ฟุตบอลทีมชาติอิตาลี
ฟุตบอลทีมชาติอิตาลี (อิตาลี: Nazionale italiana di calcio) เป็นตัวแทนทีมฟุตบอลจากประเทศอิตาลี อยู่ภายใต้การดูแลของสมาพันธ์ฟุตบอลอิตาลี อิตาลีเป็นหนึ่งในชาติที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในการแข่งขันนานาชาติ โดยชนะเลิศการแข่งขันฟุตบอลโลก 4 สมัยในปี 1934, 1938, 1982 และ 2006 และฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2 สมัยในปี 1968 และ 2020 และยังได้เหรียญทองฟุตบอลในโอลิมปิกฤดูร้อนปี 1936 และยังเป็นชาติแรกที่ชนะเลิศฟุตบอลโลกได้สองสมัยติดต่อกัน
ฉายา | Gli Azzurri (The Blues) ทีมมักกะโรนี (ฉายาในภาษาไทย) |
---|---|
สมาคม | สมาพันธ์ฟุตบอลอิตาลี (Federazione Italiana Giuoco Calcio – FIGC) |
สมาพันธ์ | ยูฟ่า (ยุโรป) |
หัวหน้าผู้ฝึกสอน | โรแบร์โต มันชีนี |
กัปตัน | จันลุยจี บุฟฟอน |
ติดทีมชาติสูงสุด | จันลุยจี บุฟฟอน (176) |
ทำประตูสูงสุด | ลุยจี รีวา (35) |
รหัสฟีฟ่า | ITA |
อันดับฟีฟ่า | |
อันดับปัจจุบัน | 7 (27 พฤษภาคม 2021) |
อันดับสูงสุด | 1 (พฤศจิกายน ค.ศ. 1993, กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2007, เมษายน–มิถุนายน ค.ศ. 2007, กันยายน ค.ศ. 2007) |
อันดับต่ำสุด | 17 (กรกฎาคม ค.ศ. 2015, ตุลาคม ค.ศ. 2015, กันยายน ค.ศ. 2017) |
เกมระดับนานาชาติครั้งแรก | |
อิตาลี 6–2 ฝรั่งเศส (มิลาน, อิตาลี; 15 พฤษภาคม ค.ศ. 1910) | |
ชนะสูงสุด | |
อิตาลี 9–0 สหรัฐ (เบรนต์ฟอร์ด, อังกฤษ; 2 สิงหาคม ค.ศ. 1948) | |
แพ้สูงสุด | |
ฮังการี 7–1 อิตาลี (บูดาเปสต์, ฮังการี; 6 เมษายน ค.ศ. 1924) | |
ฟุตบอลโลก | |
เข้าร่วม | 18 (ครั้งแรกใน 1934) |
ผลงานดีที่สุด | ชนะเลิศ (1934, 1938, 1982 และ 2006) |
ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป | |
เข้าร่วม | 9 (ครั้งแรกใน 1968) |
ผลงานดีที่สุด | ชนะเลิศ (1968, 2020) |
คอนเฟเดอเรชันส์คัพ | |
เข้าร่วม | 2 (ครั้งแรกใน 2009) |
ผลงานดีที่สุด | อันดับที่สาม (2013) |
สีประจำทีมอิตาลีคือสีฟ้าอ่อน (และเป็นสีที่ใช้ประจำทีมชาติในหลายกีฬายกเว้นการแข่งขันรถ) ซึ่งในภาษาอิตาลีคือ อัซซูโร (azzurro) และเป็นสีประจำราชวงศ์ของอิตาลีในอดีต และเป็นที่มาของชื่อเล่นของทีมว่า "อัซซูร์รี" (Azzurri)
ทีมชาติอิตาลีอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสมาคมฟุตบอลอิตาลี (ก่อตั้งใน ค.ศ. 1898) มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองฟลอเรนซ์ ปัจจุบันมีผู้จัดการทีมคือ โรแบร์โต มันชีนี อิตาลีถือเป็นคู่ปรับสำคัญของทีมชาติเยอรมนี, ทีมชาติบราซิล, ทีมชาติอาร์เจนตินา, ทีมชาติสเปนและทีมชาติฝรั่งเศส และถือเป็นหนึ่งในชาติที่เป็นศูนย์รวมนักเตะระดับโลกมาอย่างยาวนาน
ประวัติ
ยุคแรกของการก่อตั้งและแชมป์โลกสองสมัยแรก (1899-1938)
การรวมตัวกันของทีมชาติอิตาลีชุดใหญ่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 30 เมษายน ปี 1899 ในการพบกับทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์ในนัดกระชับมิตร ณ เมืองตูริน ซึ่งอิตาลีแพ้ไป 0-2
การแข่งขันทางการครั้งแรกได้จัดขึ้นที่มิลานเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม ปี 1910 อิตาลีเอาชนะฝรั่งเศส 6–2 โดยที่ปิเอโตร ลานา เป็นผู้ทำประตูแรกอย่างเป็นทางการของอิตาลี ทีมอิตาลีเล่นด้วยระบบ (2–3–5) ประกอบด้วย: เด ซิโมนี; วาริสโก, กาลี; เตรเร, ฟอสซาติ, คาเปลโล; เดเบอร์นาดี้, ริซซี่, เซเวนีนี่ ที่ 1, ลาน่า, โบย็อกกี้ และมีกัปตันทีมคนแรกคือ ฟรานเชสโก กัลลี
ความสำเร็จครั้งแรกในรายการใหญ่ของพวกเขาคือการคว้าเหรียญทองแดงในกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนปี 1928 ณ กรุง อัมส์เตอร์ดัม หลังจากแพ้ให้กับทีมชาติอุรุกวัยในรอบรองชนะเลิศพวกเขาสามารถเอาชนะทีมชาติอียิปต์ได้ถึง 11-3 ต่อมาในการแข่งขันรายการ Central European International Cup ในปี 1930 และ1935 อิตาลีได้อันดับที่หนึ่งจากคู่แข่งห้าทีมที่ลงแข่งขันคว้าแชมป์ไปได้ทั้งสองสมัย ตามด้วยความสำเร็จในกีฬาโอลิมปิกอีกครั้งจากการคว้าเหรีญทองในปี 1936 โดยเอาชนะทีมชาติออสเตรียไปได้ 2-1
ภายหลังจากที่อิตาลีปฏิเสธคำเชิญในการเข้าร่วมฟุตบอลโลก 1930 พวกเขาได้เข้าร่วมการแข่งขันในปี 1934 และ1938 ภายใต้การดูแลของ วิตโตรีโอ ปอซโซ ผู้จัดการทีม และการนำทัพของ จูเซปเป เมอัซซา อิตาลีลงแข่งขันฟุตบอลโลก 1934 และนัดแรกอย่างเป็นทางการของพวกเขาคือการถล่มเอาชนะทีมชาติสหรัฐอเมริกา 7-1 ที่กรุงโรม พวกเขาผ่านเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศและเอาชนะเชโกสโลวาเกีย ได้ 2-1 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ จากการทำประตูของ ไรมันโด ออร์ซี และแอนเจโล่ สเกียวีโอ คว้าแชมป์โลกได้เป็นสมัยแรก
ต่อมาในฟุตบอลโลก 1938 พวกเขาป้องกันแชมป์เอาไว้ได้ โดยเอาชนะฮังการีในรอบชิงชนะเลิศ 4-2 จากการทำประตูของ จีโน่ คอลาอุสซี่ และซิลวิโอ ปิโอลา คนละสองประตู ถือเป็นแชมป์ฟุตบอลโลกสมัยที่สองของพวกเขาและอิตาลีถือเป็นเป็นชาติแรกที่สามารถป้องกันแชมป์ฟุตบอลโลกได้ โดยก่อนการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศจะเริ่มต้นขึ้น เบนิโต มุสโสลินี นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นได้ส่งโทรเลขอวยพรผู้เล่นทุกคนให้นำถ้วยรางวัลกลับมาประเทศให้ได้อีกครั้ง
ยุคแห่งความตกต่ำหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง (1946-1966)
ในปี 1949 ซึ่งเป็นช่วงที่กีฬาฟุตบอลทั่วโลกได้รับผลกระทบจากสงครามโลกครั้งที่สอง ผู้เล่น 10 คนจาก 11 คนในกลุ่มผู้เล่นยุคก่อตั้งของทีมชาติได้เสียชีวิตลงจากอุบัติเหตุเครื่องบินตก โดยหลายคนเป็นผู้เล่นคนสำคัญจากสโมสรโตริโนซึ่งชนะการแข่งขันลีกสูงสุด (เซเรียอา) มา 5 สมัยติดต่อกัน ส่งผลให้อิตาลีไม่ผ่านรอบแรกในฟุตบอลโลก 1950 ในช่วงเวลาดังกล่าวนักเตะและทีมงานทุกคนจะเดินทางด้วยเรือแทนการนั่งเครื่องบิน เนื่องจากเกรงว่าจะเกิดเหตุเศร้าสลดขึ้นอีกครั้ง
อิตาลียังต้องพบความช่วงเวลาที่ยากลำบากอย่างต่อเนื่อง โดยในการแข่งขันฟุตบอลโลก 1954 พวกไม่ผ่านรอบแรกตามด้วยการไม่ผ่านรอบคัดเลือกในฟุตบอลโลก 1958 และตกรอบแรกอีกครั้งในฟุตบอลโลก 1962 และพวกเขาไม่ได้เข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปที่จัดขึ้นเป็นครั้งแรกในปี 1960 ตามด้วยการตกรอบแรกในปี 1964 โดยแพ้สหภาพโซเวียต
ในการแข่งขันฟุตบอลโลก 1966 ณ ประเทศอังกฤษ พวกเขาตกรอบแรกอีกครั้งโดยแพ้ให้กับทีมชาติเกาหลีเหนือในนัดสุดท้ายของรอบแบ่งกลุ่มไปอย่างเหนือความคามดหมาย และไม่ชนะทีมใดเลยตลอดการแข่งขัน แม้ว่าในทีมชุดนั้นจะมีผู้เล่นอย่าง จานนี ริเวรา (Gianni Rivera) กองหลังชื่อดังจากสโมสร เอซี มิลาน และจาโกโม บุลกาเรลลี่ (Giacomo Bulgarelli) กองกลางจากสโมสรโบโลญญา เมื่อเดินทางกลับถึงประเทศ แฟนบอลอิตาลีที่ไม่พอใจกับผลงานของทีมต่างพากันมารอที่สนามบินและขว้างปาสิ่งของและผลไม้ใส่ผู้เล่น โดยก่อนการแข่งขันจะเริ่มต้นอิตาลีได้รับการคาดหมายว่าจะทำผลงานได้ดีเนื่องจากเป็นช่วงที่เริ่มฟื้นตัวขึ้นมาได้ภายหลังจากโศกนาฎกรรมในปี 1949
แชมป์ยุโรปสมัยแรกและรองแชมป์โลก (1968-1974)
อิตาลีเข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลยูโรสมัยแรกของพวกเขาในปี 1968 ในฐานะเจ้าภาพและสามารถคว้าแชมป์ได้ทันที โดยถือเป็นแชมป์รายการใหญ่ครั้งแรกในรอบ 30 ปี นับจากพวกเขาคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 1938 และถือเป็นการยุติช่วงเวลาอันเลวร้ายตลอดระยะเวลาร่วม 20 ปีหลังจากเหตุการณ์ในปี 1949 พวกเขาเอาชนะยูโกสลาเวียได้ในรอบชิงชนะเลิศซึ่งแข่งขันกันที่กรุงโรมซึ่งในขณะนั้นยังไม่มีการแข่งขันช่วงต่อเวลาพิเศษหรือการยิงจุดโทษตัดสิน และต้องเล่นนัดที่สองหลังจากเสมอกันในนัดแรก 1-1 และอิตาลีสามารถเอาชนะได้ 2-0 จากการทำประตูของ ลุยจิ ริวา (Luigi Riva) และปีเอโตร อนาสตาซี (Pietro Anastasi)
ถัดมาในการแข่งขันฟุตบอลโลก 1970 ณ ประเทศเม็กซิโก อิตาลีซึ่งประกอบไปด้วยผู้เล่นชื่อดังจากชุดแชมป์ยุโรปในปี 1968 หลายรายประกอบไปด้วย จาชินโต้ ฟัคเค็ตติ (Giacinto Facchetti), ลุยจิ ริวา, ปีเอโตร อนาสตาซี และโรแบร์โต โบนินเซญา (Roberto Boninsegna) สามารถพาทีมผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้ โดยเป็นการเข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลโลกเป็นครั้งแรกในรอบ 32 ปี พวกเขาเอาชนะทีมชาติเยอรมนีในรอบรองชนะเลิศมาได้ 4-3 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ ซึ่งในนัดดังกล่าวถือเป็นการแข่งขันครั้งประวัติศาสตร์โดย 5 จาก 7 ประตูได้เกิดขึ้นในช่วงต่อเวลาพิเศษ และได้รับการยกย่องว่าเป็น "การแข่งขันแห่งศตวรรษ" (Game of the century) อย่างไรก็ตาม อิตาลีต้องแพ้ให้กับบราซิลอย่างยับเยินในรอบชิงชนะเลิศ 1-4
ในฟุตบอลโลก 1974 อิตาลีทำผลงานได้อย่างน่าผิดหวังโดยตกรอบแรกหลังจากแพ้ทีมชาติโปแลนด์
สายเลือดใหม่และแชมป์โลกสมัยที่สาม (1978-1986)
ในการแข่งขันฟุตบอลโลก 1978 ณ ประเทศอาร์เจนตินา ทีมชาติอิตาลีในยุคนั้นประกอบไปด้วยผู้เล่นหน้าใหม่รายหลาย ที่โดดเด่นที่สุดได้แก่ เปาโล รอสซี (Paolo Rossi) ซึ่งติดทีมชาติชุดใหญ่ครั้งแรก โดยอิตาลีเป็นทีมเดียวในการแข่งขันที่สามารถเอาชนะอาร์เจนตินาซึ่งเป็นแชมป์ในครั้งนั้นได้ อิตาลีจบการแข่งขันด้วยการคว้าอันดับที่สี่ โดยแพ้ให้กับบราซิล 1-2 ในนัดชิงอันดับสาม
อิตาลีลงแข่งขันยูโร 1980 ในฐานะเจ้าภาพ หลังจากเสมอกับสเปนและเบลเยียมตามด้วยการเอาชนะอังกฤษ พวกเขาแพ้ให้กับเชโกสโลวาเกียในนัดชิงอันดับสามจากการดวลจุดโทษ
ต่อมาในฟุตบอลโลก 1982 ณ ประเทศสเปน ทีมชาติอิตาลีต้องประสบกับปัญหาหลายอย่างจากการแข่งขันในประเทศ เนื่องด้วยผู้เล่นทีมชาติบางคน เช่น เปาโล รอสซี ถูกดำเนินคดีในข้อหาล้มบอล อิตาลีผ่านเข้าสู่รอบที่สองได้และหลังจากถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากเหตุอื้อฉาวในประเทศ พวกเขาตัดสินใจงดให้สัมภาษณ์กับสื่อ โดยมีเพียงผู้จัดการทีม เอนโซ แบร์ซอต (Enzo Bearzot) และกัปตันทีม ดีโน ซอฟฟ์ (Dino Zoff) ที่ได้รับการแต่งตั้งให้พูดกับสื่อมวลชน
ในรอบที่สองซึ่งเป็นการแข่งขันแบบแบ่งกลุ่มอีกครั้ง อิตาลีอยู่ร่วมกลุ่มกับบราซิลและอาร์เจนตินา พวกเขาเริ่มต้นด้วยการเอาชนะอาร์เจนตินาได้ 2-1 และในนัดที่สองหลังจากบราซิลเอาชนะอาร์เจนตินาได้และต้องมาพบกับอิตาลี เกมจบลงด้วยชัยชนะของอิตาลี 3-2 จากการทำแฮตทริกของ เปาโล รอสซี ซึ่งนัดนั้นได้รับการยกย่องให้เป็นการแข่งขันที่สนุกที่สุดครั้งหนึ่งในฟุตบอลโลก อิตาลีผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศและเอาชนะโปแลนด์ได้ 2-1
ในรอบชิงชนะเลิศ อิตาลีพบกับเยอรมนีตะวันตกซึ่งผ่านเข้ารอบมาด้วยการยิงจุดโทษชนะฝรั่งเศส ครึ่งแรกจบลงโดยยังไม่มีประตู และในช่วงครึ่งหลัง เปาโล รอสซี ยิงประตูแรกให้กับอิตาลีได้ และในขณะที่เยอรมนีโหมบุกอย่างหนัก มาร์โก ทาร์เดลลี และอเลสซานโดร อัลโตเบลลี ได้ทำเพิ่มอีกสองประตูจากจังหวะสวนกลับก่อนที่ พอล ไบรท์เนอร์จะทำประตูปลอบใจให้กับเยอรมนีตะวันตก เกมจบลงด้วยชัยชนะ 3-1 ของอิตาลีและเป็นการคว้าแชมป์โลกเป็นสมัยที่สาม เปาโล รอสซี คว้ารางวัลรองเท้าทองคำโดยทำได้ 6 ประตู รวมทั้งรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งการแข่งขัน และดีโน ซอฟฟ์ ผู้รักษาประตูและกัปตันทีมทำสถิติเป็นผู้เล่นที่อายุมากที่สุดที่คว้าแชมป์โลกได้ด้วยวัย 40 ปี
อิตาลีไม่ผ่านรอบคัดเลือกในการแข่งขันฟุตบอลยูโร 1984 ต่อมาพวกเขาเดินทางไปป้องกันแชมป์ในฟุตบอลโลก 1986 ที่ประเทศเม็กซิโก แต่แพ้ให้กับฝรั่งเศสในรอบ 16 ทีมสุดท้าย
รองแชมป์โลกอีกครั้ง (1988-1994)
ในปี 1986 อาเซลโย วีชีนี (Azeglio Vicini) เข้ามาทำหน้าที่แทน แบร์ซอต โดยอิตาลีผ่านเข้าถึงรอบรองชนะเลิศในฟุตบอลยูโร 1988 ก่อนจะแพ้ให้กับสหภาพโซเวียต อิตาลีเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกเป็นครั้งทีสองในฟุตบอลโลก 1990 ซึ่งทีมชุดนั้นได้รับการจับตามองเนื่องจากมีนักเตะชื่อดังอย่าง โรแบร์โต บัจโจ อิตาลีลงแข่งขัน ณ กรุงโรมโดยไม่เสียประตูเลยในการแข่งขัน 5 นัดแรก อย่างไรก็ตามพวกเขาต้องแพ้ให้กับอาร์เจนตินาซึ่งนำโดยดิเอโก มาราโดนาในรอบรองชนะเลิศที่เมืองเนเปิล โดยก่อนเริ่มการแข่งขัน มาราโดนา ซึ่งเป็นผู้เล่นสโมสรนาโปลีในขณะนั้นได้ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีความเหลื่อมล้ำทางสังคมระหว่างชาวอิตาเลียนทางตอนเหนือและทางใต้ของประเทศ และเขาได้เรียกร้องให้แฟนบอลในเมืองเนเปิลทุกคนเอาใจช่วยทีมชาติอาร์เจนตินาแทน โดยอิตาลีแพ้ให้กับอาร์เจนตินาไปในการดวลจุดโทษ 3-4 หลังจากเสมอกันในช่วงต่อเวลาพิเศษ 1-1 ต่อมาพวกเขาเอาชนะทีมชาติอังกฤษได้ 3-1 ในนัดชิงอันดับสาม
พวกเขาไม่ผ่านรอบคัดเลือกในการแข่งขันฟุตบอลยูโร 1992 ถัดมา ในเดือนพฤศจิกายน ปี 1993 อิตาลีสามารถขึ้นสู่อันดับ 1 ของโลกได้เป็นครั้งแรกในการจัดอันดับโดยสหพันธ์ฟุตบอลระหว่างประเทศซึ่งเริ่มมีการนำระบบการจัดอันดับโลกมาใช้ครั้งแรกในเดือนธันวาคม 1992
ถัดมา ในการแข่งขันฟุตบอลโลก 1994 ณ สหรัฐอเมริกา อิตาลีสามารถผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้อีกครั้ง ณ เมืองลอสแอนเจลิส และนั่นถือเป็นหนึ่งในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลโลกที่ดีที่สุดครั้งหนึ่ง พวกเขาพบกับทีมชาติบราซิลและอิตาลีมีเวลาพักน้อยกว่าบราซิลถึง 24 ชั่วโมงเนื่องจากต้องเดินทางข้ามรัฐ ซึ่งเขตเวลาในทวีปอเมริกาเหนือนั้นมีความแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ โดยในเกมนั้นต้องตัดสินหาผู้ชนะด้วยการดวลจุดโทษ และอิตาลีเป็นฝ่ายพ่ายแพ้หลังจากบัจโจกองหน้าคนสำคัญเป็นคนยิงจุดโทษข้ามคานไปในลูกสุดท้ายซึ่งบัจโจมีอาการบาดเจ็บรบกวนก่อนแข่ง แต่ได้ฝืนลงแข่งขันโดยให้แพทย์ฉีดยาระงับปวดให้
รองแชมป์ยุโรป (1996-2000)
อิตาลีตกรอบแรกในฟุตบอลยูโร 1996 และตกรอบ 8 ทีมสุดท้ายในฟุตบอลโลก 1998 โดยแพ้ให้กับฝรั่งเศสเจ้าภาพในการดวลจุดโทษ 3-4 โดยในรายการดังกล่าว โรแบร์โต บัจโจ ทำสถิติเป็นผู้เล่นอิตาลีคนแรกที่ทำประตูในการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายได้ 3 สมัย
ต่อมาในการแข่งขันยูโร 2000 อิตาลีในชุดนั้นประกอบไปด้วยผู้เล่นชื่อดังมากมาย อาทิ ฟรันเชสโก ตอตตี, ฟีลิปโป อินซากี, อาเลสซันโดร เดล ปิเอโร, เปาโล มัลดินี และอาเลสซันโดร เนสตา สามารถพาทีมผ่านเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศไปพบกับฝรั่งเศสคู่ปรับเก่าอีกครั้ง ก่อนที่พวกเขาจะแพ้ไปในช่วงต่อเวลาพิเศษ 1-2 จากการทำประตูของ ดาวิด เทรเซเก้ต์ ในช่วงกฎประตูทอง (Golden Goal)
ยุคของ โจวันนี ตราปัตโตนี (2000-2004)
โจวันนี ตราปัตโตนี เข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการทีมในฟุตบอลโลก 2002 โดยพวกเขาแพ้ให้กับเจ้าภาพร่วมเกาหลีใต้ในการแข่งขันรอบ 16 ทีมสุดท้าย 1-2 โดยเป็นนัดที่ได้รับการวิจารณ์มากที่สุดนัดหนึ่ง จากการที่่ผู้เล่นอิตาลีสามารถส่งบอลเข้าประตูได้ในช่วงต่อเวลา แต่ผู้ตัดสินกลับตัดสินว่าเป็นการล้ำหน้า และยังแจกใบแดงไล่ ฟรันเชสโก ตอตตี ออกจากสนามรวมถึงให้จุดโทษแก่เกาหลีใต้อย่างค้านสายตา ไบรอน โมเรโน ผู้ตัดสินได้รับการวิจารณ์ว่ามีเจตนาทุจริตในการช่วยเหลือเกาหลีใต้
อิตาลีมีผลงานที่ย่ำแย่ในการแข่งขันยูโร 2004 โดยพวกเขาตกรอบแบ่งกลุ่ม แม้จะมีคะแนน 5 คะแนนเท่ากับ เดนมาร์กและสวีเดน แต่ต้องตกรอบเนื่องจากจำนวนประตูลูกได้เสียเป็นรอง
แชมป์โลกสมัยที่สี่ (2006)
สมาพันธ์ฟุตบอลอิตาลี ประกาศแต่งตั้ง มาร์เชลโล ลิปปี เข้ามาทำหน้าที่ในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2006 พวกเขาเข้ารอบในฐานะแชมป์กลุ่ม ผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายและเอาชนะทีมชาติออสเตรเลียไปได้ 1-0 ทั้งๆที่่ต้องเหลือผู้เล่นแค่ 10 คน เนื่องจาก มาร์โก มาเตรัซซี่ ถูกไล่ออกจากสนาม โดย ฟรันเชสโก ตอตตี เป็นผู้ทำประตูชัยจากลูกจุดโทษท้ายเกม พวกเขาเอาชนะยูเครน 3-0 ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย ตามด้วยการเอาชนะเยอรมนีเจ้าภาพ 2-0 ในช่วงต่อเวลาพิเศษรอบรองชนะเลิศ
ในการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ มีเหตุการณ์ที่น่าสนใจคือ การปะทะกันระหว่าง มาร์โก มาเตรัซซี และซีเนดีน ซีดาน ทำให้ซีดานได้รับใบแดงในช่วงต่อเวลาพิเศษหลังจากเสมอกัน 1-1 โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเริ่มจากการมีปากเสียงระหว่างสองผู้เล่นเนื่องจากซีดานโดนมาเตรัซซีดึงเสื้อ ก่อนที่มาเตรัซซีจะใช้วาจาพาดพิงน้องสาวของซีดาน ทำให้เจ้าตัวคุมอารมณ์ไม่อยู่และใช้ศีรษะโขกมาเตรัซซีจนล้มลง ทำให้ผู้ตัดสินให้ใบแดงแก่ซีดาน อิตาลีเอาชนะฝรั่งเศสไปได้ในการดวลจุดโทษ 5-3 ซึ่งคนที่ยิงจุดโทษพลาดของฝรั่งเศสคือ ดาวิด เทรเซเก้ต์ ผู้ทำประตูชัยในนัดชิงชนะเลิศที่ทั้งสองทีมพบกันในยูโร 2000
ในรายการนี้อิตาลีมีผู้ที่ทำประตูได้ถึง 10 คน และ 5 จาก 12 ประตูที่ทำได้มาจากนักเตะตัวสำรอง และ 4 ประตูมาจากการทำประตูของผู้เล่นกองหลัง และอิตาลีมีผู้เล่นที่ติดทีมยอดเยี่ยมประจำการแข่งขันมากถึง 7 คน จันลุยจี บุฟฟอน ได้รับรางวัลผู้รักษาประตูยอดเยี่ยมประจำการแข่งขัน และทีมชุดนี้ได้รับการยกย่องจากแฟนบอลให้เป็นหนึ่งในทีมที่ดีสุดของทีมชาติอิตาลี
ความล้มเหลวในรายการใหญ่ (2006-2010)
มาร์เชลโล ลิปปี ได้ประกาศลาออกจากตำแหน่ง และโรแบร์โต้ โดนาโดนี่ เข้ามารับช่วงต่อ ในการแข่งขันยูโร 2008 อิตาลีอยู่ร่วมกลุ่มกับเนเธอร์แลนด์และฝรั่งเศส ก่อนจะผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายและแพ้ให้กับสเปนในการดวลจุดโทษ ส่งผลให้สมาพันธ์ฟุตบอลอิตาลีได้ประกาศปลดโดนาโดนีออกจากตำแหน่ง และแต่งตั้งมาร์เชลโล ลิปปีกลับมาอีกครั้ง
อิตาลีเข้าร่วมรายการคอนเฟเดอเรชัน คัพ เป็นครั้งแรกในปี 2009 ที่ประเทศแอฟริกาใต้ในฐานะแชมป์ฟุตบอลโลกก่อนที่จะตกรอบแรกโดยแพ้ให้กับทีมชาติอียิปต์และบราซิลในสองนัดสุดท้าย
ถัดมา พวกเขาตกรอบแรกในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2010 อย่างเหนือความคาดหมาย โดยได้อันดับสุดท้ายของกลุ่มหลังจากเสมอสองนัดกับทีมชาติปารากวัยและทีมชาตินิวซีแลนด์และปิดท้ายด้วยการแพ้สโลวาเกีย และถือเป็นครั้งแรกที่พวกเขาไม่สามารถคว้าชัยชนะได้เลยในการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย โดยอิตาลีถือเป็นชาติที่ 3 ที่ตกรอบแรกของการแข่งขันฟุตบอลโลกในฐานะแชมป์เก่า (ต่อจากทีมชาติบราซิลในปี 1966 และฝรั่งเศสในปี 2002)
รองแชมป์ยุโรปอีกครั้ง (2010-2014)
มาร์เชลโล ลิปปี ประกาศลาออกจากตำแหน่งเพื่อแสดงความรับผิดชอบ และผู้ที่มารับตำแหน่งแทนคือ เซซาเร่ ปรันเดลลี่ (Cesare Prandelli) พวกเขาผ่านเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลยูโร 2012 โดยเอาชนะเยอรมนีไปได้ในรอบรองชนะเลิศ 2-1 จากการทำประตูของ มารีโอ บาโลเตลลี ทั้งสองประตู อย่างไรก็ตามพวกเขาแพ้ให้กับทีมชาติสเปนในรอบชิงชนะเลิศ 0-4
ต่อมา ในรายการคอนเฟเดอเรชัน คัพ 2013 อิตาลีจบการแข่งขันด้วยอันดับที่สามหลังจากแพ้สเปนไปอีกครั้งในการดวลจุดโทษในรอบรองชนะเลิศ และเอาชนะทีมชาติอุรุกวัยในการดวลจุดโทษในนัดชิงอันดับสาม
ในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2014 อิตาลีประสบความล้มเหลวอีกครั้ง โดยตกรอบแรกในการแข่งขันเป็นสมัยที่ 2 ติดต่อกัน จากผลงานชนะเพียง 1 นัด และแพ้ 2 นัด แม้พวกเขาจะเปิดสนามด้วยการเอาชนะทีมชาติอังกฤษไปได้ 2-1 แต่พวกเขาต้องพบกับความพ่ายแพ้ในสองนัดถัดมาต่อทีมชาติคอสตาริกา และอุรุกวัยและ ปรันเดลลี่ ได้ลาออกจากตำแหน่ง
ยุคของอันโตนีโอ กอนเต (2014-2016)
อันโตนีโอ กอนเต ได้เข้ามารับช่วงต่อหลังจากประสบความสำเร็จในการพาสโมสรยูเวนตุสชนะเลิศรายการสำคัญในประเทศได้ โดยอิตาลีทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในการแข่งขันรอบคัดเลือกยูโร 2016 โดยสามารถเก็บชัยชนะได้ 7 นัดและเสมอ 3 นัดไม่แพ้ทีมใด
ในการแข่งขันรอบสุดท้าย กอนเต ได้ประกาศว่าเขาจะยุติบทบาทหลังจบการแข่งขันเพื่อไปรับตำแหน่งผู้จัดการทีมเชลซีในฤดูกาล 2016-2017 อิตาลีผ่านเข้าถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย ก่อนจะแพ้ให้กับเยอรมนีด้วยการดวลจุดโทษ อย่างไรก็ตามในรายการดังกล่าว กอนเต ได้รับเสียงชื่นชมจากการทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม แม้ว่าอิตาลีในชุดนั้นแทบจะไม่มีผู้เล่นระดับโลกในทีมเมื่อเทียบกับตัวผู้เล่นในช่วงปี 2000-2010 ซึ่งเต็มไปด้วยผู้เล่นชั้นนำหลายราย
ฟุตบอลโลก 2018
อิตาลีไม่ผ่านรอบคัดเลือกในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 โดยผู้จัดการทีมในขณะนั้นคือ จาน ปิเอโร่ เวนตูร่า (Gian Piero Ventura) โดยพวกเขาจบอันดับที่สองในรอบคัดเลือก และต้องไปแข่งขันเพลย์ออฟกับทีมชาติสวีเดน ซึ่งอิตาลีเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไปจากการรวมผลสองนัด 0-1 และเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1958 ที่พวกเขาไม่สามารถผ่านเข้าไปเล่นรอบสุดท้ายฟุตบอลโลก หลังจากจบรอบคัดเลือกผู้เล่นคนสำคัญ อาทิ จันลุยจี บุฟฟอน,ดานีเอเล เด รอสซี, และอันเดรีย บาร์ซาญี ได้ประกาศเลิกเล่นทีมชาติ
ยุคของโรแบร์โต มันชินีและแชมป์ยุโรปสมัยที่สอง (2018-ปัจจุบัน)
ในวันที่ 14 พฤษภาคม 2018 โรแบร์โต มันชินี ได้รับการแต่งตั้งให้เข้ามาทำหน้าที่ผู้จัดการทีม และทีมของมันชินีสามารถทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมตั้งแต่การแข่งขันฟุตบอลยูโร 2020 รอบคัดเลือกโดยเอาชนะคู่แข่งร่วมกลุ่มได้ทั้ง 10 นัดรวด เก็บได้ 30 คะแนนเต็ม และสามารถทำประตูไปได้ถึง 37 ประตู ต่อมาในเดือนพฤศจิกายน อิตาลีสามารถจบการแข่งขัน ยูฟ่าเนชันส์ลีก ด้วยการเป็นอันดับที่หนึ่งของกลุ่มส่งผลให้พวกเขาผ่านเข้าไปเล่นยูโร 2020 รอบสุดท้ายได้แบบอัตโนมัติ
ในการแข่งขันรอบสุดท้าย อิตาลีอยู่ในกลุ่มเอร่วมกับสวิตเซอร์แลนด์, ตุรกี และ เวลส์ โดยอิตาลีเล่นรอบแบ่งกลุ่มทั้งสามนัดในฐานะเจ้าภาพร่วมที่กรุงโรม พวกเขาจบรอบแบ่งกลุ่มในฐานะทีมอันดับหนึ่งด้วยผลงานชนะรวดสามนัด และทำสถิติเป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์ที่ผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายโดยไม่เสียประตูในรอบแบ่งกลุ่ม ในการแข่งขันรอบ 16 ทีมสุดท้ายอิตาลีเอาชนะออสเตรียไปได้ในช่วงต่อเวลาพิเศษ 2-1 ตามด้วยการเอาชนะเบลเยียมซึ่งเป็นทีมอันดับหนึ่งของโลก 2-1 ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย และทำสถิติคว้าชัยชนะติดด่อกันในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปจำนวน 15 นัด (นับรวมตั้งแต่รอบคัดเลือกจนถึงรอบสุดท้าย) ในรอบรองชนะเลิศ พวกเขาต้องเล่นกับสเปนจนถึงช่วงการดวลจุดโทษตัดสินหลังจากเสมอกัน 1-1 ก่อนจะเอาชนะไปได้ 4-2 ผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้ในรอบ 8 ปี
ในวันที่ 11 กรกฎาคม 2021 อิตาลีสามารถคว้าแชมป์ฟุตบอลยูโรได้เป็นสมัยที่สอง โดยเอาชนะทีมชาติอังกฤษในการดวลจุดโทษ 3-2 ในรอบชิงชนะเลิศภายหลังเสมอกันในเวลาปกติ 1-1 และมันชินียังทำสถิติคุมทีมไม่แพ้ทีมใดติดต่อกันทุกรายการรวม 34 นัด
เกียรติประวัติ
รายการแข่งขัน
- อันดับที่สาม (1): 2013
รายการอื่น ๆ:
- Central European International Cup
- ชนะเลิศ (2): 1927–30, 1933–35
- รองชนะเลิศ (2): 1931–32, 1936–38
รางวัลส่วนตัว
- Laureus World Team of the Year
- ชนะเลิศ: 2007
ตารางสรุปถ้วยรางวัล
รายการแข่งขัน | ทั้งหมด | |||
---|---|---|---|---|
ฟุตบอลโลก | 4 | 2 | 1 | 7 |
ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป | 2 | 2 | 0 | 4 |
คอนเฟเดอเรชันส์คัพ | 0 | 0 | 1 | 1 |
โอลิมปิกฤดูร้อน | 1 | 0 | 2 | 3 |
เนชันส์ลีก | 0 | 0 | 0 | 0 |
ทั้งหมด | 7 | 4 | 4 | 15 |
ผู้เล่นชุดปัจจุบัน
รายชื่อผู้เล่นที่ถูกเรียกตัวสำหรับการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2020 ประกาศเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน
# | ตำแหน่ง | ผู้เล่น | วันเกิด (อายุ) | ลงเล่น | ประตู | สโมสร |
---|---|---|---|---|---|---|
1 | GK | ซัลวาโตเร ซีรีกู | 12 มกราคม ค.ศ. 1987 (อายุ 34 ปี) | 26 | 0 | โตรีโน |
2 | DF | โจวันนี ดี โลเรนโซ | 4 สิงหาคม ค.ศ. 1993 (อายุ 27 ปี) | 7 | 0 | นาโปลี |
3 | DF | จอร์โจ กีเอลลีนี (กัปตัน) | 14 สิงหาคม ค.ศ. 1984 (อายุ 36 ปี) | 106 | 8 | ยูเวนตุส |
4 | DF | เลโอนาร์โด สปีนัซโซลา | 25 มีนาคม ค.ศ. 1993 (อายุ 28 ปี) | 13 | 0 | โรมา |
5 | MF | มานูเอล โลกาเตลลี | 8 มกราคม ค.ศ. 1998 (อายุ 23 ปี) | 9 | 1 | ซัสซูโอโล |
6 | MF | มาร์โก แวร์รัตตี | 5 พฤศจิกายน ค.ศ. 1992 (อายุ 28 ปี) | 40 | 3 | ปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง |
7 | MF | กาเอตาโน กัสโตรวิลลี | 17 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1997 (อายุ 24 ปี) | 2 | 0 | ฟีออเรนตีนา |
8 | MF | ฌอร์ฌิญญู | 20 ธันวาคม ค.ศ. 1991 (อายุ 29 ปี) | 27 | 5 | เชลซี |
9 | FW | อันเดรอา เบลอตตี | 20 ธันวาคม ค.ศ. 1993 (อายุ 27 ปี) | 33 | 12 | โตรีโน |
10 | FW | โลเรนโซ อินซิญเญ | 4 มิถุนายน ค.ศ. 1991 (อายุ 30 ปี) | 40 | 7 | นาโปลี |
11 | FW | โดเมนีโก เบราร์ดี | 1 สิงหาคม ค.ศ. 1994 (อายุ 26 ปี) | 10 | 4 | ซัสซูโอโล |
12 | MF | มัตเตโอ เปสซีนา | 21 เมษายน ค.ศ. 1997 (อายุ 24 ปี) | 5 | 2 | อาตาลันตา |
13 | DF | แอแมร์ซง | 3 สิงหาคม ค.ศ. 1994 (อายุ 26 ปี) | 14 | 0 | เชลซี |
14 | MF | เฟเดรีโก กีเอซา | 25 ตุลาคม ค.ศ. 1997 (อายุ 23 ปี) | 24 | 1 | ยูเวนตุส |
15 | DF | ฟรันเชสโก อาแชร์บี | 10 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1988 (อายุ 33 ปี) | 13 | 1 | ลาซีโอ |
16 | MF | บรายัน กริสตันเต | 3 มีนาคม ค.ศ. 1995 (อายุ 26 ปี) | 10 | 1 | โรมา |
17 | FW | ชีโร อิมโมบีเล | 20 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1990 (อายุ 31 ปี) | 45 | 12 | ลาซีโอ |
18 | MF | นีโกเลาะ บาเรลลา | 7 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1997 (อายุ 24 ปี) | 22 | 4 | อินแตร์นาซีโอนาเล |
19 | DF | เลโอนาร์โด โบนุชชี | 1 พฤษภาคม ค.ศ. 1987 (อายุ 34 ปี) | 101 | 7 | ยูเวนตุส |
20 | MF | เฟเดรีโก แบร์นาร์เดสกี | 16 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1994 (อายุ 27 ปี) | 30 | 6 | ยูเวนตุส |
21 | GK | จันลุยจี ดอนนารุมมา | 25 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1999 (อายุ 22 ปี) | 25 | 0 | มิลาน |
22 | FW | จาโกโม รัสปาโดรี | 18 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2000 (อายุ 21 ปี) | 0 | 0 | ซัสซูโอโล |
23 | DF | อาเลสซันโดร บัสโตนี | 13 เมษายน ค.ศ. 1999 (อายุ 22 ปี) | 5 | 0 | อินแตร์นาซีโอนาเล |
24 | DF | อาเลสซันโดร โฟลเรนซี | 11 มีนาคม ค.ศ. 1991 (อายุ 30 ปี) | 42 | 2 | ปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง |
25 | DF | ราฟาแอล โตลอย | 10 ตุลาคม ค.ศ. 1990 (อายุ 30 ปี) | 2 | 0 | อาตาลันตา |
26 | GK | อาเลกซ์ เมเรต | 22 มีนาคม ค.ศ. 1997 (อายุ 24 ปี) | 2 | 0 | นาโปลี |
ผู้เล่นคนสำคัญตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน
|
|
สถิติสำคัญของผู้เล่น
ลงสนามมากที่สุด
สถิติ ณ วันที่ 11 กรกฎาคม 2021
อันดับ | รายชื่อ | จำนวนนัด | จำนวนประตู | ช่วงเวลา |
---|---|---|---|---|
1 | จันลุยจี บุฟฟอน | 176 | 0 | 1997–2018 |
2 | ฟาบีโอ กันนาวาโร | 136 | 2 | 1997–2010 |
3 | เปาโล มัลดีนี | 126 | 7 | 1988–2002 |
4 | ดานีเอเล เด รอสซี | 117 | 21 | 2004–2017 |
5 | อันเดรอา ปีร์โล | 116 | 13 | 2002–2015 |
6 | ดีโน ซอฟฟ์ | 112 | 0 | 1968–1983 |
จอร์โจ กีเอลลีนี | 112 | 8 | 2004–ปัจจุบัน | |
8 | เลโอนาร์โด โบนุชชี | 109 | 7 | 2010–ปัจจุบัน |
9 | จันลูกา ซัมบรอตตา | 98 | 2 | 1999–2010 |
10 | จาชินโต้ ฟัคเค็ตติ | 94 | 3 | 1963–1977 |
- รายชื่อในตัวหนาคือผู้เล่นที่ยังลงเล่นอยู่ในปัจจุบัน
ผู้ทำประตูสูงสุด
สถิติ ณ วันที่ 11 กรกฎาคม 2021
อันดับ | รายชื่อ | จำนวนประตู | จำนวนนัด | ค่าเฉลี่ย | ช่วงเวลา |
---|---|---|---|---|---|
1 | ลุยจิ ริวา | 35 | 42 | 0.83 | 1965–1974 |
2 | จูเซปเป เมอัซซา | 33 | 53 | 0.62 | 1930–1939 |
3 | ซิลวิโอ ปิโอลา | 30 | 34 | 0.88 | 1935–1952 |
4 | โรแบร์โต บัจโจ | 27 | 56 | 0.48 | 1988–2004 |
อาเลสซันโดร เดล ปีเอโร | 91 | 0.3 | 1995–2008 | ||
6 | อดอลโฟ บาลอนเชียรี | 25 | 47 | 0.53 | 1920–1930 |
ฟีลิปโป อินซากี | 57 | 0.44 | 1997–2007 | ||
อเลสซานโดร อัลโตเบลลี่ | 61 | 0.41 | 1980–1988 | ||
9 | กริสเตียน วีเอรี | 23 | 49 | 0.47 | 1997–2005 |
ฟรันเชสโก กราซีอานี | 64 | 0.36 | 1975–1983 |
ดูเพิ่ม
- ฟุตบอลหญิงทีมชาติอิตาลี
- ฟุตซอลทีมชาติอิตาลี
- ฟุตซอลผู้พิการทางสมองทีมชาติอิตาลี
หมายเหตุ
- This edition of the tournament was interrupted due to the annexation of Austria to Nazi Germany on 12 March 1938.
อ้างอิง
- "The FIFA/Coca-Cola World Ranking". FIFA. 27 พฤษภาคม 2021. สืบค้นเมื่อ 27 พฤษภาคม 2021.
- "FIFA World Cup moments: Italy become first team to win title on foreign soil amidst mounting protests in 1938-Sports News , Firstpost". Firstpost. 2018-05-30.
- Lopresti, Sam. "Italy World Cup Rewind: Title No. 2, 1938 Final vs. Hungary". Bleacher Report (ภาษาอังกฤษ).
- "FIFA". fifa.com (ภาษาอังกฤษ).
- "The Greatest Italian Football Players Every Geek Will Recognize". www.thefamouspeople.com (ภาษาอังกฤษ).
- "Italian Football | 7 of the Best Italian Footballers Ever". Forza Italian Football (ภาษาอังกฤษ). 2021-02-01.
- Corkhill, Barney. "FIFA World Cup's Greatest Ever: Top 20 Italian Players of All-Time". Bleacher Report (ภาษาอังกฤษ).
- "Switzerland - Non-Official International Matches Representative Teams 1898-1992". www.rsssf.com.
- "Pietro Lana". www.magliarossonera.it.
- "Album della stagione". www.magliarossonera.it.
- https://download.repubblica.it/pdf/motori/supplemento_ottobre06/04.pdf
- "1st International Cup". www.rsssf.com.
- "3rd International Cup". www.rsssf.com.
- "MEAZZA Giuseppe: La favola di Peppin il folbèr". Storie di Calcio (ภาษาอิตาลี). 2016-01-30.
- "Euro 1968: Mullery's moment of madness". BBC Sport (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2021-06-27.
- "Euro 2012: five classic tournament matches between Germany and Italy including the 'Game of the Century'". www.telegraph.co.uk.
- "The worst scandal of them all" (ภาษาอังกฤษ). 2006-07-25. สืบค้นเมื่อ 2021-06-27.
- . web.archive.org. 2015-09-27.
- "Italy 3-2 Brazil, 1982: the day naivety, not football itself, died | Jonathan Wilson". the Guardian (ภาษาอังกฤษ). 2012-07-25.
- "Brazil lost that Italy game in 1982 but won a place in history – Falcão". the Guardian (ภาษาอังกฤษ). 2014-05-30.
- "The Glasgow Herald - Google News Archive Search". news.google.com.
- . web.archive.org. 2005-09-12.
- Maradona, Diego (2004). El Diego, pg. 165.
- https://core.ac.uk/download/pdf/159384045.pdf
- "Profile: Has so much ever hung on a hamstring?: Roberto Baggio,". The Independent (ภาษาอังกฤษ). 2011-10-23.
- "Archivio Corriere della Sera". archivio.corriere.it.
- "Archivio Corriere della Sera". archivio.corriere.it.
- "Ora Yahoo fa parte del gruppo Verizon Media". consent.yahoo.com.
- . web.archive.org. 2006-11-23.
- "Fifa investigates Moreno" (ภาษาอังกฤษ). 2002-09-13. สืบค้นเมื่อ 2021-06-27.
- "Italy angry at rivals' draw" (ภาษาอังกฤษ). 2004-06-23. สืบค้นเมื่อ 2021-06-27.
- agencies, Staff and (2007-08-18). "And Materazzi's exact words to Zidane were..." the Guardian (ภาษาอังกฤษ).
- "Zidane off as Italy win World Cup" (ภาษาอังกฤษ). 2006-07-09. สืบค้นเมื่อ 2021-06-27.
- . web.archive.org. 2010-06-14.
- . web.archive.org. 2007-10-12.
- "Italian joy at World Cup victory" (ภาษาอังกฤษ). 2006-07-10. สืบค้นเมื่อ 2021-06-27.
- "Lippi returns to manage Italy - Tribal Football". www.tribalfootball.com.
- UEFA.com (2012-07-01). "Spain overpower exhausted Italy to win UEFA EURO 2012 final". UEFA.com (ภาษาอังกฤษ).
- "Spain 0-0 Italy (Spain win 7-6 on pens)". BBC Sport (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2021-06-27.
- "Italy boss Prandelli to resign". BBC Sport (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2021-06-27.
- "Italy - Squad EURO 2016 in Frankreich". worldfootball.net (ภาษาอังกฤษ).
- "OFFICIAL: Italy squad for Euro 2016 - Football Italia" (ภาษาอังกฤษ).
- www.eurosport.com https://www.eurosport.com/geoblocking.shtml. Missing or empty
|title=
(help) - "Perfect Italy are having fun at Euro 2020". ESPN.com (ภาษาอังกฤษ). 2021-06-20.
- UEFA.com (2021-07-09). "Italy set new record for longest EURO winning run". UEFA.com (ภาษาอังกฤษ).
- UEFA.com (2021-07-06). "Italy 1-1 Spain (pens: 4-2): Azzurri hold nerve to reach EURO final". UEFA.com (ภาษาอังกฤษ).
- "'34 games unbeaten for Italy' - Which national teams have the longest unbeaten run in football? | Goal.com". www.goal.com.
- "England lose shootout in Euro 2020 final". BBC Sport (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2021-07-12.
- "26-man squad announcement for the Euros: Giacomo Raspadori makes it". Italian Football Federation. 2 June 2021. สืบค้นเมื่อ 2 June 2021.
- Roberto Di Maggio; José Luis Pierrend (8 April 2016). "Italy – Record International Players: Appearances for Italy National Team". RSSSF. เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 6 July 2013. สืบค้นเมื่อ 3 May 2016.
- "Classifica marcatori" [Goalscoring standings]. FIGC.it (ภาษาอิตาลี). FIGC. จากแหล่งเดิมเมื่อ 31 July 2013. สืบค้นเมื่อ 2 May 2016.
แหล่งข้อมูลอื่น
คอมมอนส์ มีภาพและสื่อเกี่ยวกับ: ฟุตบอลทีมชาติอิตาลี |