ประเทศอัฟกานิสถาน
อัฟกานิสถาน (อังกฤษ: Afghanistan; ปาทาน: افغانستان) มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า สาธารณรัฐอิสลามอัฟกานิสถาน เป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลในเอเชียใต้ มีอาณาเขตทางทิศตะวันตกจรดประเทศอิหร่าน ทางทิศใต้และตะวันออกติดปากีสถาน ทางทิศเหนือติดเติร์กเมนิสถาน อุซเบกิสถาน และทาจิกิสถาน ส่วนทางทิศตะวันออกสุดติดประเทศจีน มีอาณาเขต 652,000 ตารางกิโลเมตร มีกรุงคาบูลเป็นเมืองหลวงและเมืองใหญ่สุดของประเทศ มีประชากรประมาณ 39 ล้านคน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาติพันธุ์ปาทาน ทาจิก ฮาซาราและอุซเบก
สาธารณรัฐอิสลามอัฟกานิสถาน جمهوری اسلامی افغانستان (แดรี) د افغانستان اسلامي جمهوریت (ปาทาน) | |
---|---|
เมืองหลวง และ ใหญ่สุด | คาบูล |
ภาษาราชการ | ภาษาปาทานและภาษาดารี |
การปกครอง | รัฐเดี่ยว ระบบประธานาธิบดี สาธารณรัฐอิสลาม |
• ประธานาธิบดี | อัชราฟ ฆานี |
ก่อตั้ง | |
• Hotak Empire | 1709 |
• Durrani Empire | 1747 |
• Emirate of Afghanistan | 1823 |
• รับรอง | 19 สิงหาคม 1919 |
9 มิถุนายน 1926 | |
• ประกาศสาธารณรัฐ | 17 กรกฎาคม 1973 |
• รัฐธรรมนูญปัจจุบัน | 26 มกราคม 2004 |
พื้นที่ | |
• รวม | 647,500 ตารางกิโลเมตร (250,000 ตารางไมล์) (40) |
ประชากร | |
• 2019 ประมาณ | 32,225,560 (40) |
49.88 ต่อตารางกิโลเมตร (129.2 ต่อตารางไมล์) (150) | |
จีดีพี (อำนาจซื้อ) | 2018 (ประมาณ) |
• รวม | $72,911 ล้าน |
• ต่อหัว | $2,024 (169) |
จีดีพี (ราคาตลาด) | 2018 (ประมาณ) |
• รวม | $21,657 ล้าน (111) |
• ต่อหัว | $493 |
จีนี (2008) | 27.8 ต่ำ |
HDI (2019) | 0.511 ต่ำ · อันดับที่ 169 |
สกุลเงิน | อัฟกานี (AFN) |
เขตเวลา | UTC+4:30 |
• ฤดูร้อน (DST) | UTC+4:30 |
รหัสโทรศัพท์ | 93 |
โดเมนบนสุด | .af |
บริเวณนี้มีมนุษย์อยู่อาศัยมาอย่างน้อย 50,000 ปี จนมีการตั้งถิ่นฐานเป็นหลักแหล่งอยู่ถาวรในบริเวณเมื่อ 9,000 ปีมาแล้ว ก่อนค่อย ๆ พัฒนาไปเป็นอารยธรรมสินธุ อารยธรรมอ็อกซัสและอารยธรรมเฮลมันด์ในสหัสวรรษที่ 3 ก่อนคริสตกาล ชาวอินโด-อารยันย้ายเข้ามา ตามด้วยความเจริญของวัฒนธรรม Yaz I ยุคเหล็ก (ประมาณ 1500–1100 ปีก่อน ค.ศ.) ซึ่งมีความสัมพันธ์กับวัฒนธรรมที่มีกล่าวถึงใน Avesta คัมถีร์ของศาสนาโซโรอัสเตอร์ บริวณนี้ได้ตกเป็นของเปอร์เซียในศตวรรษที่ 6 ก่อน ค.ศ. ไปจนถึงแม่น้ำสินธุ พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาอำราจบุกครองดินแดนดังกล่าวในศตวรรษที่ 4 ก่อน ค.ศ. อาณาจักรกรีก-แบ็กเทรียเป็นปลายตะวันออกสุดของอารยธรรมกรีก ต่อมาดินแดนนี้ถูกพิชิตโดยอินเดียสมัยราชวงศ์เมารยะ ทำให้ศาสนาพุทธและฮินดูแพร่หลายในพื้นที่นี้หลายศตวรรษ พระเจ้ากนิษกะแห่งจักรวรรดิกุษาณะมีบทบาทสำคัญในการเผยแผ่ศาสนาพุทธนิกายมหายานเข้าสู่ประเทศจีนและเอเชียกลาง หลังจากนั้นมีราชวงศ์ที่นับถือพุทธปกครองดินแดนแถบนี้มาอีกหลายราชวงศ์
ศาสนาอิสลามเข้าสู่บริเวณนี้ในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 7 แต่มีการเผยแผ่ศาสนาอย่างจริงจังระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 9 ถึง 12 และมีการผลัดเปลี่ยนราชวงศ์อยู่อีกหลายครั้ง ประวัติศาสตร์การเมืองของรัฐอัฟกานิสถานสมัยใหม่เริ่มต้นจากราชวงศ์ Hotak ซึ่งประกาศเอกราชในอัฟกานิสถานตอนใต้ใน ค.ศ. 1709 ต่อมามีการตั้งอาณาจักรดูรานีใน ค.ศ. 1747 ในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 อัฟกานิสถานเป็นรัฐกันชนใน "เกมใหญ่" ระหว่างจักรวรรดิบริติชและรัสเซีย
ในสงครามอังกฤษ-อัฟกันครั้งที่หนึ่ง (ค.ศ. 1839 ถึง 1842) กองทัพบริติชจากอินเดียเข้าควบคุมอัฟกานิสถานได้ แต่สุดท้ายเป็นฝ่ายแพ้ หลังสงครามอังกฤษ-อัฟกันครั้งที่สามใน ค.ศ. 1919 อัฟกานิสถานจึงปลอดจากอิทธิพลของต่างชาติ และได้เป็นราชาธิปไตยภายใต้พระเจ้าอมานุลเลาะห์ แต่ใน ค.ศ. 1973 มีการโค่นล้มระบอบกษัตริย์เปลี่ยนเป็นสาธารณรัฐ ใน ค.ศ. 1978 หลังมีรัฐประหารครั้งที่สอง อัฟกานิสถานกลายเป็นรัฐสังคมนิยม และถูกโซเวียตบุกในสงครามโซเวียต–อัฟกานิสถานในคริสต์ทศวรรษ 1980 ต่อกบฏมุญาฮิดีน หลังโซเวียตถอนกำลังออกไป กลุ่มตอลิบานซึ่งเป็นพวกอิสลามมูลวิวัติได้เข้ายึดประเทศใน ค.ศ. 1996 และปกครองประเทศเป็นระบอบเผด็จการเบ็ดเสร็จ และมีประวัติลิดรอนสิทธิมนุษยชนและสิทธิสตรีอย่างรุนแรง กลุ่มนี้ถูกโค่นจากอำนาจหลังสหรัฐบุกครองใน ค.ศ. 2001 แต่ยังควบคุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศได้ เนื่องจากรัฐบาลใหม่ของอัฟกานิสถานต้องพึ่งพาความช่วยเหลือทางทหารและเศรษฐกิจจากสหรัฐมาก ทำให้มีการเรียกอัฟกานิสถานว่าเป็นรัฐบริวารของสหรัฐ
ปัจจุบันอัฟกานิสถานเป็นสาธารณรัฐอิสลามซึ่งใช้ระบบประธานาธิบดี ประเทศยังมีระดับการก่อการร้าย ความยากจน ภาวะทุพโภชนาการเด็กและการฉ้อราษฎร์บังหลวงสูง เศรษฐกิจมีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 96 ของโลก โดยมีจีดีพีมูลค่า 72,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่มีจีดีพีต่อหัวต่ำมาก อยู่อันดับที่ 169 จาก 186 ประเทศใน ค.ศ. 2018
ภูมิศาสตร์
ตั้งอยู่ระหว่างละติจูด 33 องศาเหนือ และลองจิจูด 65 องศาตะวันออก มีพื้นที่ 647,500 ตารางกิโลเมตร พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบสูงในเขตเทือกเขาฮินดูกูซ จุดต่ำสุดอยู่ที่แม่น้ำอมู สูง 258 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลไม่มีทางออกทะเล
"สแตน" หมายถึงที่ดิน อัฟกานิสถานหมายถึงดินแดนของชาวอัฟกานิสถาน คำว่า "สแตน" ยังใช้ในชื่อของเคอร์ดิสถานและอุซเบกิสถาน
ประวัติศาสตร์
- พ.ศ. 2423 (ค.ศ. 1880) อังกฤษได้สถาปนาอับดุรเราะฮฺมาน เป็นอะมีร หลังจากที่ได้มีการรบราฆ่าฟัน ระหว่างเผ่าต่าง ๆ ในอัฟกานิสถานมาเป็นเวลานาน
- พ.ศ. 2444 (ค.ศ. 1901) อับดุรเราะฮฺมาน เสียชีวิต บุตรชายชื่อ ฮะบีบุลลอหฺ ขึ้นดำรงตำแหน่งแทน
- พ.ศ. 2462 (ค.ศ. 1919) ฮะบีบุลลอหฺ ถูกสังหาร น้องชายชื่อ นัศรุลลอหฺ สถาปนาตนเองขึ้นเป็นอะมีร แต่ถูก อะมานุลลอหฺ บุตรชายของ ฮะบีบุลลอหฺ ขับไล่ แล้วขึ้นปกครองแทน
- พ.ศ. 2472 (ค.ศ. 1929) ขบวนการพวกเคร่งศาสนา ก่อการปฏิวัติ อะมีร ฮะบีบุลลอฮฺ หลบหนีออกนอกประเทศ สงครามกลางเมืองเกิดขึ้น บาชา อี ซาเกา นายทหารของเผ่าตาจิก ได้นำพลทหารเข้ายึดกรุงคาบูล เป็นเวลาหลายเดือน ต่อมาญาติคนหนึ่งของ อะมีร ฮะบีบุลลอหฺ ปราบปรามจนถูกสังหาร แล้วญาติคนนั้นก็สถาปนาตนเองขึ้นเป็นกษัตริย์ มีนามว่า นาดีร ชาหฺ
- พ.ศ. 2476 (ค.ศ. 1933) กษัตริย์ นาดีร ชาหฺ ถูกสังหาร บุตรชายชื่อ ซอหิร ชาหฺ ขึ้นเป็นกษัตริย์
- พ.ศ. 2516 (ค.ศ. 1973) ดาวูด ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของกษัตริย์ ซอหิร ชาหฺ ก่อการปฏิวัติ กษัตริย์ ซอหิร ชาหฺ หนีไปลี้ภัยในอิตาลี ดาวูดสถาปนาตนเองขึ้นเป็นประธานาธิบดี
- พ.ศ. 2521 (ค.ศ. 1978) ดาวูด ถูกสังหาร หลังการปฏิวัติคอมมิวนิสต์ นำโดย นูร มุฮัมมัด ฏอรอกี
- พ.ศ. 2522 (ค.ศ. 1979) ฏอรอกี ถูกสังหาร และ ฮะฟีซุลลอหฺ อะมีน สถาปนาตนเองขึ้นเป็นประธานาธิบดี
- เดือนธันวาคม ฮะฟีซุลลอหฺ อะมีน ถูกสังหาร โดยกองทัพที่ถูกส่งเข้ามาจากสหภาพโซเวียต บาบรัก การ์มาล ขึ้นเป็นประธานาธิบดี
- บาบรัก การ์มาล ถูกถอดออกจากตำแหน่ง และหนีไปสหภาพโซเวียต นะญีบุลลอหฺ ขึ้นเป็นประธานาธิบดี
- พ.ศ. 2535 (ค.ศ. 1992) พวกมุจาหิดีนอิสลาม ประสบความสำเร็จในการปฏิวัติต่อต้านคอมมิวนิสต์ ก่อตั้งรัฐบาลชั่วคราว โดยมี ซิบฆอตุลลอหฺ มุจัดดิดี เป็นประธานาธิบดี ต่อมา บุรฮานุดดีน ร่อบบบานี ขึ้นเป็นประธานาธิบดี สงครามกลางเมืองเกิดขึ้น
- พ.ศ. 2539 (ค.ศ. 1996) กลุ่มตอลิบานยึดกรุงคาบูลได้
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
การเมืองการปกครอง
อัฟกานิสถานเคยมีระบอบการปกครองแบบรัฐสภา มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญ จนกระทั่งปี 2516 พลโทซาดาร์ ข่าน (Sadar Khan) ได้ปฏิวัติยึดอำนาจ และเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบสาธารณรัฐและสถาปนาตนเองขึ้นเป็นประธานาธิบดี แต่ผู้นำอัฟกานิสถานในยุคต่อมาเริ่มมีท่าทีใกล้ชิดสหรัฐฯ ทำให้สหภาพโซเวียตไม่พอใจและส่งกองกำลังเข้ายึดครองอัฟกานิสถานในปี 2522 เพื่อสถาปนาระบอบการปกครองแบบสังคมนิยมขึ้นแทน
ระหว่างการยึดครองของสหภาพโซเวียต ปี 2522 - 2532 ได้เกิดขบวนการต่อต้านระบอบการปกครองแบบสังคมนิยมในนามกลุ่มมูจาฮีดีน ซึ่งได้โค่นล้มรัฐบาลที่เข้าข้างสหภาพโซเวียตได้สำเร็จในปี 2535 แต่กลับไม่สามารถร่วมกันปกครองประเทศได้ เพราะเกิดความแตกแยกและแย่งชิงอำนาจกัน ในที่สุดกลุ่มนักศึกษาหัวรุนแรงที่ได้รับการศึกษาจากปากีสถานได้รวมตัวกันจัดตั้งกองกำลังตอลิบานขึ้น และมีความเข้มแข็งจนสามารถยึดกรุงคาบูลได้ในปี 2539 ตั้งรัฐบาลตอลิบานขึ้นปกครองประเทศโดยครอบคลุมพื้นที่เกือบทั้งหมดอยู่จนถึงปี 2544
หลังเหตุการณ์ 911 ในปี 2544 สหรัฐฯ ได้ส่งกองกำลังเข้าโจมตีอัฟกานิสถานเพื่อโค่นล้มรัฐบาลตอลิบาน และมุ่งที่จะจับนายอุซามะห์ บิน ลาดิน (Osama Binladen) ซึ่งสหรัฐฯ สามารถโค่นล้มรัฐบาลตอลิบานได้สำเร็จในปลายปี 2544 และสหรัฐฯ สนับสนุนการจัดตั้งรัฐบาลชั่วคราวในอัฟกานิสถาน และมีส่วนร่วมในการพัฒนาระบบการเมืองการปกครองในอัฟกานิสถานมาโดยตลอดจนถึงปัจจุบัน
ตามรัฐธรรมนูญของอัฟกานิสถาน กำหนดให้ประธานาธิบดีเป็นประมุขและผู้นำในการบริหารประเทศ มีการกระจายอำนาจการปกครองออกเป็นจังหวัด แบ่งออกเป็น 34 จังหวัด (Province) อย่างไรก็ตาม ในแง่การบริหารจัดการระบบการปกครองภายในประเทศยังไม่ดีนัก เนื่องจากเพิ่งฟื้นตัวจากสงคราม และอำนาจของรัฐบาลกลางยังครอบคลุมไม่ทั่วถึงพื้นที่ห่างไกล
การบริหารรัฐบาลกลาง
- ฝ่ายนิติบัญญัติ
มีรัฐสภา (National Assembly) ซึ่งประกอบด้วย 2 สภา ได้แก่ 1) สภาผู้แทนราษฎร (House of People หรือ Wolesi Jirga) ประกอบด้วยสมาชิกไม่เกิน 249 คน ได้รับการเลือกตั้งโดยตรง ดำรงตำแหน่งวาระ 5 ปี และ 2) สภาอาวุโส (House of Elders หรือ Meshrano Jirga) มีสมาชิก 102 คน ซึ่งแบ่งการสรรหาออกเป็น 3 วิธี ในจำนวนที่เท่า ๆ กัน โดยสมาชิก 34 คนได้รับเลือกจากคณะบริหารระดับจังหวัด (Provincial Council) ดำรงตำแหน่งวาระ 4 ปี สมาชิกอีก 34 คน ได้รับเลือกจากคณะบริหารระดับท้องถิ่น (Local District Council) ดำรงตำแหน่งวาระ 3 ปี และสมาชิกอีก 34 คน ได้รับแต่งตั้งจากประธานาธิบดี ดำรงตำแหน่งวาระ 5 ปี
นอกจากนี้ อาจมีการประชุมใหญ่ของผู้แทนทุกภาคส่วนที่เรียกว่า Loya Jirga ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกรัฐสภาทั้งหมดจากทั้งสองสภา ร่วมกับคณะกรรมการบริหารระดับจังหวัดและระดับท้องถิ่นทั้งหมด โดยที่ประชุมใหญ่นี้จะจัดขึ้นเฉพาะกรณีที่ต้องพิจารณาประเด็นระดับชาติเท่านั้น คือ ประเด็นที่เกี่ยวกับเอกราช อธิปไตยของชาติ และเกี่ยวกับดินแดน รวมถึงการฟ้องร้องประธานาธิบดี
- ฝ่ายบริหาร
ประธานาธิบดีเป็นทั้งประมุขและหัวหน้าฝ่ายบริหาร มีรองประธานาธิบดี 2 คน ซึ่งทั้งหมดดำรงตำแหน่งโดยการรับเลือกตั้งจากประชาชน มีวาระ 5 ปี และประธานาธิบดีคนปัจจุบัน คือ นาย Hamid Karzai ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญให้อำนาจประธานาธิบดีแต่งตั้งรัฐมนตรีร่วมบริหารประเทศ โดยต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา และรัฐมนตรีมีจำนวนทั้งสิ้น 25 คน
กระทรวง
ลำดับที่ | ชื่อกระทรวงภาษาไทย | ชื่อกระทรวงภาษาอังกฤษ |
---|---|---|
1 | กระทรวงเกษตร ชลประทานและปศุสัตว์ | Ministry of Agriculture, Irrigation and Livestock |
2 | กระทรวงพาณิชย์และอุตสาหกรรม | Ministry of Commerce and Industries |
3 | กระทรวงการสื่อสารและเทคโนโลยีสารสนเทศ | Ministry of Communications and Information Technology |
4 | กระทรวงปราบปรามยาเสพติด | Ministry of Counter Narcotics |
5 | กระทรวงกลาโหม | Ministry of Defense |
6 | กระทรวงเศรษฐกิจ | Ministry of Economy |
7 | กระทรวงศึกษาธิการ | Ministry of Education |
8 | กระทรวงพลังงานและน้ำ | Ministry of Energy and Water |
9 | กระทรวงการคลัง | Ministry of Finance |
10 | กระทรวงการต่างประเทศ | Ministry of Foreign Affairs |
11 | กระทรวงพรมแดน ประชาชาติและชนเผ่า | Ministry of Frontiers, Nations and Tribal Affairs |
12 | กระทรวงฮัจญ์และการศาสนา | Ministry of Hajj and Religious Affairs |
13 | กระทรวงการอุดมศึกษา | Ministry of Higher Education |
14 | กระทรวงข้อมูลและวัฒนธรรม | Ministry of Information and Culture |
15 | กระทรวงกิจการภายใน | Ministry of Interior Affairs |
16 | กระทรวงยุติธรรม | Ministry of Justice |
17 | กระทรวงแรงงาน ผู้ด้อยโอกาส ผู้พิการและกิจการสังคม | Ministry of Labor, Martyrs, Disabled, & Social Affairs |
18 | กระทรวงเหมืองแร่และปิโตรเลียม | Ministry of Mines & Petroleum |
19 | กระทรวงสาธารณสุข | Ministry of Public Health |
20 | กระทรวงแรงงานสาธารณะ | Ministry of Public Works |
21 | กระทรวงผู้ลี้ภัยและการส่งตัวกลับ | Ministry of Refugees & Repatriation |
22 | กระทรวงการฟื้นฟูและพัฒนาชนบท | Ministry of Rural Rehabilitation and Development |
23 | กระทรวงคมนาคมและการบินพลเรือน | Ministry of Transport and Civil Aviation |
24 | กระทรวงการพัฒนาในเมืองและการเคหะ | Ministry of Urban Development & Housing |
25 | กระทรวงกิจการสตรี | Ministry of Women's Affairs |
26 | สำนักงานอัยการสูงสุด | Attorney General's Office |
- ฝ่ายตุลาการ
ตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่กำหนดให้อัฟกานิสถานมีศาลฎีกา (Supreme Court) หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า Stera Mahkama มีผู้พิพากษาจำนวน 9 คน แต่งตั้งโดยประธานาธิบดีและต้องให้สภาผู้แทนราษฎรให้ความเห็นชอบ ดำรงตำแหน่งวาระ 10 ปี รองลงมามีศาลสูง (High Court) และศาลอุทธรณ์ (Appeals Court) ด้วย
การบริหารระดับจังหวัด
แม้รัฐธรรมนูญจะกำหนดหน่วยงานระดับจังหวัดและท้องถิ่น คือ คณะบริหารระดับจังหวัด (Provincial Council) และคณะบริหารระดับท้องถิ่น (Local District Council) แล้ว แต่ดังที่กล่าวข้างต้นว่า ระบบการบริหารการปกครองของอัฟกานิสถานยังจัดการได้ไม่ดีนัก เนื่องจากเป็นระบบที่วางขึ้นใหม่ และอำนาจของรัฐบาลกลางยังอ่อนแอ ความเชื่อมโยงของการบริหารอำนาจระหว่างท้องถิ่นกับส่วนกลางจึงยังขาดความชัดเจน
การแบ่งเขตการปกครอง
ประเทศอัฟกานิสถานแบ่งออกเป็น 34 จังหวัด หรือเรียกเป็นภาษาท้องถิ่นว่า เวลายัต (welayat) ได้แก่
|
เศรษฐกิจ
ประเทศอัฟกานิสถาน นอกจากถูกจัดให้เป็นประเทศที่ยากจนที่สุดในเอเชียแล้ว ยังครองอันดับ 1 ประเทศที่ยากจนที่สุดในโลกอีกด้วย[ต้องการอ้างอิง]
นักวิเคราะห์ชี้ว่า สาเหตุที่ประเทศอัฟกานิสถานมีฐานะยากจนมากที่สุดมีปัจจัยหลายสาเหตุด้วยกัน อาทิ ประชากรในอัฟกานิสถานว่างงานกว่า 35%, กว่า 36% มีความเป็นอยู่ต่ำกว่ามาตรฐานของโลก, 2 ใน 3 ของประชากรมีชีวิตอยู่ด้วยรายได้ที่น้อยกว่าวันละ 2 ดอลล่าสหรัฐ, เป็นประเทศที่อยู่ในภาวะสงคราม และรายได้หลักประมาณ 1 ใน 3 ของประเทศมาจากการลักลอบค้ายาเสพติด เช่น กัญชา ฝิ่น เป็นต้น[ต้องการอ้างอิง]
เกษตรกรรม
ส่วนใหญ่เป็นแบบยังชีพและเลี้ยงสัตว์เร่ร่อน พืชสำคัญที่ปลูกคือข้าวสาลี ฝ้าย และมีชื่อเสียงในการผลิตฝิ่นเพื่อผลิตยาเสพติด
ทรัพยากรธรรมชาติ
มีก๊าซธรรมชาติพบที่เมืองชีเบอร์กานใกล้พรมแดนประเทศเติร์กเมนิสถาน แหล่งผลิตก๊าซที่สำคัญของประเทศคือ ควาเจะห์ ราวัช และยาติม ตัก นอกจากนี้มีแหล่งน้ำมันที่ยังไม่ได้ขุดขึ้นมาใช้ และแหล่งถ่านหินในจังหวัดบากลานและจังหวัดบาลัก แร่ธาตุที่สำคัญ พบแร่เหล็กที่หัจญีกัต ใกล้กรุงคาบูล แร่ทองแดงพบที่อายนัก แร่ยูเรเนียมพบที่ ควาเจะห์ ราวัช อัญมณีในจังหวัดบาดักชาน และแร่อื่น ๆ อีกมาก
การท่องเที่ยว
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
โครงสร้างพื้นฐาน
การคมนาคม และ โทรคมนาคม
เส้นทางคมนาคม
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
โทรคมนาคม
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
การศึกษา
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
สาธารณสุข
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ประชากรศาสตร์
เชื้อชาติ
เชื้อชาติ: ปุชตู 42% ทาจิก 27% ฮาซารา 9% อุซเบก 9% เติร์กเมน 3% บาลอช 2% อื่น ๆ เช่น ปาไช นูริสตานี บราหุ่ย และคิซิลเบช 4%
การอ่านออกเขียนได้: ตั้งแต่อายุ 15 ปี ร้อยละ 36 (เป็นชาย 51% หญิง 21%)
GDP : 800 ดอลลาร์สหรัฐ/คน/ปี (ปี 2548)
ที่ | เมือง | จังหวัด | ประชากร | ||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
คาบูล คันดาฮาร์ | 1 | คาบูล | จังหวัดคาบูล | 3,071,400 | เฮราต มาซาร์-ไอ-ซาร์ริฟ | ||||
2 | คันดาฮาร์ | จังหวัดคันดาฮาร์ | 512,000 | ||||||
3 | เฮราต | จังหวัดเฮราต | 397,456 | ||||||
4 | มาซาร์-ไอ-ซาร์ริฟ | จังหวัดบอล์คห์ | 375,000 | ||||||
5 | จาลาลาแบด | จังหวัดนานการ์ฮาร์ | 205,423 | ||||||
6 | ลัชคาร์การ์ | จังหวัดเฮลเมน | 201,546 | ||||||
7 | ทาโลควาน | จังหวัดทาคาร์ | 196,400 | ||||||
8 | โคสท์ | จังหวัดโคสท์ | 160,214 | ||||||
9 | เชเบอร์กัน | จังหวัดโจวซ์จาน | 148,329 | ||||||
10 | กาซนิ | จังหวัดกาซนิ | 141,000 |
ศาสนา
ในอดีตประเทศอัฟกานิสถานได้นับถือพระพุทธศาสนา พระเจ้าเมนันเดอร์ ที่ 1 หรือ พระเจ้ามิลินท์และพระนาคเสน ก็เป็นประจักษ์พยานของการมีอยู่ของพระพุทธศาสนาในอดีต และมีหลักฐาน เช่น พระพุทธรูปบามิยัน ที่เมืองบามิยันซึ่งมีอายุมากกว่า 2,000 ปี แต่ต่อมาในยุคหลังได้ถูกพวกตาลีบันทำลายทิ้งทั้งหมด
ชาวอัฟกานิสถานในปัจจุบันส่วนมากนับถือศาสนาอิสลาม(98%) สุหนี่(83.2%) ชีอะห์(14.9%) ศาสนาโซโรอัสเตอร์(1.4%) ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู(0.4%) ศาสนาพุทธ(0.3%) ศาสนาคริสต์(0.1%)
ภาษา
อัฟกานิสถานเป็น ชนเชื้อสายอิหร่าน ที่พูดภาษากลุ่มอิหร่าน เช่น ภาษาปาทาน 35% ภาษาดารีเปอร์เซีย 56% ภาษากลุ่มเติร์ก (ส่วนใหญ่เป็นภาษาอุซเบก และภาษาเติร์กเมน) 11% และภาษาของชนเผ่าอีก 30 ภาษา รวมเป็น 4% ประชากรส่วนใหญ่พูดได้ 2 ภาษา
ดูรายชื่อภาษทั้งหมดได้ที่หมวดหมู่:ภาษาในประเทศอัฟกานิสถาน
วัฒนธรรม
เทศกาล
แม้จะเป็นประเทศที่ยากจน แต่ชาวอัฟกันก็ยังคงเฉลิมฉลองเทศกาลสำคัญทางศาสนาอิสลาม โดยเฉพาะเทศกาลรอมฏอน ซึ่งเป็นการสิ้นสุดของการถือศีลอดอันศักดิ์สิทธิ์ ประชาชนจะไปเยี่ยมเพื่อนหรือครอบครัวและรับประทานอาหารฉลองร่วมกัน ศิลปะแกรเต้นรำ attan ยังคงเฟื่องฟูในอัฟกานิสถาน
อาหาร
สือสารมวลชน
กีฬา
วันหยุด
อ้างอิง
คอมมอนส์ มีภาพและสื่อเกี่ยวกับ: ประเทศอัฟกานิสถาน |
- "Afghan Population Estimates 1398" (PDF). Central Statistics Organization. 2019. (PDF) จากแหล่งเดิมเมื่อ 4 June 2019. สืบค้นเมื่อ 4 July 2019.
- ↑ "Afghanistan". International Monetary Fund. สืบค้นเมื่อ 14 November 2018.
- . World Bank. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 11 May 2014. สืบค้นเมื่อ 2 March 2011.
- Human Development Report 2020 The Next Frontier: Human Development and the Anthropocene (PDF). United Nations Development Programme. 15 December 2020. pp. 343–346. ISBN 978-92-1-126442-5. สืบค้นเมื่อ 16 December 2020.
- . Encarta. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 17 July 2004. สืบค้นเมื่อ 19 May 2012.
- Dyson, Tim (2018), A Population History of India: From the First Modern People to the Present Day, Oxford University Press, pp. 4–5, ISBN 978-0-19-882905-8; Fisher, Michael H. (2018), An Environmental History of India: From Earliest Times to the Twenty-First Century, Cambridge University Press, p. 33, ISBN 978-1-107-11162-2
- Mallory, J.P.; Adams, Douglas Q. (1997). Encyclopedia of Indo-European Culture (illustrated ed.). Taylor & Francis. p. 310. ISBN 1884964982.
- Tomsen, Peter (2014), The Wars of Afghanistan, pp. 41–2, ISBN 978-1610392624
- Rashid, Ahmed (2000), Taliban, p. 187, ISBN 1-86064-417-1
- Ladwig, Walter C. (2017). The Forgotten Front: Patron-Client Relationships in Counter Insurgency. Cambridge University Press. p. 302. ISBN 9781107170773. สืบค้นเมื่อ 2018-05-15.
As with their Cold War counterparts, it was erroneous for American policymakers to believe that the governments of contemporary client states, such as Iraq, Afghanistan, and Pakistan, necessarily shared their desire to defeat radical Islamic insurgents by adhering to the prescriptions of U.S. counterinsurgency doctrine.
- "Table 2-2: Settled Population by Province-2010-2011" (PDF). Central Statistics Office. 2010–2011. สืบค้นเมื่อ April 4, 2012.CS1 maint: date format (link)
หนังสืออ่านเพิ่ม
หนังสือ
|
|
บทความ
- Meek, James. Worse than a Defeat. London Review of Books, Vol. 36, No. 24, December 2014, pages 3–10
แหล่งข้อมูลอื่น
ค้นหาเกี่ยวกับ Afghanistan เพิ่มที่โครงการพี่น้องของวิกิพีเดีย | |
บทนิยาม จากวิกิพจนานุกรม | |
สื่อ จากคอมมอนส์ | |
ทรัพยากรการเรียน จากวิกิวิทยาลัย | |
อัญพจน์ จากวิกิคำคม | |
ข้อความต้นฉบับ จากวิกิซอร์ซ | |
ตำรา จากวิกิตำรา |
แม่แบบ:EB1911 poster
- Office of the President
- Afghanistan entry at The World Factbook
- แม่แบบ:GovPubs
- ประเทศอัฟกานิสถาน ที่เว็บไซต์ Curlie
- Wikimedia Atlas of Afghanistan
- Research Guide to Afghanistan