หม้อแกงลิง
หม้อแกงลิง | |
---|---|
หม้อผุดของ Nepenthes ampullaria จากอุทยานแห่งชาติบาโก | |
สถานะการอนุรักษ์ | |
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์ | |
อาณาจักร: | พืช (Plantae) |
หมวด: | Magnoliophyta |
ชั้น: | Magnoliopsida |
อันดับ: | Caryophyllales |
วงศ์: | Nepenthaceae |
สกุล: | Nepenthes |
สปีชีส์: | N. ampullaria |
ชื่อทวินาม | |
Nepenthes ampullaria Jack (1835) | |
ชื่อพ้อง | |
|
หม้อแกงลิง (Nepenthes ampullaria) (มาจากภาษาละติน : ampulla = ถุงใส่น้ำ) หรือ Flask-Shaped Pitcher-Plant, สามารถพบได้ในบอร์เนียว, สุมาตรา, ไทย, เพนนิซูล่า มาเลเซีย, สิงคโปร์, หมู่เกาะโมลุกกะ, และ เกาะนิวกินี เมื่อได้พิจารณาโดยใกล้ชิด N.ampullaria ได้มีการวิวัฒนาการแตกต่างจากชนิดอื่นในสกุลเดียวกัน
หม้อแกงลิงยังมีชื่อพื้นเมืองอื่นๆอีกดังนี้:ช่อหม้อแกง (ปัตตานี), บลางอกึกอ (มลายู ปัตตานี), หม้อแกงค่าง (ปัตตานี)
ถิ่นอาศัย
N. ampullaria พบได้ตั้งแต่พื้นราบจนถึงระดับสูงจากระดับน้ำทะเล 2100 เมตร ในเขตร้อนชื้น ทั้งเขตหนองน้ำและป่าฝนเขตร้อน ในบอร์เนียวสามารถพบได้ในพื้นราบในป่าฝนเขตร้อนและป่าพรุ ที่ความสูง 0 ถึง 1000 ม. ส่วนในสุมาตราและแหลมมลายู พบที่ระดับความสูงถึง 1100 ม.จากระดับน้ำทะเล ในป่าฝนเขตร้อน, ท้องทุ่ง, ป่าพรุ พบแม้กระทั่งในนาข้าว และในนิวกินีพบในป่าสน, ป่าปลูก, ทุ่งหญ้า และป่าหญ้าหนองน้ำ
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
เพราะมันมีหม้อที่เป็นเอกลักษณ์และเติบโตไม่เหมือนใคร ทำให้ยากที่จะจำ N. ampullaria สับสนกับหม้อข้าวหม้อแกงลิงชนิดอื่นในสกุล เอฟ.อี. ลอยด์ (F. E. Lloyd) แปลบัญชีของทรอลล์ (Troll) ปี ค.ศ. 1932 เกี่ยวกับพืชชนิดนี้ไว้ดังนี้:
ฉันพบ N. ampullaria ท่ามกลางพืชหนองน้ำชนิดอื่นๆโดยบังเอิญบนเกาะซิเบรุต (Siberut) ทางชายฝั่งตะวันตกของสุมาตรา มันมีอยู่มากมายในทุกๆที่ ทำให้ฉันไม่อาจละสายตาไปได้ ตลอดเถาไม้มีหม้อของมันตลอดเถา เป็นกระจุกหนาแน่น ช่างน่าทึ่งนัก แม้แต่บนพื้นที่ปกคลุมไปด้วยมอสส์ก็ยังมีหม้อของมันผุดออกมา ช่างเป็นเหมือนพรมที่น่าประทับใจไม่รู้ลืม
N. ampullaria เป็นไม้เลื้อย ลำต้นสีน้ำตาลอ่อนอาจสูงได้ถึง 15 ม. มีขนนุ่มสีน้ำตาลตามลำต้นและใบ เมื่อยังเล็กจะมีอยู่หนาแน่นและจะน้อยลงเมื่อโตขึ้น ใบเดี่ยวเป็นรูปรี สีเขียวยาว 25 ซม.กว้าง 6 ซม. เรียงตัวเป็นเกลียว ขอบใบเรียบ สายดิ่งยาวไม่เกิน 15 ซม. ช่อดอกเป็นแบบช่อแยกแขนงหนาแน่น ออกดอกช่วงเดือนตุลาคมถึงมกราคม ผล/ฝักเป็นวงรีหรือคล้ายแคบซูลและแตกเมื่อแก่ มันเป็นหม้อข้าวหม้อแกงลิงเพียงชนิดเดียวจากสุมาตราหรือเพนนิซูล่า มาเลเซียที่มีช่อดอกแบบช่อแยกแขนงN. ampullaria เป็นหนึ่งในไม่กี่ชนิดที่มีหม้อผุด โดยหม้อผุดจะเกิดขึ้นบริเวณโคนต้นหรือไหล หม้อผุดจะไม่มีใบให้สังเกตเป็นได้ชัดหรือใบมีขนาดเล็กมาก หม้อมีลักษณะกลมมีฝาขนาดเล็ก มีขนาดสูง 7 เซนติเมตรขึ้นไป หม้อมีสีแดงหรือเขียวสีเดียวทั้งหม้อหรืออาจมีกระที่หม้อตั้งแต่หนึ่งสีขึ้นไป หม้อของ N. ampullaria จากสุมาตราและเพนนิซูล่า มาเลเซียส่วนมากมีสีเขียวหรือเขียวกระแดง ส่วนสีแดงพบในแถบบอร์เนียว หม้อขนาดใหญ่พบจากนิวกินี
เหยื่อ
N. ampullaria มันห่างไกลจากคำว่าพืชกินสัตว์มากและสารอาหารไนโตรเจนส่วนมากได้มาจากการย่อยเศษใบไม้ที่ตกลงบนพื้นป่า ด้วยเหตุนี้มันเป็นพืชกินซากอินทรีย์
หม้อข้าวหม้อแกงลิงชนิดนี้มีการพัฒนาลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์เป็นผลมาจากการดัดแปลงในการดักจับเศษใบไม้:
- มันเป็นเพียงชนิดเดียวในสกุลที่ไม่มีเซลล์"รูปจันทร์เสี้ยว"ในหม้อซึ่งพัฒนามาจากเซลล์คุมปากใบ
- ฝาหม้อผิดแบบ เล็กมากและโค้งพับลง จนกระทั่งเศษใบไม้แห้งตกลงในหม้อได้
- ต่อมน้ำต้อยที่มีหน้าที่สำคัญในการล่อเหยื่อมีน้อยมาก บางครั้งไม่พบในฝาหม้อเลย
- ต่อมขอบของเพอริสโตมลดรูปลงมากเมื่อเทียบกับชนิดอื่น
- ในหม้อล่าง บริเวณที่มีต่อมแผ่ไปจนเกือบถึงเพอริสโตม จนกระทั่งมีบริเวณคล้ายขี้ผึ้งน้อยมากหรือไม่มีเลย ซึ่งหน้าที่ของบริเวณคล้ายขี้ผึ้งนี้ทำหน้าที่ให้เหยื่อลื่นและตกลงไปในน้ำย่อย
- สถาปัตยกรรมของพืชประกอบด้วยไหลใต้ดินและตะเกียงซึ่งเป็นเรื่องไม่ปกติในสกุล บ่อยครั้งจะพบหม้อจะปกคลุมไปทั่วพื้นดิน ซึ่งจะเป็นการช่วยขยายพื้นที่ในการดักจับใบไม้
- หม้อของ N. ampullaria ค่อนข้างจะมีอายุยาวตามการสะสมอย่างช้าๆของสารอาหารที่ใช้เวลามาก
- คาดว่าผู้อิงอาศัยอย่างลูกน้ำ จะช่วยย่อยสลายเศษใบไม้ได้ง่ายขึ้นและแปลงเป็นไนโตรเจนให้กับพืชโดยวิธีของการขับถ่ายของแอมโมเนียไอออน เมื่อแบคทีเรียย่อยเศษใบไม้จะสร้างแอมโมเนียไอออนออกมา
มันแสดงว่าไอโซโทปเสถียรของไนโตรเจนจากใบไม้ (15N) ใน N. ampullaria ที่เติบใตภายใต้ต้นไม้ในป่า (มีเศษใบไม้กิ่งไม้บนพื้น) มีน้อยกว่าต้นไม้ที่ไม่ได้รับเศษใบไม้ กลับกันความเข้มข้นไนโตรเจนรวมกลับมีมากกว่าต้นไม้ที่โตในที่โล่งไม่ได้รับเศษใบไม้ มีการประมาณว่า N. ampullaria ที่โตในป่า 35.7% (±0.1%) ของสารอาหารไนโตรเจนได้มาจากเศษใบไม้เหล่านั้น
หน่วยอนุกรมวิธานต่ำกว่าระดับชนิด
เมื่อเร็วๆนี้มีการบรรยายลักษณะความผันแปรของ N. ampullaria var. racemosa จากรัฐซาราวะก์ว่ามันมีช่อดอกแบบกระจะ บี.เอช. แดนเซอร์ พิจารณาว่าความหลากหลายอื่นๆนั้นไม่สำคัญ มีการแจกแจงไว้ดังนี้
- N. ampullaria var. geelvinkiana Becc. (1886)
- N. ampullaria var. guttata D.Moore (1872)
- N. ampullaria var. longicarpa Becc. (1886)
- N. ampullaria var. microsepala Macfarl. (1911)
- N. ampullaria var. papuana Becc. in sched. nom.nud.
- N. ampullaria var. picta Hort. ex Nichols. (1885)
- N. ampullaria var. racemosa J.H.Adam & Wilcock (1990)
- N. ampullaria var. vittata Hort. ex G.Beck (1895)
- N. ampullaria var. vittata-major Mast. (1872)
ลูกผสมทางธรรมชาติ
เนื่องจากดอกของ N. ampullaria ที่บานในทุกๆปีมีช่วงเวลาบานหลายสัปดาห์ ทำให้มีโอกาสที่จะผสมข้ามชนิดสูง นี่คือลูกผสมตามธรรมชาติของ N. ampullaria ที่ถูกบันทึกไว้
- N. albomarginata × N. ampullaria.
- N. ampullaria × N. bicalcarata
- ? N. ampullaria × N. eustachya
- N. ampullaria × N. gracilis [=N. × trichocarpa]
- (N. ampullaria × N. gracilis) × N. bicalcarata [=N. × trichocarpa × N. bicalcarata]
- N. ampullaria × N. hirsuta
- N. ampullaria × N. mirabilis [=N. × kuchingensis, Nepenthes cutinensis]
- N. ampullaria × N. neoguineensis
- N. ampullaria × N. rafflesiana [=N. × hookeriana]
- ? (N. ampullaria × N. rafflesiana) × N. mirabilis [=N. × hookeriana × N. mirabilis]
- N. ampullaria × N. reinwardtiana
- N. ampullaria × N. tobaica
อ้างอิง
- เต็ม สมิตินันทน์. 2523. ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (ชื่อพฤกษศาสตร์-ชื่อพื้นเมือง). กรมป่าไม้ หน้า 379
- Phillipps, A. & A. Lamb 1996. Pitcher-Plants of Borneo. Natural History Publications (Borneo), Kota Kinabalu.
- สำนักงานหอพรรณไม้. ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย เต็ม สมิตินันทน์ -- กรุงเทพมหานคร : กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช, 2549
- ↑ Jebb, M. & M. Cheek 1997. A Skeletal Revision of Nepenthes (Nepenthaceae). Blumea 42: 1-106.
- ↑ Clarke, C.M. 1997. Nepenthes of Borneo. Natural History Publications (Borneo), Kota Kinabalu.
- ↑ Clarke, C.M. 2001. Nepenthes of Sumatra and Peninsular Malaysia. Natural History Publications (Borneo), Kota Kinabalu.
- Lloyd, F.E. 1942. The Carnivorous Plants. Chronica Botanica 9. Ronald Press Company, New York, U.S.A. xvi + 352 pp.
- Pant, D.D. & S. Bhatnagar 1977. Morphological studies in Nepenthes (Nepenthaceae). Phytomorphology 27: 13-34.
- Macfarlane, J.M. 1893. Observations on pitchered insectivorous plants. Part II. Annals of Botany 7: 403-458.
- Jebb, M.H.P. 1991. An account of Nepenthes in New Guinea. Science in New Guinea 17 (1) : 7-54.
- Moran, J.A., C.M. Clarke & B.J. Hawkins 2003. From Carnivore to Detritivore? Isotopic Evidence for Leaf Litter Utilization by the Tropical Pitcher Plant Nepenthes ampullaria. International Journal of Plant Sciences 164: 635–639.
- Danser, B.H. 1928. The Nepenthaceae of the Netherlands Indies. Bulletin de Jardin de Botanique, Buitenzorg, Série III, 9 (3-4) : 249-438.
- Lowrie, A. 1983. Sabah Nepenthes Expeditions 1982 & 1983.PDF (1.25 MiB) Carnivorous Plant Newsletter 12 (4) : 88–95.
คอมมอนส์ มีภาพและสื่อเกี่ยวกับ: หม้อแกงลิง |