มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ลิงก์ข้ามภาษาในบทความนี้ มีไว้ให้ผู้อ่านและผู้ร่วมแก้ไขบทความศึกษาเพิ่มเติมโดยสะดวก เนื่องจากวิกิพีเดียภาษาไทยยังไม่มีบทความดังกล่าว กระนั้น ควรรีบสร้างเป็นบทความโดยเร็วที่สุด |
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (อังกฤษ: Chiang Mai University; อักษรย่อ: มช. – CMU) เป็นมหาวิทยาลัยของรัฐแห่งแรกที่จัดตั้งขึ้นในส่วนภูมิภาค และเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐแห่งที่หกของประเทศไทย ก่อตั้งเมื่อวันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2507 ตั้งอยู่บริเวณเชิงดอยสุเทพ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ ปัจจุบันมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ ตามพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พ.ศ. 2551
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ | |
---|---|
Chiang Mai University | |
ตราช้างชูคบเพลิง สัญลักษณ์ประจำมหาวิทยาลัย | |
ชื่อย่อ | มช. / CMU |
คติพจน์ | อตฺตานํ ทมยนฺติ ปณฺฑิตา (บัณฑิตทั้งหลายย่อมฝึกตน) |
สถาปนา | 22 มกราคม พ.ศ. 2507 (57 ปี) |
ประเภท | สถาบันอุดมศึกษาในกำกับของรัฐ |
งบประมาณ | 18,013,937,475 บาท (ปีการศึกษา 2563) |
อธิการบดี | ศ.คลินิก นพ.นิเวศน์ นันทจิต |
นายกสภาฯ | ศ.เกียรติคุณ นพ.เกษม วัฒนชัย |
จำนวนผู้ศึกษา | 35,509 คน มกราคม 2560 |
ที่ตั้ง | มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เลขที่ 239 ถนนห้วยแก้ว ตำบลสุเทพ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ 50200 ศูนย์การศึกษา หริภุญไชย เลขที่ 205 หมู่ 2 ตำบลศรีบัวบาน อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน 51000 ศูนย์การศึกษา จังหวัดสมุทรสาคร เลขที่ 119/76 ตำบลท่าจีน อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร 74000 |
สีประจำสถาบัน | สีม่วงดอกรัก |
เพลง | ร่มแดนช้าง ร่มแก้วถิ่นขวัญ |
มาสคอต | ช้างเผือก |
เครือข่าย | AUN, ASAIHL |
เว็บไซต์ | www.cmu.ac.th |
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ดำเนินการจัดการศึกษาและการวิจัยครอบคลุมทั้งสาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การเกษตร สังคมศาสตร์ และมนุษยศาสตร์ ใน 21 คณะ 3 วิทยาลัย 1 บัณฑิตวิทยาลัย และ 8 สถาบันโดยมีหลักสูตรที่เปิดสอนในแต่ละคณะจำนวน 340 หลักสูตร ในระดับปริญญาตรี มีการจำแนกหลักสูตรออกเป็น หลักสูตรภาคปกติ หลักสูตรภาคพิเศษ หลักสูตรนานาชาติ หลักสูตรต่อเนื่อง และหลักสูตรสาขาวิชาร่วม หลักสูตรระดับปริญญาโท แบ่งเป็น 2 แผน คือ แผน ก และแผน ข และหลักสูตรระดับปริญญาเอก แบ่งเป็น 2 แบบ คือ แบบ 1 เป็นการศึกษาที่เน้นการวิจัย ที่ก่อให้เกิดความรู้ใหม่ และแบบ 2 เป็นการศึกษาที่เน้นการวิจัย โดยมีการทำวิทยานิพนธ์ที่มีคุณภาพสูง และก่อให้เกิดความก้าวหน้าทางวิชาการ และวิชาชีพ
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้รับการคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 9 มหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติ จากกระทรวงศึกษาธิการ ในปี พ.ศ. 2552 และเป็นสมาชิกเครือข่ายมหาวิทยาลัยอาเซียน (ASEAN University Network; AUN) และสมาชิก Association of Southeast Asian Institutions of Higher Learning (ASAIHL)
ประวัติ
ในปี พ.ศ. 2484 รัฐบาลมีนโยบายที่จะจัดตั้งมหาวิทยาลัยขึ้นในส่วนภูมิภาคแต่เกิดสงครามโลกครั้งที่สอง การดำเนินงานจึงชะงักลง ต่อมาเมื่อสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง ประชาชนชาวเชียงใหม่นำโดย นายกีและนางกิมฮ้อ นิมมานเหมินท์ ได้เรียกร้องให้มีการจัดการศึกษาระดับอุดมศึกษาขึ้นในส่วนภูมิภาค โดยขอให้รัฐบาลจัดตั้งมหาวิทยาลัยขึ้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งมีการเคลื่อนไหวเรียกร้องอย่างหนัก และส่วนหนึ่งของการแสดงการเรียกร้องในครั้งนั้นคือ การแสดงความคิดเห็นเรียกร้องผ่านการพิมพ์บัตรต่างๆเพื่อแจกจ่ายให้นักเรียน และประชาชน ดังต่อไปนี้
1. บัตรแสตมป์ ซึ่งมีข้อความว่า "เราต้องการมหาวิทยาลัยประจำลานนาไทย" โดยให้นำไปติดไว้บนซองจดหมายคู่กับดวงตราไปรษณีย์หรือติดไว้บนเอกสารทั่วไปตามที่เห็นสมควร เพื่อแสดงให้เห็นถึงความต้องการของชาวเชียงใหม่
2. บัตรวงกลม มีข้อความว่า "ในภาคเหนือ เราต้องการ มหาวิทยาลัย " และ"โปรดร่วมกันต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งมหาวิทยาลัย ประจำภาคเหนือ" โดยให้นำไปติดไว้ในที่ต่างๆตามที่เห็นสมควร
3. บัตรห่วง เป็นบัตรที่มีวัตถุประสงค์ให้นักเรียนและประชาชน ส่งบัตรห่วงนี้ไปให้ญาติมิตรคนรู้จักแล้วให้ส่งบัตรห่วงนี้กระจายเพิ่มขึ้นไปทั่วประเทศ โดยมีข้อความตอนหนึ่งว่า "เรา ประชาชนคนภาคเหนือ มีความเชื่อมั่นว่าการจัดให้มีสถาบันการศึกษามหาวิทยาลัยขึ้นในลานนาไทยนั้นเป็นความจำเป็นอย่างรีบด่วน เราเชื่อว่าอนาคตและความวัฒนาสถาพรของลานนาไทยนั้นขึ้นอยู่ที่แรงปณิธานของลูกลานนาไทยทุกคน ...เราจึงขอให้สัจจปฏิญญาณไว้ ณ ที่นี้ว่า เราจะขอสู้จนสุดใจขาดดิ้น เพื่อให้ได้มาซึ่งมหาวิทยาลัยประจำลานนาไทย..."
ต่อมาในปี พ.ศ. 2501 รัฐบาลได้แถลงนโยบายเกี่ยวกับการศึกษาว่าจะดำเนินการ "พัฒนาการศึกษาในส่วนภูมิภาค ตลอดถึงการศึกษาขั้นสูง" และเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2502 ได้มีการประชุมโครงการพัฒนาการศึกษาในส่วนภูมิภาค ภาคการศึกษา 8 ณ จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีหม่อมหลวงปิ่น มาลากุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นประธาน ในการประชุมครั้งนั้นหม่อมหลวงปิ่น มาลากุล ได้บันทึกไว้ว่า "การตั้งมหาวิทยาลัยในส่วนภูมิภาค ตามความเรียกร้องของประชาชน ที่ประชุมเห็นว่าน่าจะจัดตั้งมหาวิทยาลัยที่จังหวัดเชียงใหม่ ...ด้วยเป็นความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง..."
เมื่อได้ข้อสรุปแล้ว คณะรัฐมนตรีสมัยรัฐบาลจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้ลงมติอนุมัติให้จัดตั้งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2503 และมอบหมายให้หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเตรียมการจัดตั้งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ตั้งแต่พ.ศ. 2503 ถึง พ.ศ. 2506 ซึ่งหม่อมหลวงปิ่น มาลากุล ได้บันทึกเกี่ยวกับการตั้งชื่อมหาวิทยาลัยไว้ใน บันทึกของปม. ความตอนหนึ่งว่า "...ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีได้สั่งไว้ว่า รัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลปฏิวัติให้กระทรวง ทบวง กรมต่างๆ ปฏิวัติงานให้เข้าสู่สภาพที่ควรในทุกๆกรณี ถ้าเราเรียกชื่อมหาวิทยาลัยที่จังหวัดเชียงใหม่ว่า มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ก็จะเป็นการปฏิวัติแล้ว คือเรียกชื่อมหาวิทยาลัยตามชื่อเมือง เป็นแห่งแรกในประเทศไทย ชื่อ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพราะมาก ขออย่าให้ใครมาแก้ไขเป็นอย่างอื่นเลย..." ด้วยเหตุที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่เกิดจากความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง และเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐแห่งแรกในส่วนภูมิภาคของประเทศไทย ณ จังหวัดเชียงใหม่ จึงมีชื่อว่า มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จนถึงปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พุทธศักราช 2507 เมื่อวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2507 และประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2507 โดยให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไปจึงถือว่าวันก่อตั้งมหาวิทยาลัยตามกฎหมาย คือ วันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2507 ซึ่งเป็นวันที่พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พ.ศ. 2507 มีผลบังคับใช้ และได้ดำเนินการเปิดทำการเรียนการสอนครั้งแรกเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2507 และต่อมาในปี พ.ศ. 2508 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าอุบลรัตน์ราชกัญญาฯ และพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าวชิราลงกรณ์ฯ ประกอบพิธีเปิดมหาวิทยาลัยอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2508 ซึ่งชาวมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ถือว่าเป็นวันสถาปนามหาวิทยาลัย
พระยาศรีวิสารวาจา (หุ่น ฮุนตระกูล) อธิการบดีคนแรกของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เห็นว่าตราของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ควรจะมีคำขวัญหรือสุภาษิตกำกับไว้ จึงมอบหมายให้ ศาสตราจารย์แสง จันทร์งาม กราบนมัสการขอพุทธภาษิตจากท่านเจ้าคุณ พระสาสนโสภณ เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศราชวรวิหาร (สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร) และได้เลือกพุทธภาษิตบทที่ว่า “อตฺตานํ ทมยนฺติ ปณฺฑิตา” แปลว่า บัณฑิตทั้งหลายย่อมฝึกตน เป็นคำขวัญประจำมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และคณะกรรมการดำเนินการจัดตั้งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้กำหนดให้คำขวัญนี้อยู่ในตรามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จนถึงปัจจุบัน
ในระยะเริ่มต้นได้เปิดดำเนินการสอน 3 คณะ ที่เป็นรากฐานของทุกสาขาวิชา คือ คณะมนุษยศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ และคณะวิทยาศาสตร์ ต่อมาในปี พ.ศ. 2508 ได้รับโอนกิจการคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลนครเชียงใหม่ จาก มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ (มหาวิทยาลัยมหิดลในปัจจุบัน) มาเป็นคณะแพทยศาสตร์สังกัดมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในปีเดียวกันนี้เอง ได้เริ่มจัดตั้งคณะเกษตรศาสตร์ขึ้นอีกคณะหนึ่ง ในปีการศึกษา 2511 ได้จัดตั้งคณะศึกษาศาสตร์ และในปีการศึกษา 2513 ได้จัดตั้งคณะใหม่อีก คือ คณะวิศวกรรมศาสตร์ ต่อมาในปี พ.ศ. 2515 จึงได้จัดตั้งเพิ่มขึ้นอีก 3 คณะคือ คณะทันตแพทยศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ และคณะพยาบาลศาสตร์ ในปี พ.ศ. 2518 ได้จัดตั้งคณะเทคนิคการแพทย์เพิ่มขึ้น และตั้งบัณฑิตวิทยาลัย เมื่อปี พ.ศ. 2519 เพื่อเป็นหน่วยประสานงานด้านการเรียนการสอนและมาตรฐานหลักสูตรขั้นบัณฑิตศึกษามีฐานะเทียบเท่าคณะหนึ่งแต่การดำเนินงานด้านการสอนและการวิจัยซึ่งกระทำโดยคณาจารย์ของคณะ และได้มีการจัดตั้งคณะวิจิตรศิลป์ขึ้น ในปี พ.ศ. 2525 เปิดรับนักศึกษาตั้งแต่ปีการศึกษา 2526 ในปี 2536 ได้จัดตั้งคณะเพิ่มขึ้นอีก 3 คณะ คือ คณะเศรษฐศาสตร์ คณะบริหารธุรกิจ และคณะอุตสาหกรรมเกษตร และในปี พ.ศ. 2538 ได้จัดตั้งคณะเพิ่มอีก 1 คณะ คือ คณะสัตวแพทยศาสตร์ ในปี พ.ศ. 2543 ได้มีการจัดตั้งคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ขึ้นเป็นคณะที่ 17 ในปีพ.ศ. 2548 ได้จัดตั้งอีกสองคณะ และหนึ่งวิทยาลัยคือ คณะการสื่อสารมวลชน คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ และวิทยาลัยศิลปะ สื่อ และเทคโนโลยี (เทียบเท่าคณะ) ปีพ.ศ. 2549 ได้จัดตั้งคณะที่ 20 คือ คณะนิติศาสตร์ และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้รับการประเมินศักยภาพของมหาวิทยาลัยของไทย จากการจัดอันดับสถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทยโดยสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา(สกอ.) ได้จัดให้มหาวิทยาลัยเชียงใหม่อยู่ในกลุ่ม ดีเลิศ ทั้งการเรียนการสอน และการวิจัย
ในปี พ.ศ. 2550 ร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ผ่านสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พ.ศ. 2551 ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2551 เป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐลำดับที่ 12
การศึกษา
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่มีจำนวนนักศึกษาที่กำลังศึกษาอยู่ในปัจจุบัน จำนวน 35,509 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 1 มกราคม 2560) จำแนกตามระดับการศึกษา ได้แก่ ระดับปริญญาตรี ระดับปริญญาโท ระดับปริญญาเอก และระดับประกาศนียบัตรบัณฑิต โดยมีคณะที่เปิดสอนจำนวนทั้งสิ้น 21 คณะ 3 วิทยาลัย 1 บัณฑิตวิทยาลัย ได้แก่
กลุ่มคณะ
คณะกลุ่มสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์
คณะกลุ่มวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
| คณะกลุ่มวิทยาศาสตร์สุขภาพ
กลุ่มสหวิทยาการ
|
การก่อตั้งคณะ
หลักสูตรในระดับปริญญาตรีมีการแบ่งหลักสูตรออกเป็น หลักสูตรภาคปกติ หลักสูตรภาคพิเศษ หลักสูตรนานาชาติ หลักสูตรต่อเนื่อง และหลักสูตรสาขาวิชาร่วม โดยแต่ละคณะจะเป็นผู้กำหนดรายวิชาในแต่ละสาขาวิชาที่เปิดสอน
พ.ศ. | คณะ |
---|---|
2507 | คณะมนุษยศาสตร์ • คณะสังคมศาสตร์ • คณะวิทยาศาสตร์ |
อันดับและมาตรฐานของมหาวิทยาลัย
ตารางแสดงการจัดอันดับของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่จากสถาบันต่างๆ
อันดับมหาวิทยาลัย | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
อันดับในประเทศ(อันดับนานาชาติ) | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
สถาบันที่จัด | อันดับ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
CWTS (2016) | 3(691) | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
CWUR (2016) | 3(808) | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
QS (Asia) (2016) | 4(104) | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
QS (World) (2016) | 3(551-600) | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
RUR (2016) | 4(626) | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
SIR (2016) | 5(547) | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
THE (Asia) (2016) | 3(141-150) | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
THE (World) (2015) | 2(601-800) | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
URAP (2015) | 3(756) | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
U.S. News (2017) | 3(841) |
การประเมินคุณภาพมหาวิทยาลัย
ในปี พ.ศ. 2549 สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา ได้จัดอันดับมหาวิทยาลัยของประเทศไทยใน "โครงการฐานข้อมูลออนไลน์เพื่อประเมินศักยภาพของมหาวิทยาลัยไทย"โดยในภาพรวมผลการจัดอันดับมหาวิทยาลัยกลุ่มดัชนีชี้วัดด้านการวิจัยและกลุ่มดัชนีชี้วัดตามด้านการเรียนการสอน ซึ่งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้รับการจัดอันดับเป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 3 ในด้านการเรียนการสอนของประเทศไทย และเป็นอันดับ 5 ในด้านการวิจัยของประเทศไทย
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ประเมินคุณภาพผลงานวิจัยเชิงวิชาการด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของสถาบันอุดมศึกษา ผลปรากฏว่าในการการประเมินครั้งที่ 2 (พ.ศ. 2553) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้รับการประเมินในระดับดีในสาขาวิชาวิศวกรรมเครื่องกล ภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, สาขาวิชาการประมง และสัตวศาสตร์ คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่/ สัตวแพทยศาสตร์ คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, สาขาวิชาสูติศาสตร์ – นรีเวชวิทยา ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, สาขาวิชาเทคนิคการแพทย์/ สหเวชศาสตร์ ภาควิชาพยาธิวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และสาขาพยาบาลศาสตร์ คณะพยาบาลศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และในการประเมินครั้งที่ 3 (พ.ศ. 2554) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้รับการประเมินในระดับดีมากในสาขาวิชา Material Technology / Material และ Mining Engineering ภาควิชาฟิสิกส์และวัสดุศาสตร์, สาขาวิชาคณิตศาสตร์ ภาควิชาคณิตศาสตร์และสถิติ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, สาขาวิชาสูติศาสตร์ – นรีเวชวิทยา ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และสาขาพยาบาลศาสตร์ คณะพยาบาลศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
อันดับมหาวิทยาลัย
นอกจากการจัดอันดับมหาวิทยาลัยโดยหน่วยงานในประเทศไทยแล้ว ยังมีหน่วยงานจัดอันดับมหาวิทยาลัยจากต่างประเทศอีกหลายหน่วยงาน ซึ่งแต่ละหน่วยงานมีเกณฑ์การจัดอันดับและการให้คะแนนที่แตกต่างกัน ได้แก่
การจัดอันดับโดย Centrum voor Wetenschap en Technologie Studies
การจัดอันดับมหาวิทยาลัยโดย Centrum voor Wetenschap en Technologie Studies หรือ CWTS Leiden University ประจำปี 2016 ของประเทศเนเธอร์แลนด์ โดยใช้เกณฑ์พิจารณาจากผลงานวิจัยตีพิมพ์ในวารสารที่ปรากฏชื่ออยู่ในฐานข้อมูล Web of Science database มหาวิทยาลัยเชียงใหม่เป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 3 ของประเทศไทย และอันดับที่ 691 ของโลก
การจัดอันดับโดย Center for World University Rankings
การจัดอันดับโดย Center for World University Rankings หรือ CWUR ที่มีเกณฑ์การจัดอันดับคือ คุณภาพงานวิจัย ศิษย์เก่าที่จบไป คุณภาพการศึกษา คุณภาพของอาจารย์ และภาควิชาต่าง ๆ ประจำปี พ.ศ. 2559 มหาวิทยาลัยเชียงใหม่เป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 3 ของประเทศไทย และอยู่ในอันดับที่ 808 ของโลก
การจัดอันดับโดย Quacquarelli Symonds
แควกเควเรลลี ไซมอนด์ส หรือ QS จัดอันดับมหาวิทยาลัยในสองส่วน คือ การจัดอันดับเป็นระดับโลก(QS World University Rankings) และระดับทวีปเอเชีย(QS University Rankings: Asia) มีระเบียบวิธีจัดอันดับ ดังนี้
QS World
- ชื่อเสียงทางวิชาการ จากการสำรวจมหาวิทยาลัยทั่วโลก ผลของการสำรวจคัดกรองจาก สาขาที่ได้รับการตอบรับว่ามีความเป็นเลิศโดยมหาวิทยาลัยสามารถส่งสาขาให้ได้รับการคัดเลือกตั้งแต่ 2 สาขาขึ้นไป โดยจะมีผู้เลือกตอบรับเพียงหนึ่งสาขาจากที่มหาวิทยาลัยเลือกมา
- การสำรวจผู้ว่าจ้าง เป็นการสำรวจในลักษณะคล้ายกับในด้านชื่อเสียงทางวิชาการแต่จะไม่แบ่งเป็นคณะหรือสาขาวิชา โดยนายจ้างจะได้รับการถามให้ระบุ 10 สถาบันภายในประเทศ และ 30 สถาบันต่างประเทศที่จะเลือกรับลูกจ้างที่สำเร็จการศึกษาจากสถาบันนั้น ๆ รวมถึงคุณสมบัติสำคัญที่ต้องการ 2 ข้อ
- งานวิจัยที่อ้างต่อ 1 ชิ้นรายงาน โดยข้อมูลที่อ้างอิงจะนำมาจาก Scopus ในระยะ 5 ปี
- H-index ซึ่งคือการชี้วัดจากทั้งผลผลิต และ อิทธิพลจากการตีพิมพ์ผลงานทั้งจากนักวิทยาศาสตร์และศาสตร์อื่น ๆ
โดยมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้รับการจัดให้เป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 3 ของประเทศไทย และอยู่ช่วงอันดับที่ 551-600 ของโลก
น้ำหนักการชี้วัด การแบ่งคะแนนจะต่างกันในแต่ละสาขาวิชา เช่น ทางด้านการแพทย์ ซึ่งเป็นสาขาที่มีอัตราการเผยแพร่งานวิจัยสูง การวัดการอ้างอิงและh-index ก็จะคิดเป็น 25 เปอร์เซนต์ สำหรับแต่ละมหาวิทยาลัย ในทางกลับกันสาขาที่มีการเผยแพร่ผลงานทางวิชาการที่น้อยกว่า เช่น สาขาประวัติศาสตร์ จะคิดเป็นร้อยละที่ต่ำกว่าคือ 15 เปอร์เซนต์ จากคะแนนทั้งหมด ในขณะเดียวกันสาขาศิลปะและการออกแบบ ซึ่งมีผลงานตีพิมพ์น้อยก็จะใช้วิธีการวัดจากผู้ว่าจ้างและการสำรวจด้านวิชาการ
QS Asia
- ชื่อเสียงทางวิชาการ (30 เปอร์เซนต์) เป้าหมายของตัวชี้วัดนี้เพื่อจะบอกว่ามหาวิทยาลัยใดมีชื่อเสียงในในระดับนานาชาติ
- การสำรวจผู้จ้างงาน (20 เปอร์เซนต์)
- อัตราส่วนของคณะต่อนักศึกษา (15 เปอร์เซนต์) วัดจากอัตราส่วนของบุคลากรทางการศึกษาต่อจำนวนนักศึกษา และการติดต่อและให้การสนับสนุนของบุคลากรที่มีต่อนักศึกษา
- การอ้างอิงในรายงาน (10 เปอร์เซนต์) และผลงานของคณะ (10 เปอร์เซนต์) เป็นการรวมทั้งงานที่อ้างอิงใน scopusและ การตีพิมพ์ผลงานโดยคณะนั้นๆเอง
- บุคลากรระดับดุษฎีบัณฑิต (5 เปอร์เซนต์)
- สัดส่วนคณะที่เป็นหลักสูตรนานาชาติ (2.5 เปอร์เซนต์) และนักศึกษาต่างชาติ (2.5 เปอร์เซนต์)
- สัดส่วนของรับนักศึกษาและเปลี่ยนที่เข้ามาศึกษา (2.5 เปอร์เซนต์) และการส่งนักศึกษาออกไปแลกเปลี่ยน (2.5 เปอร์เซนต์)
โดยมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้รับการจัดให้เป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 3 ของประเทศไทย และเป็นอันดับที่ 104 ของเอเชีย
การจัดอันดับโดย Round University Rankings
การจัดอันดับมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก Round University Rankings 2016 โดย RUR Rankings Agency ของประเทศรัสเซีย เป็นการจัดอันดับมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก (a ranking of leading world universities) ในปี ค.ศ. 2016 มีเกณฑ์ที่ใช้ในการจัดอันดับโดยการพิจารณาตามพันธกิจหลักของมหาวิทยาลัยในระดับสากล 4 ด้าน 20 ตัวชี้วัด คือด้านการสอน (Teaching) 5 ตัวชี้วัด คิดเป็น 40% การวิจัย (Research) 5 ตัวชี้วัด 40% ด้านความเป็นนานาชาติ (International Diversity) 5 ตัวชี้วัด 10% และด้านความยั่งยืนทางการเงิน (Financial Sustainability) 5 ตัวชี้วัด 10% มหาวิทยาลัยเชียงใหม่เป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 4 ของประเทศไทย และอันดับที่ 626 ของโลก
การจัดอันดับโดย SCImago Institutions Ranking
อันดับมหาวิทยาลัยโดย SCImago Institutions Ranking หรือ SIR ซึ่งเป็นการจัดอันดับสถาบันที่มีผลงานวิจัยในระดับนานาชาติ ซึ่งจะไม่ใด้นับเฉพาะมหาวิทยาลัย แต่จะนับสถาบันเฉพาะทางด้วย เช่น สถาบันเทคโนโลยี วิทยาลัย โรงพยาบาล ในปี พ.ศ. 2559 มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้รับการจัดให้อยู่ในอันดับที่ 547 ของโลก และเป็นอันดับ 5 ของประเทศไทย
การจัดอันดับโดย The Times Higher Education
The Times Higher Education หรือ THE มีระเบียบวิธีการจัดอันดับโดยแบ่งตัวชี้วัดเป็น 5 ประการ วัดคะแนนเป็นเปอร์เซนต์ การสอน (บรรยากาศการเรียน) คิดเป็น 30 เปอร์เซนต์ ประกอบไปด้วย การสำรวจชื่อเสียงทางวิชาการ 15 เปอร์เซนต์ อัตราส่วนของจำนวนบุคลากรต่อนักศึกษา 4.5 เปอร์เซนต์ อัตราส่วนผู้สำเร็จการศึกษาระดับดุษฎีบัณฑิตต่อบัณฑิต 2.25 เปอร์เซนต์ อัตราส่วนบุคลากรระดับดุษฎีบัณฑิต 6 เปอร์เซนต์ รายรับของมหาวิทยาลัย 2.25 เปอร์เซนต์ การวิจัย (ปริมาณ รายรับ และชื่อเสียง) 30 เปอร์เซนต์ ประกอบไปด้วย สำรวจความมีชื่อเสียงทุกปี โดย Academic Reputation Survey 18 เปอร์เซนต์ รายรับจากงานวิจัย 6 เปอร์เซนต์ ปริมาณงานวิจัย 6 เปอร์เซนต์ การอ้างอิง อิทธิพลของงานวิจัย 30 เปอร์เซนต์ ทัศนะจากนานาชาติ (บุคลากร นักศึกษาและงานวิจัย) 7.5 เปอร์เซนต์ อัตราส่วนนักศึกษาต่างชาติต่อนักศึกษาในประเทศ 2.5 เปอร์เซนต์ อัตราส่วนบุคลากรต่างชาติต่อในประเทศ 2.5 เปอร์เซนต์ ความร่วมมือระดับนานาชาติ 2.5 เปอร์เซนต์ การส่งต่อความรู้ 2.5เปอร์เซนต์ การที่มหาวิทยาลัยมีนวัตกรรมหรือสิ่งประดิษฐ์ที่นำไปใช้ต่อยอดในภาคอุตสาหกรรม โดยมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้รับการจัดอันดับให้เป็นอันดับ 2 ของประเทศไทย และอันดับที่ 601-800 ของโลก
การจัดอันดับโดย University Ranking by Academic Performance
อันดับที่จัดโดย University Ranking by Academic Performance หรือ URAP ปี พ.ศ. 2558 มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้รับการจัดอันดับให้เป็นอันดับ 3 ของประเทศไทย และอันดับ 756 ของโลก โดยมีพื้นฐานทางด้านวิชาการตรงตามกฎเกณฑ์ที่กำหนดไว้ คุณภาพและปริมาณของบทความตีพิมพ์ทางวิชาการ บทความวิจัย การเผยแพร่ และการอ้างอิง
การจัดอันดับโดย U.S. News & World Report
U.S. News & World Report นิตยสารการจัดอันดับมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับมากที่สุดของสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศผลการจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลกล่าสุด “Best Global Universities Rankings 2017” จากการสำรวจมหาวิทยาลัย 60 ประเทศทั่วโลก และมีเกณฑ์จัดอันดับหลายด้าน เช่น ชื่อเสียงการวิจัยในระดับโลก และระดับภูมิภาค สื่อสิ่งพิมพ์ การถูกนำไปอ้างอิง ความร่วมมือระหว่างประเทศ จำนวนบุคลากรระดับปริญญาเอก เป็นต้น โดยมีมหาวิทยาลัยของไทยติดอันดับ 6 แห่ง และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ถูกจัดอันดับให้เป็นอันดับที่ 3 ของประเทศไทย และอันดับที่ 841 ของโลก
อันดับของมหาวิทยาลัยในด้านอื่น ๆ
การจัดอันดับโดย Webometrics
การจัดอันดับมหาวิทยาลัยของเว็บโอเมตริกซ์ ประจำปี พ.ศ. 2559 จัดทำขึ้นเพื่อแสดงความตั้งใจของสถาบันต่าง ๆ ในการเผยแพร่ความรู้สู่เว็บ และเป็นความริเริ่มเพื่อส่งเสริมการเข้าถึงความรู้อย่างเปิดกว้าง (Open Access) ทั่วโลก อันดับ Webometrics จะบอกถึงปริมาณและคุณภาพของสิ่งตีพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์ในเว็บไซต์ของสถาบัน โดยพิจารณาจากจำนวน Link ที่เชื่อมโยงเข้าสู่เว็บนั้น ๆ จากเว็บภายนอกโดยวัดจากการสืบค้นด้วยSearch Engine และนับจำนวนเอกสารตีพิมพ์ออนไลน์ในกลุ่มของไฟล์ .pdf .ps .ppt และ .doc และจำนวนเอกสารที่มีการอ้างอิง (Citation) แบบออนไลน์ผ่านกูเกิลสกอลาร์ (Google Scholar) โดยจะจัดอันดับปีละ 2 ครั้ง ได้แก่ เดือนมกราคม และ เดือนกรกฎาคม โดยล่าสุดการจัดอันดับรอบที่ 2 ประจำปี พ.ศ. 2559 มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้รับการจัดอันดับให้เป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 4 ของประเทศไทย และอยู่ในอันดับที่ 596 ของโลก
สถาบันวิจัย
- อุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (CMU STeP) เป็นส่วนงานวิชาการของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จัดตั้งขึ้นจากความร่วมมือระหว่าง 7 คณะ ประกอบด้วยคณะวิศวกรรมศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ คณะเกษตรศาสตร์ คณะอุตสาหกรรมเกษตร วิทยาลัยศิลปะ สื่อและเทคโนโลยี คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ และคณะบริหารธุรกิจ เพื่อสร้างนวัตกรรม (Bridge for Innovation) เชื่อมโยงและผสานการทำงานระหว่างมหาวิทยาลัยเชียงใหม่กับภาคอุตสาหกรรม ภาคเอกชน หน่วยงานภาครัฐ และภาคประชาชนที่อยู่ภายนอกมหาวิทยาลัย โดยนำผลงานวิจัย นักวิจัย และเครื่องมือวิจัย ของมหาวิทยาลัยมาใช้ประโยชน์และสร้างคุณค่าในรูปแบบของการผลักดันองค์ความรู้งานวิจัยให้เกิดการใช้งานเชิงพาณิชย์ (Research Commercialization) การสร้างธุรกิจเทคสตาร์ทอัพ (Tech Startup) ธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม (Innovation Driven Enterprise) การทำให้เกิดมูลค่าเพิ่มในองค์รวม (Total Value Creation) และการพัฒนาชุมชนและสังคมอย่างยั่งยืน โดยการบูรณาการองค์ความรู้ งานวิจัย และเทคโนโลยีของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
- สถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (ERDI CMU) เป็นสถาบันที่มีลักษณะของศูนย์ความเป็นเลิศ (Excellent center) โดยเป็นศูนย์กลางแห่งองค์ความรู้ด้านพลังงานระดับประเทศและระดับนานาชาติในการวิจัยและพัฒนารวมถึงให้บริการวิชาการโดยมีความเชี่ยวชาญครอบคลุมในด้านที่เกี่ยวข้องกับพลังงานในทุกแขนงสาขาเป็นองค์การที่จัดตั้งขึ้นจากการหลอมรวมองค์กรในกำกับทั้ง 2 แห่งของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ที่ดำเนินการเกี่ยวข้องในด้านพลังงาน คือ สถานจัดการและอนุรักษ์พลังงาน และสถานเทคโนโลยีก๊าซชีวภาพ ให้เป็นหน่วยงานเดียวกัน โดยรับอนุมัติจากทางภามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2550 จัดตั้งเป็นหน่วยงานใหม่ภายใต้ชื่อ " สถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงาน" เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2553 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนิน ทรงเปิดอาคารสถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงาน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อย่างเป็นทางการ
- สถาบันวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เดิมมีชื่อเรียกว่า โครงการจัดตั้งสถาบันวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยที่ประชุมคณบดีเห็นชอบให้มีโครงการจัดตั้งฯ เมื่อเดือน กรกฎาคม 2528 ปัจจุบันสถาบันวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประกอบด้วยผู้แทนจาก 5 คณะหลัก คือ คณะวิทยาศาสตร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ คณะเกษตรศาสตร์ คณะอุตสาหกรรมเกษตร และคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มุ่งส่งเสริมงานวิจัยและพัฒนางานทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อความยั่งยืนและความสมดุลของมุนษย์ และสิ่งแวดล้อม แบ่งเป็นศูนย์ต่าง ๆ ดังนี้
- ศูนย์วิจัยเทคโนโลยีชีวภาพด้านพืช
- ศูนย์วิจัยเทคโนโลยีชีวภาพระดับโมเลกุล
- ศูนย์วิจัยนิวตรอนและเทคโนโลยีรังสี
- ศูนย์วิจัยพลังงานและเทคโนโลยีที่เหมาะสม
- ศูนย์วิจัยวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยว
- ศูนย์วิจัยเทคโนโลยีและวัสดุ
- ศูนย์วิจัยเทคโนโลยีเซรามิกส์
- ศูนย์วิจัยและพัฒนาวัตถุดิบยา เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ
- ศูนย์วิจัยอิเล็คทรอนิกส์ประยุกต์และคอมพิวเตอร์
- ศูนย์วิจัยความหลากหลายทางชีวภาพและชีววิทยาชาติพันธุ์
- ศูนย์ปฏิบัติการวิจัยเฉพาะทาง
- สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้จัดตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2510 ภายใต้ชื่อ ศูนย์วิจัยโลหิตวิทยาและทุโภชนาการ สังกัดคณะแพทยศาสตร์ ได้ทำการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับโภชนาการในผู้ป่วยเด็กโรคขาดสารอาหารโรคโลหิตจางในเด็กและหญิงมีครรภ์ และความสัมพันธ์ระหว่างภาวะทุโภชนาการและโลหิตจางกับการเกิดโรคติดเชื้อต่อมาได้เสนอโครงการขยาย และปรับปรุงยกฐานะโดยได้รับความ เห็นชอบในปี พ.ศ. 2521 ให้สถาปนาขึ้นเป็น สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ สุขภาพเป็นหน่วยงานอิสระที่มีฐานะเทียบเท่าคณะในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่มีภารกิจในการดำเนินงาน วิจัยและเป็นศูนย์กลางให้ความร่วมมือประสานงาน และส่งเสริมการดำเนินการ ค้นคว้าวิจัยในสาขา วิทยาศาสตร์สุขภาพเพื่อให้ได้รับทราบข้อมูลพื้นฐาน อันเป็นประโยชน์ต่อการค้นหาสาเหตุประกอบการวินิจฉัย ของการเกิดโรคได้อย่างถูกต้อง ซึ่งจะยังผลให้สามารถกำหนดมาตรการที่ถูกต้องเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ เพื่อการป้องกันและแก้ไขปัญหาสุขภาพและอนามัยของประชาชน โดยเฉพาะในเขตภาคเหนือของประเทศต่อไป
- สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ งานวิจัยทางสังคมศาสตร์ได้เริ่มขึ้นโดยกลุ่มคณาจารย์คณะสังคมศาสตร์ เมื่อปีพ.ศ. 2516 และในปี พ.ศ. 2519 มหาวิทยาลัยอนุมัติให้จัดตั้งเป็นศูนย์ภายใน คณะสังคมศาสตร์ ใช้ชื่อว่า "ศูนย์วิจัยสังคมศาสตร์" และได้รับเงินสนับสนุนจากคณะสังคมศาสตร์ มูลนิธิ/หน่วยงาน ทั้งภายในและภายนอกประเทศ เมื่อได้มีการขยายขอบเขตการปฏิบัติงาน และมีปริมาณงานเพิ่มมากขึ้น จึงได้เสนอขอจัดตั้งสถาบันวิจัยสังคม และได้รับอนุมัติให้บรรจุ " โครงการจัดตั้งสถาบันวิจัยสังคม " เป็นโครงการใหม่ในแผนพัฒนาการศึกษา ระยะที่ 4 (พ.ศ. 2520 - 2524) ต่อมา ได้มีประกาศทบวงมหาวิทยาลัยยกฐานะโครงการจัดตั้งสถาบันวิจัยสังคม ขึ้นเป็น "สถาบันวิจัยสังคม" ให้มีสำนักงานเลขานุการสถาบันวิจัยสังคม
การรับบุคคลเข้าศึกษาต่อ
ระดับประกาศนียบัตรบัณฑิต
หลักสูตรระดับประกาศนียบัตรบัณฑิต และประกาศนียบัตรบัณฑิตชั้นสูง เป็นหลักสูตรที่มุ่งพัฒนานักวิชาการและนักวิชาชีพ ให้มีความชำนาญในสาขาวิชาเฉพาะ สามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนางานในสาขาวิชาชีพ นั้น ๆ การศึกษาระดับประกาศนียบัตรบัณฑิตจะต้องศึกษากระบวนวิชาระดับบัณฑิตศึกษา มีหน่วยกิตรวม ตลอดหลักสูตร ไม่น้อยกว่า 24 หน่วยกิต โดยเป็นกระบวนวิชาในระดับบัณฑิตศึกษา ไม่น้อยกว่า 18 หน่วยกิต
ระดับปริญญาตรี
หลักสูตรในระดับปริญญาตรี มีหลักสูตรที่เปิดสอนในแต่ละคณะทั้งหมดประมาณ 100 หลักสูตรโดยจะมีการแบ่งหลักสูตรออกเป็น หลักสูตรภาคปกติ หลักสูตรภาคพิเศษ (เสาร์-อาทิตย์) หลักสูตรภาคพิเศษ (ช่วงเย็น) หลักสูตรต่อเนื่อง และหลักสูตรสาขาวิชาร่วม โดยแต่ละคณะจะเป็นผู้กำหนดรายวิชาในแต่ละสาขาที่เปิดสอนเอง
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้กำหนดวิธีการรับบุคคลเข้าศึกษาในระดับปริญญาตรีในระบบต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
- โครงการพิเศษ
โครงการรับนักเรียนที่มีผลการเรียนดี โครงการพัฒนาและส่งเสริมเยาวชนดีเด่นทางการกีฬา โครงการวิศวะสู่ชุมชน โครงการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาต่อคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ โครงการบัณฑิตเพื่อชุมชน โครงการนักคิดเพื่อสังคม โครงการส่งเสริมนักเขียนและกวีล้านนา โครงการสื่อสารมวลชนเพื่อสังคม โครงการสื่อสารมวลชนสู่ชนบท โครงการผู้มีความสามรถพิเศษทางการสื่อสารมวลชน โครงการช้างเผือกคณะเศรษฐศาสตร์ โครงการสนับสนุนการจัดตั้งห้องเรียนวิทยาศาสตร์ในโรงเรียนฯ (วมว.) โครงการเด็กดีมีที่เรียน โครงการสำนึกรักบ้านเกิดเพื่อการเกษตรที่ยั่งยืน โครงการผู้มีแววเป็นนักนิติศาสตร์ โครงการพิเศษสำหรับนักเรียนพิการ โครงการทายาทศิษย์เก่าบัญชี-บริหารธุรกิจ โครงการนักเรียนที่มีผลการเรียนดีและเป็นทายาทผู้ประกอบการธุรกิจ โครงการนักเรียนที่สนใจศึกษาความเปลี่ยนแปลงของสังคม คณะมนุษยศาสตร์
- การสอบคัดเลือกนักเรียนในเขตพัฒนาภาคเหนือ
โดยจะรับคัดเลือกแต่นักเรียนที่เรียนอยู่ในเขตพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ เป็นเวลา 3 ปี โดยจะมีการจัดการสอบเป็นประจำทุกปีในช่วงเดือนธันวาคม
- ระบบ Admission กลาง
โดยผู้ที่จะได้รับการคัดเลือกต้องผ่านกระบวนการทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน (O-Net) การทดสอบความถนัดทั่วไป (GAT) และการทดสอบความถนัดทางวิชาชีพและวิชาการ (PAT) โดยจะนำผลการทดสอบดังกล่าวมาเลือกคณะและสาขาวิชาต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัยได้ตามความต้องการโดยผ่านทางการคัดเลือกของสมาคมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (สอท.)
ระดับปริญญาโท
หลักสูตรระดับปริญญาโท แบ่งเป็น 2 แผน คือ แผน ก และแผน ข ดังนี้
- แผน ก แบบ ก 1 หมายถึง การเรียนที่มีเพียงการทำวิทยานิพนธ์อย่างเดียว มีหน่วยกิตสะสมไม่น้อยกว่า 36 หน่วยกิต และจะต้องทำกิจกรรมทางวิชาการตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับ อาจมีการเรียนกระบวนวิชาเพิ่มเติมได้โดยไม่นับหน่วยกิตสะสม
- แผน ก แบบ ก 2 หมายถึง การเรียนที่เป็นลักษณะของการศึกษากระบวนวิชาระดับบัณฑิตศึกษาไม่น้อยกว่า 12 หน่วยกิต และทำวิทยานิพนธ์ไม่น้อยกว่า 12 หน่วยกิต หน่วยกิตสะสมเป็นไปตามโครงสร้างหลักสูตรของสาขาวิชา
- แผน ข หมายถึง การศึกษากระบวนวิชาระดับบัณฑิตศึกษา และทำการค้นคว้าแบบอิสระไม่น้อยกว่า 3-6 หน่วยกิต
มีการสอบคัดเลือกผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี เพื่อเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาโทในสาขาวิชาต่าง ๆ ทั้งภาคปกติ และภาคพิเศษ โดยทางมหาวิทยาลัยจะดำเนินการจัดสอบเอง
ระดับปริญญาเอก
หลักสูตรระดับปริญญาเอก แบ่งเป็น 2 แบบ คือ
แบบ 1 เป็นการศึกษาที่เน้นการวิจัย ที่ก่อให้เกิดความรู้ใหม่ แยกเป็น แบบ 1.1 สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโท ทำวิทยานิพนธ์ไม่น้อยกว่า 48 หน่วยกิต แบบ 1.2 สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี (เกียรตินิยม) ทำวิทยานิพนธ์ไม่น้อยกว่า 72 หน่วยกิต
แบบ 2 เป็นการศึกษาที่เน้นการวิจัย โดยมีการทำวิทยานิพนธ์ที่มีคุณภาพสูง และก่อให้เกิดความก้าวหน้าทางวิชาการ และวิชาชีพ และศึกษากระบวนวิชาเพิ่มเติม แยกเป็น แบบ 2.1 สำหรับผู้ที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโท ทำวิทยานิพนธ์ไม่น้อยกว่า 36 หน่วยกิต และศึกษากระบวนวิชาระดับบัณฑิตศึกษาไม่น้อยกว่า 12 หน่วยกิต แบบ 2.2 สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี ทำวิทยานิพนธ์ไม่น้อยกว่า 48 หน่วยกิต และศึกษากระบวนวิชาระดับบัณฑิตศึกษาไม่น้อยกว่า 24 หน่วยกิต
พื้นที่มหาวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ตั้งอยู่ในตัวอำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ มีพื้นที่ครอบคลุมตั้งแต่บริเวณกำแพงเมืองเชียงใหม่ประตูสวนดอก(ฝั่งสวนดอก) ไปถึง บริเวณเชิงดอยสุเทพ(ฝั่งสวนสัก) ขนาบข้างด้วยถนนห้วยแก้ว และ ถนนสุเทพ
พื้นที่ในความดูแลของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มีพื้นที่รวม 8,502 ไร่ พื้นที่บางส่วนเป็นที่ดินของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เอง ซึ่งมีการซื้อหรือเวนคืนในช่วงการจัดตั้งมหาวิทยาลัย บางส่วนหน่วยงานราชการอื่น โดยเฉพาะกรมป่าไม้ อนุญาตให้ใช้ประโยชน์ได้ และบางส่วนได้รับจากผู้มีจิตศรัทธา พื้นที่เหล่านี้กระจายอยู่ตามบริเวณต่าง ๆ ดังนี้
- บริเวณเชิงดอยสุเทพและสวนดอก 1,812 ไร่
- บริเวณสถานีวิจัยและศูนย์ฝึกอบรมการเกษตรแม่เหียะ 1,293 ไร่
- บริเวณสถานีวิจัยและศูนย์ฝึกอบรมการเกษตรที่สูงขุนช่างเคี่ยน 550 ไร่
- บริเวณสถานีวิจัยการเกษตรที่สูงดอยป่าเกี๊ยะ 30 ไร่
- บริเวณสถานีวิจัยการเกษตรที่สูงหนองหอย 50 ไร่
- บริเวณค่ายสำรวจคณะวิศวกรรมศาสตร์ อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ 17 ไร่
- พื้นที่บริจาคให้แก่คณะแพทยศาสตร์ 12 ไร่
- ศูนย์การศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ หริภุญชัย (พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ แม่ธิ-แม่ตีบ-แม่สาร) ตำบลศรีบัวบาน อ.เมือง จ.ลำพูน 4,726 ไร่
- ที่ราชพัสดุ ต.แม่สา อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ 12 ไร่
สถานที่สำคัญ
- ศาลาธรรม
- ศาลาธรรมเป็นอาคาร 2 ชั้น ทรงไทย ตั้งอยู่ด้านหน้ามหาวิทยาลัย ตัวอาคารประกอบด้วยห้องโถงกว้าง12 เมตร ยาว 20 เมตร สร้างเสร็จเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2507 ต่อมาได้มีการต่อเติมตัวอาคารด้านหลังและทำซุ้มเพื่อประดิษฐานพระพุทธรูปซึ่งเป็นพระพุทธรูปประจำมหาวิทยาลัย ในระยะแรกศาลาธรรมเป็นสถานที่จัดพิธีไหว้ครูของนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เมื่อศาลาอ่างแก้วสร้างเสร็จจึงได้ประกอบพิธีพระราชทานปริญญาบัตรและพิธีไหว้ครู ณ ศาลาอ่างแก้ว มหาวิทยาลัยจึงใช้ศาลาธรรมเป็นสถานที่เปลี่ยนฉลองพระองค์ และประทับพักพระอิริยาบถของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯและพระบรมวงศานุวงศ์ในคราวเสด็จพระราชดำเนินมาพระราชทานปริญญาบัตร ซึ่งเหล่าคณาจารย์ ข้าราชการ และนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ก็จะมาเฝ้ารอรับเสด็จ ณ สถานที่แห่งนี้ ต่อมาเมื่อหอประชุมมหาวิทยาลัยสร้างเสร็จจึงได้ย้ายสถานที่พระราชทานปริญญาบัตรและพิธีไหว้ครูไปยังหอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยจึงได้ใช้ศาลาธรรมเป็นสถานที่จัดงานสำคัญของมหาวิทยาลัยในบางโอกาส
- ศาลพระภูมิ
- ศาลพระภูมิมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ หรือที่ชาวมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เรียกว่า "ศาลช้าง" สร้างขึ้นในสมัยพันเอกพระยาศรีวิสารวาจา ดำรงตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยได้มอบหมายให้ศาสตราจารย์ ดร.บัวเรศ คำทอง รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ในสมัยนั้นเป็นผู้ดำเนินการ โดยมีพลตรี พิสณห์ สุรฤกษ์ เป็นผู้กำหนดฤกษ์ในการจัดตั้ง และมีศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.วันเพ็ญ สุรฤกษ์ เป็นผู้ประสานงาน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้จัดตั้งศาลพระภูมิประจำมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ขึ้นเมื่อวันอังคารที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2507 บริเวณหน้าศาลาธรรมในปัจจุบัน ศาลพระภูมิมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เป็นที่เคารพสักการะและยึดเหนี่ยวจิตใจของนักศึกษา คณาจารย์ บุคลากรของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่และประชาชนทั่วไป ต่อมาได้มีการบูรณะศาลพระภูมิและพื้นที่โดยรอบใหม่ให้สวยงาม และประกอบพิธีสมโภชเมื่อวันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2562
- อ่างแก้ว
- อ่างแก้วคืออ่างเก็บน้ำของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าของมหาวิทยาลัย ซึ่งอ่างแก้วนอกจากจะใช้กักเก็บน้ำเพื่อใช้ภายในมหาวิทยาลัยแล้วยังเป็นสถาที่สวยงามและที่พักผ่อนหย่อนใจของลูกช้าง มช ด้วยเช่นกัน
- ศาลาอ่างแก้ว
- ศาลาอ่างแก้วเป็นสถานที่พระราชทานปริญญาบัตรในอดีตก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นหอประชุมใหญ่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในปัจจุบันศาลาอ่างแก้วใช้ประกอบพิธีต่างๆเช่น การเตรียมตัวก่อนขึ้นดอยของนักศึกษาในกิจกรรมรับน้องขึ้นดอย การรับน้อง และการออกกำลังกายเป็นต้น
- หอประชุมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
- หอประชุมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เป็นสถานที่รับพระราชทานปริญญาบัตรของนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และเป็นสถานที่จัดกิจกรรมต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัย เช่น รับน้องรวม ปฐมนิเทศนักศึกษาใหม่ กิจกรรมเฟรชชีไนท์เป็นต้น
- สนามกีฬากลาง
- สนามกีฬากลาง มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ประกอบด้วยสนามฟุตบอลขนาดมาตรฐาน 1 สนาม และลู่วิ่งยางสังเคราะห์ขนาดมาตรฐานรอบสนามฟุตบอล 400 เมตร จำนวน 8 ลู่ เปิดให้บริการกับนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และประชาชนทั่วไปให้มาใช้บริการออกกำลังกายทุกวัน และสนามกีฬากลางยังใช้เป็นสถานที่ในการจัดกิจกรรมต่างๆ ของมหาวิทยาลัย เช่น กิจกรรมSport Day & Spirit Night กิจกรรมกีฬาFreshy Games กิจกรรมรับน้องรวม (CMU Freshy Cheer Show Night) เป็นต้น
- หอพักนักศึกษา
- เมื่อได้เข้ามาเป็นนักศึกษาในรั้วของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นักศึกษาชั้นปีที่ 1 ส่วนใหญ่คงจะคุ้นเคยกับการอยู่หอพักนักศึกษา เนื่องจากทางมหาวิทยาลัยมีนโยบายที่ส่งเสริมให้นักศึกษาชั้นปีที่ 1 ทุกคน ได้เข้าพักในหอพักนักศึกษา เพื่อให้นักศึกษาต่างคณะรู้จักกัน และเป็นการฝึกให้นักศึกษาสามารถใช้ชีวิตร่วมกับบุคคลอื่นได้อย่างมีความสุข จำนวนหอพักในมหาวิทยาลัยมีทั้งหมด 15 อาคาร แบ่งออกเป็นหอพักนักศึกษาชาย 7 อาคารและหอพักนักศึกษาหญิง 8 อาคาร สำหรับค่าใช้จ่ายสำหรับเรื่องหอพักนั้นตกประมาณ 1,800 บาทต่อเทอม ซึ่งในราคานี้ได้รวมค่าสาธารณูปโภคและค่าใช้จ่ายอื่นๆไว้แล้ว นอกจากนั้นผู้ที่รักสบายขึ้นมาหน่อยก็สามารถเลือกอยู่หอพักในกำกับ มีอยู่ 4 หอได้แก่ หอสีชมพู หอแม่เหียะ หอพยาบาล และใหม่ล่าสุด หอ 40 ปี ซึ่งก็จะมีราคาสูงขึ้นตามความสะดวกสบายที่เพิ่มขึ้นด้วย หลังจากการก่อตั้งสำนักงานหอพักนักศึกษา เมื่อปี 2551 แต่เดิมมีฐานะเป็นงานหอพักนักศึกษา สังกัดกองกิจการนักศึกษา (ปัจจุบันคือกองพัฒนานักศึกษา) จึงเป็นหน่วยงานหลักในการกำกับดูแลหอพักนักศึกษาในปัจจุบัน มีหอพักนักศึกษาในสังกัดจำนวน 18 อาคาร ได้แก่ หอพักภายในมหาวิทยาลัย ประกอบด้วย หอพักนักศึกษาชาย อาคาร 2 - 7 , หอพักนักศึกษาหญิง อาคาร 1 - 9 และหอพักในกำกับ ประกอบด้วย หอพักสีชมพู , หอพักแม่เหียะ และหอพัก 40 ปี การเปิด - ปิดหอพักนักศึกษานั้น หอพักนักศึกษาชาย ตั้งแต่ปีการศึกษา 2551 เปิดเวลา 6 โมงเช้า ปิดเวลาเที่ยงคืน (แต่เดิมเปิดตลอด 24 ชั่วโมง) ส่วนหอพักนักศึกษาหญิง เปิดเวลา 6 โมงเช้า ปิดเวลา 4 ทุ่ม เนื่องจากทางมหาวิทยาลัยได้คำนึงถึงความปลอดภัยแก่นักศึกษาหญิง นอกจากนั้นทางหอพักก็ได้ให้บริการและสวัสดิการต่างๆที่จัดให้ เช่น โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร ร้านเสริมสวย ร้านซักอบรีด ร้านค้า ร้านอาหาร ห้องคอมพิวเตอร์พร้อมอินเทอร์เน็ต เพื่อให้บริการแก่นักศึกษาทุกคน
- ศูนย์อาหาร (CMU Food Center)
- ศูนย์อาหาร มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สร้างขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาด้านสุขภาพของนักศึกษาและบุคลากรของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จึงได้ดำเนินการก่อสร้างอาคารศูนย์อาหาร มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยเป็นศูนย์รวมสถานที่จำหน่ายมากกว่า 30 ร้านค้า ให้กับนักศึกษา บุคลากร และประชาชนทั่วไปเพื่อให้ได้รับประทานอาหารที่มีคุณภาพถูกหลักอนามัย ซึ่งได้ดำเนินการก่อสร้างพร้อมทั้งจัดหาวัสดุอุปกรณ์ร้านอาหารและเครื่องดื่มที่ผ่านการคัดเลือกว่ามีมาตรฐานถูกสุขลักษณะตามที่กำหนด โดยอาคารศูนย์อาหารเป็นอาคาร 2 ชั้น รองรับผู้มาใช้บริการได้ประมาณ 1,000 ที่นั่ง ประกอบด้วยพื้นที่หลัก 3 ส่วน คือ พื้นที่บริเวณโถงกลาง พื้นที่รับประทานอาหารภายในอาคาร และพื้นที่รับประทานอาหารภายนอกอาคาร
- ตลาดร่มสัก
- ตลาดร่มสัก หรือ กาดฝายหิน เป็นตลาดขายอาหารที่มีชื่อเสียงตั้งอยู่ภายในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นที่นิยมของชาว มช อยู่คู่มหาวิทยาลัยแห่งนี้มายาวนานหลายยุคสมัย มีร้านค้าขายอาหารจำนวนมาก เช่น ร้านอาหารเหนือ ร้านอาหารตามสั่ง ร้านข้าวราดแกง และเมนูอาหารเพื่อสุขภาพที่ขึ้นชื่อคือ สลัดฝายหิน และน้ำผลไม้ ซึ่งอาหารที่นี่มีราคาถูกมาก
- โครงการ MORE SPACE
- เป็นโครงการที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้ปรับปรุงพื้นที่บริเวณไร่ฟอร์ดตรงข้ามหอประชุมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ให้กลายเป็น Lifestyle แห่งใหม่ของ มช. โดยมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เล็งเห็นว่าพื้นที่แห่งนี้น่าจะมีการจัดสรรเพื่อให้เกิดประโยชน์ การเคลื่อนไหว และการสร้างรายได้แก่ประชาชน รวมทั้งเป็นพื้นที่ที่ให้ทุกคนได้เข้ามามีส่วนร่วมพัฒนาในเรื่องของกระบวนการขายและศิลปวัฒนธรรมของท้องถิ่น ในพื้นที่โครการ “MORE SPACE” มีการแบ่งพื้นที่ออกเป็น 3 โซน ประกอบด้วย โซนแรกคือ “ลาน MORE SPACE” ที่มีการจัดกิจกรรมและการทำร้านค้าต่างๆที่เป็นร้านประจำ โดยเป็นร้านที่มีการคัดเลือกมาแล้วว่ามีคุณภาพ ราคาเหมาะสม และใช้วัตถุดิบต่างๆ ที่ก่อให้เกิดการเคลื่อนไหว กระจายรายได้สู่ชุมชน รวมทั้งเป็นการนำเอาวัตถุดิบที่อยู่ในท้องถิ่นมาใช้ให้เกิดประโยชน์ โซนที่ 2 คือ “คีออส MORE SPACE” ที่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการรายย่อยได้มีพื้นที่ในการกระจายขายสินค้าได้มากขึ้น และโซนที่ 3 คือ “ไนท์มาร์เก็ต MORE SPACE” เป็นสีสันแห่งใหม่ที่จะก่อให้เกิดการขับเคลื่อนสินค้าต่างๆ เข้ามา ซึ่งพื้นที่ของโครงการได้มีการตกแต่งอย่างสวยงาม และมีบรรยากาศดีในช่วงยามเย็นมองเห็นวิวทิวทัศน์ที่ด้านหลังเป็นดอยสุเทพซึ่งเหมาะกับการไปเดินเที่ยวพักผ่อน
กิจกรรมและประเพณี
- ประเพณีรับน้องขึ้นดอย
ประเพณีรับน้องขึ้นดอย เริ่มครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2507 ซึ่งเป็นปีแรกของการเปิดดำเนินการของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มีนักศึกษารุ่นแรกจำนวน 291 คน โดย ศาสตราจารย์ นายแพทย์บุญสม มาร์ติน ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งรองอธิการบดีที่รับผิดชอบดูแลนักศึกษา มีความคิดที่ต้องการให้มหาวิทยาลัยเชียงใหม่มีประเพณีที่แตกต่างไปจากมหาวิทยาลัยอื่น และเป็นประเพณีที่น่าประทับใจ น่าจดจำไว้ด้วยความภาคภูมิใจ ประกอบกับจังหวัดเชียงใหม่มีหนทางขึ้นดอยสุเทพ โดยครูบาศรีวิชัยเป็นผู้นำในการทำหนทางดังกล่าว นับว่าเป็นผลงานที่แสดงถึงความศรัทธาและความสามัคคีเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นหลังจากการปฐมนิเทศนักศึกษาในปีแรกแล้ว จึงได้ชักชวนนักศึกษารุ่นแรกทุกคนเดินขึ้นดอยสุเทพพร้อมกันด้วยความสามัคคี เพื่อนมัสการพระธาตุดอยสุเทพ ด้วยความศรัทธาและแสดงถึงความเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่อย่างสมบูรณ์ ประเพณีดังกล่าวนี้นักศึกษารุ่นหลังยังคงปฏิบัติสืบต่อกันมาตราบจนทุกวันนี้และเป็นประเพณีที่เป็นเอกลักษณ์ที่น่าภาคภูมิของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ประเพณีรับน้องขึ้นดอยเป็นประเพณีของนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ที่จัดขึ้นประมาณต้นเดือนกรกฎาคมของทุกปี ตามประวัติแล้วประเพณีนี้จัดขึ้นเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ลูกช้างเชือกใหม่ทุกคน และดอยสุเทพซึ่งวัดพระธาตุดอยสุเทพเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของชาวเชียงใหม่ โดยในวันรับน้องขึ้นดอยนั้นแต่ละคณะจะจัดตั้งขบวนบริเวณหน้าศาลาธรรมตั้งแต่เช้าตรู่โดยริ้วขบวนจะประกอบไปด้วยเฟรชชีและพี่ๆแต่ละชั้นปีเดินขึ้นไปพร้อมกัน โดยทุกคนจะแต่งกายแบบล้านนาทำให้ดูมีสีสันสวยงามน่าตื่นตาตื่นใจ
- ประเพณีรับน้องรถไฟ
ประเพณีรับน้องรถไฟเป็นกิจกรรมหนึ่งของการรับน้องของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่จนอาจจะเรียกได้ว่าเป็นประเพณีประจำปีอย่างหนึ่งที่จัดขึ้นโดยรุ่นพี่ของแต่ละคณะที่มาต้อนรับนักศึกษาใหม่ที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้ และอาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานครหรือพื้นที่นอกเขตภาคเหนือ เริ่มต้นกิจกรรมกันที่สถานีรถไฟหัวลำโพงโดยมหาวิทยาลัยจะเหมารถไฟจำนวนหลายขบวน และแบ่งตู้รถไฟกันตามคณะและจำนวนของรุ่นพี่และรุ่นน้องในคณะนั้นๆ โดยรุ่นพี่ของแต่ละคณะก็จะเตรียมกิจกรรมและเกมส์ต่างๆ มีการสอนร้องเพลงประจำมหาวิทยาลัย เพลงประจำคณะ เป็นต้น ซึ่งเป็นการให้รุ่นน้องได้ทำกิจกรรมบนรถไฟช่วงที่รถไฟวิ่งมุ่งหน้าไปยังจังหวัดเชียงใหม่ โดยปกติเมื่อไปถึงจังหวัดเชียงใหม่แล้วรุ่นพี่จะพาน้องใหม่ไปไหว้พระที่ศาลาธรรมเพื่อความเป็นสิริมงคล และเป็นการรับขวัญน้องใหม่ที่มาจากแดนไกล หลังจากนั้นรุ่นพี่ก็จะพาน้องใหม่เข้าไปพักตามหอพักนักศึกษา(หอใน)ตามที่น้องได้จองไว้
ประเพณีรับน้องรถไฟเป็นกิจกรรมรับน้องครั้งแรกที่รุ่นน้องและรุ่นพี่ได้พบเจอกัน อีกทั้งยังมีศิษย์เก่า และผู้ปกครองมาส่งรุ่นน้องที่สถานีรถไฟ ทำให้บรรยากาศในวันนั้นเต็มไปด้วยผู้คนมากมายในการแสดงความยินดีกับการเริ่มต้นการเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ รุ่นน้องจะได้รับบัตรคล้องคอ หรือติดเสื้อโดยเขียนชื่อเล่นแต่ละคนเอาไว้เพื่อให้ได้ทำความรู้จักกัน นักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่นั้นจะถูกเรียกว่า "ลูกช้าง" เพราะช้างเป็นสัญลักษณ์ประจำมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปัจจุบันประเพณีรับน้องรถไฟยังคงจัดกิจกรรมเป็นประจำทุกปีเพื่อสืบสานประเพณีที่ดีงามอันเก่าแก่ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เอาไว้สืบไป
- กิจกรรม Sport Day & Spirit Night
สปอร์ตเดย์แอนด์สปิริตไนท์เป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นเพื่อแสดงความสามัคคีและน้ำใจนักกีฬาของแต่ละคณะ โดยกิจกรรมจัดขึ้นในเดือนพฤศจิกายนของทุกปีประกอบด้วยกิจกรรมช่วงกลางวัน และกิจกรรมในช่วงกลางคืน ในกิจกรรมช่วงกลางวัน (Sport Day) จะมีการแข่งขันกีฬา การประกวดเชียร์ลีดเดอร์ สแตนเชียร์ ขบวนพาเหรด และกิจกรรมในช่วงกลางคืน (Spirit Night) จะเป็นการแสดงโชว์สแตนเชียร์ของแต่ละคณะที่เรียกว่าไคลแมกซ์
พิธีพระราชทานปริญญาบัตร
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้เริ่มเปิดสอนในวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2507 โดยระยะแรกมี 3 คณะ ได้แก่ คณะมนุษยศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ และคณะวิทยาศาสตร์ ในปี พ.ศ. 2508 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จพระราชดำเนินพร้อมสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าอุบลรัตนราชกัญญาฯ และสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ์ฯ มาทรงประกอบพิธีเปิดมหาวิทยาลัยอย่างเป็นทางการ ณ วันที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2508 และในปีเดียวกันนี้เองที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้รับโอนคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ มาสังกัดมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ดังนั้นพิธีพระราชทานปริญญาบัตร ในครั้งที่ 1 (พ.ศ. 2509) จึงเป็นพิธีพระราชทานปริญญาบัตรพร้อมกับมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ ณ หอประชุมแพทยาลัย มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ ครั้งที่ 2 (พ.ศ. 2510) จัด ณ พลับพลาคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ครั้งที่ 3-5 (พ.ศ. 2512 –2514 ) จัด ณ พลับพลาบริเวณสนามหน้าตึกอธิการบดี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ปีพุทธศักราช 2515 เมื่อการสร้างศาลาอ่างแก้วแล้วเสร็จ มหาวิทยาลัยจึงได้ย้ายสถานที่ประกอบพิธีพระราชทานปริญญาบัตรมายังศาลาอ่างแก้ว ดังนั้น พิธีพระราชทานปริญญาบัตรครั้งที่ 6–30 (พ.ศ. 2515–2539) จึงจัด ณ ศาลาอ่างแก้ว ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวมีเหตุการณ์ที่ควรบันทึกไว้คือ ในการพระราชทานปริญญาบัตรครั้งที่ 25 (พ.ศ. 2534) เป็นปีฉลอง 25 ปีแห่งพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต จัดทำเหรียญที่ระลึกพิธีพระราชทานปริญญาบัตรครั้งที่ 25 ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นเหรียญทองคำหนัก 25 บาท จำนวน 1 เหรียญ เพื่อขอพระราชทานทูลเกล้าฯถวายเหรียญที่ระลึกดังกล่าวแด่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร ครั้งที่ 25 เพื่อเป็นศิริมงคลแก่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ต่อมาในปีพุทธศักราช 2540 หอประชุมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้กราบบังคมทูลเชิญพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จพระราชดำเนินเปิดอาคารหอประชุมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พร้อมกับพระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ดังนั้นการพระราชทานปริญญาบัตรครั้งที่ 31 (พ.ศ. 2540) จึงเป็นปีที่เริ่มใช้หอประชุมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เป็นสถานที่พระราชทานปริญญาบัตร
การบริหารงาน
นายกสภามหาวิทยาลัย
นับตั้งแต่เริ่มก่อตั้งจนถึงปัจจุบัน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่มีนายกสภามหาวิทยาลัย ดังรายนามต่อไปนี้
อธิการบดี
นับตั้งแต่เริ่มก่อตั้งจนถึงปัจจุบัน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่มีอธิการบดี ดังรายนามต่อไปนี้
ศิษย์เก่าที่มีชื่อเสียง
- ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์ เกษม วัฒนชัย (ศิษย์เก่าคณะแพทยศาสตร์) องคมนตรี
- ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร (ศิษย์เก่าคณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์) อดีตนายกรัฐมนตรีไทยคนที่ 28 และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
- พลอากาศเอก สถิตย์พงษ์ สุขวิมล (ศิษย์เก่าคณะการสื่อสารมวลชน) เลขาธิการพระราชวัง
- จาตุรนต์ ฉายแสง (ศิษย์เก่าคณะแพทยศาสตร์) อดีตรองนายกรัฐมนตรี
- สุเทพ เทือกสุบรรณ (ศิษย์เก่าคณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์) อดีตรองนายกรัฐมนตรี
- บรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์ (ศิษย์เก่าคณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์) ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
- สุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ (ศิษย์เก่าคณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์) อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และอดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
- ยงยุทธ ติยะไพรัช (ศิษย์เก่าคณะเกษตรศาสตร์) อดีตประธานรัฐสภา อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
- อภิรักษ์ โกษะโยธิน (ศิษย์เก่าคณะเกษตรศาสตร์) อดีตผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร
- ศาสตราจารย์พิเศษ กฤษณา ไกรสินธุ์ (ศิษย์เก่าคณะเภสัชศาสตร์) ผู้ได้รับรางวัลแมกไซไซ ปี 2009 และรางวัลนักวิทยาศาสตร์โลก ปี 2004
- สมศักดิ์ สุวรรณสุจริต (ศิษย์เก่าคณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์) ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน
- นนทิกร กาญจนะจิตรา (ศิษย์เก่าคณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์) กรรมการกฤษฎีกา กรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) และกรรมการสภามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
- ชาติชาย สุทธิกลม (ศิษย์เก่าคณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์) กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ และอดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
- ประดิษฐ์ วรรณรัตน์ (ศิษย์เก่าคณะวิศวกรรมศาสตร์) อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และอดีตอธิการบดีสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA)
- บุญญนิตย์ วงศ์รักมิตร (ศิษย์เก่าคณะวิศวกรรมศาสตร์) ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)
- ภคพงศ์ ศิริกันทรมาศ (ศิษย์เก่าคณะวิศวกรรมศาสตร์) ผู้ว่าการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.)
- สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ (ศิษย์เก่าคณะแพทยศาสตร์) อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข
- พันเอกหญิง ท่านผู้หญิง จิตรวดี จุลานนท์ (ศิษย์เก่าคณะมนุษยศาสตร์) อดีตนายกสมาคมแม่บ้านกองบัญชาการทหารสูงสุด และอดีตนายกสมาคมแม่บ้านทหารบก
- กรุณา ชิดชอบ (ศิษย์เก่าคณะบริหารธุรกิจ) อดีตนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์ และอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดบุรีรัมย์
- ศันสนีย์ วัฒนานุกูล (ศิษย์เก่าคณะการสื่อสารมวลชน) นักพากย์การ์ตูน ช่อง 9 อ.ส.ม.ท. ผู้พากย์เสียงโนริมากิ อาราเล่ และโนบิ โนบิตะ
- เพชร มาร์ (ศิษย์เก่าคณะสังคมศาสตร์) โปรดิวเซอร์
- ชลิต เฟื่องอารมย์ (ศิษย์เก่าคณะมนุษยศาสตร์) นักแสดง
- กนิษฐ์ สารสิน (ศิษย์เก่าคณะวิศวกรรมศาสตร์) พิธีกร นักแสดง
- วสันต์ อุตตมะโยธิน (ศิษย์เก่าคณะการสื่อสารมวลชน) นักแสดง
- จักรรินทร์ ดวงมณีรัตนชัย (ศิษย์เก่าคณะวิศวกรรมศาสตร์) โปรดิวเซอร์เพลง นักดนตรี
- ศิรพันธ์ วัฒนจินดา (ศิษย์เก่าคณะวิศวกรรมศาสตร์) นักแสดง
- ลักขณา ปันวิชัย (ศิษย์เก่าคณะมนุษยศาสตร์) นักเขียน และผู้ประกาศข่าว
- อติรุจ กิตติพัฒนะ (ศิษย์เก่าคณะการสื่อสารมวลชน) นักร้อง และผู้ประกาศข่าว
- นิชานันท์ ฝั้นแก้ว (ศิษย์เก่าคณะนิติศาสตร์) นักแสดง
- ภัทรากร ตั้งศุภกุล (ศิษย์เก่าคณะนิติศาสตร์) นักแสดง
อ้างอิง
- การกำหนดรหัสตัวพยัญชนะประจำกระทรวงและเลขที่หนังสือออกของ กระทรวงการอดุมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม สืบค้นเมื่อ 22 เมษายน 2564
- การตรวจสอบรายงานการเงิน 24 กรกฎาคม 2564.
- จำนวนนักศึกษาที่มีสถานภาพ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ภาคการศึกษาที่ 2 ปีการศึกษา 2559. [1]. ข้อมูลวันที่ 1 มกราคม 2560
- "มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ : Chiang Mai University, THAILAND". www.cmu.ac.th.
- พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พ.ศ. 2507
- "มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ : Chiang Mai University, THAILAND". www.cmu.ac.th.
- คณะและหน่วยงานในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สืบค้น ณ วันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2564
- การศึกษาของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สืบค้น ณ วันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2557
- การศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาศึกษาของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สืบค้น ณ วันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2557
- การเรียกร้องให้มีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่https://library.cmu.ac.th/pinmala/cmu_request.php
- "หอประวัติมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (หอศิลป์ปิ่นมาลา)". library.cmu.ac.th.
- "หอประวัติมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (หอศิลป์ปิ่นมาลา)". library.cmu.ac.th.
- "หอประวัติมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (หอศิลป์ปิ่นมาลา)". library.cmu.ac.th.
- "หอประวัติมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (หอศิลป์ปิ่นมาลา)". library.cmu.ac.th.
- "หอประวัติมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (หอศิลป์ปิ่นมาลา)". library.cmu.ac.th.
- พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พ.ศ. 2507
- "หอประวัติมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (หอศิลป์ปิ่นมาลา)". library.cmu.ac.th.
- http://www.watbowon.com/Monk/ja/06/index5.htm
- "หอประวัติมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (หอศิลป์ปิ่นมาลา)". library.cmu.ac.th.
- พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พ.ศ. 2551
- สถาบันจัดอันดับแห่งประเทศไทย ฐานข้อมูลออนไลน์เพื่อประเมินศักยภาพของมหาวิทยาลัยไทย เรียกดูวันที่ 2013-02-21
- เปิด 50 อันดับมหาวิทยาลัยไทย
- การประเมินคุณภาพผลงานวิจัยเชิงวิชาการโดย สกว.ประเมินครั้งที่ 2 พ.ศ. 2553
- การประเมินคุณภาพผลงานวิจัยเชิงวิชาการโดย สกว. ครั้งที่ 3 พ.ศ. 2554
- [2]
- [3]
- http://www.topuniversities.com/university-rankings/world-university-rankings/2016?utm_source=Facebook&utm_medium=SM%20Post&utm_campaign=QSWorldUniveresityRankings
- QS. QS World University Rankings: Methodology. September 11, 2015. http://www.topuniversities.com/university-rankings-articles/world-university-rankings/qs-world-university-rankings-methodology (accessed june 29, 2016).
- QS. QS University Rankings: Asia methodology. 13 June 2016. http://www.topuniversities.com/asia-rankings/methodology (accessed 29 June 2016).
- http://www.topuniversities.com/university-rankings/asian-university-rankings/2016#sorting=rank+region=+country=+faculty=+stars=false+search=
- [4]
- [5]
- Times Higher Education. World University Rankings 2015-2016 methodology. september 24, 2015. https://www.timeshighereducation.com/news/ranking-methodology-2016 (accessed June 29, 2016).
- https://www.timeshighereducation.com/world-university-rankings/2016/world-ranking#!/page/0/length/25/country/846/sort_by/rank_label/sort_order/asc/cols/rank_only
- [6]
- [7]
- http://www.webometrics.info/en/Asia/thailand
- "CMU STeP | Make Innovation Simple". www.step.cmu.ac.th.
- สถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงาน (สวพ.) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
- สถาบันวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
- สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
- สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
- สนามกีฬา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่https://prcmu.cmu.ac.th/scoop_detail.php?sco_sub_id=1864
- "(มีคลิป) มช.ผุดโครงการสุดชิล "MORE SPACE" เนรมิตพื้นที่โล่งให้เป็น Lifestyle แห่งใหม่ใกล้มหาวิทยาลัย เปิดให้ประชาชนและผู้สนใจขายสินค้า และเดินชมพื้นที่ หวังกระตุ้นเศรษฐกิจ ศิลปวัฒนธรรม ผ่านกิจกรรมต่างๆ ในพื้นที่". Chiang Mai News. 2021-02-08.
- "หอประวัติมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (หอศิลป์ปิ่นมาลา)". library.cmu.ac.th.
- คณะกรรมการสภามหาวิทยาลัยเชียงใหม่
- ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แต่งตั้งอธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 85 ตอน 56ง วันที่ 20 มิถุนายน 2511
- ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แต่งตั้งอธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (นายนิเวศน์ นันทจิต)
- พระราชโองการ ประกาศ แต่งตั้งเลขาธิการพระราชวังและผู้อำนวยการสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เล่ม ๑๓๕ ตอน ๕๕ ง พิเศษ หน้า ๒ ๑๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๑
- http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2563/E/196/T_0001.PDF
- https://www.ombudsman.go.th/new/ombudsman_somsak.php
- "ประวัติกรรมการสภามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์". www4.tu.ac.th.
- http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2562/E/199/T_0008.PDF
- "ทำเนียบผู้ว่าการ". www.egat.co.th.
- "ทำเนียบผู้บริหาร รฟม. | การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย". www.mrta.co.th.
ดูเพิ่ม
- โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
- ศูนย์การศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ หริภุญชัย
- โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
- ศูนย์ศรีพัฒน์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
- โรงพยาบาลทันตกรรม คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
แหล่งข้อมูลอื่น
คอมมอนส์ มีภาพและสื่อเกี่ยวกับ: มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
- มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
- หอประวัติมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (หอศิลป์ปิ่นมาลา)
- หอสมุดมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
- ศูนย์หนังสือมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
- ศูนย์นักศึกษาเก่าสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
- สำนักงานหอพักนักศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
- แผนที่และภาพถ่ายทางอากาศของ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
- ภาพถ่ายดาวเทียมจากวิกิแมเปีย หรือกูเกิลแมปส์
- แผนที่จากมัลติแมป หรือโกลบอลไกด์
- ภาพถ่ายทางอากาศจากเทอร์ราเซิร์ฟเวอร์
พิกัดภูมิศาสตร์: 18°48′09″N 98°57′06″E / 18.802587°N 98.951556°E