ประเทศลักเซมเบิร์ก
ลักเซมเบิร์ก (อังกฤษ: Luxembourg; ลักเซมเบิร์ก: Lëtzebuerg; ฝรั่งเศส: Luxembourg; เยอรมัน: Luxemburg ) หรือชื่อทางการคือ ราชรัฐลักเซมเบิร์ก (อังกฤษ: Grand Duchy of Luxembourg; ลักเซมเบิร์ก: Groussherzogtum Lëtzebuerg; ฝรั่งเศส: Grand-Duché de Luxembourg; เยอรมัน: Großherzogtum Luxemburg ) เป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปยุโรป มีพรมแดนด้านตะวันออกติดกับประเทศเยอรมนี ด้านใต้ติดกับฝรั่งเศส และด้านตะวันตกติดกับเบลเยียม มีเมืองหลวงคือนครลักเซมเบิร์ก
ราชรัฐลักเซมเบิร์ก Grand Duché de Luxembourg (ฝรั่งเศส) Großherzogtum Luxemburg (เยอรมัน) Groussherzogtum Lëtzebuerg (ลักเซมเบิร์ก) | |
---|---|
คำขวัญ: Mir wëlle bleiwe wat mir sinn "เราต้องการจะยังคงเป็นในสิ่งที่เป็นอยู่" | |
- สถานที่ตั้งของประเทศลักเซมเบิร์ก (สีเขียวเข้ม) - ในทวีปยุโรป (สีเขียวและสีเทาเข้ม) - ประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป (สีเขียว) | |
เมืองหลวง และ ใหญ่สุด | ลักเซมเบิร์ก1 49°48′52″N 6°7′54″E / 49.81444°N 6.13167°E |
ภาษาราชการ | ภาษาเยอรมัน, ภาษาฝรั่งเศส และ ภาษาลักเซมเบิร์ก (โดยนิตินัยตั้งแต่ พ.ศ. 2527) |
ไม่เป็นทางการ | ภาษาดัตช์ |
การปกครอง | รัฐเดี่ยว ระบบรัฐสภา ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ |
• แกรนด์ดยุกผู้ปกครอง | แกรนด์ดยุกอ็องรีแห่งลักเซมเบิร์ก |
• แกรนด์ดยุกรัชทายาท | เจ้าชายกีโยม แกรนด์ดยุกรัชทายาทแห่งลักเซมเบิร์ก |
• นายกรัฐมนตรี | ซาวีเอ เบิทเทิล |
สภานิติบัญญัติ | สภาผู้แทนราษฎร |
เอกราช | |
• จากจักรวรรดิฝรั่งเศส (สนธิสัญญาปารีส 1815) | 9 มิถุนายน พ.ศ. 2358 |
19 เมษายน พ.ศ. 2382 | |
• สนธิสัญญาลอนดอนฉบับที่ 1 | 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2410 |
• สิ้นสุดรัฐร่วมประมุข | 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2433 |
• เข้าร่วมสหภาพยุโรป | 25 มีนาคม พ.ศ. 2500 |
พื้นที่ | |
• รวม | 2,586 ตารางกิโลเมตร (998 ตารางไมล์) (169) |
0.60% | |
1 E9 | |
ประชากร | |
• มีนาคม 2564 ประมาณ | 633,622 (168th) |
• สำมะโนประชากร 2554 | 512,353 |
242 ต่อตารางกิโลเมตร (626.8 ต่อตารางไมล์) (58th) | |
จีดีพี (อำนาจซื้อ) | 2563 (ประมาณ) |
• รวม | $66.848 พันล้าน (99th) |
• ต่อหัว | $112,045 (2nd) |
จีดีพี (ราคาตลาด) | 2562 (ประมาณ) |
• รวม | $69.453 พันล้าน (69th) |
• ต่อหัว | $113,196 (1st) |
จีนี (2561) | 33.2 ปานกลาง |
HDI (2562) | 0.916 สูงมาก · 23rd |
สกุลเงิน | ยูโร (€) 2 (EUR) |
เขตเวลา | UTC+1 (CET) |
• ฤดูร้อน (DST) | UTC+2 (CEST) |
รูปแบบวันที่ | dd/mm/yyyy |
ไฟบ้าน | 230 V–50 Hz |
ขับรถด้าน | ขวา |
รหัสโทรศัพท์ | 352 |
รหัส ISO 3166 | LU |
โดเมนบนสุด | .lu |
ประวัติศาสตร์
ราชรัฐลักเซมเบิร์กเป็นนครรัฐ มีประวัติความเป็นมาย้อนหลังมากกว่า 1,000 ปี เมื่อปี พ.ศ. 1506 เคานท์ซิเอกฟิลด์แห่งลักเซมเบิร์ก เคานท์แห่งอาร์เดนเนส และผู้ก่อตั้งราชวงศ์ลักเซมเบิร์กสร้างปราสาทในบริเวณเมืองหลวงของลักเซมเบิร์กในปัจจุบัน ซึ่งกลายเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญในสมัยนั้น เนื่องจากเป็นบริเวณที่มีภูเขาสลับซับซ้อนล้อมรอบหลายชั้น เป็นที่รู้กันทั่วไปในนาม “ยิบรอลตราทางเหนือ” (The Gibraltar of the North) ในช่วงปลายยุคกลางจนถึงศตวรรษที่ 15 ราชวงศ์ลักเซมเบิร์กมีความรุ่งเรืองมาก กษัตริย์หลายพระองค์ในยุโรปสืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์นี้ อาทิ จักรพรรดิปกครองเยอรมนี 4 พระองค์ กษัตริย์ปกครองโบฮีเมีย 4 พระองค์ และกษัตริย์ปกครองฮังการี 1 พระองค์ กษัตริย์ที่มีชื่อเสียงของลักเซมเบิร์ก ในยุคนั้น ได้แก่ สมเด็จพระจักรพรรดิไฮนริคที่ 7 แห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์,พระเจ้าจอห์นแห่งโบฮีเมียและดยุกแวนเซลอสที่ 1 แห่งลักเซมเบิร์ก จากนั้นก็ตกอยู่ภายใต้อำนาจเบอร์กันดีในปีพ.ศ. 2010 เมื่อดัสเชสเอลิซาเบธที่ 2 ผู้อ้างสิทธิในราชบัลลังก์ลักเซมเบิร์กพระองค์สุดท้าย ทรงได้สละสิทธิอันชอบธรรมของพระนางในราชบัลลังก์ พระโอรสของฟิลลิปเดอะกูด ดยุกแห่งเบอร์กันดีคือ ชาร์ลส์เดอะโบลด์ ดยุกแห่งเบอร์กันดีทรงยอมรับพระอิศริยยศนี้โดยรวมเข้ากับพระยศ"ดยุกแห่งเบอร์กันดี" หลังจากนั้นลักเซมเบิร์กประสบความพ่ายแพ้ในสงครามหลายครั้ง และตกอยู่ภายใต้การปกครองของชาติต่าง ๆ เช่น สเปน ฝรั่งเศส ออสเตรีย และรัสเซีย จนกระทั่งสิ้นสุดคริสศตวรรษที่ 19 ในปี พ.ศ. 2358 ลักเซมเบิร์กได้รับอิสรภาพอีกครั้ง โดยการประชุมที่เวียนนา (Congress of Vienna) ได้ยกฐานะของลักเซมเบิร์กจาก Duchy เป็น Grand Duchy และมอบให้เป็นพระราชสมบัติส่วนพระองค์ของกษัตริย์เนเธอร์แลนด์ ให้สิทธิในการปกครองแก่สมเด็จพระราชาธิบดีวิลเล็มที่ 1 แห่งเนเธอร์แลนด์และในปี พ.ศ. 2410 สนธิสัญญาลอนดอน (Treaty of London 1867) ได้รับรองบูรณภาพ แบ่งดินแดน และสิทธิในการปกครองตนเองของลักเซมเบิร์ก
โดยที่ในปี พ.ศ. 2433 ภายหลังการสวรรคตของสมเด็จพระราชาธิบดีวิลเล็มที่ 3 แห่งเนเธอร์แลนด์ เจ้าหญิงวิลเฮลมินา ทรงเป็นรัชทายาทเพียงพระองค์เดียวได้ขึ้นครองราชสมบัติเนเธอร์แลนด์ โดยไม่ผูกมัดตามข้อตกลงของราชสกุล อย่างไรก็ตามราชบัลลังก์ลักเซมเบิร์กได้ผ่านไปถึงเชื้อสายบุรุษของราชวงศ์นัสเซาสายอื่น คือ ดยุกอดอลฟ์ผู้ถูกขับออกจากตำแหน่งดยุกแห่งนัสเซาและเป็นประมุขของสายราชวงศ์นัสเซา-เวลเบิร์ก และแกรนด์ดยุกของลักเซมเบิร์กในสมัยนั้นโดยไม่มีพระราชโอรสสืบทอด ทำให้ราชวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ของเนเธอร์แลนด์ตระกูลนัสเซาซึ่งก็คือ แกรนด์ดยุกอดอลฟ์แห่งลักเซมเบิร์กได้ขึ้นครองราชย์แทน ในปีพ.ศ. 2450 แกรนด์ดยุกวิลเล็มที่ 4 แห่งลักเซมเบิร์กผู้เป็นพระโอรสเพียงองค์เดียวของแกรนด์ดยุกอดอลฟีได้รับสิทธิการชอบธรรมแก่พระธิดาองค์โตคือเจ้าหญิงมารี อเดเลด ซึ่งเป็นสิทธิในการสืบราชสมบัติด้วยความบริสุทธิ์แห่งการไร้บุรุษในราชวงศ์ และระบุไว้ในกฎดั้งเดิมราชสกุลนัสเซา พระนางจึงทรงเป็นแกรนด์ดัสเชสพระองค์แรกผู้ปกครองแกรนด์ดัชชีแห่งลักเซมเบิร์กเมื่อพระบิดาเสด็จสวรรคตในปีพ.ศ. 2455 และทรงสละราชสมบัติในปีพ.ศ. 2462 พระขนิษฐาจึงครองราชย์สืบต่อคือแกรนด์ดัชเชสชาร์ล็อต และลักเซมเบิร์กเริ่มต้นมีราชวงศ์ของตนเองในรัชสมัยของแกรนด์ดัชเชสชาร์ล็อตแห่งลักเซมเบิร์ก (Grand Duchess Charlotte) ลักเซมเบิร์กได้พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วทั้งด้านการเมืองและเศรษฐกิจ อย่างไรก็ดี การพัฒนาดังกล่าวได้หยุดชะงักลงเมื่อเยอรมนีได้เข้ายึดครองลักเซมเบิร์กในระหว่างสงครามโลกทั้งสองครั้ง ทั้งๆ ที่ ลักเซมเบิร์กได้ประกาศความเป็นกลาง ต่อมาในปี พ.ศ. 2507 กษัตริย์ของลักเซมเบิร์กคือ แกรนด์ดยุกฌองแห่งลักเซมเบิร์ก (Grand Duke Jean) ได้ขึ้นครองราชย์สืบต่อจากพระราชชนนี คือ แกรนด์ดัชเชสชาร์ล็อต ซึ่งสละราชสมบัติให้แก่พระราชโอรสหลังจากที่ทรงครองราชย์มานานถึง 45 ปี กษัตริย์องค์ปัจจุบันของลักเซมเบิร์กคือ แกรนด์ดยุกอ็องรีที่ 1 แห่งลักเซมเบิร์ก (Grand Duke Henri) ขึ้นครองราชสมบัติเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ค.ศ. 2543 เป็นกษัตริย์องค์ที่ 6 ของราชวงศ์ นัสเซา-เวลเบิร์ก สืบต่อจากแกรนด์ดยุกฌอง พระราชชนก ซึ่งสละราชสมบัติหลังจากที่ครองราชย์นานถึง 36 ปี ให้แก่พระราชโอรส ภายหลังได้รับการปลดปล่อยโดยกองทัพของฝ่ายสัมพันธมิตรในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ลักเซมเบิร์กได้ยกเลิกนโยบายความเป็นกลางและเข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์กรด้านการเมือง เศรษฐกิจและการทหาร เช่น สหภาพยุโรป องค์กรสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (เนโท), สหภาพยุโรปตะวันตก (Western European Union-WEU) และ OSCE (Organization for Security and Cooperation in Europe)
การเมืองการปกครอง
เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2547 พรรค CSV (Christian Socialist Party) และพรรค LSAP (Luxembourg Socialist Workers’ Party) ซึ่งเป็นพรรคที่ได้รับเสียงข้างมากในการเลือกตั้งทั่วไปในลักเซมเบิร์ก เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2547 ได้บรรลุการเจรจาจัดสรรตำแหน่งรัฐมนตรี โดยมีนายชอง-โกลด จุงก์เกอร์หัวหน้าพรรค CSV ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นสมัยที่สาม และนายฌอง แอสเซลบอร์น หัวหน้าพรรค LSAP ดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและการเข้าเมือง ทั้งนี้ นายชอง-โกลด จุงก์เกอร์ได้นำคณะรัฐมนตรีรวม 15 ราย เข้าถวายสัตย์ปฏิญาณตนเพื่อเข้ารับหน้าที่ต่อแกรนด์ดยุกอ็องรีแห่งลักเซมเบิร์กในวันเดียวกัน
นโยบายของรัฐบาลให้ความสำคัญต่อการพัฒนาให้ทันสมัย (modernization) นวัตกรรม (innovation) การปรับโอน (transformation) และบูรณาการ (integration) ในทุก ๆ ด้าน
นโยบายด้านการเงินการคลังจะเน้นความยืดหยุ่น จะดำเนินการด้วยความระมัดระวัง ส่วนการดำเนินนโยบายด้านงบประมาณจะต้องสอดคล้องกับ Stability Pact และนโยบายการพัฒนาของสหภาพยุโรป รวมทั้งจะปรับเปลี่ยนปีงบประมาณให้ตรงกับช่วงปีงบประมาณของสหภาพยุโรป
นโยบายด้านเศรษฐกิจจะเน้นการส่งเสริมการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ความทันสมัย และรูปแบบที่เปิดรับต่อปัจจัยและเงื่อนไขใหม่ๆ เพื่อให้เกิดการพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน โดยให้มีการค้นคว้าและวิเคราะห์สถานการณ์ทางเศรษฐกิจ ส่งเสริมด้าน e-dynamic การลงทุนด้านสาธารณูปโภคเพิ่มขีดความสามารถทางด้านการคมนาคม อาทิ ถนนและเส้นทางรถไฟ
โดยที่ลักเซมเบิร์กเป็นประเทศขนาดเล็ก จึงให้ความสำคัญเป็นลำดับต้นต่อความร่วมมือกับประเทศในยุโรปตะวันตก ทั้งในกรอบทวิภาคี EU และ NATO เพื่อเป็นหลักประกันต่อเอกราช
ด้านความมั่นคง ลักเซมเบิร์กมีความจำเป็นที่จะต้องเร่งพัฒนาขีดความสามารถด้านความมั่นคงเพื่อตอบสนองต่อภารกิจของชาติและภารกิจในกรอบของ NATO และ EU โดยจะเพิ่มงบประมาณด้านความมั่นคงร้อยละ 1.2 ของ GDP และเร่งปรับปรุงสถานที่ตั้งทางการทหาร ปรับปรุงแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับการเข้าร่วมปฏิบัติภารกิจการรักษาสันติภาพในกรอบระหว่างประเทศ เพื่อตอบสนองต่อเงื่อนไขใหม่ ๆ ของ NATO และ EU
ลักเซมเบิร์กยังมีบทบาทสำคัญในการให้ความช่วยเหลือแก่ต่างประเทศ และเป็นประเทศหนึ่งที่ปฏิบัติตามวัตถุประสงค์ของ UN ในการให้เงินช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม และในปี พ.ศ. 2544 ลักเซมเบิร์กให้เงินช่วยเหลือแก่ต่างประเทศร้อยละ 0.8 ของ GDP ซึ่งเกินเป้าหมายของ UN และ OECD นอกจากนั้น ลักเซมเบิร์กมีแผนการที่จะเพิ่มเงินช่วยเหลือให้ถึงร้อยละ 1 ในปี พ.ศ. 2548 เพื่อใช้ในการพัฒนาประเทศที่มีความยากจนและประสบภัยสงคราม
เขตการปกครอง
ประเทศลักเซมเบิร์กแบ่งเป็น 3 เขต หน่วยการปกครอง 12 หน่วยและคอมมูน 102 คอมมูน 12 คอมมูนมีเมืองประจำคอมมูนที่ซึ่งมีเมืองลักเซมเบิร์กเป็นเมืองใหญ่สุด
เขตการปกครองทั้งสามของประเทศ ได้แก่
- เขตเดเคริช
- เขตเกรเวนมาเชอร์
- เขตลักเซมเบิร์ก
ภูมิศาสตร์
ลักเซมเบิร์กเป็นหนึ่งในประเทศที่มีขนาดเล็กที่สุดในยุโรป และมีขนาดเป็นอันดับ 167 ของโลก พื้นที่ทั่วประเทศ 2,586 ตารางกิโลเมตร ทางตะวันตกของประเทศ มีพรมแดนติดกับจังหวัดลักเซมเบิร์กของเบลเยียม ซึ่งมีพื้นที่ใหญ่ (4,443 ตารางกิโลเมตร) เกือบสองเท่าของประเทศลักเซมเบิร์ก
ทางตอนเหนือของประเทศ เป็นเนินเขาและภูเขาเตี้ย ๆ จุดสูงสุดอยู่ที่ Kneiff ใกล้กับเมือง Wilwerdange มีความสูง 560 เมตร พื้นที่อื่น ๆ มักจะเป็นเนินเขาเตี้ย ๆ เช่นกัน
เศรษฐกิจ
- ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ 62.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ปี 2560)
- ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศต่อหัว 104,103 ดอลลาร์สหรัฐ (ปี 2560)
- อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ 2.3% (ปี 2560)
- อัตราเงินเฟ้อ 1.7% (ปี 2560)
- อัตราการว่างงาน 3.6% (ปี 2546)
- มูลค่าการส่งออก ประมาณ 9.052 พันล้านยูโร (ปี 2546)
- มูลค่าการนำเข้า 12.060 พันล้านยูโร (ปี 2546)
- สินค้าส่งออกที่สำคัญ ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่โลหะ ผลิตภัณฑ์โลหะ เครื่องจักรและอุปกรณ์ อาหาร เครื่องดื่ม และยาสูบ เคมีภัณฑ์
- สินค้านำเข้าที่สำคัญ เครื่องจักรและอุปกรณ์ อุปกรณ์การขนส่ง ผลิตภัณฑ์โลหะ อาหาร เครื่องดื่ม และยาสูบ เคมีภัณฑ์
- ประเทศคู่ค้าสำคัญ เยอรมนี เบลเยียม ฝรั่งเศส จีน เนเธอร์แลนด์ สหราชอาณาจักร อิตาลี สเปน สหรัฐฯ ญี่ปุ่น อินเดีย
ภาคการบริการเป็นสาขาเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุดของลักเซมเบิร์ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสาขาการเงินการธนาคาร โดยลักเซมเบิร์กมีกฎหมายด้านการเงินที่ดึงดูดนักลงทุน ทำให้ลักเซมเบิร์กกลายเป็นศูนย์กลางด้านกองทุนลงทุนที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสี่ของโลกรองจากสหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส และญี่ปุ่น โดยจะเห็นได้จากการที่ในปี 2543 ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศลักเซมเบิร์กมาจากภาคบริการถึงร้อยละ 69 (ภาคอุตสาหกรรม ร้อยละ 30 และภาคการเกษตร ร้อยละ 1) และมีแรงงานถึงร้อยละ 90 ของแรงงานทั้งหมดทำงานในภาคบริการ (ภาคอุตสาหกรรม ร้อยละ 8 และภาคการเกษตร ร้อยละ 2)
เศรษฐกิจการค้า
สภาวะเศรษฐกิจ ลักเซมเบิร์กเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจมั่นคง อัตราการเติบโตปานกลาง เงินเฟ้อต่ำ และมีนวัตกรรมในระดับสูง มีอัตราการว่างงานต่ำ ภาคอุตสาหกรรมซึ่งในอดีตเหล็กกล้าเป็นอุตสาหกรรมที่สำคัญที่สุด แต่ปัจจุบันได้มีอุตสาหกรรมประเภทอื่น ๆ เพิ่มขึ้น ได้แก่ เคมีภัณฑ์ ยาง และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ การเจริญเติบโตทางภาคการเงิน ซึ่งอัตราหนี้สาธารณะต่อ GDP คิดเป็นร้อยละ 22 ส่วนใหญ่นำไปชดเชยให้กับอุตสาหกรรมเหล็กกล้า ธนาคารส่วนใหญ่มีชาวต่างชาติเป็นเจ้าของ ภาคเกษตรกรรมมีลักษณะเป็นไร่ขนาดเล็ก แรงงานต่างชาติหรือแรงงานข้ามชาติมีส่วนสำคัญมากในด้านเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 30 ของแรงงานทั้งหมด ถึงแม้ว่าลักเซมเบิร์กจะได้รับผลกระทบจากสภาพเศรษฐกิจโลกที่ซบเซาเหมือนเช่นประเทศอื่น ๆ แต่ก็ยังสามารถรักษาให้อัตราการเจริญเติบโตยังเข้มแข็งต่อไปได้
สหภาพเศรษฐกิจเบลโก-ลักเซมเบิร์ก เบลเยียมและลักเซมเบิร์กได้จัดตั้งสหภาพเศรษฐกิจเบลโก-ลักเซมเบิร์ก (Belgium-Luxembourg Economic Union - BLEU) ระหว่างกันเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2464 ซึ่งทำให้การเก็บสถิติการค้าและการลงทุนมักจะเป็นไปบนพื้นฐานของตัวเลขของทั้งสองประเทศรวมกัน นอกจากนี้ มีการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราของทั้งสองประเทศไว้ที่อัตราส่วนหนึ่งต่อหนึ่ง (one-to-one parity) สหภาพเศรษฐกิจเบลโก- ลักเซมเบิร์กมีลักษณะสำคัญ ดังนี้
- จัดระบบการค้าเสรีระหว่างกัน
- มีการประสานนโยบายในด้านเศรษฐกิจ การเงิน และสังคม รวมทั้ง ปรับกฎหมายภายในประเทศทั้งสองให้สอดคล้องกัน
- ธนาคารแห่งประเทศเบลเยี่ยมจะทำหน้าที่เป็นธนาคารกลางของ ทั้งสองประเทศ
- ใช้กฎหมายด้านการปริวรรตเงินตราต่างประเทศแบบเดียวกัน
- มีการจำกัดปริมาณเงินฟรังค์ลักเซมเบิร์ก โดยกำหนดปริมาณเป็นระยะ ๆ ตามความเหมาะสม ทั้งนี้ เงินฟรังค์ของทั้งสองประเทศมีค่าเท่ากัน
- เบลเยียมจะมีบทบาทนำด้านเศรษฐกิจ เนื่องจากลักเซมเบิร์กมี GDP ประมาณร้อยละ 4.5 ของ GDP เบลเยียม และลักเซมเบิร์กได้เน้นภาคบริการโดยเฉพาะเป็นศูนย์กลางทางการเงินและการธนาคาร โดยมีนโยบายด้านการเงินที่เสรี และอัตราภาษีเงินได้ที่ต่ำ
ดูเพิ่ม
อ้างอิง
- "Statistiques // Luxembourg". statistiques.public.lu. สืบค้นเมื่อ 19 December 2019.
- ↑ "World Economic Outlook Database, October 2019". IMF.org. International Monetary Fund. สืบค้นเมื่อ 8 January 2020.
- "Gini coefficient of equivalised disposable income - EU-SILC survey". ec.europa.eu. Eurostat. สืบค้นเมื่อ 20 October 2019.
- Human Development Report 2020 The Next Frontier: Human Development and the Anthropocene (PDF). United Nations Development Programme. 15 December 2020. pp. 343–346. ISBN 978-92-1-126442-5. สืบค้นเมื่อ 16 December 2020.
- "Europe :: Luxembourg — The World Factbook - Central Intelligence Agency". www.cia.gov. สืบค้นเมื่อ 12 December 2020.
- Kreins, Jean-Marie (2003). Histoire du Luxembourg (ภาษาฝรั่งเศส) (3rd ed.). Paris: Presses Universitaires de France. pp. 80–81. ISBN 978-2-13-053852-3.
- "Luxembourg and NATO". NATO. สืบค้นเมื่อ 18 April 2021.
- "Carte des communes – Luxembourg.lu – Cartes du Luxembourg". Luxembourg.public.lu. 21 September 2011. สืบค้นเมื่อ 1 February 2013.
- "Luxembourg - Communications". Encyclopedia Britannica (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 12 December 2020.
- (PDF). คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม (PDF) เมื่อ 10 June 2007. สืบค้นเมื่อ 24 February 2010., recueil de statistiques par commune. statistiques.public.lu (2003) p. 20
- "The Global Innovation Index 2012" (PDF). INSEAD. สืบค้นเมื่อ 22 July 2012.
แหล่งข้อมูลอื่น
คอมมอนส์ มีภาพและสื่อเกี่ยวกับ: ลักเซมเบิร์ก |
- รายละเอียดลักเซมเบิร์ก จากเว็บกระทรวงต่างประเทศ
- ของแกรนด์ดัชชีลักเซมเบิร์ก
- Luxembourg. เดอะเวิลด์แฟกต์บุ๊ก สำนักข่าวกรองกลางสหรัฐ
- ประเทศลักเซมเบิร์ก ที่เว็บไซต์ Curlie
- Wikimedia Atlas of Luxembourg
- ประเทศลักเซมเบิร์ก ข้อมูลการท่องเที่ยวจาก วิกิท่องเที่ยว