fbpx
วิกิพีเดีย

ฟุตบอลทีมชาติไทย

หน้านี้สำหรับทีมฟุตบอลชาย สำหรับทีมหญิงดูได้ที่ ฟุตบอลหญิงทีมชาติไทย

ฟุตบอลทีมชาติไทย เป็นตัวแทนของประเทศไทยในการแข่งขันฟุตบอลระหว่างประเทศ และอยู่ภายใต้การบริหารของสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ โดยทีมมีประวัติของความสำเร็จในการแข่งขันในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือชนะเลิศ ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน 5 สมัย และชนะเลิศซีเกมส์ 16 สมัย รวมทั้งคว้าอันดับ 3 ในรายการเอเชียนคัพ 1972 และเข้าร่วมการแข่งขันในโอลิมปิกฤดูร้อน 2 ครั้ง และในเอเชียนเกมส์ อีก 4 ครั้ง โดยอันดับโลกฟีฟ่าที่ดีที่สุดของทีมชาติไทย คือ อันดับที่ 42 ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2541 จากเกียรติประวัติดังกล่าวทำให้ทีมชาติไทยได้รับการยอมรับว่าเป็นชาติที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปัจจุบันทีมชาติไทยอยู่ในอันดับที่ 120 ของโลก และอันดับที่ 2 ของเอเชียตะวันออกเฉียใต้ จากการจัดอันดับโดยฟีฟ่า เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2564

ฟุตบอลทีมชาติไทย
ฉายาช้างศึก
สมาคมสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์
สมาพันธ์ย่อยสหพันธ์ฟุตบอลอาเซียน (เอเชียตะวันออกเฉียงใต้)
สมาพันธ์สมาพันธ์ฟุตบอลเอเชีย (ทวีปเอเชีย)
กัปตันศิวรักษ์ เทศสูงเนิน
ติดทีมชาติสูงสุด เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง (134)
ทำประตูสูงสุด เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง (71)
สนามเหย้าราชมังคลากีฬาสถาน
รหัสฟีฟ่าTHA
อันดับฟีฟ่า
อันดับปัจจุบัน 120 14 (12 สิงหาคม 2021)
อันดับสูงสุด42 (กันยายน 2541)
อันดับต่ำสุด165 (ตุลาคม 2558)
เกมระดับนานาชาติครั้งแรก
สาธารณรัฐจีน 6–1 ไทย
(กรุงเทพ, ไทย; 20 สิงหาคม พ.ศ. 2491)
ชนะสูงสุด
ไทย 10–0 บรูไน
(กรุงเทพ, ไทย; 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2514)
แพ้สูงสุด
สหราชอาณาจักร 9–0 ไทย
(เมลเบิร์น, ออสเตรเลีย; 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2499)

ทีมชาติไทยมีผลงานที่ดีที่สุดคือการผ่านเข้าถึงรอบที่ 3 (รอบ 12 ทีมสุดท้าย) ในการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก 2 ครั้งในปี พ.ศ. 2545 และ 2561 แต่ยังไม่เคยผ่านเข้าไปเล่นในรอบสุดท้าย

ประวัติ

ปี สมาคม
2459 ก่อตั้ง
2468 ฟีฟ่า
2500 เอเอฟซี
2537 เอเอฟเอฟ

ยุคแรกของการก่อตั้ง

 
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงก่อตั้งสมาคมฟุตบอลแห่งสยามขึ้นในเดือนเมษายน พ.ศ. 2459

ทีมฟุตบอลทีมชาติไทยก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2458 ในนามคณะฟุตบอลสำหรับชาติสยาม โดยนักฟุตบอลทีมชาติสยาม 11 คนแรก มีรายชื่อดังนี้ อิน สถิตยวณิช (ผู้รักษาประตู) – แถม ประภาสะวัต, ต๋อ ศุกระศร, ภูหิน สถาวรวณิช (กองหลัง) – ตาด เสตะกสิกร, นายกิมฮวด วณิชยจินดา (กองกลาง) – หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร, ชอบ หังสสูต, โชติ ยูปานนท์, ศรีนวล มโนหรทัต, จรูญ รัตโนดม (กองหน้า) และลงเล่นในการแข่งขันอย่างไม่เป็นทางการครั้งแรกพบกับทีมสปอร์ตคลับฝ่ายยุโรปซึ่งใช้นักเตะอังกฤษทั้งหมด โดยแข่งขันกันที่สนามราชกรีฑาสโมสร ในวันที่ 20 ธันวาคม ซึ่งทีมชาติสยามเอาชนะไปได้ 2-1 จากชัยชนะดังกล่าวทำให้กระแสความสนใจในกีฬาฟุตบอลในสยามประเทศเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ จนกระทั่งวันที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2459 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงก่อตั้งสมาคมฟุตบอลแห่งสยามฯ ขึ้นอย่างเป็นทางการพร้อมทั้งตราข้อบังคับสมาคมฯ และแต่งตั้งคณะสภากรรมการชุดแรก ประกอบด้วยข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ 7 ท่าน โดยมีพระยาประสิทธิ์ศุภการ เป็นนายกสภาฯ และพระราชดรุณรักษ์ เป็นเลขาธิการ ในปีเดียวกันได้ริเริ่มจัดการแข่งขันฟุตบอลถ้วยใหญ่ (ถ้วยพระราชทาน ก) และฟุตบอลถ้วยน้อย (ถ้วยพระราชทาน ข) ขึ้นเป็นครั้งแรก

ทีมชาติสยามได้ลงแข่งขันในเกมระหว่างประเทศครั้งแรกใน พ.ศ. 2473 พบกับทีมชาติอินโดจีน ซึ่งประกอบไปด้วยผู้เล่นเวียดนามใต้ และ ฝรั่งเศส เพื่อต้อนรับการเสด็จประพาสอินโดจีนของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยต่อมาชื่อของทีมชาติและชื่อของสมาคมได้ถูกเปลี่ยนชื่อในปี พ.ศ. 2482 เมื่อรัฐบาล จอมพล แปลก พิบูลสงคราม ประกาศนโยบาย “รัฐนิยม” ฉบับแรกเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2481 ให้เปลี่ยนชื่อประเทศ ประชาชน และสัญชาติ จาก “สยาม” เป็น “ไทย” จึงเป็นสาเหตุให้มีการเปลี่ยนชื่อจากสมาคมฟุตบอลแห่งชาติสยามเป็นสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ พร้อมทั้งเปลี่ยนชื่อฟุตบอลทีมชาติสยามเป็นฟุตบอลทีมชาติไทยมาจนถึงปัจจุบัน

 
คณะฟุตบอลชาติสยามในช่วงแรกของการก่อตั้ง

การแข่งขันโอลิมปิกและซีเกมส์

ในปี พ.ศ. 2499 พล.ต.เผชิญ นิมิบุตร ซึ่งเป็นนายกสมาคม ได้มีการหาผู้เล่นจากหลายสโมสรเพื่อจัดตั้งทีมที่จะลงแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน 1956 ที่เมืองเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย โดยเป็นครั้งแรกของทีมชาติไทยที่ได้มีโอกาสเข้าร่วมในกีฬาโอลิมปิก ในการแข่งขันครั้งนั้นเป็นการแข่งขันแบบแพ้คัดออก โดยทีมไทยซึ่งมี บุญชู สมุทรโคจร เป็นผู้จัดการทีมชาติคนแรก จับฉลากพบกับทีมสหราชอาณาจักร ในวันที่ 26 พฤศจิกายน โดยทีมไทยพ่ายแพ้ไป 0-9 (นับเป็นความพ่ายแพ้ที่มากที่สุดในประวัติศาสตร์) และตกรอบทันที โดยในรอบที่สอง ทีมสหราชอาณาจักรก็พ่ายแพ้ให้กับทีมชาติบัลแกเรีย 1-6 ก่อนที่บัลแกเรียจะคว้าเหรียญทองแดง ส่วนเหรียญเงินและเหรียญทองตกเป็นของทีมชาติยูโกสลาเวีย และสหภาพโซเวียตตามลำดับ ภายหลังจากการแข่งขัน หนังสือพิมพ์สยามนิกร ฉบับวันที่ 28 พฤศจิกายน ได้พาดหัวข่าวหน้ากีฬาว่า "ทีมชาติอังกฤษเฆี่ยนทีมชาติไทย 9 - 0" ซึ่งภายหลังจบการแข่งขัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีรับสั่งถึงสมาคมฟุตบอลฯ ให้ส่ง พล.ต.ดร.สำเริง ไชยยงค์ หนึ่งในนักฟุตบอลชุดโอลิมปิกไปศึกษาพื้นฐานการเล่นฟุตบอลจากประเทศเยอรมนี เพื่อให้กลับมาสอนการเล่นฟุตบอลให้แก่ทีมไทย

จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2508 ทีมชาติไทยก็สามารถคว้าเหรียญทองแรกในกีฬาแหลมทอง (ปัจจุบันคือกีฬาซีเกมส์) ครั้งที่ 3 ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ได้สำเร็จ และหากนับจนถึงปัจจุบันทีมชาติไทยสามารถคว้าแชมป์ซีเกมส์ได้รวม 16 สมัย (รวมทั้งทำสถิติคว้าแชมป์ติดต่อกัน 8 สมัย ตั้งแต่ พ.ศ. 2536-2550) ทีมชาติไทยได้เข้าร่วมการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อนเป็นครั้งที่สองในปี พ.ศ. 2511 ภายใต้การคุมทีมของ พลเอก ประเทียบ เทศวิศาล โดยแพ้ทีมชาติบัลแกเรีย 0-7, แพ้ทีมชาติกัวเตมาลา 1-4 และแพ้ทีมชาติเช็กโกสโลวาเกีย 0-8 ตกรอบแรกในการแข่งขัน ซึ่งผู้ชนะในรายการนี้ได้แก่ทีมชาติฮังการี ซึ่งคว้าเหรียญทองไปครอง และนั่นเป็นการเข้าร่วมการแข่งขันในโอลิมปิกเป็นครั้งสุดท้ายของทีมชาติไทยจนถึงปัจจุบัน

การแข่งขันเอเชียนคัพ, คิงส์คัพ, เอเชียนเกมส์ และ ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน

ในปี พ.ศ. 2515 ประเทศไทยได้มีโอกาสเป็นเจ้าภาพการแข่งขันฟุตบอลเอเชียนคัพ 1972 ซึ่งเป็นการจัดการแข่งขันเอเชียนคัพครั้งที่ 5 โดยในการแข่งขันนี้ ทีมชาติไทยได้อันดับที่ 3 โดยยิงลูกโทษตัดสินเอาชนะทีมชาติกัมพูชา ไปได้ 5-3 ภายหลังจากเสมอกัน 2-2 ซึ่งในการแข่งขันนี้ ทีมชาติอิหร่าน คว้าตำแหน่งชนะเลิศ และทีมชาติเกาหลีใต้ได้รางวัลรองชนะเลิศตามลำดับ

ในปี พ.ศ. 2519 ประเทศไทยได้แชมป์คิงส์คัพเป็นสมัยแรกโดยเป็นแชมป์ร่วมกับทีมชาติมาเลเซีย ภายหลังจากที่มีการเริ่มมีการจัดคิงส์คัพในประเทศไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2511 โดยต่อมาทีมชาติไทยได้เป็นแชมป์คิงส์คัพรวมทั้งสิ้น 11 ครั้งด้วยกัน

สำหรับการแข่งขันเอเชียนเกมส์ ทีมชาติไทยยังไม่สามารถคว้าตำแหน่งชนะเลิศได้ โดยความสำเร็จสูงสุดคือเข้าถึงรอบรองชนะเลิศ ในการแข่งขันเอเชียนเกมส์ครั้งที่ 11 ที่จัดขึ้นที่ กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน ในปี พ.ศ. 2533 เช่นเดียวกับ เอเชียนเกมส์ครั้งที่ 13 ที่จัดขึ้นที่ กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย ในปี พ.ศ. 2541 และเอเชียนเกมส์ครั้งที่ 14 ที่จัดขึ้นที่ ปูซาน ประเทศเกาหลีใต้ ในปี พ.ศ. 2545 และล่าสุดในเอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 15 ที่จัดขึ้นที่ โดฮา ประเทศกาตาร์ในปี พ.ศ. 2549 ทีมชาติไทยทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการเป็นทีมเดียวในอาเซียนที่ผ่านเข้าถึงรอบก่อนรองชนะเลิศ (รอบ 8 ทีมสุดท้าย) และผ่านเข้ารอบโดยเป็นที่ 1 ของกลุ่มซี

ในปี พ.ศ. 2537 ทีมชาติไทยได้ร่วมก่อตั้งสหพันธ์ฟุตบอลอาเซียน (เอเอฟเอฟ) ร่วมกับอีก 9 ประเทศในภูมิภาคอาเซียน และนอกจากนี้ ประเทศไทยได้มีการเชิญสโมสรชั้นนำจากทั่วโลกมาแข่งขันในประเทศไทยหลายครั้งด้วยกัน ได้แก่ เอฟซีปอร์โต (2540) อินเตอร์มิลาน (2540) โบคาจูเนียร์ (2540) ลิเวอร์พูล (2544) นิวคาสเซิลยูไนเต็ด (2547) เอฟเวอร์ตัน (2548) โบลตันวันเดอร์เรอร์ (2548) แมนเชสเตอร์ซิตี (2548 ที่ไทย และ 2550 ที่อังกฤษ) และสโมสรชั้นนำอื่น ๆ อีกมากมาย

ถัดมาในช่วง พ.ศ. 2539 ทีมชาติไทยภายใต้การคุมทีมของธวัชชัย สัจจกุล ได้มีผู้เล่นชื่อดังในทีมชุดใหญ่หลายคน อาทิ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง, ตะวัน ศรีปาน, ดุสิต เฉลิมแสน, นที ทองสุขแก้ว, และ เนติพงษ์ ศรีทองอินทร์ จนได้รับการขนานนามจากสื่อว่าเป็น "ทีมชาติไทยชุดดรีมทีม (Dream Team)" โดยมีผลงานโดดเด่นคือการชนะเลิศรายการ ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน (ปัจจุบันคือรายการเอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ) ที่ประเทศสิงคโปร์ และคว้าแชมป์รายการดังกล่าวได้รวม 5 สมัยจนถึงปัจจุบันซึ่งเป็นสถิติสูงสุด

การคุมทีมของชาญวิทย์ ผลชีวิน และ ปีเตอร์ รีด

 
โลโก้ทีมชาติไทยในช่วงปี 2006-2017 (พ.ศ. 2549-2560)

ในปี พ.ศ. 2551 ไทยได้ตกรอบฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกในรอบ 20 ทีมสุดท้าย โดยได้อยู่สายเดียวกับทีมชาติญี่ปุ่น โอมาน บาห์เรน โดยมีผลงานคือเสมอ 1 นัด และแพ้ไปถึง 5 นัด ทำให้ชาญวิทย์ ผลชีวิน ประกาศลาออกจากตำแหน่ง หลังจากนั้น ปีเตอร์ รีด อดีตนักเตะสโมสรเอฟเวอร์ตันและทีมชาติอังกฤษได้เข้ามารับตำแหน่งผู้ฝึกสอนต่อ แต่ทีมชาติไทยก็พลาดแชมป์สำคัญในรายการ อาเซียนฟุตบอลแชมเปียนชิพ 2007 โดยแพ้ให้กับทีมชาติเวียดนามรวมผลสองนัดด้วยประตูรวม 2-3 และยังพลาดแชมป์คิงส์คัพอีกรายการหนึ่งโดยดวลจุดโทษแพ้ ทีมชาติเดนมาร์ก ทำให้ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2552 ปีเตอร์ รีด ถูกปลดออกจากตำแหน่งรวมทั้งอนาคตที่ไม่แน่นอนของเจ้าตัวเนื่องด้วยขณะนั้นมีข่าวว่ารีดจะไปรับงานที่สโมสรฟุตบอลสโตกซิตี ในฐานะผู้ช่วยผู้จัดการทีมของ โทนี พูลิส

การคุมทีมของไบรอัน ร็อบสัน

ในวันที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2552, ไบรอัน ร็อบสัน ได้เข้ามาทำหน้าที่ผู้จัดการทีมชาติไทยซึ่งเซ็นสัญญาไปจนถึงการแข่งขันฟุตบอลโลก 2014 ต่อมาในวันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552, ร็อบสันสามารถนำทีมชาติไทยคว้าชัยชนะนัดแรกในการแข่งขันรายการ เอเชียนคัพ 2011 รอบคัดเลือกโดยพบกับ ทีมชาติสิงคโปร์ โดยเอาชนะไป 3-1 แต่ในวันที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552, ร็อบสันนำทีมชาติไทยแพ้นัดแรกต่อทีมชาติสิงคโปร์เช่นกันด้วยผลประตู 0-1 โดยเป็นการแพ้ในบ้านที่ประเทศไทย ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2553 ทีมชาติไทยสามารถยันเสมอกับจอร์แดนและทีมชาติอิหร่าน 0-0 ทั้งสองนัดในการแข่งขันรอบแบ่งกลุ่ม แต่ก็ไม่สามารถช่วยให้ทีมชาติไทยได้เข้ารอบสุดท้ายในการแข่งขัน เอเชียนคัพ 2011 ที่ประเทศกาตาร์ได้

ในวันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2553 ร็อบสันสามารถนำทีมชาติไทยชนะทีมชาติสิงคโปร์ 1-0 ที่ประเทศไทย ในการแข่งขันกระชับมิตร ถัดมาในเดือนกันยายน พ.ศ. 2553 ร็อบสันนำทีมชาติไทยเอาชนะทีมชาติอินเดียได้ 2-1 ในการแข่งขันกระชับมิตรเช่นกัน แต่ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2553 ร็อบสันนำทีมชาติไทยตกรอบ เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2010 ตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่มภายหลังจากการเสมอ 2 นัดกับทีมชาติลาว และ ทีมชาติมาเลเซีย และแพ้ให้กับทีมชาติอินโดนีเซีย ซึ่งช่วงนั้นถือเป็นยุคมืดของทีมชาติไทยอย่างแท้จริงทำให้ร็อบสันยกเลิกสัญญาจากการเป็นผู้จัดการทีมชาติไทย

การคุมทีมของวินฟรีด เชเฟอร์

ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2554 วินฟรีด เชเฟอร์ อดีตผู้จัดการทีมเฟาเอฟเบชตุทท์การ์ทและอดีตแมวมองสโมสรโบรุสซีอาเมินเชินกลัทบัคสโมสรฟุตบอลชื่อดังในบุนเดิสลีกาและอดีตผู้จัดการทีมทีมชาติแคเมอรูนวัย 61 ปีได้เข้ามาเป็นผู้จัดการทีมชาติไทยแทนไบรอัน ร็อบสัน ที่มีปัญหาสุขภาพ โดยงานแรกของเชเฟอร์คือการนำทีมชาติไทยไปแข่งขัน ฟุตบอลโลก 2014 ในรอบคัดเลือกโซนเอเชีย ซึ่งแฟนบอลทุกคนได้สนับสนุนการทำงานของเชเฟอร์มาตลอดไม่ว่าการแข่งขันในบ้านหรือเกมเยือนจะปรากฏภาพแฟนบอลชาวไทยไปให้กำลังใจเสมอ โดยนัดแรกทีมชาติไทยได้บุกไปแพ้ทีมชาติออสเตรเลีย 1-2 โดยออกนำไปก่อนจากประตูของธีรศิลป์ แดงดา และในนัดต่อมาสามารถเอาชนะทีมชาติโอมานได้ 3-0 จากประตูของสมปอง สอเหลบ, ธีรศิลป์ แดงดา และการทำเข้าประตูตัวเองของราชิค จูมา อัล-ฟาร์ซี โดยเป็นชัยชนะนัดที่สองของทีมชาติไทยในการแข่งขันรอบคัดเลือกครั้งนี้ ซึ่งนัดแรกคือการเอาชนะปาเสลสไตน์ได้ 3-2 ในรอบคัดเลือกรอบที่ 2 และยังสามารถยันเสมอกับซาอุดีอาระเบียได้ 0-0 ในนัดถัดมา แต่หลังจากนั้นทีมชาติไทยได้แพ้ 3 นัดรวดในการไปเยือน 2 นัดและเล่นในบ้าน 1 นัด ยุติเส้นทางการแข่งขันฟุตบอลโลก 2014 ไว้ที่รอบคัดเลือกรอบที่ 3

ถัดมา ในการแข่งขัน เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2012 ทีมชาติไทยสามารถเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศได้ซึ่งพบกับทีมชาติสิงคโปร์ด้วยการเอาชนะทีมชาติมาเลเซีย 3-1 ในรอบรองชนะเลิศ ในรอบชิงชนะเลิศนัดแรกทีมชาติไทยบุกไปแพ้ทีมชาติสิงคโปร์ 1-3 แต่ก็ยังได้ประตูทีมเยือน (อเวย์โกล์) จากอดุลย์ หละโสะและในนัดที่สองแข่งกันที่กรีฑาสถานแห่งชาติทีมชาติไทยสามารถเอาชนะทีมชาติสิงคโปร์ไปได้ 1-0 จากประตูของกีรติ เขียวสมบัติแต่รวมผลประตูรวมสองนัดทีมชาติไทยแพ้ไป 2-3 ต่อมาเชเฟอร์ได้นำทีมชาติไทยไปแข่งในการแข่งขันเอเชียนคัพ 2015 รอบคัดเลือก (แบ่งกลุ่ม) ซึ่งเขานำทีมชาติไทยพ่ายแพ้ทั้ง 2 นัดและทำให้เขายกเลิกสัญญาในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2556

การคุมทีมของร้อยตำรวจโท เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง

ต่อมาทางสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้แต่งตั้งร้อยตำรวจโท เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง อดีตนักฟุตบอลทีมชาติไทยชื่อดังเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ ซึ่งนัดแรกของเกียรติศักดิ์ในการคุมทีมชาติไทยคือการแข่งขันกระชับมิตรพบกับทีมชาติจีน โดยทีมชาติไทยสามารถบุกไปชนะทีมชาติจีนถึงบ้านได้ถึง 5-1

 
ทีมชาติไทยคว้าตำแหน่งชนะเลิศรายการ ซูซูกิ คัพ ในปี 2014 (พ.ศ. 2557) ที่ประเทศมาเลเซีย

ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2556 ทางสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้แต่งตั้งให้ สุรชัย จตุรภัทรพงษ์ อดีตนักฟุตบอลชื่อดังเป็นผู้ฝึกสอนและเตรียมทีมชาติไทยไปแข่งกับทีมชาติอิหร่านในการแข่งขัน เอเชียนคัพ 2015 รอบแบ่งกลุ่ม ก่อนที่เกียรติศักดิ์จะมาคุมทีมต่อและสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการคว้าแชมป์เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2014 มาครองได้สำเร็จเป็นครั้งแรกในรอบ 12 ปี โดยเอาชนะทีมชาติมาเลเซียในรอบชิงชนะเลิศด้วยผลประตูรวมสองนัด 4-3 ตามด้วยการคว้ารองแชมป์คิงส์คัพในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 ถัดมา ในปี พ.ศ. 2559 เขาก็สามารถพาทีมชาติไทยเป็นแชมป์กลุ่มเอฟในการแข่งขัน ฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย รอบที่ 2 ผ่านเข้าสู่รอบที่ 3 ได้สำเร็จเป็นครั้งแรกในรอบ 15 ปี และสามารถผ่านเข้าไปเล่นเอเชียนคัพ 2019 ได้สำเร็จ ซึ่งยังเป็นการผ่านเข้าไปเล่นเอเชียนคัพได้เป็นครั้งแรกในรอบ 12 ปีอีกด้วย และยังสามารถคว้าแชมป์ได้อีก 2 รายการ คือ ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 44 และเอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2016 เอาชนะทีมชาติจอร์แดนและทีมชาติอินโดนีเซียตามลำดับ แต่ในรอบที่ 3 ของการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก ทีมชาติไทยทำผลงานได้อย่างย่ำแย่โดยนับจนถึงเดือนมีนาคม พ.ศ. 2560 ไทยทำได้เพียงเสมอ 1 นัด และแพ้รวดในนัดที่เหลือ ทำให้เกียรติศักดิ์ประกาศลาออกจากตำแหน่ง

การคุมทีมของมิลอวัน ราเยวัตส์

 
ทีมชาติไทยในการแข่งขัน คิงส์ คัพ ปี 2017 (พ.ศ. 2560)
 
ทีมชาติไทยในการแข่งขันเอเชียน คัพ ปี 2019 (พ.ศ. 2562)

ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2560 ทางสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ประกาศแต่งตั้ง มิลอวัน ราเยวัตส์ อดีตหัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติกานาชุดสร้างประวัติศาสตร์พาทีมผ่านเข้าถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายฟุตบอลโลก 2010 ที่ประเทศแอฟริกาใต้ เข้ามาทำหน้าที่หัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทยคนใหม่ซึ่งก็สามารถพาทีมไทยคว้าแชมป์รายการฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 45 ได้สำเร็จ แต่ผลงานโดยรวมยังไม่ดีขึ้น เมื่อทีมชาติไทยแพ้ไปถึง 8 นัด และเสมออีก 2 นัดในการแข่งขันรวมทุกรายการ ต่อมาในปี พ.ศ. 2561 ไทยลงแข่งขัน ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 46 ไปสองนัด ปรากฏว่านัดแรกเสมอทีมชาติกาบอง 0-0 ก่อนจะชนะในการดวลจุดโทษไปได้ 4-2 แต่ในนัดชิงชนะเลิศทีมชาติไทยแพ้ให้กับทีมชาติสโลวาเกียไป 2-3 ทำได้เพียงคว้าตำแหน่งรองชนะเลิศ และถือเป็นจุดเริ่มต้นของช่วงเวลาที่ทีมมีผลงานย่ำแย่ในรายการถัดมา โดยทีมชาติไทยตกรอบรองชนะเลิศในการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน 2018 และในนัดแรกของการแข่งขันเอเชียนคัพ 2019 ที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ไทยถูกทีมชาติอินเดียถล่มไปถึง 1-4 จากผลงานดังกล่าวทำให้พลตำรวจเอก สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ประกาศปลดมิลอวัน ราเยวัตส์ ลงจากตำแหน่งหัวหน้าผู้ฝึกสอน

ต่อมา สมาคมได้ประกาศแต่งตั้ง ศิริศักดิ์ ยอดญาติไทย ขึ้นรักษาการตำแหน่งหัวหน้าผู้ฝึกสอนเป็นการชั่วคราวเมื่อวันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2562 โดยศิริศักดิ์สามารถพาทีมชาติไทยทำผลงานดีขึ้นกว่าเดิม โดยเอาชนะบาห์เรน 1-0 และเสมอยูเออีซึ่งเป็นเจ้าภาพได้ 1-1 สามารถผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายได้สำเร็จซึ่งนี่ถือเป็นการผ่านเข้ารอบแบบแพ้คัดออก (Knockout) ในรายการนี้ได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ พ.ศ. 2515 ซึ่งทีมไทยเป็นเจ้าภาพและสามารถคว้าอันดับ 3 ได้ในครั้งนั้น ก่อนที่ทีมชาติไทยจะเข้าไปแพ้ให้กับทีมชาติจีน 1-2 ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ต่อมาในการแข่งขันคิงส์คัพครั้งที่ 47 ที่จังหวัดบุรีรัมย์ทีมชาติไทยได้แพ้เวียดนามไป 0-1 และแพ้ให้กับอินเดียด้วยสกอร์เดิมจบได้เพียงอันดับ 4 ในการแข่งขันเท่านั้น

ปัจจุบัน

จากนั้น ทีมชาติไทยทำการแต่งตั้ง อากิระ นิชิโนะ อดีตนักฟุตบอลและผู้จัดการทีมชาติญี่ปุ่นทำหน้าที่เป็นผู้ฝึกสอนทั้งทีมชาติชุดใหญ่และทีมชาติไทยรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี โดยนิชิโนะเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2562 ซึ่งเขาถือเป็นผู้จัดการทีมชาวเอเชียคนแรก (ที่ไม่ใช่ชาวไทย) ที่ได้เป็นผู้จัดการทีมชาติไทย ในวันที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2563 นิชิโนะได้รับการขยายสัญญาจากสมาคมไปจนถึงต้นปี 2565

แต่ในที่สุด วันที่ 29 กรกฎาคม 2564 ทีมชาติไทยได้ตัดสินใจยกเลิกสัญญากับนิชิโนะ เนื่องจากผลงานไม่เป็นไปตามเป้าหมายในการแข่งขัน ฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย

อุปกรณ์

ชุดที่ใช้สำหรับการแข่งขัน

 
ชุดแข่งขันของทีมชาติไทยในกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน พ.ศ. 2511

แต่เดิมชุดแข่งขันของฟุตบอลทีมชาติไทย ชุดที่หนึ่งประกอบด้วย เสื้อสีแดง กางเกงสีแดง และถุงเท้าสีแดง ส่วนชุดที่สองประกอบด้วย เสื้อสีน้ำเงิน กางเกงสีน้ำเงิน และ ถุงเท้าสีน้ำเงิน ต่อมาในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2550 สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ทำเรื่องขอเปลี่ยนชุดที่หนึ่งไปยัง สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) เป็นเสื้อสีเหลือง กางเกงสีเหลือง และถุงเท้าสีเหลือง ซึ่งเป็นสีประจำพระองค์ใน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เพื่อเทิดพระเกียรติเนื่องในวโรกาส พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา ต่อมาเมื่อวันที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2554 ที่ประชุมกรรมการสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ มีมติให้ทำเรื่องขอเปลี่ยนชุดที่หนึ่งไปยังฟีฟ่า กลับมาเป็นเสื้อสีแดง กางเกงสีแดงและถุงเท้าสีแดงอีกครั้ง จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2560 สมาคมฯ ได้ขอทางฟีฟ่าเปลี่ยนสีเสื้อทั้งเหย้าและเยือนเป็นสีดำและขาว เพื่อเป็นการถวายอาลัยแด่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เป็นเวลา 1 ปี

ผู้ผลิตชุดแข่งทีมชาติไทย
ปี ผู้ผลิต ชุดแข่ง
2545–2550   เอฟบีที
  • 2545 (เหย้า–เยือน)
  • 2546–2547 (เหย้า–เยือน)
  • 2547-2548 (เหย้า–เยือน)
  • 2549–2550 (เหย้า–เยือน)
2550–2554   ไนกี
  • เอเชียนคัพ 2550 (เหย้า–เยือน)
  • 2550 (ชุดที่สาม)
  • 2551–2553 (เหย้า–เยือน)
  • 2553–2555 (เหย้า–เยือน)
2555–2559   แกรนด์สปอร์ต
  • 2555–2557 (เหย้า–เยือน)
  • 2557–2559 (เหย้า–เยือน)
  • คิงส์คัพ 2559
  • 2559 (เหย้า–เยือน)
2560–2571   วอริกซ์
  • 2560–2563 (เหย้า–เยือน–ชุดที่สาม)
  • 2564–2571 (เหย้า–เยือน–ชุดที่สาม)

สนามเหย้า

ดูบทความหลักที่: ราชมังคลากีฬาสถาน

ปัจจุบันทีมชาติไทยใช้ราชมังคลากีฬาสถานเป็นสนามเหย้า ราชมังคลากีฬาสถานมีความจุ 49,722 ที่นั่ง เปิดใช้งานอย่างเป็นทางการเมื่อ พ.ศ. 2541 เพื่อรองรับการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ 1998 โดยทีมชาติไทยลงแข่งขัน ณ สนามแห่งนี้เป็นครั้งแรกในนัดที่เสมอกับทีมชาติคาซัคสถานไป 1–1 เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2541 ซึ่งในยุคสมัยนั้นยังมีการใช้สนามเหย้าทั้งกรีฑาสถานแห่งชาติและราชมังคลากีฬาสถานสำหรับเกมนานาชาติสลับหมุนเวียนไป ก่อนที่จะเปลี่ยนมาใช้ราชมังคลากีฬาสถานเป็นสนามเหย้าของทีมชาติไทยในเกมระดับนานาชาติอย่างเป็นทางการเพียงแห่งเดียว (อาจใช้สนามแห่งอื่นในบางโอกาส)

สนามที่ฟุตบอลทีมชาติไทยเคยใช้งาน
รูปภาพ สนาม ความจุ ที่ตั้ง เกมล่าสุดที่ใช้งาน
  สนามฟุตบอลธรรมศาสตร์ รังสิต 25,000 อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี
(สนามเหย้าของทรูแบงค็อก ยูไนเต็ด)
v    สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
(15 ตุลาคม 2562; ฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก)
  ลีโอสเตเดียม 16,014 อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี
(สนามเหย้าของบีจี ปทุม ยูไนเต็ด)
v    สาธารณรัฐคองโก
(10 ตุลาคม 2562; เกมกระชับมิตร)
  ช้างอารีนา 32,600 อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์
(สนามเหย้าของบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด)
v    อินเดีย
(8 มิถุนายน 2562; ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 47)
  ราชมังคลากีฬาสถาน 49,722 เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร
(สนามของการกีฬาแห่งประเทศไทย)
v    มาเลเซีย
(5 ธันวาคม 2561; ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน 2018)
  สนามกีฬากลางจังหวัดสุพรรณบุรี 15,000 อำเภอเมืองสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี
(สนามเหย้าของสุพรรณบุรี)
v    ตรินิแดดและโตเบโก
(14 ตุลาคม 2561; เกมกระชับมิตร)
  เอสซีจี สเตเดียม 15,000 อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี
(สนามเหย้าของเอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด)
v    เคนยา
(8 ตุลาคม 2560; เกมกระชับมิตร)
  สนามศุภชลาศัย กรีฑาสถานแห่งชาติ 19,793 เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร
(ภายใต้การดูแลของกรมพลศึกษา)
v    เกาหลีใต้
(27 มีนาคม 2559; เกมกระชับมิตร)
  สนามกีฬาเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวา 2550 20,141 อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา
(สนามเหย้าของนครราชสีมา มาสด้า)
v    สิงคโปร์
(26 มีนาคม 2558; เกมกระชับมิตร)
  สนามกีฬาสมโภชเชียงใหม่ 700 ปี 25,000 อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่
(สนามเหย้าของเชียงใหม่)
v    มัลดีฟส์
(24 กุมภาพันธ์ 2555; เกมกระชับมิตร)
  สนามสุระกุล 15,000 อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต
(สนามเหย้าของ ภูเก็ต)
v    มาเลเซีย
(10 ธันวาคม 2551; เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2008)
  สนามกีฬาติณสูลานนท์ 45,000 อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา
(สนามเหย้าของ สงขลา)
v    จีน
(19 ธันวาคม 2541; เอเชียนเกมส์ 1998)

สมาชิก

ผู้ฝึกสอน

ตำแหน่ง ชื่อ
ผู้จัดการทีม   นวลพรรณ ล่ำซำ
หัวหน้าผู้ฝึกสอน
ผู้ช่วยผู้ฝึกสอน   อนุรักษ์ ศรีเกิด
  อิสระ ศรีทะโร
ผู้ฝึกสอนผู้รักษาประตู   อัมรินทร์ เยาดำ
ผู้ฝึกสอนด้านสมรรถภาพทางกาย   โยเฮ ชิรากิ

ผู้เล่น

รายชื่อผู้เล่น 23 คน สำหรับการแข่งขันฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย รอบที่ 2 กับมาเลเซีย ในวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2564
จำนวนนัดที่ลงเล่นให้ทีมชาติและจำนวนประตูที่ยิงได้นับถึงวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2564 หลังแข่งขันกับมาเลเซีย

0#0 ตำแหน่ง ผู้เล่น วันเกิด (อายุ) ลงเล่น ประตู สโมสร
1 1GK ฉัตรชัย บุตรพรม 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1987 (34 ปี) 10 0   บีจี ปทุม ยูไนเต็ด
23 1GK ศิวรักษ์ เทศสูงเนิน 20 เมษายน ค.ศ. 1984 (37 ปี) 25 0   บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด

2 2DF สุพรรณ ทองสงค์ 26 สิงหาคม ค.ศ. 1994 (27 ปี) 11 0   สุพรรณบุรี
3 2DF สถาพร แดงสี 13 พฤษภาคม ค.ศ. 1988 (33 ปี) 3 0   หนองบัว พิชญ
4 2DF มานูเอล บีร์ 17 กันยายน ค.ศ. 1993 (28 ปี) 12 0   แบงค็อก ยูไนเต็ด
5 2DF พรรษา เหมวิบูลย์ 8 กรกฎาคม ค.ศ. 1990 (31 ปี) 23 4   บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด
12 2DF เอร์เนสโต ภูมิภา 16 เมษายน ค.ศ. 1990 (31 ปี) 3 0   บีจี ปทุม ยูไนเต็ด
15 2DF นฤบดินทร์ วีรวัฒโนดม 12 กรกฎาคม ค.ศ. 1994 (27 ปี) 33 1   บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด
19 2DF ทริสตอง โด 31 มกราคม ค.ศ. 1993 (28 ปี) 37 0   แบงค็อก ยูไนเต็ด

6 3MF สารัช อยู่เย็น 30 พฤษภาคม ค.ศ. 1992 (29 ปี) 48 0   บีจี ปทุม ยูไนเต็ด
7 3MF สุภโชค สารชาติ 22 พฤษภาคม ค.ศ. 1998 (23 ปี) 11 2   บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด
8 3MF ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ 1 กันยายน ค.ศ. 1993 (28 ปี) 36 6   บีจี ปทุม ยูไนเต็ด
10 3MF ธนวัฒน์ ซึ้งจิตถาวร 8 มกราคม ค.ศ. 2000 (21 ปี) 3 0   เลสเตอร์ซิตี
11 3MF พีรดนย์ ฉ่ำรัศมี 15 กันยายน ค.ศ. 1992 (29 ปี) 6 0   สมุทรปราการ ซิตี้
13 3MF เจริญศักดิ์ วงษ์กรณ์ 18 พฤษภาคม ค.ศ. 1997 (24 ปี) 1 0   สมุทรปราการ ซิตี้
16 3MF พิธิวัต สุขจิตธรรมกุล 1 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1995 (26 ปี) 8 0   เชียงราย ยูไนเต็ด
18 3MF เอกนิษฐ์ ปัญญา 21 ตุลาคม ค.ศ. 1999 (21 ปี) 7 1   เชียงราย ยูไนเต็ด
20 3MF จักรพันธ์ แก้วพรม 24 พฤษภาคม ค.ศ. 1988 (33 ปี) 23 2   บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด
21 3MF สุมัญญา ปุริสาย 5 ธันวาคม ค.ศ. 1986 (34 ปี) 22 0   บีจี ปทุม ยูไนเต็ด

9 4FW อดิศักดิ์ ไกรษร 1 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1991 (30 ปี) 39 17   เมืองทอง ยูไนเต็ด
14 4FW ณัฐวุฒิ สุขสุ่ม 6 พฤศจิกายน ค.ศ. 1997 (23 ปี) 0 0   แบงค็อก ยูไนเต็ด
17 4FW ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา 2 สิงหาคม ค.ศ. 2002 (19 ปี) 7 3   บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด
22 4FW ศุภชัย ใจเด็ด 1 ธันวาคม ค.ศ. 1998 (22 ปี) 18 4   บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด

รายชื่อผู้เล่นที่เคยถูกเรียกตัวติดทีมชาติไทยในรอบ 12 เดือนหลังสุด:

ตำแหน่ง ผู้เล่น วันเกิด (อายุ) ลงเล่น ประตู สโมสร ถูกเรียกครั้งล่าสุด
GK อภิรักษ์ วรวงษ์ 7 มกราคม ค.ศ. 1996 (25 ปี) 0 0   เชียงราย ยูไนเต็ด v.   เวียดนาม, 5 กันยายน 2562PRE
GK กรพัฒน์ นารีจันทร์ 7 ตุลาคม ค.ศ. 1997 (23 ปี) 0 0   ขอนแก่น v.   เวียดนาม, 5 กันยายน 2562PRE
GK วัชระ บัวทอง 20 เมษายน ค.ศ. 1993 (28 ปี) 0 0   การท่าเรือ ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 47PRE
GK ปฏิวัติ คำไหม 24 ธันวาคม ค.ศ. 1994 (26 ปี) 0 0   สมุทรปราการ ซิตี้ ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 47PRE
GK วรวุฒิ ศรีสุภา 25 พฤษภาคม ค.ศ. 1992 (29 ปี) 0 0   การท่าเรือ ไชนาคัพ 2019
GK สรานนท์ อนุอินทร์ 24 มีนาคม ค.ศ. 1994 (27 ปี) 0 0   เชียงราย ยูไนเต็ด ไชนาคัพ 2019PRE
GK ขวัญชัย สุขล้อม 12 มกราคม ค.ศ. 1995 (26 ปี) 0 0   ประจวบ เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2018PRE

DF ชินภัทร ลีเอาะ 2 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1997 (24 ปี) 0 0   เชียงราย ยูไนเต็ด v.   อินโดนีเซีย, 10 กันยายน 2562
DF พัชรพล อินทนี 12 ตุลาคม ค.ศ. 1998 (22 ปี) 0 0   เมืองทอง ยูไนเต็ด v.   อินโดนีเซีย, 10 กันยายน 2562
DF พีระพัฒน์ โน๊ตชัยยา 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1993 (28 ปี) 29 1   แบงค็อก ยูไนเต็ด ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 47
DF ปวีร์ ตัณฑะเตมีย์ 22 ตุลาคม ค.ศ. 1996 (24 ปี) 1 0   ราชบุรี มิตรผล ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 47
DF นัสตพล มาลาพันธ์ 10 มกราคม ค.ศ. 1994 (27 ปี) 3 0   ประจวบ ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 47PRE
DF จักพัน ไพรสุวรรณ 16 สิงหาคม ค.ศ. 1994 (27 ปี) 0 0   สมุทรปราการ ซิตี้ ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 47PRE
DF มิก้า ชูนวลศรี 26 มีนาคม ค.ศ. 1989 (32 ปี) 7 0   แบงค็อก ยูไนเต็ด ไชนาคัพ 2019PRE
DF ธนะศักดิ์ ศรีใส 25 กันยายน ค.ศ. 1989 (31 ปี) 1 0   เชียงราย ยูไนเต็ด ไชนาคัพ 2019PRE
DF เฉลิมพงษ์ เกิดแก้ว 7 พฤศจิกายน ค.ศ. 1986 (34 ปี) 19 0   นครราชสีมา เอเชียนคัพ 2019
DF ฟิลิป โรลเลอร์ 10 มิถุนายน ค.ศ. 1994 (27 ปี) 11 1   ราชบุรี มิตรผล เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2018
DF เควิน ดีรมรัมย์ 11 กันยายน ค.ศ. 1997 (24 ปี) 1 0   การท่าเรือ เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2018
DF มาร์โค บัลลินี 12 มิถุนายน ค.ศ. 1998 (23 ปี) 0 0   เมืองทอง ยูไนเต็ด เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2018 PRE

MF ชนาธิป สรงกระสินธ์ 5 ตุลาคม ค.ศ. 1993 (27 ปี) 54 7   คอนซาโดเล ซัปโปะโระ v.   สาธารณรัฐคองโก, 10 ตุลาคม 2562INJ
MF อานนท์ อมรเลิศศักดิ์ 6 พฤศจิกายน ค.ศ. 1997 (23 ปี) 2 0   แบงค็อก ยูไนเต็ด v.   อินโดนีเซีย, 10 กันยายน 2562
MF สรรวัชญ์ เดชมิตร 3 สิงหาคม ค.ศ. 1989 (32 ปี) 29 0   แบงค็อก ยูไนเต็ด v.   เวียดนาม, 5 กันยายน 2562PRE
MF พิชา อุทรา 7 มกราคม ค.ศ. 1996 (25 ปี) 1 0   สมุทรปราการ ซิตี้ v.   เวียดนาม, 5 กันยายน 2562PRE
MF รัตนากร ใหม่คามิ 7 มกราคม ค.ศ. 1998 (23 ปี) 0 0   บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด v.   เวียดนาม, 5 กันยายน 2562PRE
MF ศิวกร จักขุประสาท 23 เมษายน ค.ศ. 1992 (29 ปี) 0 0   การท่าเรือ ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 47
MF นูรูล ศรียานเก็ม 8 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1992 (29 ปี) 15 0   การท่าเรือ ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 47INJ
MF เกริกฤทธิ์ ทวีกาญจน์ 19 พฤศจิกายน ค.ศ. 1990 (30 ปี) 33 7   ชลบุรี ไชนาคัพ 2019
MF ศนุกรานต์ ถิ่นจอม 12 กันยายน ค.ศ. 1993 (28 ปี) 1 0   เมืองทอง ยูไนเต็ด ไชนาคัพ 2019
MF จิตปัญญา ทิสุด 4 ตุลาคม ค.ศ. 1991 (29 ปี) 0 0   ประจวบ ไชนาคัพ 2019
MF ปกเกล้า อนันต์ 4 มีนาคม ค.ศ. 1991 (30 ปี) 42 6   แบงค็อก ยูไนเต็ด เอเชียนคัพ 2019
MF ปกรณ์ เปรมภักดิ์ 2 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1993 (28 ปี) 5 0   การท่าเรือ เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2018

FW สุรชาติ สารีพิมพ์ 24 พฤษภาคม ค.ศ. 1986 (35 ปี) 6 0   บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 47
FW อภิวัฒน์ เพ็งประโคน 22 กันยายน ค.ศ. 1988 (33 ปี) 0 0   พีทีที ระยอง ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 47PRE
FW อาทิตย์ บุตรจินดา 7 สิงหาคม ค.ศ. 1994 (27 ปี) 0 0   ชลบุรี ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 47PRE
FW สิโรจน์ ฉัตรทอง 8 ธันวาคม ค.ศ. 1992 (28 ปี) 25 3   ประจวบ เอเชียนคัพ 2019

INJ ผู้เล่นที่ถูกเรียกแต่ถอนตัวเนื่องจากอาการบาดเจ็บ
PRE ผู้เล่นชุดเบื้องต้น
RET ผู้เล่นที่เลิกเล่นให้กับทีมชาติ
WD ผู้เล่นที่ถูกเรียกแต่ถอนตัวเนื่องจากปัญหาส่วนตัว

กัปตันทีม

หมายเลขเสื้อ ผู้เล่น ดำรงตำแหน่ง
23 ศิวรักษ์ เทศสูงเนิน พ.ศ. 2562–
4

เฉลิมพงษ์ เกิดแก้ว

รายการ เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2018
1 กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ พ.ศ. 2560–2561
10 ธีรศิลป์ แดงดา พ.ศ. 2559–รายการ เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2016, พ.ศ. 2562–
3 ธีราทร บุญมาทัน พ.ศ. 2558–2560
19 อดุลย์ หละโสะ พ.ศ. 2557–2558
18 สินทวีชัย หทัยรัตนกุล พ.ศ. 2556–2557
2 ภานุพงศ์ วงศ์ษา พ.ศ. 2555–2556
6 ณัฐพร พันธุ์ฤทธิ์ พ.ศ. 2553–2554
7 ดัสกร ทองเหลา พ.ศ. 2551–2552
10 ตะวัน ศรีปาน พ.ศ. 2550–2551
17 สุธี สุขสมกิจ พ.ศ. 2549
1

5

กิตติศักดิ์ ระวังป่า

นิเวส ศิริวงศ์

พ.ศ. 2549, พ.ศ. 2551
6 รุ่งโรจน์ สว่างศรี พ.ศ. 2547–2548
8 เทิดศักดิ์ ใจมั่น พ.ศ. 2546
12 สุรชัย จิระศิริโชติ พ.ศ. 2545
13 เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง พ.ศ. 2544–พ.ศ. 2545, พ.ศ. 2547, พ.ศ. 2550
5 โชคทวี พรหมรัตน์ พ.ศ. 2542–พ.ศ. 2543, พ.ศ. 2546
7 นที ทองสุขแก้ว พ.ศ. 2539–พ.ศ. 2541
14 วิฑูรย์ กิจมงคลศักดิ์ พ.ศ. 2538
9 ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน พ.ศ. 2536

ผู้ฝึกสอนทีมชาติ

ผู้ฝึกสอนตั้งแต่ (พ.ศ. 2499–ปัจจุบัน)

ชื่อ สัญชาติ ช่วงเวลา สถิติ ผลงาน
แข่ง ชนะ เสมอ แพ้ Win %
บุญชู สมุทรโคจร   2499–2507 ? ? ? ? ?
ประเทียบ เทศวิศาล   2508–2511 ? ? ? ? ?
กึนเทอร์ กลอมบ์   2511–2518 ? ? ? ? ? โอลิมปิกฤดูร้อน 1968 - รอบแบ่งกลุ่ม

เอเชียนคัพ 1972 - อันดับ 3

เนาวรัตน์ ปทานนท์   2518 ? ? ? ? ?
เพเทอร์ ชนิทเกอร์   2519–2521 ? ? ? ? ?
แวร์เนอร์ บิคเคลเฮาพท์   2522 ? ? ? ? ?
วิชิต แย้มบุญเรือง   2522 ? ? ? ? ?
ศุภกิจ มีลาภกิจ   2523 ? ? ? ? ?
ประวิทย์ ไชยสาม   2524–2526 ? 2 3 ? ?
ยรรยง ณ หนองคาย   2526 ? 2 3 ? ?
เสนอ ไชยยงค์   2527 ? 2 3 ? ?
บัวร์กฮาร์ด ซีเซอ   2528–2529 ? ? ? ? ?
เชิดศักดิ์ ชัยบุตร   2530 ? ? ? ? ?
ประวิทย์ ไชยสาม   2531–2532 ? ? ? ? ?
การ์ลูส โรเบร์ตู จี การ์วัลยู   2532–2534 ? ? ? ? ? ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 20ชนะเลิศ
เอเชียนเกมส์ 1990 - อันดับ 4
ปีเตอร์ สตัปป์   2534–2537 ? 6 2 1 ? เอเชียนคัพ 1992 - รอบแบ่งกลุ่ม
ซีเกมส์ 1993 - ชนะเลิศ
วรวิทย์ สัมปชัญญสถิตย์   2537 ? 2 3 ? ?
ชัชชัย พหลแพทย์   2537–2538 ? ? ? ? ? ซีเกมส์ 1995 - ชนะเลิศ
ธวัชชัย สัจจกุล   2539 ? ? ? ? ? ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน 1996 - ชนะเลิศ
อาจหาญ ทรงงามทรัพย์   2539 15 9 3 3 60.0 เอเชียนคัพ 1996 - รอบแบ่งกลุ่ม
เด็ทมาร์ คราเมอร์   2540 ? ? ? ? ?
วิทยา เลาหกุล   2540–2541 24 10 9 5 41.7 ซีเกมส์ 1997 - ชนะเลิศ
ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน 1998 - อันดับ 4
ปีเตอร์ วิธ   2541–2546 101 46 25 30 45.5 เอเชียนเกมส์ 1998 - อันดับ 4
ซีเกมส์ 1999 - ชนะเลิศ
เอเชียนคัพ 2000 - รอบแบ่งกลุ่ม
ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน 2000 - ชนะเลิศ
คิงส์คัพ 2000 - ชนะเลิศ
ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน 2002 - ชนะเลิศ
เอเชียนเกมส์ 2002 - อันดับ 4
การ์ลูส โรเบร์ตู จี การ์วัลยู   2546–2547 13 6 2 5 46.1
ชัชชัย พหลแพทย์   มิถุนายน – สิงหาคม 2547 8 2 1 5 25.0 เอเชียนคัพ 2004 - รอบแบ่งกลุ่ม
ซีคฟรีท เฮ็ลท์   สิงหาคม 2547–2548 11 4 4 3 36.4 ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน 2004 - รอบแบ่งกลุ่ม
ชาญวิทย์ ผลชีวิน   2548–มิถุนายน 2551 39 18 11 10 46.1 ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 37 - ชนะเลิศ
2006 T&T Cup - ชนะเลิศ
ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 38 - ชนะเลิศ
เอเชียนคัพ 2007 - รอบแบ่งกลุ่ม
ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน 2007- รองชนะเลิศ
ปีเตอร์ รีด   กันยายน 2551–กันยายน 2552 15 8 4 3 53.3 2008 T&T Cup - ชนะเลิศ
ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน 2008 - รองชนะเลิศ
ไบรอัน ร็อบสัน   กันยายน 2552–มิถุนายน 2554 18 7 4 7 38.8 ภูเก็ต กะตะกรุ๊ป คัพ 2009 (รายการการแข่งขันกระชับมิตรกับทีมสโมสร)
ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน 2010 – รอบแบ่งกลุ่ม
วินฟรีท เชเฟอร์   กรกฎาคม 2554–มิถุนายน 2556 28 14 6 8 50 ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 41 – อันดับ 4
ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน 2012 – รองชนะเลิศ
ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 42 – อันดับ 3
เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง
  กรกฎาคม 2556–31 มีนาคม 2560 42 21 7 14 50 ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 43 – รองชนะเลิศ
ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน 2014ชนะเลิศ
ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 44ชนะเลิศ
ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน 2016ชนะเลิศ
ฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย – รอบ 12 ทีม
มิลอวัน ราเยวัตส์
  5 พฤษภาคม 2560–7 มกราคม 2562 20 8 7 5 40 ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 45ชนะเลิศ
ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 46 – รองชนะเลิศ
ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน 2018 – รอบรองชนะเลิศ
เอเชียนคัพ 2019 (นัดที่ 1)
ศิริศักดิ์ ยอดญาติไทย
  7 มกราคม 2562–
14 มิถุนายน 2562
7 2 1 4 28 เอเชียนคัพ 2019 – รอบ 16 ทีม

ไชนาคัพ 2019 – รองชนะเลิศ
ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 47 – อันดับ 4

อากิระ นิชิโนะ   17 กรกฎาคม 2562–
29 กรกฎาคม 2564
11 2 5 4 18.2 ฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย – รอบที่ 2

การแข่งขัน

สถิติการแข่งขันแบบเฮดทูเฮด

ผลการแข่งขันเฮดทูเฮดของทีมชาติไทย
ทีม ตั้งแต่ ถึง ลงเล่น ชนะ เสมอ แพ้ ได้ เสีย ต่าง สมาพันธ์
  อัฟกานิสถาน 2015 2015 1 1 0 0 2 0 +2 AFC
  ออสเตรเลีย 1982 2017 7 0 1 6 4 17 −13 AFC
  บาห์เรน 1980 2019 8 2 4 2 8 9 −1 AFC
  บังกลาเทศ 1973 2012 14 9 3 2 29 11 +18 AFC
  เบลารุส 2017 2017 1 0 1 0 0 0 0 UEFA
  ภูฏาน 2012 2012 1 1 0 0 5 0 +5 AFC
  บราซิล 2000 2000 1 0 0 1 0 7 −7 CONMEBOL
  บรูไน 1971 1997 7 6 1 0 33 5 +28 AFC
  บัลแกเรีย 1968 1996 2 0 0 2 0 13 −13 UEFA
  กัมพูชา 1957 1997 15 8 5 2 36 17 +19 AFC
  แคเมอรูน 2015 2015 1 0 0 1 2 3 −1 CAF
  จีน 1975 2019 28 5 5 18 24 61 −37 AFC
  จีนไทเป 1963 2015 9 4 1 4 16 16 0 AFC
  สาธารณรัฐคองโก 2019 2019 1 0 1 0 1 1 0 CAF
  เช็กเกีย 1968 1968 1 0 0 1 0 8 −8 UEFA
  เดนมาร์ก 2009 2010 2 0 1 1 2 5 −3 UEFA
  อียิปต์ 1998 1998 1 0 1 0 1 1 0 CAF
  เอสโตเนีย 2000 2004 2 1 1 0 2 1 +1 UEFA
  ฟินแลนด์ 1996 2000 4 3 1 0 11 3 +8 UEFA
  กาบอง 2018 2018 1 0 1 0 0 0 0 CAF
  เยอรมนี 2004 2004 1 0 0 1 1 5 −4 UEFA
  กานา 1982 1983 2 0 0 2 2 6 −4 CAF
  กัวเตมาลา 1968 1968 1 0 0 1 1 4 −3 CONCACAF
  ฮ่องกง 1961 2018 26 9 6 11 39 33 +6 AFC
  อินเดีย 1962 2019 23 11 6 6 37 26 +11 AFC
  อินโดนีเซีย 1957 2021 69 33 18 18 121 82 +39 AFC
  อิหร่าน 1972 2013 14 0 3 11 5 32 −27 AFC
  อิรัก 1972 2017 17 2 5 10 18 45 −27 AFC
  อิสราเอล 1973 1973 1 0 0 1 0 6 −6 UEFA
  ญี่ปุ่น 1962 2017 19 1 3 15 11 49 −38 AFC
  จอร์แดน 2004 2016 7 1 5 1 4 3 +1 AFC
  คาซัคสถาน 1998 2006 4 2 2 0 5 3 +2 UEFA
  เคนยา 1990 2017 2 2 0 0 3 1 +2 CAF
  คูเวต 1972 2014 12 4 1 7 18 30 −12 AFC
  คีร์กีซสถาน 2001 2001 1 1 0 0 3 1 +2 AFC
  ลาว 1961 2010 12 10 1 1 45 14 +31 AFC
  ลัตเวีย 2005 2005 1 0 1 0 1 1 0 UEFA
  เลบานอน 1998 2014 7 3 2 2 12 15 −3 AFC
  ไลบีเรีย 1984 1984 1 0 0 1 1 2 −1 CAF
  ลิเบีย 1977 1977 1 0 1 0 2 2 0 CAF
  ลิกเตนสไตน์ 1981 1981 1 1 0 0 2 0 +2 UEFA
  ลักเซมเบิร์ก 1980 1980 1 0 0 1 0 1 −1 UEFA
  มาเก๊า 2007 2007 2 2 0 0 13 2 +11 AFC
  มาเลเซีย 1959 2021 98 29 31 38 136 141 −5 AFC
  มัลดีฟส์ 1996 2012 3 3 0 0 19 0 +19 AFC
  มอลตา 1981 1981 1 0 0 1 0 2 −2 UEFA
  โมร็อกโก 1980 1980 1 0 0 1 1 2 −1 CAF
  พม่า 1957 2017 48 20 14 14 89 62 +27 AFC
  เนปาล 1982 2008 3 3 0 0 12 1 +11 AFC
  เนเธอร์แลนด์ 2007 2007 1 0 0 1 1 3 −2 UEFA
  นิวซีแลนด์ 1976 2014 5 2 2 1 9 7 +2 OFC
  ไนจีเรีย 1983 1983 1 0 1 0 0 0 0 CAF
  ไอร์แลนด์เหนือ 1997 1997 1 0 1 0 0 0 0 UEFA
  เกาหลีเหนือ 1978 2017 20 5 4 11 18 32 −14 AFC
  นอร์เวย์ 1965 2012 2 0 0 2 0 8 −8 UEFA
  โอมาน 1986 2021 12 5 1 6 11 10 +1 AFC
  ปากีสถาน 1960 2001 5 4 0 1 16 7 +9 AFC
  ปาเลสไตน์ 2011 2011 2 1 1 0 3 2 +1 AFC
  ปาปัวนิวกินี 1984 1984 1 0 0 1 1 4 −3 OFC
  ฟิลิปปินส์ 1971 2018 21 17 2 2 65 10 +55 AFC
  โปแลนด์ 2010 2010 1 0 0 1 1 3 −2 UEFA
  กาตาร์ 1992 2016 11 4 3 4 15 15 0 AFC
  ซาอุดีอาระเบีย 1982 2017 16 1 1 14 9 42 −33 AFC
  สิงคโปร์ 1957 2018 62 33 17 12 107 62 +45 AFC
  สโลวาเกีย 2004 2018 2 0 1 1 3 4 –1 UEFA
  แอฟริกาใต้ 2010 2010 1 0 0 1 0 4 −4 CAF
  เกาหลีใต้ 1961 2016 61 8 12 41 43 120 −77 AFC
  ศรีลังกา 1979 2001 5 5 0 0 15 2 +13 AFC
  สวีเดน 1962 2003 5 0 1 4 4 13 −9 UEFA
  ซีเรีย 1978 2016 5 3 2 0 12 7 +5 AFC
  ทาจิกิสถาน 2003 2021 3 1 1 1 3 3 0 AFC
  ติมอร์-เลสเต 2004 2018 2 2 0 0 15 0 +15 AFC
  ตรินิแดดและโตเบโก 2003 2018 2 2 0 0 4 2 +2 CONCACAF
  เติร์กเมนิสถาน 1998 1998 1 0 1 0 3 3 0 AFC
  สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 1986 2021 12 2 3 7 12 19 −7 AFC
  สหรัฐ 1987 1987 1 0 0 1 0 1 −1 CONCACAF
  อุรุกวัย 2019 2019 1 0 0 1 0 4 −4 CONMEBOL
  อุซเบกิสถาน 1994 2017 8 5 0 3 18 15 +3 AFC
  เวียดนาม 1957 2019 47 19 6 22 48 48 0 AFC
  เยเมน 1988 2007 6 2 4 0 9 5 +4 AFC
80 ประเทศ 1948 2021 796 293 189 314 1214 1195 +19 ทั้งหมด
การแข่งขันนัดล่าสุด: พบทีมชาติมาเลเซียในวันที่ 15 มิถุนายน 2021

สถิติฟุตบอลโลก

ดูบทความหลักที่: ทีมชาติไทยในฟุตบอลโลก
ฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย ฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก
ปี ผล อันดับ ลงเล่น ชนะ เสมอ* แพ้ ประตูได้ ประตูเสีย ลงเล่น ชนะ เสมอ* แพ้ ประตูได้ ประตูเสีย
  1930 -
  1970
ไม่ได้เข้าร่วม - - - - - - - - - - - - -
  1974 ไม่ผ่านเข้ารอบ - - - - - - - 4 0 0 4 0 13
  1978 - - - - - - - 4 1 0 3 8 12
  1982 - - - - - - - 3 0 1 2 3 13
  1986 - - - - - - - 6 1 2 3 4 4
  1990 - - - - - - - 6 1 0 5 2 14
  1994 - - - - - - - 8 4 0 4 13 7
  1998 - - - - - - - 4 1 1 2 5 6
   2002 - - - - - - - 14 5 5 4 25 20
  2006 - - - - - - - 6 2 1 3 9 10
  2010 - - - - - - - 10 3 2 5 20 17
  2014 - - - - - - - 8 2 2 4 7 10
  2018 - - - - - - - 16 4 4 8 20 30
  2022 - - - - - - - 8 2 3 3 9 9
รวม - - - - - - - 97 26 21 50 125 165

โอลิมปิก

(ใช้ทีมเยาวชนอายุไม่เกิน 23 ปี ตั้งแต่ พ.ศ. 2535)

สถิติในกีฬาโอลิมปิก
ปี รอบ อันดับ ลงเล่น ชนะ เสมอ แพ้ ประตูได้ ประตูเสีย
  1900 to
  1952
ไม่เข้าร่วม - - - - - - -
  1956 รอบที่ 1 11/11 1 0 0 1 0 9
  1960 ไม่เข้าร่วม - - - - - - -
  1964 ไม่ผ่านเข้ารอบ - - - - - - -
  1968 รอบที่ 1 16/16 3 0 0 3 1 19
  1972 ถึง
  1988
ไม่ผ่านเข้ารอบ - - - - - - -
รวม 2/19 - 4 0 0 4 1 28

สถิติเอเอฟซี เอเชียนคัพ

ดูบทความหลักที่: ทีมชาติไทยในเอเชียนคัพ
 
เอเชียนคัพ นัดแข่งขันกับโอมาน ในปี 2007
เอเชียนคัพรอบสุดท้าย เอเชียนคัพรอบคัดเลือก
ปี ผลการแข่งขัน อันดับ ลงเล่น ชนะ เสมอ* แพ้ ประตูได้ ประตูเสีย ลงเล่น ชนะ เสมอ* แพ้ ประตูได้ ประตูเสีย
  1956 ถึง   1960 ไม่ได้เข้าร่วม - - - - - - - - - - - - -
  1964 ไม่ผ่านรอบคัดเลือก - - - - - - - 3 0 1 2 4 9
  1968 ไม่ผ่านรอบคัดเลือก - - - - - - - 4 2 0 2 5 4
  1972 อันดับ 3 5 0 3 2 6 9 2 1 0 1 10 1