทือกเขาภูพานและเทือกเขาเพชรบูรณ์ ซึ่งความแตกต่างของทรัพยากรธรรมชาติมาก ทำให้ระบบอาหารและรูปแบบการจัดการอาหารของชุมชนแตกต่างกันและมีจำนวนหลากหลายกว่าภูมิภาคอื่น แต่เดิมในช่วงที่ทรัพยากรธรรมชาติยังอุดมสมบูรณ์ อาหารจากธรรมชาติมีความหลากหลายและอุดมสมบูรณ์มาก ชาวบ้านนิยมหาอาหารจากแหล่งอาหารธรรมชาติเท่าที่จำเป็นที่จะบริโภคในแต่ละวัน เช่น การหาปลาจากแม่น้ำไม่จำเป็นต้องจับปลามาขังทรมานไว้ หากวันใดจับได้มากก็นำมาแปรรูปเป็นปาแดกหรือปลาร้า ปลาแห้ง ปลาเค็ม น้ำปลา (น้ำที่เกิดจากหน้าของปาแดก) ไว้บริโภค เนื่องจากภาคอีสานมีแหล่งเกลือธรรมชาติเป็นของตนเอง ส่งผลให้ชาวบ้านพึ่งพาอาหารจากตลาดน้อย ชาวบ้านจะปลูกทุกอย่างที่กิน กินทุกอย่างที่ปลูก สวนหลังบ้านมีบทบาทสำคัญในฐานะเป็นแหล่งอาหารประจำครัวเรือน ชาวบ้านมีฐานคิดสำคัญเกี่ยวกับการผลิตอาหาร คือ ผลิตให้เพียงพอต่อการบริโภค มีเหลือแบ่งปันให้ญาติพี่น้อง เพื่อนบ้านและทำบุญในศาสนา

อาหารอีสานเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับอาหารของประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และบริเวณอีสานใต้มีลักษณะอาหารร่วมกันกับราชอาณาจักรกัมพูชา เนื่องจากภาคอีสานทั้ง ๒ ส่วนเป็นกลุ่มเครือข่ายชาติพันธุ์เดียวกันกับทั้ง ๒ ประเทศ ชาวอีสานรับประทานทั้งข้าวเหนียวและข้าวจ้าว ข้าวเหนียวเป็นอาหารหลักของประชากรส่วนใหญ่ ส่วนชาวอีสานใต้นั้นรับประทานข้าวเจ้าเป็นอาหารหลัก อาหารอีสานมีหลากหลายรสชาติทั้งเผ็ดจัด เช่น แจ่วหมากเผ็ด ตำหมากหุ่ง เผ็ดน้อย เช่น แกงหอย เค็มมาก เช่น ปาแดก แจ่วบอง เค็มน้อย เช่น แกงเห็ด หวานมาก เช่น หลนหมากนัด หวานน้อย เช่น อ่อมเนื้อ เปรี้ยวมาก เช่น ต้มส้ม เปรี้ยวน้อย เช่น ลาบเนื้อ จืด และขม เช่น แกงขี้เหล็ก แจ่วเพี้ย บางชนิดมีการผสมรสชาดทั้งเผ็ดเค็มเปรี้ยวหวานเข้าด้วยกัน เช่น หลนปาแดก ตำหมากหุ่ง ตำซั่ว อาหารอีสานมีกรรมวิธีการปรุงและการทำหลากหลายรูปแบบ ได้แก่ ก้อย แกง กวน เข้าปุ้น เข้าแผะ คั่ว แจ่ว จุ จ้ำ จี่ จ่าม ซอย แซ่ ซ่า ซุบ ซาว ซกเล็ก ดอง ดาง ดาด ต้ม ตำ ตาก ทอด เหนี่ยน นึ่ง น้ำตก ปิ่น ปิ้ง ผัด เฝอ เพี้ย พัน หมก เมี่ยง หมี่ หม่ำ หมัก มูน หม้อน้อย ยำ ย่าง ห่อ ลาบ หลาม ลวน ลวก เลือดแปง ส้ม ไส้กอก อุ เอาะ อ่อม อบ ฮม และมีทั้งประเภทที่ชาวอีสานคิดค้นขึ้นเองกับประเภทที่รับอิทธิพลจากภายนอกทั้งตะวันตกและเอเชีย เช่น ลาว เวียดนาม กัมพูชา จีน ฝรั่งเศส อังกฤษ ภาคเหนือของไทยและภาคกลางของไทย ส่วนเครื่องแก้ม (แนม) อาหารจำพวกผักนั้นชาวอีสานนิยมทั้งผักสด ผักต้ม ผักลวก ผักแห้ง ผักดอง รวมถึงผลไม้บางประเภทก็สามารถนำมาแกล้มได้ อย่างไรก็ตาม อาหารอีสานได้ขยายอิทธิพลต่อภูมิภาคอื่นๆ ของประเทศจนได้รับความนิยมอย่างมาก อาทิ ตำหมากหุ่งหรือส้มหมากหุ่ง (ส้มตำ) น้ำตก ลาบ ก้อย อ่อม (แกงอ่อม) คอหมูย่าง ปิ้งไก่ (ไก่ย่าง) แกงหน่อไม้ ซุบหน่อไม้ เสือร้องไห้ ซิ้นแห้ง (เนื้อแดดเดียว) ต้มแซบ ไส้กรอกอีสาน ตับหวาน ลวกจิ้มแจ่ว ปาแดกบอง (น้ำพริกปลาร้า) ตับหวาน เขียบหมู (แคบหมู) เข้าปุ้น (ขนมจีน) แจ่วฮ้อน (จิ้มจุ่ม) เป็นต้น

อาหารภาคกลาง

ลักษณะอาหารพื้นบ้านภาคกลางมีที่มาต่างกันดังนี้

  1. ได้รับอิทธิพลจากต่างประเทศ เช่น เครื่องแกง แกงกะทิ จะมาจากชาวฮินดู การผัดโดยใช้กระทะและน้ำมันมาจากประเทศจีนหรือขนมเบื้องไทย ดัดแปลงมาจาก ขนมเบื้องญวน ขนมหวานประเภททองหยิบ ทองหยอดรับอิทธิพลจากประเทศทางตะวันตก เป็นต้น
  2. เป็นอาหารที่มักมีการประดิษฐ์ โดยเฉพาะอาหารจากในวังที่มีการคิดสร้างสรรค์อาหารให้เลิศรส วิจิตรบรรจง เช่น ขนมช่อม่วง จ่ามงกุฎ หรุ่ม ลูกชุบ กระเช้าสีดา ทองหยิบ หรืออาหารประเภทข้าวแช่ ผัก ผลไม้แกะสลัก
  3. เป็นอาหารที่มักจะมีเครื่องเคียง ของแนม เช่น น้ำพริกลงเรือ ต้องแนมด้วยหมูหวานแกงกะทิ แนมด้วยปลาเค็ม สะเดาน้ำปลาหวานก็ต้องคู่ กับกุ้งนึ่งหรือปลาดุกย่าง ปลาสลิดทอดรับประทานกับน้ำพริกมะม่วง หรือไข่เค็มที่มักจะรับประทานกับน้ำพริกลงเรือ น้ำพริกมะขามสดหรือน้ำพริกมะม่วง นอกจากนี้ยังมีของแหนมอีกหลายชนิด เช่น ผักดอง ขิงดอง หอมแดงดอง เป็นต้น
  4. เป็นภาคที่มีอาหารว่าง และขนมหวานมากมาย เช่น ข้าวเกรียบปากหม้อ กระทงทอง ค้างคาวเผือก ปั้นขลิบนึ่ง ไส้กรอกปลาแนม ข้าวตังหน้าตั้ง

อาหารภาคใต้

ภาคใต้มีภูมิประเทศเป็นทะเล ชาวใต้นิยมใช้กะปิในการประกอบอาหาร อาหารที่ปรุงในครัวเรือนก็เหมือนๆกับอาหารไทยทั่วไป แต่รสชาติจะจัดจ้านกว่า อาหารใต้ไม่ได้มีเพียงแค่ความเผ็ดจากพริกแต่ยังใช้พริกไทยเพิ่มความเผ็ดร้อนอีกด้วย และเนื่องจากภาคใต้มีชาวมุสลิมเป็นจำนวนมาก ตามจังหวัดชายแดนใต้ก็ได้มีอาหารที่แตกต่างกันไป ตัวอย่างอาหารใต้ที่ขึ้นชื่อได้แก่

  1. แกงไตปลา (ไตปลา ทำจากเครื่องในปลาผ่านกรมวิธีการหมักดอง) การทำแกงไตปลานั้นจะใส่ไตปลาและเครื่องแกงพริก ใส่สมุนไพรลงไป เนื้อปลาแห้ง หน่อไม้สด บางสูตรใส่ ฟักทอง ถั่วพลู หัวมัน ฯลฯ
  2. คั่วกลิ้ง เป็นผัดเผ็ดที่ใช้เครื่องแกงพริกและสมุนไพรปรุง รสชาติเผ็ดร้อน มักจะใส่เนื้อหมูสับ หรือ ไก่สับ
  3. แกงพริก แกงเผ็ดที่ใช้เครื่องแกงพริกเป็นส่วนผสม เนื้อสัตว์ที่ใช้ปรุงคือ เนื้อหมู กระดูกหมู หรือไก่
  4. แกงป่า แกงเผ็ดที่มีลักษณะที่คล้ายแกงพริกแต่น้ำจะใสกว่า เนื้อสัตว์ที่ใช้ปรุงคือ เนื้อปลา หรือ เนื้อไก่
  5. แกงส้ม หรือแกงเหลืองในภาษากลาง แกงส้มของภาคใต้จะไม่ใส่หัวกระชาย รสชาติจะจัดจ้านกว่าแกงส้มของภาคกลาง และที่สำคัญจะต้องใส่กะปิ
  6. หมูผัดเคยเค็มสะตอ เคยเค็มคือการเอากุ้งเคยมาหมัก ไม่ใช่กะปิ
  7. ปลาต้มส้ม ไม่ใช่แกงเผ็ดแต่เป็นแกงสีเหลืองจากขมิ้น น้ำแกงมีรสชาติเปรี้ยวจากส้มควายและมะขามเปียก

อาหารขึ้นชื่อของชาวมุสลิม

  1. ข้าวยำน้ำบูดู เป็นอาหารพื้นเมืองของชาวมุสลิม ประกอบด้วยข้าวสวยใส่ผักนานาชนิดอย่างเช่น ถั่วฝักยาวซอย ดอกดาหลาซอย ถั่วงอก แตงกวาซอย ใบพลูซอย ใบมะกรูดอ่อนซอย กุ้งแห้งป่น ราดด้วยน้ำบูดู อาจจะโรยพริกป่นตามความต้องการ
  2. กือโป๊ะ เป็นข้าวเกรียบปลาที่มีถิ่นกำเนิดมาจาก 3 จังหวัดชายแดนใต้ (ได้รับอิทธิพลมาจากประเทศมาเลเซีย) มีแบบกรอบซึ่งจะหั่นเป็นแผ่นบางๆแบบข้าวเกรียบทั่วไป แบบนิ่มจะมีลักษณะเป็นแท่ง เวลารับประทานจะเหนียวๆ รับประทานกับน้ำจิ้ม
  3. ไก่ย่าง ไก่ย่างของชาวมุสลิมในภาคใต้นั้น จะมีลักษณะพิเศษคือราดน้ำสีแดงลงไป น้ำสีแดงจะมีรสชาติเผ็ดนิดๆ หวาน เค็ม และกลมกล่อม สามารถหาได้ตามแผงอาหารทั่วไป ตามตลาดนัด หรือตลาดเปิดท้ายทั่วไป
  4. ไก่ทอดหาดใหญ่ จริง ๆ แล้วไก่ทอดหาดใหญ่เป็นไก่ทอดทั่วไป แต่ไก่ทอดหาดใหญ่เป็นไก่ทอดที่ขึ้นชื่อในภาคใต้

อาหารชาววัง

อาหารชาววัง หรือ กับข้าวเจ้านาย คืออาหารที่ประดิษฐ์คิดค้นโดยผู้คนในรั้ววัง มีอัตลักษณ์ที่สำคัญคือ ความอุดมสมบูรณ์และความสดใหม่ของวัตถุดิบในการประกอบอาหาร มีกรรมวิธีในการทำซับซ้อน ประณีต ต้องใช้เวลาและกำลังผู้คนในการทำจำนวนมาก มีลักษณะความแปลกแตกต่าง ความวิจิตรบรรจง รวมถึงมีรสชาติที่นุ่มนวลไม่เผ็ดมาก มีความกลมกล่อมเป็นหลัก องค์ประกอบของอาหารชาววัง ในแต่ละมื้อจะประกอบด้วยอาหารที่มีความหลากหลาย ในสมัยรัชกาลที่ 5 มีประเภทอาหารอย่างน้อยที่สุด 7 ประเภท คือ ข้าวเสวย เครื่องคาว เครื่องเคียงแกง เครื่องเคียงแขก เครื่องเคียงจิ้ม เครื่องเคียงเกาเหลา เครื่องหวาน อาหารมีครบรส คือ เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม เผ็ด อาหารชาววังแตกต่างจากอาหารชาวบ้านคือ การจัดอาหารเป็นชุด หรือ สำรับอาหาร

จากหลักฐานอ้างอิงเดอ ลาลูแบร์ จดบันทึกไว้ว่า อาหารชาววัง คือ อาหารชาวบ้าน แต่มีการนำเสนอที่สวยงาม ไม่มีก้าง ไม่มีกระดูก ต้องเปื่อยนุ่ม ไม่มีของแข็ง ผักก็ต้องพอคำ หากมีเมล็ดก็ต้องนำออก ถ้าเป็นเนื้อสันก็เป็นสันใน กุ้งก็ต้องกุ้งแม่น้ำไม่มีหัว ไม่ใช้ของหมัก ๆ ดอง ๆ หรือของแกงป่า หรือของอะไรที่คาว

อาหารข้างถนน

ดูบทความหลักที่: อาหารข้างถนนในประเทศไทย

ดูเพิ่ม

อ้างอิง

  1. คณะกรรมการเฉพาะกิจจัดทำหนังสือเมืองไทยของเรา เล่ม 2. (2535) เมืองไทยของเรา ฉบับที่สอง. สำนักงานเสริมสร้างเอกลักษณ์ของชาติ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี. ISBN 974-7771-27-6. หน้า 45.
  2. อาหารไทยเก่าสุด 3,000 ปี
  3. ม.ร.ว. ถนัดศรี สวัสดิวัฒน์. ไทยรัฐ 2 กันยายน 2552

อาหารไทย, บทความน, งต, องการเพ, มแหล, งอ, างอ, งเพ, อพ, จน, ความถ, กต, อง, ณสามารถพ, ฒนาบทความน, ได, โดยเพ, มแหล, งอ, างอ, งตามสมควร, เน, อหาท, ขาดแหล, งอ, างอ, งอาจถ, กลบออก, เป, นอาหารประจำของประเทศไทย, การส, งสมและถ, ายทอดมาอย, างต, อเน, องต, งแต, อด, ตจนถ,. bthkhwamniyngtxngkarephimaehlngxangxingephuxphisucnkhwamthuktxng khunsamarthphthnabthkhwamniidodyephimaehlngxangxingtamsmkhwr enuxhathikhadaehlngxangxingxacthuklbxxkxaharithy epnxaharpracakhxngpraethsithy thimikarsngsmaelathaythxdmaxyangtxenuxngtngaetxditcnthungpccubn cnepnexklksnpracachati thuxidwaxaharithyepnwthnthrrmpracachatithisakhykhxngpraethsithy xaharthikhunchuxthisudkhxngkhnithy khux naphrikplathu phrxmkbekhruxngekhiyngthicdmaepnchud 1 yawunesn cakphlkarsarwc 50 xaharthixrxythisudinolkpi 2554 odysiexnexn CNN phlpraktwa xaharithytidhlayxndb idaek smta xndbthi 46 natkhmu xndbthi 19 tmyakung xndbthi 8 aelaaekngmsmn tidxndbthi 1 enuxha 1 cudednkhxngxaharithy 2 cudkaenid 2 1 yukhkxnprawtisastr 2 2 smysuokhthy 2 3 smyxyuthya 2 4 smythnburi 2 5 smyrtnoksinthr 2 5 1 ph s 2325 2394 2 5 2 ph s 2395 pccubn 3 xaharithyphakhtang 3 1 xaharphunbanphakhehnux 3 2 xaharphakhtawnxxkechiyngehnux 3 3 xaharphakhklang 3 4 xaharphakhit 4 xaharchawwng 5 xaharkhangthnn 6 duephim 7 xangxingcudednkhxngxaharithy aekikhkhnithybriophkhkhawepnxaharhlk odyniymkn 2 chnidkhux khawehniywaelakhaweca khnithyphakhxisanaelaphakhehnuxniymkinkhawehniywepnhlk swnkhnithyphakhklangaelaphakhitniymkinkhawecaepnhlk praethsithynnepnpraethsthiphukphnkbsaynamachanan thaihxaharpracakhrwithyprakxbdwyplaesiyepnswnihy thng playang plaping cimnaphrik kinkbphksdthihaidtamhnxngna chaypa hakkinplaimhmdksamarthnamaaeprrupihekbiwidnan imwacaepnplaaehng plaekhm plara plaeca swnxaharrsephdthiidcakphriknn ithyidrbnamaepnekhruxngprungcakbathhlwngchawoprtueksinsmyphranarayn swnxaharpraephthphdifaerng idrbmacakchawcinthixphyphmaxyuinemuxngithyinsmykrungrtnoksinthremuxmikareliyngstwkhayepnxachiphaelamiorngkhastw thaihmikarhaenuxstwmarbprathanmakkhun mikarichekhruxngethshlakchnidephuxchwydbklinkhawkhxngenuxthinamaprungepnxahar ekhruxngethsthikhnithyniymnamaprungxaharpraephthniechn khing krachay thiichdbklinkhawplamanan knamaprayuktkbenuxstwpraephthww khway epnsutrihmkhxngkhnithyidxikdwycudkaenid aekikhxaharithymicudkaenidphrxmkbkartngchnchatiithy aelamikarphthnaxyangtxenuxngmatngaetsmysuokhthycnthungpccubn cakkarsuksakhxng xacarykxbaekw nacphinic mhawithyalyrachphtswndusit eruxngkhwamepnmakhxngxaharithyyukhtang srupiddngni yukhkxnprawtisastr aekikh cakhlkthanthiphbinchxngthxngkhxngsphphuhying xayuraw 3 000 pi thibanokhkphnmdi xaephxphnsnikhm cnghwdchlburi phbkhawepluxk kraduk ekldaelakangplahmx nxkcakniyngphbsakplachxnthngtwkhdxyuinhmxdinepha thitablphlsngkhram xaephxonnsung cnghwdnkhrrachsima mixayuimnxykwa 3 000 pi thaihehnwakhnithyemux 3 000 pi kxn kinkhawaelaplaepnxahar 2 smysuokhthy aekikh xaharithyinsmysuokhthyidxasyhlkthancaksilacaruk aelawrrnkhdi sakhykhux itrphumiphrarwngkhxngphyaliith thiidklawthungxaharithyinsmyniwa mikhawepnxaharhlk odykinrwmknkbenuxstw thiswnihyidmacakpla mienuxstwxunbang kinphlimepnkhxnghwan karprungxaharidpraktkhawa aekng in itrphumiphrarwngthiepnthimakhxngkhawa khawhmxaeknghmx phkthiklawthunginsilacaruk khux aefng aetng aelanaeta swnxaharhwankichwtthudibphunban echn khawtxk aelanaphung swnhnungniymkinphlimaethnxaharhwan smyxyuthya aekikh smynithuxwaepnyukhthxngkhxngithy idmikartidtxkbchawtangpraethsmakkhunthngchawtawntkaelatawnxxk cakbnthukexksarkhxngchawtangpraeths phbwakhnithykinxaharaebberiybngay yngkhngmiplaepnhlk mitm aekng aelakhadwamikarichnamninkarprakxbxaharaetepnnamncakmaphrawaelakathimakkwaikhmnhruxnamncakstwmathaxaharxyuthyamiechn hnxnkathi withithakhux tdtnmaphraw aelwexahnxnthixyuintnnnmaihkinkathiaelwknamathxdkklayepnxaharchawwngkhun khnithysmynimikarthnxmxahar echnkarnaiptakaehng hruxthaepnplaekhm mixaharpraephthekhruxngcim echnnaphrikkapi niymbriophkhstwnamakkwastwbk odyechphaastwihy imniymnamakhaephuxichepnxahar idmikarklawthungaekngplatang thiichekhruxngeths echn aekngthiishwhxm kraethiym smuniphrhwan aelaekhruxngethsaerng thikhadwanamaichprakxbxaharephuxdbklinkhawkhxngenuxpla hlkthancakkarbnthukkhxngbathhlwngchawtangchatithiaesdngihehnwaxaharkhxngchatitang erimekhamamakkhuninsmedcphranarayn echn yipun oprtueks ehlaxnguncaksepn epxresiy aelafrngess sahrbxiththiphlkhxngxaharcinnnkhadwaerimmimakkhuninchwngyukhkrungsrixyuthyatxnplaythiithytdsmphnthkbchatitawntk dngnncungklawidwaxaharithyinsmyxyuthya idrbexawthnthrrmcakxahartangchati odyphanthangkarmismphnthimtrithngthangkarthutaelathangkarkhakbpraethstang aelacakhlkthanthipraktthangprawtisastrwaxahartangchatiswnihyaephrhlayxyuinrachsank txmacungkracaysuprachachn aelaklmklunklayepnxaharithyipinthisud smythnburi aekikh cakhlkthanthipraktinhnngsuxaemkhrwhwpak sungepntarakarthakbkhawelmthi 2 khxngithy khxngthanphuhyingepliyn phaskrwngs phbkhwamtxenuxngkhxngwthnthrrmxaharithycakkrungsuokhthymathungsmyxyuthya aelasmykrungthnburi aelayngechuxwaesnthangxaharithykhngcaechuxmcakkrungthnburiipyngsmyrtnoksinthr odyphanthanghnathirachkaraelasngkhmekhruxyati aelaxaharithysmykrungthnburinacakhlaykhlungkbsmyxyuthya aetthiphiessephimetimkhuxmixaharpracachaticin smyrtnoksinthr aekikh karsuksakhwamepnmakhxngxaharithyinyukhrtnoksinthrniidcaaenktamyukhsmythinkprawtisastridkahndiw khux yukhthi 1 tngaetsmy rchkalthi 1 cnthungrchkalthi 3 aelayukhthi 2 tngaetsmyrchkalthi 4 cnthungrchkalpccubn dngni ph s 2325 2394 aekikh xaharithyinyukhniepnlksnaediywknkbsmythnburi aetmixaharithyephimkhunxik 1 praephth khux nxkcakmixaharkhaw xaharhwanaelwyngmixaharwangephimkhun inchwngnixaharithyidrbxiththiphlcakwthnthrrmxaharkhxngpraethscinmakkhun aelamikarprbepliynepnxaharithy inthisud cakcdhmaykhwamthrngcakhxngkrmhlwngnrinthrethwi thiklawthungekhruxngtngsarbkhawhwankhxngphrasngkh inngansmophchn phraphuththmnirtnmhaptimakr phraaekwmrkt idaesdngihehnwaraykarxaharnxkcakcamixaharithy echn phk naphrik plaaehng hnximphd aelwyngmixaharthiprungdwyekhruxngethsaebbxislam aelamixaharcinodysngektcakkarichhmuepnswnprakxb enuxngcakhmuepnxaharthikhnithyimniym aetkhncinniymbthphrarachniphnthkaphyeheruxchmekhruxngkhawhwan khxngphrabathsmedcphraphuththelishlanphalyidthrngklawthungxaharkhawaelaxaharhwanhlaychnid sungidsathxnphaphkhxngxaharithyinrachsankthichdecnthisud sungaesdngihehnlksnakhxngxaharithyinrachsankthimikarprungklin aelarsxyangpranit aelaihkhwamsakhykhxngrschatixaharmakepnphiess aelathuxwaepnyukhsmythimisilpakarprakxbxaharthikhxnkhangsmburnthisud thngrs klin si aelakartkaetngihswyngamrwmthngmikarphthnaxaharnanachatiihepnxaharithycakbthphrarachniphnththaihidraylaexiydthiekiywkbkaraebngpraephthkhxngxaharkhawhruxkbkhawaelaxaharwang swnthiepnxaharkhawidaek aekngchnidtang ekhruxngcim yatang sahrbxaharwangswnihyepnxaharwangkhaw idaek hmuaenm laetiyng hrum rngnk swnxaharhwanswnihyepnxaharthithadwyaepngaelaikhepnswnihy mikhnmthimilksnaxbkrxb echn khnmphing khnmlaeciyk aelamikhnmthiminahwanaelakathiecuxxyudwy idaek sahrim bwlxy epntnnxkcakni wrrnkhdiithy eruxngkhunchangkhunaephn sungthuxwaepnwrrnkhdithisathxnwithichiwitkhxngkhninyukhnnxyangmakrwmthngeruxngxaharkarkinkhxngchawban phbwamikhwamniymkhnmcinnaya aelamikarkinkhawepnxaharhlk rwmkbkbkhawpraephthtang idaek aekng tm ya aelakhw xaharmikhwamhlakhlaymakkhunthngchnidkhxngxaharkhaw aelaxaharhwan ph s 2395 pccubn aekikh tngaetsmyrchkalthi 4 praethsithymikarphthnaxyangmak aelamikartngorngphimphaehngaerkinpraethsithy dngnn tarbxaharkarkinkhxngithyerimmikarbnthukmakkhun odyechphaainsmyrchkalthi 5 echninbthphrarachniphntheruxngiklban cdhmayehtu esdcpraphastn epntn aelayngmibnthuktang odyphankarbxkelasubthxdthangekhruxyati aelabnthukthiepnthangkarxun sungkhxmulehlaniidsathxnihehnlksnakhxngxaharithy thimikhwamhlakhlaythngthiepn kbkhawxaharcanediyw xaharwang xaharhwan aelaxaharnanachati thngthiepnwithiprungkhxngrachsank aelawithiprungaebbchawbanthisubthxdmacnthungpccubn aetepnthinasngektwaxaharithybangchnidinpccubnidmiwithikarprunghruxswnprakxbkhxngxaharphidephiynipcakkhxngdngedim cungthaihrschatikhxngxaharimichtarbdngedim aelakhadkhwampranitthinacathuxwaepnexklksnthisakhykhxngxaharithyxaharithyphakhtang aekikhxaharphunbanphakhehnux aekikh xaharithyphakhehnuxcakranxaharinechiyngihm phakhehnuxrwm 17 cnghwdprakxbdwyphuminiewsnthihlakhlayphrxmdwychatiphnthutang thitngthinthaninphunthirablum thidxn aelathiphuekhasunginkardarngchiph kartngthinthankhxngchawithyphunrabsungepnchatiphnthuswnihycakracuktwxyuthiphunthilumbriewnaemnasayihy echn ping wng ym nankhxnglumnaecaphrayatxnbn aela xing law khxnglumnaokhng miwithichiwitphukphnkbwthnthrrmkarplukkhawodychawithyphunrabphakhehnuxtxnbn 9 cnghwd echiyngihm echiyngray lapang laphun aemhxngsxn phaeya xutrditth aephr nan miwthnthrrmkarphlitaelakarbriophkhkhawehniywepnhlkxaharkhxngkhnehnuxcamikhwamngdngam ephraadwynisykhnehnuxcamikriyathiaechmchxy cungsngphltxxahar odymakmkcaepnphk xaharphakhtawnxxkechiyngehnux aekikh prachakrinphakhtawnxxkechiyngehnuxmihlakhlaychatiphnthu enuxngcakphakhxisanmiphunthiihysudkhxngpraeths phukhnmiwithichiwitphuktidkbthrphyakrthrrmchatithiaetktanghlakhlay thnginekhtthirab inaexngokhrachaelaaexngsklnkhr xasylanasakhyyngchiph echn chi mul sngkhram okhng khan ely hmn phxng phrm ka ehuxng phraephling latakhxng laechiyngikr esin paw yng khnchu xun echingikr playmas odmihy odmnxy naesiyw esbay mulnxy epntn aelachumchnthixasyinekhtphuekha odyechphaaxyangyingethuxkekhaphuphanaelaethuxkekhaephchrburn sungkhwamaetktangkhxngthrphyakrthrrmchatimak thaihrabbxaharaelarupaebbkarcdkarxaharkhxngchumchnaetktangknaelamicanwnhlakhlaykwaphumiphakhxun aetediminchwngthithrphyakrthrrmchatiyngxudmsmburn xaharcakthrrmchatimikhwamhlakhlayaelaxudmsmburnmak chawbanniymhaxaharcakaehlngxaharthrrmchatiethathicaepnthicabriophkhinaetlawn echn karhaplacakaemnaimcaepntxngcbplamakhngthrmaniw hakwnidcbidmakknamaaeprrupepnpaaedkhruxplara plaaehng plaekhm napla nathiekidcakhnakhxngpaaedk iwbriophkh enuxngcakphakhxisanmiaehlngekluxthrrmchatiepnkhxngtnexng sngphlihchawbanphungphaxaharcaktladnxy chawbancaplukthukxyangthikin kinthukxyangthipluk swnhlngbanmibthbathsakhyinthanaepnaehlngxaharpracakhrweruxn chawbanmithankhidsakhyekiywkbkarphlitxahar khux phlitihephiyngphxtxkarbriophkh miehluxaebngpnihyatiphinxng ephuxnbanaelathabuyinsasnaxaharxisanepnxnhnungxnediywknkbxaharkhxngpraethssatharnrthprachathipityprachachnlaw aelabriewnxisanitmilksnaxaharrwmknkbrachxanackrkmphucha enuxngcakphakhxisanthng 2 swnepnklumekhruxkhaychatiphnthuediywknkbthng 2 praeths chawxisanrbprathanthngkhawehniywaelakhawcaw khawehniywepnxaharhlkkhxngprachakrswnihy swnchawxisanitnnrbprathankhawecaepnxaharhlk xaharxisanmihlakhlayrschatithngephdcd echn aecwhmakephd tahmakhung ephdnxy echn aeknghxy ekhmmak echn paaedk aecwbxng ekhmnxy echn aekngehd hwanmak echn hlnhmaknd hwannxy echn xxmenux epriywmak echn tmsm epriywnxy echn labenux cud aelakhm echn aekngkhiehlk aecwephiy bangchnidmikarphsmrschadthngephdekhmepriywhwanekhadwykn echn hlnpaaedk tahmakhung tasw xaharxisanmikrrmwithikarprungaelakarthahlakhlayrupaebb idaek kxy aekng kwn ekhapun ekhaaepha khw aecw cu ca ci cam sxy aes sa sub saw skelk dxng dang dad tm ta tak thxd ehniyn nung natk pin ping phd efx ephiy phn hmk emiyng hmi hma hmk mun hmxnxy ya yang hx lab hlam lwn lwk eluxdaepng sm iskxk xu exaa xxm xb hm aelamithngpraephththichawxisankhidkhnkhunexngkbpraephththirbxiththiphlcakphaynxkthngtawntkaelaexechiy echn law ewiydnam kmphucha cin frngess xngkvs phakhehnuxkhxngithyaelaphakhklangkhxngithy swnekhruxngaekm aenm xaharcaphwkphknnchawxisanniymthngphksd phktm phklwk phkaehng phkdxng rwmthungphlimbangpraephthksamarthnamaaeklmid xyangirktam xaharxisanidkhyayxiththiphltxphumiphakhxun khxngpraethscnidrbkhwamniymxyangmak xathi tahmakhunghruxsmhmakhung smta natk lab kxy xxm aekngxxm khxhmuyang pingik ikyang aeknghnxim subhnxim esuxrxngih sinaehng enuxaeddediyw tmaesb iskrxkxisan tbhwan lwkcimaecw paaedkbxng naphrikplara tbhwan ekhiybhmu aekhbhmu ekhapun khnmcin aecwhxn cimcum epntn xaharphakhklang aekikh lksnaxaharphunbanphakhklangmithimatangkndngni idrbxiththiphlcaktangpraeths echn ekhruxngaekng aekngkathi camacakchawhindu karphdodyichkrathaaelanamnmacakpraethscinhruxkhnmebuxngithy ddaeplngmacak khnmebuxngywn khnmhwanpraephththxnghyib thxnghyxdrbxiththiphlcakpraethsthangtawntk epntn epnxaharthimkmikarpradisth odyechphaaxaharcakinwngthimikarkhidsrangsrrkhxaharihelisrs wicitrbrrcng echn khnmchxmwng camngkud hrum lukchub kraechasida thxnghyib hruxxaharpraephthkhawaech phk phlimaekaslk epnxaharthimkcamiekhruxngekhiyng khxngaenm echn naphriklngerux txngaenmdwyhmuhwanaekngkathi aenmdwyplaekhm saedanaplahwanktxngkhu kbkungnunghruxpladukyang plaslidthxdrbprathankbnaphrikmamwng hruxikhekhmthimkcarbprathankbnaphriklngerux naphrikmakhamsdhruxnaphrikmamwng nxkcakniyngmikhxngaehnmxikhlaychnid echn phkdxng khingdxng hxmaedngdxng epntn epnphakhthimixaharwang aelakhnmhwanmakmay echn khawekriybpakhmx krathngthxng khangkhawephuxk pnkhlibnung iskrxkplaaenm khawtnghnatngxaharphakhit aekikh phakhitmiphumipraethsepnthael chawitniymichkapiinkarprakxbxahar xaharthiprunginkhrweruxnkehmuxnkbxaharithythwip aetrschaticacdcankwa xaharitimidmiephiyngaekhkhwamephdcakphrikaetyngichphrikithyephimkhwamephdrxnxikdwy aelaenuxngcakphakhitmichawmuslimepncanwnmak tamcnghwdchayaednitkidmixaharthiaetktangknip twxyangxaharitthikhunchuxidaek aekngitpla itpla thacakekhruxnginplaphankrmwithikarhmkdxng karthaaekngitplanncaisitplaaelaekhruxngaekngphrik issmuniphrlngip enuxplaaehng hnximsd bangsutris fkthxng thwphlu hwmn l khwkling epnphdephdthiichekhruxngaekngphrikaelasmuniphrprung rschatiephdrxn mkcaisenuxhmusb hrux iksb aekngphrik aekngephdthiichekhruxngaekngphrikepnswnphsm enuxstwthiichprungkhux enuxhmu kradukhmu hruxik aekngpa aekngephdthimilksnathikhlayaekngphrikaetnacaiskwa enuxstwthiichprungkhux enuxpla hrux enuxik aekngsm hruxaekngehluxnginphasaklang aekngsmkhxngphakhitcaimishwkrachay rschaticacdcankwaaekngsmkhxngphakhklang aelathisakhycatxngiskapi hmuphdekhyekhmsatx ekhyekhmkhuxkarexakungekhymahmk imichkapi platmsm imichaekngephdaetepnaekngsiehluxngcakkhmin naaekngmirschatiepriywcaksmkhwayaelamakhamepiykxaharkhunchuxkhxngchawmuslim khawyanabudu epnxaharphunemuxngkhxngchawmuslim prakxbdwykhawswyisphknanachnidxyangechn thwfkyawsxy dxkdahlasxy thwngxk aetngkwasxy ibphlusxy ibmakrudxxnsxy kungaehngpn raddwynabudu xaccaoryphrikpntamkhwamtxngkar kuxopa epnkhawekriybplathimithinkaenidmacak 3 cnghwdchayaednit idrbxiththiphlmacakpraethsmaelesiy miaebbkrxbsungcahnepnaephnbangaebbkhawekriybthwip aebbnimcamilksnaepnaethng ewlarbprathancaehniyw rbprathankbnacim ikyang ikyangkhxngchawmusliminphakhitnn camilksnaphiesskhuxradnasiaednglngip nasiaedngcamirschatiephdnid hwan ekhm aelaklmklxm samarthhaidtamaephngxaharthwip tamtladnd hruxtladepidthaythwip ikthxdhadihy cring aelwikthxdhadihyepnikthxdthwip aetikthxdhadihyepnikthxdthikhunchuxinphakhitxaharchawwng aekikhxaharchawwng hrux kbkhawecanay khuxxaharthipradisthkhidkhnodyphukhninrwwng mixtlksnthisakhykhux khwamxudmsmburnaelakhwamsdihmkhxngwtthudibinkarprakxbxahar mikrrmwithiinkarthasbsxn pranit txngichewlaaelakalngphukhninkarthacanwnmak milksnakhwamaeplkaetktang khwamwicitrbrrcng rwmthungmirschatithinumnwlimephdmak mikhwamklmklxmepnhlk xngkhprakxbkhxngxaharchawwng inaetlamuxcaprakxbdwyxaharthimikhwamhlakhlay insmyrchkalthi 5 mipraephthxaharxyangnxythisud 7 praephth khux khaweswy ekhruxngkhaw ekhruxngekhiyngaekng ekhruxngekhiyngaekhk ekhruxngekhiyngcim ekhruxngekhiyngekaehla ekhruxnghwan xaharmikhrbrs khux epriyw hwan mn ekhm ephd xaharchawwngaetktangcakxaharchawbankhux karcdxaharepnchud hrux sarbxaharcakhlkthanxangxingedx laluaebr cdbnthukiwwa xaharchawwng khux xaharchawban aetmikarnaesnxthiswyngam immikang immikraduk txngepuxynum immikhxngaekhng phkktxngphxkha hakmiemldktxngnaxxk 3 thaepnenuxsnkepnsnin kungktxngkungaemnaimmihw imichkhxnghmk dxng hruxkhxngaekngpa hruxkhxngxairthikhawxaharkhangthnn aekikhdubthkhwamhlkthi xaharkhangthnninpraethsithyduephim aekikhkhnmithyxangxing aekikhkhxmmxns miphaphaelasuxekiywkb xaharithy khnakrrmkarechphaakiccdthahnngsuxemuxngithykhxngera elm 2 2535 emuxngithykhxngera chbbthisxng sanknganesrimsrangexklksnkhxngchati sankelkhathikarnaykrthmntri ISBN 974 7771 27 6 hna 45 xaharithyekasud 3 000 pi m r w thndsri swsdiwthn ithyrth 2 knyayn 2552ekhathungcak https th wikipedia org w index php title xaharithy amp oldid 9508906, wikipedia, วิกิ หนังสือ, หนังสือ, ห้องสมุด,

บทความ

, อ่าน, ดาวน์โหลด, ฟรี, ดาวน์โหลดฟรี, mp3, วิดีโอ, mp4, 3gp, jpg, jpeg, gif, png, รูปภาพ, เพลง, เพลง, หนัง, หนังสือ, เกม, เกม