ภาษาบาลี
บาลี (บาลี: ปาลิ पालि; สันสกฤต: पाळि ปาฬิ); (อังกฤษ: Pali) เป็นไวยากรณ์ที่เก่าแก่แขนงหนึ่ง ในตระกูลอินเดีย-ยุโรป (อินโด-ยูโรเปียน) ในสาขาย่อย อินเดีย-อิหร่าน (อินโด-อิเรเนียน) ซึ่งจัดเป็นภาษาปรากฤตภาษาหนึ่ง เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะเป็นภาษาที่ใช้บันทึกคัมภีร์ในพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท (มี พระไตรปิฎก เป็นต้น) โดยมีลักษณะทางไวยากรณ์ และคำศัพท์ที่คล้ายคลึงกับภาษาสันสกฤต ไม่มีอักษรชนิดใดสำหรับใช้เขียนภาษาบาลีโดยเฉพาะ มีหลักฐานจารึกภาษาบาลีด้วยอักษรต่าง ๆ มากมายในตระกูลอักษรอินเดีย เช่น อักษรพราหมี อักษรเทวนาครี จนถึง อักษรล้านนา อักษรขอม อักษรไทย อักษรมอญ แม้กระทั่งอักษรโรมัน (โดยมีการเพิ่มเครื่องหมายเล็กน้อย) ก็สามารถใช้เขียนภาษาบาลีได้
บาลี | |
---|---|
Pāli | |
ออกเสียง | [paːli] ปาลิ |
ประเทศที่มีการพูด | อินเดีย พม่า ศรีลังกา |
สูญหาย | ไม่มีผู้ใช้ในชีวิตประจำวัน แต่มีการใช้ในวรรณกรรมและการศึกษา |
ตระกูลภาษา | |
ระบบการเขียน | ไม่มีอักษรเฉพาะแน่ชัด แต่มีบันทึกใน อักษรพราหมี อักษรเทวนาครี รวมถึง อักษรล้านนา อักษรขอม อักษรไทย อักษรมอญ อักษรโรมัน |
รหัสภาษา | |
ISO 639-1 | pi |
ISO 639-2 | pli |
ISO 639-3 | pli |
อนึ่ง บางตำราสะกด “บาลี” ว่า “ปาฬิ” หรือ “ปาฬี” ก็มี
กำเนิดและพัฒนาการ
ชื่อเรียกภาษานี้ คือ ปาลิ (อักษรโรมัน : Pāli) นั้น ไม่ปรากฏที่มาที่ชัดเจน และเป็นที่ถกเถียงเรื่อยมาโดยไม่มีข้อสรุป เดิมเป็นภาษาของชนชั้นต่ำ สำหรับชาวพุทธโดยทั่วไปเชื่อว่า ภาษาบาลีมีกำเนิดจากแคว้นมคธ ในชมพูทวีป และเรียกว่าภาษามคธ หรือภาษามาคธี หรือมาคธิกโวหาร ซึ่ง "มาคธิกโวหาร" พระพุทธโฆสาจารย์พระอรรถกถาจารย์นามอุโฆษมีชีวิตอยู่ในพุทธศตวรรษที่ 10 อธิบายว่าเป็น "สกานิรุตติ" คือภาษาที่พระพุทธเจ้าตรัส
นักภาษาศาสตร์บางท่านมีความเห็นว่าภาษาบาลีเป็นภาษาทางภาคตะวันตกของอินเดีย นักวิชาการชาวเยอรมันสมัยปัจจุบันซึ่งเป็นนักสันสกฤตคือศาสตราจารย์ไมเคิล วิตเซลแห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกา ถือว่าภาษาบาลีเป็นภาษาทางภาคตะวันตกของอินเดีย และเป็นคนละภาษากับภาษาจารึกของ พระเจ้าอโศกมหาราช
ภาษาบาลีมีพัฒนาการที่ยาวนาน มีการใช้ภาษาบาลีเพื่อบันทึกคัมภีร์ในพระพุทธศาสนา (เถรวาท) เป็นจำนวนมาก วิลเฮล์ม ไกเกอร์ (Wilhem Geiger) นักปราชญ์บาลีชาวเยอรมัน ได้เขียนหนังสือที่มีชื่อเสียงในสมัยศตวรรษที่ 19 คือ Pali Literatur und Sprache โดยวางทฤษฎีที่คนไทยรู้จักกันดีว่าภาษาบาลีในพระไตรปิฎกนั้นสามารถแบ่งวิวัฒนาการการแต่งได้ 4 ยุค ตามรูปลักษณะของภาษาที่ใช้ดังนี้:
- ยุคคาถา หรือยุคร้อยกรอง มีลักษณะการใช้คำที่ยังเกี่ยวพันกับภาษาไวทิกะซึ่งใช้บันทึกคัมภีร์พระเวทอยู่มาก
- ยุคร้อยแก้ว มีรูปแบบที่เป็นภาษาอินโดอารยันสมัยกลาง แตกต่างจากสันสกฤตแบบพระเวทอย่างเด่นชัด ภาษาในพระไตรปิฎกเขียนในยุคนี้
- ยุคร้อยกรองระยะหลัง เป็นช่วงเวลาหลังพระไตรปิฎก ปรากฏในคัมภีร์ย่อย เช่น มิลินทปัญหา วิสุทธิมรรค เป็นต้น
- ยุคร้อยกรองประดิษฐ์ เป็นการผสมผสาน ระหว่างภาษายุคเก่า และแบบใหม่ กล่าวคือคนแต่งสร้างคำบาลีใหม่ ๆ ขึ้นใช้เพราะให้ดูสวยงาม บางทีก็เป็นคำสมาสยาว ๆ ซึ่งไม่ปรากฏในพระไตรปิฎก แสดงให้เห็นชัดเจนว่าแต่งขึ้นหลังจากที่มีการเขียนคัมภีร์แพร่หลายแล้ว
ปัจจุบันมีการศึกษาภาษาบาลีอย่างกว้างขวางในประเทศที่นับถือพุทธศาสนาเถรวาท เช่น ศรีลังกา พม่า ไทย ลาว กัมพูชา และอินเดีย แม้กระทั่งในอังกฤษ ก็มีผู้สนใจศึกษาพระพุทธศาสนาได้พากันจัดตั้ง สมาคมบาลีปกรณ์ (Pali Text Society) ขึ้นในกรุงลอนดอนของประเทศอังกฤษ เมื่อ พ.ศ. 2424 เพื่อศึกษาภาษาบาลีและวรรณคดีภาษาบาลี รวมถึงการแปลและเผยแพร่ ปัจจุบันนั้น สมาคมบาลีปกรณ์ดังกล่าวนี้มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ตำบลเฮดดิงตัน ในเมืองอ๊อกซฟอร์ดของสหราชอาณาจักร
คำว่า"บาลี" เองนั้นแปลว่าเส้นหรือหนังสือ และชื่อของภาษานี้น่ามาจากคำว่า ปาฬี (Pāḷi) อย่างไรก็ตาม ชื่อภาษานี้มีความขัดแย้งกันในการเรียก ไม่ว่าจะเป็นสระอะหรือสระอา และเสียง “ล” หรือ “ฬ” ภาษาบาลีเป็นภาษาเขียนของกลุ่มภาษาปรากฤต ซึ่งเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรในศรีลังกาเมื่อพุทธศตวรรษที่ 5 ภาษาบาลีจัดเป็นภาษากลุ่มอินโด-อารยันยุคกลาง แตกต่างจากภาษาสันสกฤตไม่มากนัก ภาษาบาลีไม่ได้สืบทอดโดยตรงจากภาษาสันสกฤตพระเวทในฤคเวท แต่อาจะพัฒนามาจากภาษาลูกหลานภาษาใดภาษาหนึ่ง
คาดว่าภาษาบาลีเป็นภาษาที่ใช้ในสมัยพุทธกาลเช่นเดียวกับภาษามคธโบราณหรืออาจจะสืบทอดมาจากภาษานี้ เอกสารในศาสนาพุทธเถรวาทเรียกภาษาบาลีว่าภาษามคธ ซึ่งอาจจะเป็นความพยายามของชาวพุทธที่จะโยงตนเองให้ใกล้ชิดกับราชวงศ์เมาริยะ พระพุทธเจ้าทรงเทศนาสั่งสอนที่มคธ แต่ก็มีสังเวชนียสถาน 4 แห่งที่อยู่นอกมคธ จึงเป็นไปได้ที่จะใช้ภาษากลุ่มอินโด-อารยันยุคกลางหลายสำเนียงในการสอน ซึ่งอาจจะเป็นภาษาที่เข้าใจกันได้ ไม่มีภาษากลุ่มอินโด-อารยันยุคกลางใด ๆ มีลักษณะเช่นเดียวกับภาษาบาลี แต่มีลักษณะบางประการที่ใกล้เคียงกับจารึกพระเจ้าอโศกมหาราชที่คิร์นาร์ทางตะวันตกของอินเดีย และหถิคุมผะทางตะวันออก
นักวิชาการเห็นว่าภาษาบาลีเป็นภาษาลูกผสม ซึ่งแสดงลักษณะของภาษาปรากฤตหลายสำเนียง ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 2 และได้ผ่านกระบวนการทำให้เป็นภาษาสันสกฤต พระธรรมคำสอนทั้งหมดของพระพุทธศาสนาถูกแปลเป็นภาษาบาลีเพื่อเก็บรักษาไว้ และในศรีลังกายังมีการแปลเป็นภาษาสิงหลเพื่อเก็บรักษาในรูปภาษาท้องถิ่นอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ภาษาบาลีได้เกิดขึ้นที่อินเดียในฐานะภาษาทางการเขียนและศาสนา ภาษาบาลีได้แพร่ไปถึงศรีลังกาในพุทธศตวรรษที่ 9-10 และยังคงอยู่ถึงปัจจุบัน
ภาษาบาลีและภาษาอรธามคธี
ภาษาที่เก่าแก่ที่สุดของกลุ่มภาษาอินโด-อารยันยุคกลางที่พบในจารึกสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชคือภาษาบาลีและภาษาอรธามคธี ภาษาทั้งสองนี้เป็นภาษาเขียน ภาษานี้ไม่ได้ใหม่ไปกว่าภาษาสันสกฤตคลาสสิกเมื่อพิจารณาในด้านลักษณะทางสัทวิทยาและรากศํพท์ ทั้งสองภาษาไม่ได้พัฒนาต่อเนื่องมาจากภาษาสันสกฤตพระเวทซึ่งเป็นพื้นฐานของภาษาสันสกฤตคลาสสิก อย่างไรก็ตาม ภาษาบาลีมีลักษณะที่ใกลเคียงกับภาษาสันสกฤตและมีความแตกต่างอย่างเป็นระบบ และสามารถเปลี่ยนคำในภาษาสันสกฤตไปเป็นคำในภาษาบาลีได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าคำในภาษาบาลีเป็นส่วนหนึ่งของภาษาสันสกฤตโบราณหรือยืมคำโดยการแปลงรูปจากภาษาสันสกฤตได้เสมอไป เพราะมีคำภาษาสันสกฤตที่ยืมมาจากภาษาบาลีเช่นกัน
ภาษาบาลีในปัจจุบัน
ปัจจุบัน การศึกษาบาลีเป็นไปเพื่อความเข้าใจคัมภีร์ทางพุทธศาสนา และเป็นภาษาของสามัญชนทั่วไป ศูนย์กลางการศึกษาภาษาบาลีที่สำคัญคือประเทศที่นับถือศาสนาพุทธเถรวาทในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ พม่า ลาว ไทย กัมพูชา รวมทั้งศรีลังกา ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 25 มีการศึกษาภาษาบาลีในอินเดีย ในยุโรปมีสมาคมบาลีปกรณ์เป็นหน่วยงานที่ส่งเสริมการเรียนภาษาบาลีโดยนักวิชาการชาวตะวันตกที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2424 ตั้งอยู่ในประเทศอังกฤษ สมาคมนี้ตีพิมพ์ภาษาบาลีด้วยอักษรโรมัน และแปลเป็นภาษาอังกฤษ ใน พ.ศ. 2412 ได้ตีพิมพ์พจนานุกรมภาษาบาลีเล่มแรก การแปลภาษาบาลีเป็นภาษาอังกฤษครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2415รมสำหรับเด็กตีพิมพ์เมื่อ พ.ศ. 2419 นอกจากที่อังกฤษ ยังมีการศึกษาภาษาบาลีในเยอรมัน เดนมาร์ก และรัสเซีย
เฉพาะในประเทศไทยนั้น มีการศึกษาภาษาบาลีในวัดมาช้านาน และยังมีเปิดสอนในลักษณะหลักสูตรเร่งรัดที่มหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้งสองแห่งกล่าวคือมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และมหามกุฏราชวิทยาลัย โดยเฉพาะที่มหามกุฏราชวิทยาลัยนั้น ได้ดำเนินการเรียนการสอนภาษาบาลีให้บรรดาแม่ชี ซึ่งแบ่งเป็น ๙ ชั้นเรียกว่า บ.ศ. 1-9 มาเป็นเวลาช้านาน และปัจจุบันนี้ ก็มีแม่ชีสำเร็จการศึกษาเปรียญ ๙ ตามระบบนี้เพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วย มีโรงเรียนสอนภาษาบาลี ให้กับภิกษุสามเณรทั่วประเทศไทย เป็นโรงเรียนพระปริยัติธรรม นอกจากนี้ในปัจจุบันสถาบันทดสอบการศึกษาแห่งชาติยังจัดสอบข้อสอบความถนัดทางด้านภาษาบาลี (PAT 7.6)
รากศัพท์
คำทุกคำในภาษาบาลีมีต้นกำเนิดเดียวกับภาษาปรากฤตในกลุ่มภาษาอินโด-อารยันกลางเช่นภาษาปรากฤตของชาวเชน ความสัมพันธ์กับภาษาสันสกฤตยุคก่อนหน้านั้นไม่ชัดเจนและซับซ้อน แต่ทั้งภาษาสันสกฤตและภาษาบาลีต่างได้รับอิทธิพลซึ่งกันและกัน เมื่อเปรียบเทียบกับภาษาสันสกฤต ความคล้ายคลึงของทั้งสองภาษาดูจะมากเกินจริงเมื่อเปรียบเทียบกับภาษาในยุคหลัง ซึ่งกลายเป็นภาษาเขียนหลังจากที่ใช้ภาษาสันสกฤตเป็นภาษาในชีวิตประจำวันมาหลายศตวรรษ และได้รับอิทธิพลจากภาษาในอินเดียยุคกลาง รวมทั้งการยืมคำระหว่างกัน ภาษาบาลีเมื่อนำมาใช้งานทางศาสนาจะยืมคำจากภาษาท้องถิ่นน้อยกว่า เช่น การยืมคำจากภาษาสิงหลในศรีลังกา ภาษาบาลีไม่ได้ใช้บันทึกเอกสารทางศาสนาเท่านั้น แต่มีการใช้งานด้านอื่นด้วย เช่น เขียนตำราแพทย์ด้วยภาษาบาลี แต่ส่วนใหญ่นักวิชาการจะสนใจด้านวรรณคดีและศาสนา
หน่วยเสียงในภาษาบาลี
หน่วยภาษาบาลี แบ่งเป็นหน่วยเสียงสระ และหน่วยเสียงพยัญชนะ ดังนี้
- หน่วยเสียงสระ มีด้วยกัน 8 ตัว หรือ 8 หน่วยเสียง ได้แก่ อะ อา อิ อี เอ อุ อู โอ
- หน่วยเสียงพยัญชนะ มีด้วยกัน 33 ตัว หรือ 33 หน่วยเสียง (ในภาษาสันสกฤต มี 34 หน่วยเสียง) โดยแบ่งเป็นพยัญชนะวรรค 25 ตัว และพยัญชนะอวรรค 8 ตัว
- ตารางแสดงหน่วยเสียงในภาษาบาลี ตามแหล่งเสียง (วรรค) เขียนด้วยอักษรไทยและอักษรโรมัน
วรรค | สระ | อโฆษะ (อโฆส) (ไม่ก้อง) | โฆษะ (โฆส) (ก้อง) | นาสิก | |||
---|---|---|---|---|---|---|---|
รัสสระ (รัสสะ, รสฺส) (สั้น) | ทีฆสระ (ทีฆะ, ทีฆ) (ยาว) | สิถิล (เบา) | ธนิต (หนัก) | สิถิล (เบา) | ธนิต (หนัก) | ||
กัณฐชะ | อ(ะ) a | อา ā | ก ka | ข kha | ค ga | ฆ gha | ง ṅa |
ตาลุชะ | อิ i | อี ī, เอ e | จ ca | ฉ cha | ช ja | ฌ jha | ญ ña |
มุทธชะ | - | - | ฏ ṭa | ฐ ṭha | ฑ ḍa | ฒ ḍha | ณ ṇa |
ทันตชะ | - | - | ต ta | ถ tha | ท da | ธ dha | น na |
โอฏฐชะ | อุ u | อู ū, โอ o | ป pa | ผ pha | พ ba | ภ bha | ม ma |
อวรรค (เศษวรรค) ได้แก่ ย (ya) ร (ra) ล (la) ว (va) ส (sa) ห (ha) ฬ (ḷa) อํ (aṃ)
- ตารางแสดงเสียงสระในบาลี
1. | สระ อะ | a | [a], aṃ [ã] | สระกลาง-ต่ำ | เสียงสั้น | ปากไม่ห่อ |
2. | สระ อา | ā | [aː] | สระกลาง-ต่ำ | เสียงยาว | ปากไม่ห่อ |
3. | สระ อิ | i | [i], iṃ [ĩ] | สระหน้า-สูง | เสียงสั้น | ปากไม่ห่อ |
4. | สระ อี | ī | [iː] | สระหน้า-สูง | เสียงยาว | ปากไม่ห่อ |
5. | สระ อุ | u | [u] | สระหลัง-สูง | เสียงสั้น | ปากห่อ |
6. | สระ อู | ū | [uː], uṃ [ũ] | สระหลัง-สูง | เสียงยาว | ปากห่อ |
7. | สระ เอ | e | [eː] หรือ [eˑ] | สระหน้า-กลาง | เสียงยาวหรือเสียงกึ่งยาว | ปากไม่ห่อ |
8. | สระ โอ | o | [oː] หรือ [oˑ] | สระหลัง-กลาง | เสียงยาวหรือเสียงกึ่งยาว | ปากห่อ |
การเขียนภาษาบาลี
ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช มีการใช้ อักษรพราหมี เขียน ภาษาปรากฤต ซึ่งเป็นภาษาที่มีความใกล้เคียงกับภาษาบาลี ในทางประวัติศาสตร์ การใช้ภาษาบาลีเพื่อบันทึกคัมภีร์ทางศาสนาครั้งแรกเกิดขึ้นที่ศรีลังกา เมื่อราว พ.ศ. 443 แม้การออกเสียงภาษาบาลีจะใช้หลักการเดียวกัน แต่ภาษาบาลีเขียนด้วยอักษรหลายชนิด ในศรีลังกาเขียนด้วยอักษรสิงหล ในพม่าใช้อักษรพม่า ในไทยและกัมพูชาใช้อักษรขอมหรืออักษรเขมรและเปลี่ยนมาใช้อักษรไทยในประเทศไทยเมื่อ พ.ศ. 2436 และเคยเขียนด้วยอักษรอริยกะที่ประดิษฐ์ขึ้นเป็นเวลาสั้น ๆ ในลาวและล้านนาเขียนด้วยอักษรธรรมที่พัฒนามาจากอักษรมอญ นอกจากนั้น อักษรเทวนาครีและอักษรมองโกเลียเคยใช้บันทึกภาษาบาลีเช่นกัน
ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 24 เป็นต้นมา สมาคมบาลีปกรณ์ในยุโรปได้พัฒนาการใช้อักษรละตินเพื่อเขียนภาษาบาลี โดยอักษรที่ใช้เขียนได้แก่ a ā i ī u ū e o ṁ k kh g gh ṅ c ch j jh ñ ṭ ṭh ḍ ḍh ṇ t th d dh n p ph b bh m y r l ḷ v s h
ไวยากรณ์
ภาษาบาลีเป็นภาษาที่มีวิภัตติปัจจัยตามแบบลักษณะของภาษาในตระกูลอินโด-ยูโรเปียน กล่าวคือการนำคำมาประกอบในประโยคจะต้องมีการผันคำโดยอาจจะเติมเสียงต่อท้ายหรือเปลี่ยนรูปคำบ้าง เช่นในภาษาอังกฤษเรามักจะเห็นการเติม -s สำหรับคำนามพหูพจน์ หรือเติม -ed สำหรับกริยาอดีต แต่ในภาษาบาลีมีสิ่งที่ต้องพิจารณามากกว่าภาษาอังกฤษอีกหลายอย่าง
การผันคำนาม (Noun Declension)
ในที่นี้ขอหมายรวมทั้ง นามนาม (Nouns), คุณนาม (Adjectives) และสัพนาม (สพฺพนาม) (Pronouns) ซึ่งการนำคำนามเหล่านี้มาประกอบประโยคในภาษาบาลีจะพิจารณาสิ่งต่อไปนี้
- ลิงค์ (ลิงฺค) (Gender) หรือเพศ ในภาษาบาลีมีสามเพศคือชาย หญิง และไม่มีเพศ บางคำศัพท์เป็นได้เพศเดียว บางศัพท์อาจเป็นได้สองหรือสามเพศ ต้องอาศัยการจดจำเท่านั้น
- วจนะ (วจน) (Number) หรือพจน์ ได้แก่ เอกวจนะ และ พหุวจนะ
- การก (Case) การกคือหน้าที่ของนามในประโยค อันได้แก่
- ปฐมาวิภัตติ หรือ กรรตุการก/กัตตุการก (กตฺตุการก) (Nominative) เป็นประธานหรือผู้กระทำ (มักแปลโดยใช้คำว่า อ.. (อันว่า)....)
- ทุติยาวิภัตติ หรือ กรรมการก (กมฺมการก; กัมมการก) (Accusative) เป็นกรรม (ซึ่ง..., สู่...)
- ตติยาวิภัตติ หรือ กรณการก (Instrumental) เป็นเครื่องมือในการกระทำ (ด้วย..., โดย..., อัน...., ตาม.....)
- จตุตถีวิภัตติ (จตุตฺถี) หรือ สัมปทานการก (สมฺปทานการก) (Dative) เป็นกรรมรอง (แก่..., เพื่อ..., ต่อ...)
- ปัญจมีวิภัตติ (ปญฺจมี) หรือ อปาทานการก (Ablative) เป็นแหล่งหรือแดนเกิด (แต่..., จาก..., กว่า...)
- ฉัฏฐีวิภัตติ (ฉฏฺฐี) หรือ สัมพันธการก (สมฺพนฺธการก) (Genitive) เป็นเจ้าของ (แห่ง..., ของ...)
- สัตตมีวิภัตติ (สตฺตมี) หรือ อธิกรณการก (Locative) สถานที่ (ที่..., ใน...)
- อาลปนะวิภัตติ (อาลปน) หรือ สัมโพธนาการก (สมฺโพธนาการก) (Vocative) อุทาน, เรียก (ดูก่อน...)
- สระการันต์ (สรการนฺต) (Termination Vowel) คือสระลงท้ายของคำศัพท์ที่เป็นนาม เพราะสระลงท้ายที่ต่าง ๆ กัน ก็จะต้องเติมวิภัตติที่ต่าง ๆ กันไป
ตัวอย่างเช่น คำว่า สงฺฆ คำนี้มีสระ อะ เป็นการันต์และเพศชาย เมื่อนำไปใช้เป็นประธานเอกพจน์ (กรรตุการก เอกพจน์) จะผันเป็น สงฺโฆ (สงฺฆ + -สิ ปฐมาวิภัตติ), ประธานพหูพจน์ (กรรตุการก พหูพจน์) เป็น สงฺฆา (สงฺฆ + -โย ปฐมาวิภัตติ), กรรมตรงเอกพจน์ (กรรมการก เอกพจน์) เป็น สงฺฆํ (สงฺฆ + -อํ ทุติยาวิภัตติ), กรรมรองเอกพจน์ (สัมปทานการก เอกพจน์) เป็น สงฺฆสฺส (สงฺฆ + -ส จตุตถีวิภัตติ) ฯลฯ
หรือคำว่า ภิกฺขุ คำนี้มีสระ อุ เป็นการันต์และเพศชาย เมื่อนำไปใช้เป็นประธานเอกพจน์ (กรรตุการก เอกพจน์) ก็ผันเป็น ภิกฺขุ (ภิกฺขุ + -สิ ปฐมาวิภัตติ), ประธานพหูพจน์ (กรรตุการก พหูพจน์) เป็น ภิกฺขโว หรือ ภิกฺขู (ภิกฺขุ + -โย ปฐมาวิภัตติ), กรรมตรงเอกพจน์ (กรรมการก เอกพจน์) เป็น ภิกฺขุํ (ภิกฺขุ + -อํ ทุติยาวิภัตติ), กรรมรองเอกพจน์ (สัมปทานการก เอกพจน์) เป็น ภิกฺขุสฺส หรือ ภิกฺขุโน (ภิกฺขุ + -ส จตุตถีวิภัตติ) ฯลฯ
การผันคำกริยา (Verb Conjugation)
คำกริยาหรือที่เรียกว่าอาขยาต (อาขฺยาต) เกิดจากการนำธาตุของกริยามาลงปัจจัย (ปจฺจย) และใส่วิภัตติ (วิภตฺติ) ตามแต่ลักษณะการใช้งานในประโยค
- การใส่วิภัตติ เพื่อปรับกริยานั้นให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่กำลังนำไปใช้ มีสิ่งที่จะพิจารณาดังนี้
- กาล (Tense) ดูว่ากริยานั้นเกิดขึ้นในเวลาใด
- ปัจจุบันกาล (ปจฺจุปฺปนฺนกาล)
- อดีตกาล (อตีตกาล)
- อนาคตกาล
- วิภัตติอาขยาต
- วัตตมานา (วตฺตมานา) (จาก วตฺตฺ ธาตุ (เกิดขึ้น) + -อ ปัจจัย + -มาน ปัจจัยในกิริยากิตก์) (Present - Indicative) กริยาปัจจุบัน ใช้ในประโยคบอกเล่า
- ปัญจมี (ปญฺจมี) (Present - Imperative) ใช้ในประโยคคำสั่ง หรือขอให้ทำ
- สัตตมี (สตฺตมี) (Present - Optative) ใช้บอกว่าควรจะทำ พึงกระทำ
- ปโรกขา (ปโรกฺขา) (ปโรกฺข (ปร + -โอ- อาคม + อกฺข) + -อา ปัจจัย) (Indefinite Past) กริยาอดีตที่ล่วงแล้ว เกินจะรู้ (กาลนี้ไม่ค่อยมีใช้แล้ว) มีใช้เฉพาะ อาห (พฺรู ธาตุ (พูด) + -อ ปัจจัย + -อ ปโรกขาวิภัตติ) และ อาหุ (พฺรู ธาตุ (พูด) + -อ ปัจจัย + -อุ ปโรกขาวิภัตติ)
- หิยัตตนี (หิยตฺตนี) (จาก หิยฺโย วิเสสนนิบาต (เมื่อวาน) + -อตฺตน ปัจจัย) (Definite Past) กริยาอดีตที่ผ่านไปเมื่อวาน
- อัชชัตตนี (อชฺชตฺตนี) (จาก อชฺช วิเสสนนิบาต (อิม + -ชฺช ปัจจัย (แทนสัตตมีวิภัตติ)) (ในวันนี้) (= อิเม, อิมสฺมิํ) + -อตฺตน ปัจจัย) (Recently Past) กริยาที่ผ่านไปเมื่อเร็ว ๆ นี้ หรือในวันนี้
- ภวิสสันติ (ภวิสฺสนฺติ) (มาจาก ภู ธาตุ + -อ ปัจจัย + -อิสฺสนฺติ วิภัตติ หรือ ภู ธาตุ + -อ ปัจจัย + -อิ- อาคม + -สฺสนฺติ วิภัตติ) (Future) กริยาที่จะกระทำ
- กาลาติปัตติ (กาลาติปตฺติ) (กาล + อติปตฺติ (อติ- อุปสรรค + ปตฺติ)) (Conditional) กริยาที่คิดว่าน่าจะทำแต่ก็ไม่ได้ทำ (หากแม้นว่า...)
- บท (ปท) (Voice) ดูว่ากริยานั้นเกิดกับใคร
- ปรัสสบท (ปรสฺสปท) (Active) เป็นการกระทำอันส่งผลกับผู้อื่น เป็นกรรตุวาจก กับ เหตุกรรตุวาจก
- อัตตโนบท (อตฺตโนปท) (Reflective) เป็นการกระทำอันส่งผลกับตัวเอง หรือมีสภาวะเป็นอย่างนั้นอยู่เอง เป็นกรรมวาจก, ภาววาจก และ เหตุกรรมวาจก
- วจนะ (วจน) (Number) เหมือนคำนามคือแบ่งเป็นเอกวจนะและพหุวจนะ ซึ่งวจนะของกริยาก็ต้องขึ้นกับวจนะของนามผู้กระทำ
- บุรุษ (ปุริส) (Person) บอกบุรุษผู้กระทำกริยา บุรุษในภาษาบาลีนี้จะกลับกับภาษาอังกฤษคือ
- บุรุษที่หนึ่ง ปฐม ปุริส หมายถึงผู้อื่น (เขา) (ต คุณนาม) (โส ปุริโส, เต ปุริสา)
- บุรุษที่สอง มชฺฌิม ปุริส หมายถึงผู้ที่กำลังพูดด้วย (เธอ) (ตุมฺห, ตฺวํ, ตุมฺเห สัพพนาม)
- บุรุษที่สาม อุตฺตม ปุริส หมายถึงผู้ที่กำลังพูด (ฉัน) (อมฺห, อหํ, มยํ สัพพนาม)
- กาล (Tense) ดูว่ากริยานั้นเกิดขึ้นในเวลาใด
ตัวอย่างเช่น กริยาธาตุ วัท (วทฺ ธาตุ) ที่แปลว่าพูด เป็นกริยาที่ Active ถ้าจะบอกว่า ฉันย่อมพูด ก็จะเป็น วะทามิ (อหํ วทามิ) (วทฺ ธาตุ + -อ ปัจจัย + -มิ วัตตมานาวิภัตติ), พวกเราย่อมพูด เป็น วะทามะ (มยํ วทาม) (วทฺ ธาตุ + -อ ปัจจัย + -ม วัตตมานาวิภัตติ), เธอย่อมพูด เป็น วะทะสิ (ตฺวํ วทสิ) (วทฺ ธาตุ + -อ ปัจจัย + -สิ วัตตมานาวิภัตติ), เขา/บุรุษนั้นย่อมพูด เป็น วะทะติ (โส ปุริโส วทติ) (วทฺ ธาตุ + -อ ปัจจัย + -ติ วัตตมานาวิภัตติ), ฉันพึงพูด เป็น วะเทยยามิ (วเทยฺยามิ) (วทฺ ธาตุ + -อ ปัจจัย + -เอยฺยามิ สัตตมีวิภัตติ), ฉันจัก/จะพูด เป็น วะทิสสามิ (วทิสฺสามิ) (วทฺ ธาตุ + -อ ปัจจัย + -อิ- อาคม + -สฺสามิ ภวิสสันติวิภัตติ หรือ วทฺ ธาตุ + -อ ปัจจัย + -อิสฺสามิ ภวิสสันติวิภัตติ) ฯลฯ
- การลงปัจจัย สำหรับธาตุของคำกริยา ก่อนที่จะใส่วิภัตตินั้น อันที่จริงต้องพิจารณาก่อนด้วยว่า
กริยาที่นำมาใช้นั้นเป็นลักษณะปกติหรือมีการแสดงอาการอย่างใดเป็นพิเศษดังต่อไปนี้หรือเปล่า
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
อัพพยศัพท์ (Indeclinables)
คือกลุ่มคำที่จะไม่ถูกผันไม่ว่าจะนำไปประกอบประโยคส่วนใดก็ตามได้แก่
- อุปสรรค
- ปัจจัย
- นิบาต
อ้างอิง
- ความเป็นมาของพระไตรปิฎก ตอนที่ 76. คอลัมน์ ธรรมะใต้ธรรมมาสน์ โดย ไต้ ตามทาง. เรียกข้อมูลเมื่อ 14-6-52
หนังสืออ่านเพิ่มเติม
- สิริ เพ็ชรไชย ป.ธ.9 และวิจินตน์ ภาณุพงศ์, "พระไตรปิฎกปาฬิจุลจอมเกล้าบรมธัมมิกมหาราช ร.ศ. 112 อักษรสยาม" ฉบับอนุรักษ์ดิจิทัล, กองทุนสนทนาธัมม์นำสุขฯ 2551.
- Siri Petchai and Vichin Phanupong, "Chulachomklao of Siam Pāḷi Tipiṭaka, 1893", Digital Preservation Edition, Dhamma Society Fund 2009.
- ร.ต.ฉลาด บุญลอย, ประวัติวรรณคดีบาลี, 2527
- ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์, ประวัติภาษาบาลี : ความเป็นมาและที่สัมพันธ์กับภาษาปรากฤตและสันสกฤต, 2535.
- ปราณี ฬาพานิช, ภาษาสันสกฤต: คุณค่าในการพัฒนาความเข้าใจภาษาบาลี,2536, หน้า 113-145.
- Wilhem Geiger, Pali Literatur und Sprache,1892
- Charles Duroiselle, A Practical Grammar of the Pāli Language 3rd Edition, 1997