fbpx
วิกิพีเดีย

โขน

โขน

ทศกัณฐ์หน้าสีทอง ตอนทศกัณฐ์ลงสวนเกี้ยวนางสีดา

โขน เป็นศิลปะการแสดงชั้นสูงของไทยที่มีความสง่างาม อลังการและอ่อนช้อย การแสดงประเภทหนึ่งที่ใช้ท่ารำตามแบบละครใน แตกต่างเพียงท่ารำที่มีการเพิ่มตัวแสดง เปลี่ยนทำนองเพลงที่ใช้ในการดำเนินเรื่องไม่เหมือนกับละคร แสดงเป็นเรื่องราวโดยลำดับก่อนหลังเหมือนละครทุกประการ ซึ่งไม่เรียกการแสดงเหล่านี้ว่าละครแต่เรียกว่าโขนแทน มีประวัติยาวนานตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา จากหลักฐานจดหมายเหตุลาลูแบร์ เอกอัครราชทูตฝรั่งเศสในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้มีการกล่าวถึงการแสดงโขนว่า เป็นการเต้นออกท่าทาง ประกอบกับเสียงซอและเครื่องดนตรีประเภทต่าง ๆ ผู้แสดงจะสวมหน้ากากปิดบังใบหน้าตนเองและถืออาวุธ

โขน ละครรำสวมหน้ากากในไทย *
  มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมโดยยูเนสโก
การแสดงโขนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ. 2552
ประเทศ ไทย
ภูมิภาค **เอเชียและแปซิฟิก
สาขาธรรมเนียมและการแสดงออกทางมุขปาฐะ, ศิลปะการแสดง, แนวปฏิบัติทางสังคม พิธีกรรม และงานเทศกาล, งานช่างฝีมือดั้งเดิม
เกณฑ์พิจารณาR.1, R.2, R.3, R.4, R.5
อ้างอิง01385
ประวัติการขึ้นทะเบียน
ขึ้นทะเบียน2561 (คณะกรรมการสมัยที่ 13)
รายการตัวแทนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติ
* ชื่อตามที่ได้จดทะเบียนในบัญชีมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมและการสงวนรักษาที่ดี
** ภูมิภาคที่จัดแบ่งโดยยูเนสโก

โขนเป็นจุดศูนย์รวมของศาสตร์และศิลป์หลากหลายแขนงเช่น วรรณกรรม วรรณศิลป์ นาฏศิลป์ คีตศิลป์ หัตถศิลป์ โดยนำเอาวิธีเล่นและการแต่งตัวบางชนิดมาจากการเล่นชักนาคดึกดำบรรพ์ มีท่าทางการต่อสู้ที่โลดโผน ท่ารำ ท่าเต้นเช่น ท่าปฐมในการไหว้ครูของกระบี่กระบอง รวมทั้งการนำศิลปะการพากย์ การเจรจา หน้าพาทย์และเพลงดนตรีเข้ามาประกอบการแสดง ในการแสดงโขน ลักษณะสำคัญอยู่ที่ผู้แสดงต้องสวมหัวโขน ซึ่งเป็นเครื่องสวมครอบหุ้มตั้งแต่ศีรษะถึงคอ เจาะรูสองรูบริเวณดวงตาให้สามารถมองเห็น แสดงอารมณ์ผ่านทางการร่ายรำ สร้างตามลักษณะของตัวละครนั้น ๆ เช่น ตัวยักษ์ ตัวลิง ตัวเทวดา ฯลฯ ตกแต่งด้วยสี ลงรักปิดทอง ประดับกระจก บ้างก็เรียกว่าหน้าโขน

ในสมัยโบราณ ตัวพระและตัวเทวดาต่างสวมหัวโขนในการแสดง ต่อมาภายหลังมีการเปลี่ยนแปลงไม่ต้องสวมหัวโขน คงใช้ใบหน้าจริงเช่นเดียวกับละคร แต่งกายแบบเดียวกับละครใน เครื่องแต่งกายของตัวพระและตัวยักษ์ในสมัยโบราณมักมีสองสีคือ สีหนึ่งเป็นสีเสื้อ อีกสีหนึ่งเป็นสีแขนโดยสมมุติแทนเกราะ เป็นลายหนุนประเภทลายพุ่ม หรือลายกระจังตาอ้อย ส่วนเครื่องแต่งกายตัวลิงจะเป็นลายวงทักษิณาวรรต โดยสมมุติเป็นขนของลิงหรือหมี ดำเนินเรื่องด้วยการกล่าวคำนำเล่าเรื่องเป็นทำนองเรียกว่าพากย์อย่างหนึ่ง กับเจรจาเป็นทำนองอย่างหนึ่ง ใช้กาพย์ยานีและกาพย์ฉบัง โดยมีผู้ให้เสียงแทนเรียกว่าผู้พากย์และเจรจา มีต้นเสียงและลูกคู่ร้องบทให้ ใช้วงปี่พาทย์เครื่องห้าประกอบการแสดง นิยมแสดงเรื่องรามเกียรติ์และอุณรุท ปัจจุบันสำนักการสังคีต  ทำหน้าที่ ดำเนินการด้านนาฏดุริยางคศิลป์ในงานพระราชพิธี รัฐพิธี และพิธีการต่างๆ ตามจารีตประเพณี และรวมองค์ความรู้ด้านนาฏดุริยางคศิลป์  โดยการ ศึกษา ค้นคว้า วิจัย และอนุรักษ์  ส่งเสริม สนับสนุน ให้บริการ และฝึกอบรมแก่หน่วยงานอื่นทั้งภาครัฐ และเอกชนที่ดำเนินงานศิลปวัฒนธรรม  ด้านนาฏดุริยางคศิลป์ และดำเนินการเกี่ยวกับกิจการ โรงละครแห่งชาติ  สังกัดกรมศิลปากร  กระทรวงวัฒนธรรม และ สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์มีหน้าที่หลักในการสืบทอดการฝึกหัดโขน และกรมศิลปากร มีหน้าที่ในการจัดการแสดง

ประวัติ

โขนจัดเป็นนาฏกรรมที่มีความเป็นศิลปะเฉพาะของตนเอง ไม่ปรากฏชัดแน่นอนว่าคำว่า "โขน" ปรากฏขึ้นในสมัยใด แต่มีการเอ่ยถึงในวรรณคดีไทยเรื่องลิลิตพระลอที่กล่าวถึงโขนในงานแสดงมหรสพ ระหว่างงานพระศพของพระลอ พระเพื่อนและพระแพงว่า "ขยายโรงโขนโรงรำ ทำระทาราวเทียน" โดยมีข้อสันนิษฐานว่าคำว่าโขนนั้น มีที่มาจากคำและความหมายในภาษาต่าง ๆ ดังนี้

  • คำว่าโขนในภาษาเบงคาลี ซึ่งปรากฏคำว่า "โขละ" หรือ "โขล" (บางครั้งสะกดด้วย ฬ เป็นคำว่า"โขฬะ" หรือ "โขฬ") ที่เป็นชื่อเรียกของเครื่องดนตรีประเภทหนังชนิดหนึ่งของฮินดู ลักษณะและรูปร่างคล้ายคลึงกับตะโพนของไทย ไม่มีขาตั้ง ทำด้วยดิน ไม่มีสายสำหรับถ่วงเสียง มีเสียงดังค่อนข้างมาก จัดเป็นเครื่องดนตรีที่ได้รับความนิยมในแคว้นเบงกอล ประเทศอินเดีย ใช้สำหรับประกอบการละเล่นชนิดหนึ่ง เรียกว่ายาตราหรือละครเร่ที่คล้ายคลึงกับละครชาตรี โดยสันนิษฐานว่าเครื่องดนตรีชนิดนี้ เคยถูกนำมาใช้ประกอบการเล่นนาฏกรรมชนิดหนึ่ง จึงเรียกว่าโขลตามชื่อของเครื่องดนตรี
  • คำว่าโขนในภาษาเขมร เป็นการกล่าวถึงโขนในพจนานุกรมภาษาเขมร ซึ่งหมายความถึงละคร แต่เขียนแทนว่าละโขน ที่หมายความถึงการแสดงมหรสพอย่างหนึ่ง

จากข้อสันนิษฐานต่าง ๆ ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าโขนเป็นคำมาจากภาษาใด พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ระบุความหมายของโขนเอาไว้ว่า "โขนหมายถึงการเล่นอย่างหนึ่งคล้ายละครรำ แต่เล่นเฉพาะในเรื่องรามเกียรติ์ โดยผู้แสดงสวมหัวจำลองต่าง ๆ ที่เรียกว่าหัวโขน" หรือหมายความถึงไม้ใช้ต่อเสริมหัวเรือท้ายเรือให้งอนเชิดขึ้นไปที่เรียกว่าโขนเรือ หรือใช้สำหรับเรียกเรือชนิดหนึ่งที่มีโขนว่าเรือโขนเช่น เรือโขนขนาดใหญ่น้อยเหลือหลายในลิลิตพยุหยาตรา หรือหมายความถึงส่วนสุดทั้งสองข้างของรางระนาดหรือฆ้องวงใหญ่ที่มีลักษณะงอนขึ้นว่าโขน

 
วงปี่พาทย์ที่ใช้ในการแสดงโขน

ในสมัยของสมเด็จพระนาราย์มหาราช ได้มีการกล่าวถึงโขนโดยลาลูแบร์ เอาไว้ว่า "โขนนั้น เป็นการร่ายรำเข้า ๆ ออก ๆ หลายคำรบ ตามจังหวะซอและเครื่องดนตรีอย่างอื่นอีก ผู้แสดงนั้นสวมหน้ากาก (หัวโขน) และถืออาวุธ แสดงบทหนักไปในทางสู้รบกันมากกว่าจะเป็นการร่ายรำ และมาตรว่าการแสดงส่วนใหญ่จะหนักไปในทางโลดเต้นเผ่นโผนโจนทะยาน และวางท่าอย่างเกินสมควรแล้ว นาน ๆ ก็จะหยุดเจรจาออกมาสักคำสองคำ หน้ากาก (หัวโขน) ส่วนใหญ่นั้นน่าเกลียด เป็นหน้าสัตว์ที่มีรูปพรรณวิตถาร (ลิง) หรือไม่เป็นหน้าปีศาจ (ยักษ์) " ซึ่งเป็นการแสดงความเห็นต่อมหรสพในอดีตของชาวไทยในสายตาของชาวต่างประเทศ

การแสดงโขนโดยทั่วไปนิยมแสดงเรื่องรามยณะหรือรามเกียรติ์ ในอดีตกรมศิลปากรเคยจัดแสดงเรื่องอุณรุฑ แต่ไม่ได้รับความนิยมมากเท่ากับการแสดงเรื่องรามเกียรติ์ มีหลายสำนวน ทั้งที่มีการประพันธ์ขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์ โดยเฉพาะบทประพันธ์ในสมัยรัตนโกสินทร์ นิยมแสดงตามสำนวนของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ที่กรมศิลปากรได้ปรับปรุงเป็นชุดเป็นตอนสำหรับแสดงเป็นโขนฉาก ในสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ก็เคยทรงพระราชนิพนธ์บทร้องและบทพากย์ไว้ถึง 6 ชุด ได้แก่ ชุดนางสีดาหาย ชุดเผากรุงลงกา ชุดพิเภกถูกขับ ชุดจองถนน ชุดประเดิมศึกลงกาและชุดนาคบาศ

แต่เดิมนั้นการแสดงโขนจะไม่มีการสร้างฉากประกอบการแสดงตามท้องเรื่อง การดำเนินเรื่องราวต่าง ๆ เป็นแบบจินตนาการถึงฉากหรือสถานที่ในเรื่องราวเอง การจัดฉากในการแสดงโขนเกิดขึ้นครั้งแรกในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โดยที่ทรงคิดสร้างฉากประกอบการแสดงโขนบนเวทีขึ้น คล้ายกับการแสดงละครดึกดำบรรพ์ที่สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ทรงคิดขึ้น

ประเภทของโขน

 
การแสดงโขนกลางแปลง เรื่องรามเกียรติ์

โขนเป็นการแสดงที่ได้รับความนิยมมาโดยตลอด ตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน มักนิยมแสดงเป็นมหกรรมบูชาเจ้านายชั้นสูงเช่น แสดงในงานถวายพระเพลิงพระบรมศพหรือพระศพ แสดงเป็นมหรสพสมโภชเช่น ในงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก และแสดงเป็นมหรสพเพื่อความบันเทิงในโอกาสทั่ว ๆ ไป นิยมแสดงเพียง 3 ประเภทคือ โขนกลางแปลง โขนหน้าจอและโขนฉาก สำหรับโขนนั่งราวหรือโขนโรงนอกไม่นิยมจัดแสดง เนื่องจากเป็นการแสดงโขนที่มีแต่บทพากย์และบทเจรจาเท่านั้น ไม่มีบทร้อง ใช้ราวไม้กระบอกแทนเตียงสำหรับนั่ง และโขนโรงในซึ่งเป็นศิลปะที่โขนหน้าจอนำไปแสดง แต่เดิมไม่มีองค์ประกอบจำนวนมาก ต่อมาภายหลังเมื่อมีความต้องการในการแสดงมากขึ้น โขนจึงมีวิวัฒนาการพัฒนาเป็นลำดับ แบ่งเป็น 5 ประเภทคือ

โขนกลางแปลง

โขนกลางแปลงเป็นการเล่นโขนกลางแจ้ง ไม่มีการสร้างโรงแสดง ใช้ภูมิประเทศและธรรมชาติเป็นฉากในการแสดง ผู้แสดงทั้งหมดรวมทั้งตัวพระต้องสวมหัวโขน นิยมแสดงตอนยกทัพรบ วิวัฒนาการมาจากการเล่นชักนาคดึกดำบรรพ์เรื่องกวนน้ำอมฤตที่ใช้เล่นในพิธีอินทราภิเษก ปรากฏในกฎมณเฑียรบาลสมัยกรุงศรีอยุธยา โดยนำวิธีการแสดงคือการจัดกระบวนทัพและการเต้นประกอบหน้าพาทย์มาใช้ แต่เปลี่ยนมาเล่นเรื่องรามเกียรติ์แทน มีการเต้นประกอบหน้าพาทย์และอาจมีบทพาทย์และเจรจาบ้าง แต่ไม่มีบทร้อง

เมื่อ พ.ศ. 2339 ในสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 มีการเล่นโขนในงานฉลองอัฐิสมเด็จพระปฐมบรมชนกาธิราช โดยโขนวังหน้าเป็นทัพทศกัณฐ์ฝ่ายลงกา และโขนวังหลังเป็นทัพพระรามฝ่ายพลับพลา แลัวยกทัพมาเล่นรบกันในท้องสนามหน้าพลับพลา ดังปรากฏในพระราชพงศาวดารความว่า "ในการมหรสพสมโภชพระบรมอัฐิครั้งนั้น มีโขนชักรอกโรงใหญ่ ทั้งโขนวังหลังและวังหน้า แล้วประสมโรงเล่นกันกลางแปลง เล่นเมื่อศึกทศกัณฐ์ยกทัพกับสิบขุนสิบรถ โขนวังหลังเป็นทัพพระราม ยกไปแต่ทางพระบรมมหาราชวัง โขนวังหน้าเป็นทัพทศกัณฐ์ ยกออกจากพระราชวังบวรฯ มาเล่นรบกันในท้องสนามหน้าพลับพลา ถึงมีปืนบาเหรี่ยมรางเกวียนลากออกมายิงกันดังสนั่นไป"

ซึ่งการแสดงโขนในครั้งนั้น เกิดการรบกันจริงระหว่างผู้แสดงทั้งสองฝ่าย จนเกิดการบาดหมางระหว่างวังหน้าและวังหลัง จนกระทั่งสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยาเทพสุดาวดี และสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์ สมเด็จพระพี่นางทั้งสองพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ต้องเสด็จมาเป็นผู้ไกล่เกลี่ยให้แก่วังหน้าและวังหลัง ทั้งสองฝ่ายจึงยอมเลิกบาดหมางซึ่งกันและกัน ทำให้เป็นข้อสันนิษฐานว่าเหตุใดการแสดงโขนกลางแปลงจึงนิยมแสดงตอนยกทัพรบและการรบบนพื้น มีเครื่องดนตรีวงปี่พาทย์ไม่ต่ำกว่าสองวงในการบรรเลง

โขนนั่งราว

 
การแสดงโขนนั่งราว

โขนนั่งราวหรือเรียกอีกอย่างว่าโขนโรงนอก วิวัฒนาการมาจากโขนกลางแปลง เป็นโขนที่แสดงบนโรงที่ปลูกสร้างขึ้นสำหรับแสดง ตัวโรงมักมีหลังคาคุ้มกันแสงแดดและสายฝน ไม่มีเตียงสำหรับผู้แสดงนั่ง มีเพียงราวทำจากไม้ไผ่วางพาดตามส่วนยาวของโรงเท่านั้น มีช่องให้ผู้แสดงในบทของตัวพระหรือตัวยักษ์ ที่มีตำแหน่งและยศถาบรรดาศักดิ์ สามารถเดินวนได้รอบราวซึ่งสมมุติให้เป็นเตียง ในส่วนผู้แสดงที่รับบทเป็นเสนายักษ์ เขนยักษ์ เสนาลิงหรือเขนลิง คงนั่งพื้นแสดงตามปกติ

มีการพากย์และเจรจา ไม่มีบทขับร้อง วงปี่พาทย์บรรเลงเพลงหน้าพาทย์เช่น กราวใน กราวนอก ฯลฯ ในการแสดงใช้ปี่พาทย์สำหรับบรรเลงเพลงถึงสองวง เนื่องจากต้องบรรเลงเป็นจำนวนมาก โดยตำแหน่งของปี่พาทย์ตัวแรกจะตั้งอยู่บริเวณหัวโรง ตำแหน่งของปี่พาทย์ตัวที่สองจะตั้งอยู่บริเวณท้ายโรง และกลายเป็นที่มาของการเรียกว่า "วงหัวและวงท้ายหรือวงซ้ายและวงขวา"

โขนโรงใน

โขนโรงในเป็นโขนที่นำศิลปะการแสดงของละครใน เข้ามาผสมผสานระหว่างโขนกับละครใน ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 และพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 รวมทั้งมีราชกวีภายในราชสำนัก ช่วยปรับปรุงขัดเกลาและประพันธ์บทพากย์ บทเจรจาให้มีความคล้องจอง ไพเราะสละสลวยมากยิ่งขึ้น โดยนำท่ารำท่าเต้น และบทพากย์เจรจาตามแบบโขนมาผสมกับการขับร้อง เป็นการปรับปรุงวิวัฒนาการของโขน

ในการแสดงโขนโรงใน ผู้แสดงเป็นตัวพระ ตัวนางและเทวดา เริ่มที่จะไม่ต้องสวมหัวโขนในการแสดง มีการพากย์และเจรจาตามแบบฉบับของการแสดงโขน นำเพลงขับร้องประกอบอากัปกิริยาอาการของตัวละคร และเปลี่ยนมาแสดงภายในโรงแบบละครในจึงเรียกว่าโขนโรงใน มีปี่พาทย์บรรเลงสองวง ปัจจุบันโขนที่กรมศิลปากรนำออกแสดงนั้น ใช้ศิลปะการแสดงแบบโขนโรงในซึ่งเป็นการแสดงระหว่างโขนกลางแปลงและโขนหน้าจอ

โขนหน้าจอ

 
การเชิดหนังใหญ่ในการแสดงโขนหน้าจอ

โขนหน้าจอเป็นโขนที่แสดงหน้าจอหนังใหญ่ ซึ่งใช้สำหรับแสดงหนังใหญ่หรือหนังตะลุง โดยผู้แสดงโขนออกมาแสดง สลับกับการเชิดตัวหนัง ที่ฉลุแกะสลักเป็นตัวละครในเรื่องรามเกียรติ์อย่างสวยงามวิจิตรบรรจง เรียกว่า "หนังติดตัวโขน" ซึ่งในการเล่นหนังใหญ่ จะมีการเชิดหนังใหญ่อยู่หน้าจอผ้าขาวแบบจอหนังใหญ่ ยาว 7 วา 2 ศอก ริมขอบจอใช้ผ้าสีแดงและสีน้ำเงินเย็บติดกัน ใช้เสาจำนวน 4 ต้นสำหรับขึงจอ ปลายเสาแต่ละด้านประดับด้วยหางนกยูงหรือธงแดง มีศิลปะสำคัญในการแสดงคือการพากย์และเจรจา ใช้เครื่องดนตรีปี่พาทย์ประกอบการแสดง ผู้เชิดตัวหนังจะต้องเต้นตามจังหวะดนตรีและลีลาท่าทางของตัวหนัง

นิยมแสดงเรื่องรามเกียรติ์ ภายหลังยกเลิกการแสดงหนังใหญ่คงเหลือเฉพาะโขน โดยคงจอหนังไว้พอเป็นพิธี เนื่องจากผู้ดูนิยมการแสดงที่ใช้คนแสดงจริงมากกว่าตัวหนัง จึงเป็นที่มาของการเรียกโขนที่เล่นหน้าจอหนังว่าโขนหน้าจอ มีการพัฒนาจอหนังที่ใช้แสดงโขน ให้มีช่องประตูสำหรับเข้าออก โดยวาดเป็นซุ้มประตูเรียกว่าจอแขวะ โดยที่ประตูทางด้านซ้ายวาดเป็นรูปค่ายพลับพลาของพระราม ส่วนประตูด้านขวาวาดเป็นกรุงลงกาของทศกัณฐ์ ต่อมาภายหลังจึงมีการยกพื้นหน้าจอขึ้นเพื่อกันคนดูไม่ให้เกะกะตัวแสดงเวลาแสดงโขน สำหรับโขนหน้าจอ กรมศิลปากรเคยจัดแสดงให้ประชาชนทั่วไปได้รับชมในงานฉลองวันสหประชาชาติที่สนามเสือป่า เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2491 และงานฟื้นฟูประเพณีสงกรานต์ท้องสนามหลวง เมื่อวันที่ 13 เมษายน – 15 เมษายน พ.ศ. 2492

โขนฉาก

โขนฉากเป็นการแสดงโขนที่ถือกำเนิดขึ้นครั้งแรก ในสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โปรดให้มีการจัดฉากในการแสดงแบบละครดึกดำบรรพ์ประกอบตามท้องเรื่อง แบ่งเป็นฉากเป็นองก์ เข้ากับเหตุการณ์และสถานที่ จึงเรียกว่าโขนฉาก ปัจจุบันการแสดงโขนของกรมศิลปากร นอกจากจะแสดงโขนโรงในแล้ว ยังจัดแสดงโขนฉากควบคู่กันอีกด้วยเช่น ชุดปราบกากนาสูร ชุดมัยราพณ์สะกดทัพ ชุดนางลอย ชุดนาคบาศ ชุดพรหมาสตร์ ชุดศึกวิรุญจำบัง ชุดทำลายพิธีหุงน้ำทิพย์ ชุดสีดาลุยไฟและปราบบรรลัยกัลป์ ชุดหนุมานอาสา ชุดพระรามเดินดงและชุดพระรามครองเมือง

ซึ่งในการแสดงโขนทุกประเภท มีวิวัฒนาการมายาวนานตั้งแต่สมัยอยุธยาจนถึงปัจจุบัน รูปแบบและวิธีการแสดงของโขนได้มีการปรับเปลี่ยนไปตามยุคตามสมัย แต่คงรูปแบบและเอกลักษณ์เฉพาะของการแสดงเอาไว้

โขนนอกตำรา

นอกจากประเภทของโขนต่าง ๆ ทั้ง 5 ประเภทแล้ว ยังมีการแสดงโขนนอกตำราที่ทางกรมศิลปากรไม่จัดให้รวมอยู่ในประเภทของโขน ได้แก่

  • โขนสด

โขนสด เป็นการแสดงที่ผสมผสานทางวัฒนธรรม ที่ปรับปรุงมาจากการแสดงโขนให้มีความเรียบง่าย มีการปรับเปลี่ยนลดท่ารำ การแต่งกาย การขับร้อง คำพากย์และการเจรจา เป็นการแสดงที่เกิดจากผสมผสานการแสดง 3 ชนิดคือ โขน หนังตะลุงและลิเก ไม่มีการพากย์เสียงและเจรจา โดยผู้แสดงจะเป็นผู้พูดบทเจรจาเอง แต่งกายยืนเครื่อง สวมหัวโขนบนศีรษะแต่ไม่คลุมหน้า สามารถมองเห็นใบหน้าของผู้แสดงได้อย่างชัดเจน ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในชนบท แสดงด้วยกิริยาท่าทางโลดโผน จริงจังกว่าการแสดงโขนมาก

  • โขนหน้าไฟ

โขนหน้าไฟ เป็นการแสดงโขนที่มักนิยมจัดแสดงในตอนกลางวัน หรือแสดงเฉพาะตอนพระราชทานเพลิงศพ เป็นการแสดงในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ โดยมีจุดประสงค์ในการแสดงเพื่อเป็นการแสดงความเคารพและให้เกียรติแก่ผู้เสียชีวิตหรือเจ้าภาพของงาน รวมทั้งเป็นการแสดงคั่นเวลาให้แก่ผู้ที่มาร่วมงานได้ชมการแสดงก่อนถึงเวลาพระราชทานเพลิงจริง แต่เดิมโขนหน้าไฟใช้สำหรับในงานพระราชพิธี รัฐพิธีหรืองานของเจ้านายเชื้อพระวงศ์ชั้นสูง เสนาขุนนางอำมาตย์เช่น พระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพพระบรมวงศานุวงศ์ ณ บริเวณทุ่งพระเมรุหรือท้องสนามหลวง

  • โขนนอนโรง

โขนนอนโรง เป็นการแสดงโขนที่มักนิยมแสดงในเวลาบ่าย ก่อนวันแสดงจริงของโขนนั่งราว แสดงตอน "เข้าสวนพิราพ" ซึ่งเหมือนกับงิ้วเบิกโรง เพียงเรื่องเดียวเท่านั้น มีปี่พาทย์สองวงในการบรรเลงเพลงโหมโรง แสดงเพียงช่วงระยะเวลาสั้น ๆ โดยก่อนแสดงจะมีผู้แสดงออกไปเต้นกระทุ้งเสาทั้ง 4 มุมของโรงแสดง ซึ่งการกระทุ้งเสานั้น เป็นการทดสอบความแข็งแรงของเวทีในการรับน้ำหนักตัวของผู้แสดง สมัยก่อนเวทีสำหรับแสดงใช้วิธีขุดหลุมฝังเสาและใช้ดินกลบ ทำให้ระหว่างทำการแสดงเวทีเกิดการทรุดตัว เป็นเหตุผลให้อาจารย์ผู้ทำการฝึกสอน มักให้ผู้แสดงไปเต้นตามหัวเสาทั้ง 4 มุมของเวที เพื่อให้การเต้นนั้นช่วยกระทุ้งหน้าดินที่ฝังเสาไว้ให้เกิดความแน่นมากขึ้น

หลังแสดงเสร็จ ผู้แสดงมักจะนอนเฝ้าโรงแสดงเพื่อแสดงโรงนั่งราวต่อในวันรุ่งขึ้น ในอดีตโขนนอนโรงเคยแสดงมาแล้วสองครั้งคือ ครั้งแรกแสดงในสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ในงานสมโภชพระเศวตคชเดน์ดิลก และครั้งที่สองในสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 แสดงที่บริเวณท้องสนามหลวงในงานฉลองรัฐธรรมนูญ ระหว่างวันที่ 10 – 11 ธันวาคม พ.ศ. 2475

  • โขนชักรอก

โขนชักรอก เป็นการแสดงโขนที่ไม่ค่อยได้รับความนิยมมากนัก จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ทำให้สันนิษฐานได้ว่า โขนชักรอกนั้นมีการตั้งแต่ในสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 เป็นการแสดงโขนในโรงแสดงที่ปลูกขึ้นโดยเฉพาะ ยกพื้นสูงและมีหลังคา แสดงเหมือนกับโขนทุกประการ แตกต่างเพียงแต่ผู้แสดงนั้นสามารถลอยตัวขึ้นไปในอากาศด้วยการชักรอก มีอุปกรณ์ที่ใช้เป็นจำนวนมาก เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้โขนชักรอกไม่ค่อยปรากฏให้เห็นมากนัก

กรมศิลปากรเคยจัดแสดงโขนชักรอกให้ประชาชนได้ชม เมื่อคราวงานเทศกาลวัดอรุณราชวราราม ร.ศ. 100 การจัดแสดงโขนชักรอกครั้งนี้ กรมศิลปากรได้ร่วมมือกับบริษัทออร์กาไนเซอร์ จำกัด ซึ่งเป็นโครงการที่จัดขึ้นเพื่อนอนุรักษ์วัดอรุณและการแสดงที่หายากในปัจจุบัน ระหว่างวันที่ 9 - 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2543 เวลา 17.00 - 22.00 น. โดยใช้พื้นที่บริเวณหน้าวัดเป็นโรงแสดง มีพระปรางค์วัดอรุณเป็นฉากหลัง

โขนในพระราชสำนัก

 
พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้ก่อตั้งคณะโขนสมัครเล่นตามแบบธรรมเนียมโบราณ

ในสมัยโบราณข้าราชการ มหาดเล็กที่รับราชการในสำนักพระราชวัง มักได้รับการพิจารณาคัดเลือกให้ฝึกหัดแสดงโขน เนื่องจากโขนนั้นถือเป็นการละเล่นของผู้มียศถาบรรดาศักดิ์ ใช้สำหรับแสดงในงานพระราชพิธีเท่านั้น ทำให้ต้องมีการคัดเลือกผู้แสดงที่มีความสามารถ ฉลาดเฉลียว จดจำและฝึกหัดท่ารำท่าเต้นต่าง ๆ ให้เข้าใจได้โดยง่าย ดังคำสันนิษฐานของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ความว่า "บางทีเกิดมี 'กรมโขน' ขึ้นจะมาแต่การเล่นดึกดำบรรพ์ ในพระราชพิธีอินทราภิเษกนี้เอง โดยทำนองจะมีพระราชพิธีอื่นอันมีการเล่นแสดงตำนานเนือง ๆ จึงเป็นเหตุให้ฝึกหัดโขนหลวงนี้ขึ้นไว้ สำหรับเล่นในการพระราชพิธี และเอามหาดเล็กหลวงมาหัดเป็นโขนตามแบบแผน ซึ่งมีอยู่ในตำราพระราชพิธีอินทราภิเษก" แต่เดิมนั้นใช้ผู้ชายล้วนในการแสดงทั้งตัวพระและตัวนาง การได้รับคัดเลือกให้แสดงโขนในสมัยนั้น ถือเป็นความภาคภูมิใจต่อผู้ที่ได้ถูกรับคัดเลือก เนื่องจากโขนเป็นศิลปะการแสดงชั้นสูง และกลายเป็นประเพณีสืบต่อมาจนถึงกรุงรัตนโกสินทร์ ที่ผู้แสดงโขนในพระราชสำนักจะต้องเป็นพวกมหาดเล็ก ข้าราชการหรือบุตรหลานข้าราชการเท่านั้น

ยุคเจริญรุ่งเรือง

ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 ได้พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เจ้านายชั้นสูง ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ เสนาอำมาตย์และผู้ว่าราชการเมือง เข้ารับการฝึกหัดโขนเพื่อเป็นการประดับเกียรติยศแก่ตนเองและวงศ์ตระกูล และโปรดให้หัดไว้เฉพาะแต่เพียงผู้ชายตามประเพณีดั้งเดิม ทำให้ผู้ที่ฝึกหัดโขน มีความคล่องแคล่วว่องไว สามารถใช้อาวุธต่าง ๆ ในการต่อสู้ได้อย่างชำนาญ รวมทั้งโปรดให้มีการแต่งบทละครสำหรับแสดงโขนขึ้นอีกด้วย ทำให้เจ้านายชั้นสูง ขุนนางชั้นผู้ใหญ่จำนวนมากต่างหัดโขนไว้ในคณะของตนเองหลากหลายคณะเช่น โขนของกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ หรือพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ครั้งเสด็จดำรงพระยศเป็นพระเจ้าลูกยาเธอในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 และโขนของกรมพิทักษ์เทเวศร์ เป็นต้น และมีการประกวดแข่งขันประชันฝีมือ รวมทั้งได้มีการฝึกหัดโขนให้พวกลูกทาสและลูกหมู่ซึ่งเป็นผู้ที่สังกัดกรมกองต่าง ๆ ตามวิธีควบคุมทหารแบบโบราณอีกด้วย ทำให้โขนในสมัยนั้นได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย

ต่อมาในสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ครั้งเสด็จดำรงพระยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมกุฎราชกุมาร ประทับ ณ พระราชวังสราญรมย์ ได้โปรดให้มีการฝึกหัดโขนขึ้นตามแบบโบราณ โดยมีชื่อคณะว่า "โขนสมัครเล่น" โปรดให้ยืมครูผู้ฝึกสอนจากเจ้าพระยาเทเวศ์วิวัฒน์ จำนวน 3 คน ได้แก่

  1. ขุนระบำภาษา (ทองใบ สุวรรณภารต) ต่อมาภายหลังได้รับการเลื่อนบรรดาศักดิ์โดยลำดับจนถึงพระยาพรหมาภิบาล ทำหน้าที่เป็นครูยักษ์ ผู้ฝึกหัดสอนโขนในตัวยักษ์
  2. ขุนนัฏกานุรักษ์ (ทองดี สุวรรณภารต) ต่อมาภายหลังได้รับการเลื่อนบรรดาศักดิ์โดยลำดับจนเป็นพระยาในราชทินนาม ทำหน้าที่เป็นครูพระและครูนาง ผู้ฝึกหัดสอนโขนในตัวพระและตัวนาง
  3. ขุนพำนักนัจนิกร (เพิ่ม สุครีวกะ) ต่อมาภายหลังได้รับการโปรดเกล้าฯ พระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระดึกดำบรรพ์ประจง ทำหน้าที่เป็นครูลิง ผู้ฝึกหัดสอนโขนในตัวลิง

สำหรับผู้ที่เข้ารับการฝึกหัดโขนนั้น ล้วนเป็นผู้ที่ถวายงานรับใช้ใกล้ชิดพระองค์มาโดยตลอดเช่น ลูกขุนนาง เจ้านายและมหาดเล็ก เป็นต้น โดยทรงฝึกหัดโขนด้วยความเอาพระทัยใส่เป็นอย่างยิ่ง รวมทั้งให้การสนับสนุนในการแสดงโขนมาโดยตลอด เคยนำออกแสดงในงานสำคัญสำคัญหลายครั้งเช่น งานเปิดโรงเรียนนายร้อย (ทหารบก) ชั้นมัธยม เมื่อวันเสาร์ที่ 25 ธันวาคม ร.ศ. 128 (พ.ศ. 2452) ดังความในสูจิบัตรที่แจกจ่ายในงาน ความว่า

โขนโรงนี้ เรียกนามว่า 'โขนสมัครเล่น' เพราะผู้เล่นเล่นโดยความสมัครเอง ไม่ใช่ถูกกะเกณฑ์หรือเห็นแก่สินจ้าง มีความประสงค์แต่จะให้ผู้ที่คุ้นเคยชอบพอกันและที่เป็นคนชั้นเดียวกัน มีความรื่นเริงและเพื่อจะได้ไม่ลืมว่า ศิลปะวิทยาการเล่นเต้นรำ ไม่จำเป็นจะต้องเป็นของฝรั่งจึงจะดูได้ ของโบราณของไทยเรามีอยู่ ไม่ควรจะให้เสื่อมสูญไปเสีย โขนโรงนี้ได้เคยเล่นแต่ที่พระราชวังสราญรมย์เป็นพื้น แต่ครั้งนี้เห็นว่าผู้ที่เป็นนักเรียนนายร้อย ก็เป็นคนชั้นเดียวกัน และเป็นที่หวังอยู่ว่าจะเป็นกำลังของชาติเราต่อไป พวกโขนจึงมีความเต็มใจมาช่วยงาน เพื่อให้เป็นการครึกครื้น ถ้าแม้ว่าผู้ที่ดูรู้สึกว่าสนุกและแลเห็นอยู่ว่า การเล่นอย่างไทยแท้ก็ยังเป็นสิ่งที่ควรดูอยู่แล้ว ผู้ที่ออกน้ำพักน้ำแรงเล่นให้ดูก็จะรู้สึกว่าได้รับความพอใจยิ่งกว่าได้สินจ้างอย่างใด ๆ ทั้งสิ้น

ยุคเสื่อมโทรม

หลังจากโขนที่เจริญรุ่งเรืองในสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และเจริญรุ่งเรืองจนถึงขีดสุดในสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็เริ่มมีผู้ที่นำเอาโขนไปรับจ้างแสดงในงานต่าง ๆ เช่นงานศพหรืองานที่ไม่มีเกียรติเพียงเพื่อหวังค่าตอบแทน ทำให้โขนเริ่มถูกมองไปในทางที่ไม่ดี กลายเป็นการแสดงที่ไม่สมฐานะของผู้แสดง ไม่คำนึงถึงเกียรติยศของการแสดงศิลปะชั้นสูงที่ได้รับความนิยมยกย่อง เนื่องจากแต่เดิมนั้นโขนเป็นการแสดงที่มีเกียรติและศักดิ์ศรี ใช้สำหรับแสดงในงานพระราชพิธีเท่านั้น ทำให้ความนิยมในโขนเริ่มเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว ประกอบกับพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ได้พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เจ้านายชั้นสูง ข้าราชการเสนาอำมาตย์มีละครหญิง ที่แต่เดิมมีเฉพาะพระมหากษัตริย์ได้ ดังพระราชปรารภว่า "มีละครด้วยกันหลายรายดี บ้านเมืองจะได้ครึกครื้น จะได้เป็นเกียรติยศแก่แผ่นดิน" ทำให้ส่งผลกระทบกระเทือนอย่างใหญ่หลวงต่อการแสดงโขนในพระราชสำนักของเจ้านายชั้นสูงและขุนนางชั้นผู้ใหญ่

การแหวกม่านประเพณีของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่พระราชทานอนุญาตให้มีละครหญิงได้นั้น ทำให้เจ้านายชั้นสูง เสนาอำมาตย์ขุนนางต่าง ๆ พากันเปลี่ยนแปลงเพศของผู้แสดงในสังกัดตนเองเป็นอย่างมาก ทำให้แต่เดิมโขนที่มีเฉพาะผู้ชายล้วนนั้น เริ่มมีการเล่นผสมผสานกับละครหญิง ที่ได้รับความนิยมแทนที่โขนอย่างรวดเร็ว เป็นเหตุให้หัวหน้าคณะที่เคยฝึกหัดและทำนุบำรุงโขนไว้ ก็เริ่มเปลี่ยนแปลงการแสดงในสังกัดตนเอง บางรายก็มีโขนและละครหญิงควบคู่กันไป บางรายถึงกัยยกเลิกโขนในสังกัดและเปลี่ยนมาหัดละครหญิงเพียงอย่างเดียว ทำให้โขนค่อย ๆ สูญหายไป ยกเว้นบางสังกัดที่มีความนิยมชมชอบศิลปะไทยแบบโบราณเช่นโขน ที่ยังคงอนุรักษ์รักษาไว้สืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน และโขนหลวงที่พระมหากษัตริย์ทรงอุปถัมภ์ไว้เท่านั้น รวมทั้งได้ก่อตั้งเป็นกรมโขนขึ้นก่อนจะยกเลิกไปในสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3

ต่อมาภายหลังจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จสวรรคตแล้ว โขนที่เริ่มเข้าสู่ยุคเสื่อมโทรมก็ยิ่งตกต่ำลงอย่างรวดเร็ว ทั้งในด้านของสภาพจิตใจผู้แสดงและในด้านของศิลปวัตถุ และในสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 โปรดให้เลิกโรงมหรสพต่าง ๆ รวมทั้งโขน เนื่องจากมหรสพต่าง ๆ นั้นเป็นการสิ้นเปลืองพระราชทรัพย์ในท้องพระคลังเป็นอย่างมาก และโอนงานทางด้านนาฏศิลป์และศิลปะ ให้อยู่ภายใต้สังกัดของกรมศิลปากร

ลักษณะบทโขน

บทเจรจาระหว่างทศกัณฐ์ที่รับสั่งให้กาลสูร ไปทูลเชิญอินทรชิตให้เร่งชุบศรพรหมาศเพื่อออกไปต่อสู้กับพระราม
ตัวอย่างบทเจรจาระหว่างทศกัณฐ์ที่รับสั่งให้กาลสูร ไปทูลเชิญอินทรชิตให้เร่งชุบศรพรหมาศเพื่อออกไปต่อสู้กับพระราม ในการแสดงโขนเฉลิมพระเกียรติตอน ศึกพรหมาศ บรรเลงโดยวงโยธวาทิต
  • หากไม่ได้ยินเสียง โปรดดูเพิ่มที่ วิกิพีเดีย:วิธีใช้สื่อ
  • ในการแสดงโขน เมื่อเริ่มแสดงวงปี่พาทย์จะบรรเลงเพลงโหมโรงเป็นเพลงเปิด เมื่อจบเพลงจึงจะเริ่มการแสดง ดำเนินเรื่องโดยใช้คำพากย์และคำเจรจาเป็นหลัก การเล่นโขนแต่เดิมไม่มีบทร้องของผู้แสดงเหมือนละครใน ผู้แสดงทุกคนในสมัยโบราณต้องสวมหัวโขน ยกเว้นตัวตลกที่ใช้ใบหน้าจริงในการแสดง ทำให้ต้องมีผู้ทำหน้าที่สำหรับพากย์และเจรจาถ้อยคำต่าง ๆ แทนตัวผู้แสดง ผู้พากย์เสียงนั้นมีความสำคัญในการแสดงโขนเป็นอย่างมาก ต้องเรียนรู้และศึกษาทำความเข้าใจเรื่องราวและวิธีการแสดง จดจำคำพากย์และใช้ปฏิภาณไหวพริบในเชิงกาพย์ กลอน เพื่อสามารถเจรจาให้สอดคล้องถูกต้อง มีสัมผัสนอก สัมผัสในคล้องจองกับการแสดงของผู้แสดง

    ลักษณะบทโขนในสมัยโบราณ แบ่งออกเป็น 3 ประเภทคือ

    1. บทร้อง
    2. บทพากย์
    3. บทเจรจา

    ซึ่งบทร้องนั้นเป็นการร้องกลอนบทละคร ใช้สำหรับแสดงโขนโรงในและโขนฉากเท่านั้น บทพากย์ใช้กาพย์ยานีและกาพย์ฉบัง เมื่อพากย์จบหนึ่งบท ปี่พาทย์จะตีตะโพนท้าและตีกลองทัดต่อจากตะโพนสองที ผู้แสดงภายในโรงจะร้องรับว่า "เพ้ย" พร้อม ๆ กัน ซึ่งคำว่าเพ้ยนี่ สันนิษฐานว่าแต่เดิมนั้น มาจากคำว่า "เฮ้ย" ในการบัญชาศึกสงครามของแม่ทัพนายกอง ค่อย ๆ เพี้ยนเสียงจนกลายเป็นคำว่าเพ้ยในปัจจุบัน สำหรับบทพากย์เป็นคำประพันธ์ชนิดกาพย์ฉบัง 16 หรือกาพย์ยานี 11 บท มีชื่อเรียกแตกต่างกัน วิธีพากย์บทโขนในการแสดง แบ่งออกเป็นประเภทต่าง ดังนี้

    • การพากย์เมืองหรือพากย์พลับพลา

    ใช้สำหรับพากย์เวลาผู้แสดงตัวเอก หรือผู้แสดงออกท้องพระโรงหรือออกพลับพลา เช่น ทศกัณฐ์ พระรามหรือพระลักษมณ์เสด็จออกประทับในปราสาทหรือพลับพลา โดยมีตัวอย่างบทพากย์กาพย์ฉบัง 16 ตอนเช่น พระรามเสด็จออกพลับพลา รับการเข้าเฝ้าของพิเภก สุครีพ หนุมานและเหล่าเสนาลิง

    "ครั้นรุ่งแสงสุริยโอภา พุ่งพ้นเวหา
    คิรียอดยุคันธร
    สมเด็จพระหริวงศ์ทรงศร ฤทธิ์เลื่องลือขจร
    สะท้อนทั้งไตรโลกา
    เสด็จออกนั่งหน้าพลับพลา พร้อมด้วยเสนา
    ศิโรตมก้มกราบกราน
    พิเภกสุครีพหนุมาน นอบน้อมทูลสาร
    สดับคดีโดยถวิล"
    บทพระราชนิพนธ์เรื่องรามเกียรติ์ รัชกาลที่ 2
    • การพากย์รถหรือพากย์พาหนะ

    ใช้สำหรับพากย์เวลาผู้แสดงเอ่ยชมพาหนะและการจัดกระบวนทัพเช่น รถ ม้า ช้าง หรือสิ่งอื่นใดที่เป็นพาหนะ หรือใช้พากย์เวลาผู้แสดงตัวเองทรงพาหนะตลอดจนชมไพร่พล โดยมีตัวอย่างบทพากย์กาพย์ฉบัง 16 เช่น พระราม พระลักษมณ์ ทรงราชรถออกทำศึกกับทศกัณฐ์และเหล่าเสนายักษ์

    "เสด็จทรงรถเพชรเพชรพราย พรายแสงแสงฉาย
    จำรูญจำรัสรัศมี
    อำไพไพโรจน์รูจี สีหราชราชสีห์
    ชักรชรถรถทรง
    ดุมหันหันเวียนวง กึกก้องก้องดง
    เสทือนทั้งไพรไพรวัน
    ยักษาสารถีโลทัน เหยียบยืนยืนยัน
    ก่งศรจะแผลแผลงผลาญ"
    บทพระราชนิพนธ์เรื่องรามเกียรติ์ รัชกาลที่ 2
    • การพากย์โอ้หรือการพากย์รำพัน

    ใช้สำหรับพากย์เวลาผู้แสดงมีอาการเศร้าโศกเสียใจ รำพันคร่ำครวญถึงคนรัก เริ่มทำนองตอนต้นเป็นการพากย์ ตอนท้ายเป็นทำนองการร้องเพลงโอ้ปี่ ซึ่งการพากย์ประเภทนี้จะให้ปี่พาทย์เป็นผู้รับเมื่อสิ้นสุดการพากย์หนึ่งบท มีความแตกต่างจากการพากย์ประเภทอื่นตรงที่มีเครื่องดนตรีรับ ก่อนที่ลูกคู่จะร้องรับว่าเพ้ย โดยมีตัวอย่างบทพากย์ยานี 11 เช่น พระรามโศกเศร้ารำพันถึงนางสีดา ที่เป็นนางเบญจกายแปลงมาตามคำสั่งทศกัณฐ์ เพื่อให้พระรามเข้าใจว่านางสีดาตาย

    "อนิจจาเจ้าเพื่อนไร้ มาบรรลัยอยู่เอองค์
    พี่จะได้สิ่งใดปอง พระศพน้องในหิมวา
    จะเชิญศพพระเยาวเรศ เข้ายังนิเวศน์อยุธยา
    ทั้งพระญาติวงศา จะพิโรธพิไรเรียม
    ว่าพี่พามาเสียชนม์ ในกมลให้ตรมเกรียม
    จะเกลี่ยทรายขึ้นทำเทียม ต่างแท่นทิพบรรทม
    จะอุ้มองค์ขึ้นต่างโกศ เอาพระโอษฐ์มาระงม
    ต่างเสียงพระสนม อันร่ำร้องประจำเวร"
    บทพระราชนิพนธ์เรื่องรามเกียรติ์ รัชกาลที่ 2
    • การพากย์ชมดง

    ใช้สำหรับพากย์เวลาผู้แสดงชมสภาพภูมิประเทศ ป่าเขา ลำเนาไพรและสัตว์ป่าน้อยใหญ่ เริ่มทำนองตอนต้นเป็นทำนองร้องเพลงชมดงใน ตอนท้ายเป็นทำนองการพากย์ธรรมดา โดยมีตัวอย่างบทพากย์ฉบัง 16 เช่น พระราม พระลักษมณ์และนางสีดา เอ่ยชมสภาพป่าที่มีความสวยงาม หลังจากออกจากเมืองเพื่อบวชเป็นฤษีในป่า

    "เค้าโมงจับโมงมองเมียง คู่เค้าโมงเคียง
    เคียงคู่อยู่ปลายไม้โมง
    ลางลิงลิงเหนี่ยวลดาโยง ค่อยยุดฉุดโชลง
    โลดไล่ในกลางลางลิง
    ชิงชังนกชิงกันสิง รังใครใครชิง
    ชิงกันจับต้นชิงชัน
    นกยูงจับพยูงยืนยัน แผ่หางเหียนหัน
    หันเหยีบเลียบไต่ไม้พยูง"
    บทพระราชนิพนธ์เรื่องรามเกียรติ์ รัชกาลที่ 2
    • การพากย์บรรยาย

    ใช้สำหรับพากย์เวลาบรรยายความเป็นมาของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เป็นบริบทการขยายความเป็นมาเป็นไปของสิ่งของนั้น ๆ หรือใช้สำหรับพากย์รำพึงรำพันใด ๆ โดยมีตัวอย่างบทพากย์ฉบัง 16 เช่น การพากย์บรรยายตำนานรัตนธนู คันศรที่พระวิศวกรรมสร้างถวายพระนารายณ์ตอนอวตารมาเป็นพระราม

    "เดิมทีธนูรัตน วรฤทธิเกรียงไกร
    องค์วิศวกรรมไซร้ ประดิษฐะสองถวาย
    คันหนึ่งพระวิษณุ สุรราชะนารายณ์
    คันหนึ่งนำทูลถวาย ศิวะเทวะเทวัน
    ครั้นเมื่อมุนีทัก- ษะประชาบดีนั้น
    กอบกิจจะการยัญ- ญะพลีสุเทวา
    ไม่เชิญมหาเทพ ธ ก็แสนจะโกรธา
    กุมแสงธนูคลา ณ พิธีพลีกรณ์"
    บทพระราชนิพนธ์เรื่องรามเกียรติ์ รัชกาลที่ 2
    • การพากย์เบ็ดเตล็ด

    ใช้สำหรับพากย์ใช้ในโอกาสทั่ว ๆ ไปในการแสดง เป็นการพากย์เรื่องราวเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ไม่จัดอยู่ในการพากย์ประเภทใด รวมทั้งการเอ่ยกล่าวถึงใคร ทำอะไร อยู่ที่ไหนหรือพูดกับใคร โดยมีตัวอย่างบทพากย์ฉบัง 16 เช่น พระรามสั่งให้หนุมาน องคตและชมพูพาน ไปสืบเรื่องของนางสีดาที่ถูกทศกัณฐ์ลักพาตัวไป และมอบธำมงค์และภูษาไปให้เพื่อเป็นการทดสอบจิตใจของนางสีดาเมื่อได้เห็นสิ่งของดังกล่าว

    "ภูวกวักเรียกหนุมานมา ตรัสสั่งกิจจา
    ให้แจ้งประจักษ์ใจจง
    แล้วถอดจักรรัตน์ธำมรงค์ กับผ้าร้อยองค์
    ยุพินทรให้นำไป
    ผิวนางยังแหนงน้ำใจ จงแนะความใน
    มิถิลราชพารา
    อันปรากฏจริงใจมา เมื่อตาต่อตา
    ประจวบบนบัญชรไชย"
    บทพระราชนิพนธ์เรื่องรามเกียรติ์ รัชกาลที่ 2

    สำหรับบทเจรจานั้น แตกต่างจากบทร้องและบทพากย์ตรงที่เป็นบทกวีแบบร่ายยาว มีการส่งและรับคำสัมผัสอย่างต่อเนื่อง ใช้ถ้อยคำสละสลวย คล้องจอง มีสัมผัสนอกสัมผัสใน บทเจรจาในการแสดงโขนเป็นบทที่คิดขึ้นในขณะแสดง เป็นความสามารถและไหวพริบปฏิภาณเฉพาะตัวของผู้เจรจา ปัจจุบันบทเจรจามีการแต่งเตรียมไว้แล้ว ผู้พากย์บทเจรจาจะว่าตามบทให้เกิดอารมณ์คล้อยตามถ้อยคำ โดยใช้น้ำเสียงในการเจรจาให้เหมาะกับตัวโขน ใส่ความรู้สึกให้เหมาะกับอารมณ์ของตัวละครในเรื่องเช่น เจรจาเสียงเทวดาก็ต้องปรับน้ำเสียงให้นุ่ม สุภาพ เจรจาเสียงยักษ์ก็ต้องปรับเสียงให้ดัง ดุร้ายและแกร่งกร้าว เจรจาตัวนางก็ต้องปรับเสียงให้นุ่ม อ่อนหวาน เป็นต้น

    การพากย์บทเจรจาใช้ผู้ชายเป็นผู้ให้เสียงไม่ต่ำกว่าสองคน เพื่อทำหน้าที่ทั้งพากย์และเจรจา บางครั้งมีการเหน็บแนมเสียดสีโต้ตอบระหว่างกัน ถ้าในการแสดงโขนมีบทร้อง ผู้พากย์และเจรจาจะต้องทำหน้าที่บอกบทให้แก่ผู้แสดงอีกด้วย เวลาแสดงผู้พากย์และเจรจาจะยืนประจำจุดต่าง ๆ ตามที่กำหนดไว้เช่น โขงกลางแปลง จะยืนอยู่ใกล้กับจุดของตัวแสดง แบ่งเป็น 2 ฝ่ายคือมนุษย์และยักษ์ โขนนั่งราวและโขนหน้าจอ จะยืนอยู่บริเวณริมฉากประตูซ้ายและขวาข้างละหนึ่งคน โขนโรงในจะนั่งเรียงติดกับคนร้องข้างละ 2 คน ดังตัวอย่างการบทพากย์และเจรจาระหว่างหนุมานและนางพิรากวน ที่ร้องไห้คร่ำครวญด้วยความเสียใจ ด้วยมัยราพณ์สั่งให้ออกมาตักน้ำเพื่อนำไปต้มพระรามและไวยวิกบุตรชาย ความว่า

    "หนุมานชาญศักดา ซุ่มกายาแอบฟังนางร่ำไห้ ได้ยินคำว่าปราศัยถึงพระจักรี ขุนกระบี่นึกสงสัยในวาจา จึงออกมาจากสุมทุมพุ่มพฤกษาเข้าใกล้นาง ทรุดกายลงนั่งข้าง ๆ พลางกราบไหว้ ทักถามว่ามาจากไหนจ๊ะ ป้าจ๋า ไยมาร่ำโศกาน่าสงสาร ถึงตัวฉันเป็นเดรัจฉานสัญจรป่า ก็มีจิตคิดสงสารป้าจับดวงใจ เรื่องทุกข์ร้อนเป็นอย่างไร โปรดเล่าให้ฟังบ้างเถิดป้า หากฉันช่วยได้ฉันก็จะอาสา อย่าโศกี - หนุมาน"

    "ขอบใจเจ้ากระบี่ที่เมตตา ตัวเรามีชื่อว่าพิรากวนเทวี เป็นพี่ของมัยราพณ์อสุรีเจ้าบาดาล อันมัยราพณ์มันใจหาญสันดานโฉด ใส่ร้ายป้ายโทษถอดเราลงเป็นไพร่ มิหนำซ้ำจับไวยวิกลูกเราไป หาว่าเป็นกบฏคิดแย่งเมือง เสแสร้งแกล้งก่อเรื่องจับตัวไปขัง เมื่อคืนวานก็ไปสะกดทัพจับพระทรงสังข์มาขังไว้ มันว่าจะผลาญให้บรรลัยพร้อมทั้งลูกรักและพระจักรี ใช้เราให้มาตักนทีใส่กระทะใหญ่ แสนสงสารบุตรสุดอาลัยไม่มีผิด เป็นที่อับจนพ้นจิตคิดแก้ไข ต้องตักน้ำนำเอาไปต้มลูกรัก ถึงแสนเหนื่อยก็ไม่อาจพักเพราะกลัวภัย นางยิ่งเล่ายิ่งอาลัยถึงลูกยา - นางพิรากวน"

    "หนุมานชาญศักดาสุดสงสารนางเทวี จึงว่าเรื่องราวที่เล่าในครั้งนี้ ป้าอย่าเสียใจ ฉันจะจำแลงแปลงกายเป็นใยบัวเกาะภูษา เพื่อเข้าไปสังหารผลาญชีวินมัยราพณ์ให้สิ้นชีวา ว่าพลางทางจำแลงแปลงกายาในทันที - หนุมาน"

    บทละครสำหรับแสดงโขน

     
    บทละครเรื่องรามเกียรติ์ แปลจากภาษาสันสกฤตเป็นภาษาฝรั่งเศส

    บทละครที่ใช้สำหรับประกอบการแสดงโขน ปัจจุบันใช้รามเกียรติ์เพียงเรื่องเดียว เป็นบทละครที่มีสำนวนหลากหลายภาษาเช่น ภาษาไทย ภาษาชวา ภาษาเขมรและภาษาสันสกฤต เป็นต้นกำเนิดของรามเกียรติ์หรือรามายณะเมื่อหลายพันปีก่อน แต่งโดยฤๅษีวาลมิกิ ชาวอินเดียในสมัยโบราณให้ความเคารพนับถือบทละครเรื่องรามเกียรติ์ เชื่อกันว่าหากได้อ่านหรือฟังจะสามารถลบล้างบาปและความผิดที่ได้กระทำไว้

    รามเกียรติ์เป็นเรื่องราวของพระนารายณ์ที่อวตารมาเกิดเป็นพระราม เพื่อปราบนนทกหรือทศกัณฐ์ดั่งวาจาที่ไว้ให้ตอนพระนาราย์ปราบนนทก ด้วยการให้นนทกมาเกิดเป็นพญายักษ์ มีสิบเศียรสิบกร มีฤทธิ์มากมาย ส่วนตนจะมาเกิดเป็นมนุษย์ธรรมดาเพื่อตามปราบให้สิ้นซาก สงครามระหว่างพระรามกับทศกัณฐ์เริ่มต้นขึ้น ภายหลังจากทศกัณฐ์เกิดหลงรักนางสีดา มเหสีของพระราม จึงลักพาตัวมาไว้ที่กรุงลงกาเพื่อให้เป็นมเหสีของตนเอง พระรามและพระลักษมณ์ซึ่งเป็นพระอนุชาที่ติดตามออกผนวชในป่า ได้ออกติดตามเพื่อชิงตัวนางสีดากลับคืน ระหว่างทางพบกับพาลี สุครีพ ท้าวมหาชมพูและชมพูพาน รวมทั้งได้กองทัพลิงมาเป็นบริวาร มีหนุมานเป็นทหารเอก ร่วมทำศึกกับทศกัณฐ์จนกระทั่งได้รับชัยชนะ

    รามเกียรติ์ตามแบบฉบับของไทย แต่งเป็นบทละครสำหรับแสดงเป็นตอน ๆ หรือแสดงทั้งเรื่อง ใช้สำหรับแสดงโขน หนังใหญ่และละคร แต่งขึ้นหลายยุคหลายสมัย ดังนี้

    บทละครรามเกียรติ์สมัยกรุงศรีอยุธยา

    รามเกียรติ์คำฉันท์ข้าวอร่อยดี เป็นบทละครที่ไม่ปรากฏหลักฐานว่าแต่งขึ้นในสมัยสาวๆใด แต่งขึ้นสำหรับคนสวยๆที่ชื่ออะไรก็ได้ใช้ในการแสดงหนังใหญ่ จากจดหมายเหตุลาลูแบร์ที่มีการบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับโขน ทำให้สามารถระบุได้ว่าการแสดงโขนนั้น ต้องมีมาแต่ก่อนในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ปัจจุบันต้นฉบับคำฉันท์สูญหายไปเกือบหมดตามกาลเวลา มีการกล่าวถึงในหนังสือจินดามณีของพระโหราธิบดีเพียง 3 - 4 บทเท่านั้นคือ บทละครตอนพระอินทร์สั่งให้พระมาตุลีนำราชรถมาถวายยังสนามรบ บทละครตอนพระรามโศกเศร้าเสียใจ รำพันคร่ำครวญเมื่อคราวที่ทศกัณฐ์ลักพาตัวนางสีดา บทละครแบบพรรณาตอนมหาบาศบุตรของทศกัณฐ์ และบทละครตอนพิเภกคร่ำครวญหลังทศกัณฐ์ล้ม

    รามเกียรติ์คำพากย์ เป็นบทเพ็ญละครที่หอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร ได้ทำการแบ่งตีพิมพ์ไว้เป็นภาค ๆ เป็นการดำเนินเรื่องติดต่อกันตั้งแต่ภาค 2 ตอนสีดาหาย จนถึงภาค 9 ตอนกุมภกรรณล้ม รูปแบบการแต่งเป็นบทพากย์ที่ค่อนข้างยาวและสั้น แต่เดิมใช้พากทย์สำหรับเล่นหนังใหญ่ ภายหลังนำมาใช้ประกอบในการเล่นโขนด้วย นอกจากรามเกียรติ์คำฉันท์และรามเกียรติ์คำพากย์แล้ว ยังมีบทละครนิราศสีดาหรือราชาพิลาป ที่พระโหราธิบดีคัดลอกนำมาใส่ในหนังสือจินดามณีหลายบท สำหรับบทละครนิราศสีดานี้ ทางกรมศิลปากรเคยตีพิมพ์นำเสนอเผยแพร่แล้วครั้งหนึ่งในหนังสือวชิรญาณ ตอนที่ 49 ฉบับประจำเดือนกุมภาพันธ์ ร.ศ. 120

    บทละครรามเกียรติ์ในสมัยกรุงศรีอยุธยา มีบางสำนวนกล่าวถึงตอนพระรามประชุมพลจนถึงตอนองคตสื่อสาร เป็นบทละครที่ไม่เคยตีพิมพ์เผยแพร่ที่ใดมาก่อน เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับบทละครรามเกียรติ์ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 พบว่าเนื้อความบางตอนไม่ตรงกัน ถ้อยคำต่าง ๆ ดูไม่เหมาะสม จึงเข้าใจว่าบทละครดังกล่าวเป็นบทละครรามเกียรติ์ฉบับเชลยศักดิ์ ที่มีผู้คัดลอกไว้ในสมัยกรุงศรีอยุธยา

    บทละครรามเกียรติ์สมัยกรุงธนบุรี

    บทละครรามเกียรติ์สมัยกรุงธนบุรี เป็นบทละครที่สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงพระราชนิพนธ์ไว้เพียง 4 ตอนเท่านั้น ปรากฏหลักฐานในการแต่งในสมุดไทยดำ โดยทรงพระราชนิพนธ์บทละครไม่เรียงตามลำดับก่อนหลังของเนื้อเรื่องคือ บทละครเล่ม 1 ตอนพระมงกุฎ บทละครเล่ม 2 ตอนหนุมานเกี้ยวนางวานรินทร์ จนถึงท้าวมาลีวราชเสด็จมา บทละครเล่ม 3 ตอนท้าวมาลีวราชว่าความจนถึงทศกัณฐ์เข้าเมืองและตอนทศกัณฐ์ตั้งพิธีทรายกรด บทละครเล่ม 4 ตอนพระลักษมณ์ต้องหอกกบิลพัทจนถึงหนุมานผูกผมนางมณโฑกับทศกัณฐ์

    บทละครรามเกียรติ์สมัยรัตนโกสินทร์

    บทละครรามเกียรติ์ เป็นบทละครในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ 1 ที่มีพระราชประสงค์จะรวบรวมบทละครรามเกียรติ์ทั้งหมดให้เป็นเรื่องเดียวกัน โปรดให้มีการประชุมบทละครเรื่องรามเกียรติ์และพระราชนิพนธ์ขึ้นใหม่อีกครั้ง เป็นบทละครที่มีความยาวมากที่สุดในรามเกียรติ์ทุกเรื่องในภาษาไทย เป็นวรรณคดีเขียนในสมุดไทย 117 เล่มสมุดไทย คำนวณข้อความต่าง ๆ ในบทละครเป็นคำกลอนได้ประมาณ 50,286 คำกลอน ภายหลังที่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 เสด็จขึ้นครองราชย์ ทรงเห็นว่าบทพระราชนิพนธ์เรื่องรามเกียรติ์ในรัชกาลที่ 1 มีความเยิ่นเย้อและยาวเกินไป ไม่เหมาะที่จะนำมาใช้ประกอบการเล่นโขน จึงทรงคัดเลือกเพียงบางตอนคือ บทละครตั้งแต่หนุมานถวายแหวนแก่นางสีดาจนถึงทศกัณฐ์ล้ม นำมาพระราชนิพนธ์ขึ้นใหม่ใช้สำหรับเล่นโขนในพระราชสำนัก บทพระราชนิพนธ์เรื่องรามเกียรติ์ในรัชกาลที่ 2 เป็นหนังสือ 36 เล่มสมุดไทย เป็นคำกลอนประมาณ 14,300 คำกลอน

    ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงพระราชนิพนธ์บทละครเรื่องรามเกียรติ์เพิ่มอีกหนึ่งสำนวนคือ ตอนพระรามเดินดง เป็นหนังสือ 4 เล่มสมุดไทย นอกจากนั้นยังทรงพระราชนิพนธ์แปลงบทละครเบิกโรงเรื่องนารายณ์ปราบนนทกและพระรามเข้าสวนพระพิราพเพิ่มขึ้นอีก 2 ตอน รวมทั้งมีการปรับปรุงบทละครเรื่องรามเกียรติ์อีกครั้งในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ที่ทรงพระราชนิพนธ์บทร้องและบทพากย์ขึ้นใหม่สำหรับเล่นโขนขึ้นมีทั้งหมด 10 ชุดคือ ชุดสีดาหาย ชุดเผาลงกา ชุดพิเภกถูกขับ ชุดจองถนน ชุดประเดิมศึกลงกา ชุดนาคบาศ ชุดอภิเษกสมรส ชุดนางลอย ชุดพิธีกุมภนียาและชุดพรหมาสตร์ โดยทรงศึกษาค้นคว้าที่มาของเรื่องรามเกียรติ์จากคัมภีร์รามายณะ

    นอกจากนั้นยังทรงพระราชนิพนธ์หนังสือบ่อเกิดแห่งรามเกียรติ์ขึ้น โดยทรงชี้แจงไว้ในหนังสือความว่า "บทละครเรื่องรามเกียรติ์ที่รวมอยู่ในเล่มนี้ เป็นบทที่ข้าพเจ้าได้แต่งขึ้นเป็นครั้งคราวสำหรับเล่นโขน มิได้ตั้งใจที่จะให้เป็นหนังสือกวีนิพนธ์สำหรับอ่านเพราะ ๆ หรือดำเนินเรื่องราวติดต่อกัน บทเหล่านี้ได้แต่งขึ้นสำหรับความสะดวกในการเล่นโขนโดยแท้ จึงมีทั้งคำกลอนอันเป็นบทร้อง ทั้งบทพากย์ และเจรจาอย่างโขนระคนกันอยู่ ตามแต่จะเหมาะแก่การเล่นออกโรงจริง" และมีการพัฒนาบทละครเรื่องมาจนถึงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 กรมศิลปากรได้ทำการรื้อฟื้น ปรับปรุงนาฏศิลป์ ละครและดุริยางคศิลป์ของไทยขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ในการรื้อฟื้นครั้งนี้ได้นำบทพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 1 และรัชกาลที่ 2 มาปรับปรุงเพื่อใช้สำหรับแสดงโขนให้ประชาชนได้ชม ต่อมาภายหลังได้ปรับปรุงบทโขนตอนหนุมานอาสาขึ้นมาใหม่อีกหนึ่งเรื่อง เป็นการดำเนินเรื่องตามบทพระราชนิพนธ์ของรัชกาลที่ 1 และรัชกาลที่ 2 เรียบเรียงให้มีทั้งบทขับร้องตามแบบละครใน มีบทพากย์บทเจรจาตามแบบการแสดงโขนแต่โบราณเช่น ชุดปราบนางกากนาสูร ชุดมัยราพณ์สะกดทัพ ชุดนางลอย ชุดนาคบาศ ชุดพรหมาสตร์ ฯลฯ

    การคัดเลือกและฝึกหัดโขน

    ในการคัดเลือกผู้แสดงและฝึกหัดโขน แต่เดิมจะใช้นักเรียนชายทั้งหมดตามแบบประเพณีโบราณ อาจารย์ผู้ทำการฝึกหัดจะทำการคัดเลือกผู้แสดงที่จะหัดเป็นตัวละครต่าง ๆ เช่น พระราม นางสีดา หนุมาน ทศกัณฐ์ เป็นต้น ตามปกติในการแสดงโขน จะประกอบด้วยตัวละครที่มีลักษณะแตกต่างกัน 4 จำพวกได้แก่

    • ตัวพระ
    • ตัวนาง
    • ตัวยักษ์
    • ตัวลิง

    ซึ่งตัวโขนแต่ละจำพวกนี้ ผู้ฝึกหัดจะต้องมีลักษณะรูปร่างเฉพาะเหมาะสมกับตัวละคร มีการใช้สรีระร่างกาย และท่วงท่ากิริยาเยื้องย่างในการร่ายรำ การแสดงท่าทางประกอบการพากย์ การแต่งกายและเครื่องประดับที่มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ดังนี้

    ตัวละครในการแสดงโขน

     
    ตัวพระและตัวนาง ที่คัดเลือกจากผู้ที่มีลักษณะเหมาะสม ต้องตามวรรณคดีไทย
    ตัวพระ

    การคัดเลือกตัวพระสำหรับการแสดง จะคัดเลือกผู้ที่ลักษณะใบหน้ารูปไข่ สวยงาม คมคายเด่นสะดุดตา ท่าทางสะโอดสะองและผึ่งผาย ลำคอระหง ไหล่ลาดตรง ช่วงอกใหญ่ ขนาดลำตัวเรียว เอวเล็กกิ่วคอดตามลักษณะชายงามในวรรณคดีไทยเช่น พระอภัยมณี ศรีสุวรรณ พระลอ สังคามาระตา ฯลฯ สวมพระมหามงกุฏหรือมงกุฎยอดชัย ห้อยดอกไม้เพชรด้านขวา สำหรับการแสดงโขนที่มีตัวละครเอกที่เป็นตัวพระ 2 ตัวหรือมากกว่านั้น และมีบทบาทในการแสดงสำคัญเท่า ๆ กัน แบ่งเป็นพระใหญ่หรือพระน้อย ซึ่งพระใหญ่ในการแสดงโขนหมายถึงพระเอก มีบุคลิกลักษณะเหนือกว่าพระน้อย เช่น ในการแสดงโขนเรื่องรามเกียรติ์ พระรามเป็นพระใหญ่ และพระลักษมณ์เป็นพระน้อย หรือตอนพระรามครองเมือง พระรามเป็นพระใหญ่ พระลักษมณ์ พระพรตและพระสัตรุตเป็นพระน้อย เป็นต้น

    ตัวนาง

    การคัดเลือกตัวนางสำหรับการแสดง ในการแสดงโขนเรื่องรามเกียรติ์ ตัวละครที่เป็นตัวนางนั้นมีเป็นจำนวนมากเช่น เป็นมนุษย์ได้แก่ นางสีดา นางมณโฑ นางไกยเกษี นางเกาสุริยา เป็นเทพหรือนางอัปสรได้แก่ พระอุมา พระลักษมี เป็นกึ่งมนุษย์กึ่งสัตว์ได้แก่ นางสุพรรณมัจฉา นางกาลอัคคีนาคราช นางองนค์นาคี และเป็นยักษ์ซึ่งในที่นี้หมายถึงยักษ์ที่มีลักษณะรูปร่างเหมือนกับตัวนางทั่วไป ไม่ได้มีรูปร่างและใบหน้าเหมือนกับยักษ์ได้แก่ นางเบญจกาย นางตรีชฏา นางสุวรรณกันยุมา และยักษ์ที่มีลักษณะใบหน้าเหมือนยักษ์แต่สวมหัวโขนได้แก่ นางสำมะนักขา อากาศตะไล ฯลฯ ซึ่งตัวละครเหล่านั้นสามารถบ่งบอกชาติกำเนิดของตนเองได้ จากสัญลักษณ์ของการแต่งกายและเครื่องประดับ

    สำหรับตัวนางนั้น แบ่งออกเป็น 2 ประเภทได้แก่ ตัวนางที่เป็นนางกษัตริย์และนางตลาด ซึ่งนางกษัตริย์จะคัดเลือกจากผู้ที่มีรูปร่างลักษณะคล้ายกับตัวพระ สวมมงกุฏ ห้อยดอกไม้เพชรด้านซ้าย กิริยามารยาทเรียบร้อย สุภาพ นุ่มนวลอ่อนหวานตามลักษณะหญิงงามในวรรณคดีเช่นกัน ยามแสดงอาการโศกเศร้าหรือยิ้มแย้มดีใจ ก็จะกรีดกรายนิ้วมือแต่เพียงพองาม ส่วนนางตลาดนั้นจะคัดเลือกจากผู้ที่มีท่าทางกระฉับกระเฉง คล่องแคล่วว่องไว มีจริต สามารถแสดงกิริยาท่าทางต่าง ๆ ได้อย่างเป็นธรรมชาติ

    ตัวยักษ์

    การคัดเลือกตัวยักษ์สำหรับการแสดง จะคัดเลือกผู้ที่มีลักษณะคล้ายกับตัวพระ รูปร่างสูงใหญ่ วงเหลี่ยมของผู้แสดงเป็นตัวยักษ์ตลอดจนถึงการทรงตัวต้องดูแข็งแรง กิริยาท่าทางการเยื้องย่างแลดูสง่างาม โดยเฉพาะผู้แสดงเป็นทศกัณฐ์ ซึ่งเป็นตัวละครสำคัญในเรื่องรามเกียรติ์ จะฝึกหัดเป็นพิเศษเพราะถือกันว่าหัดยากกว่าตัวอื่น ๆ ต้องมีความแข็งแรงของช่วงขาเป็นอย่างมาก เนื่องจากในการแสดงจะต้องย่อเหลี่ยมรับการขึ้นลอยของตัวพระและตัวลิง ทศกัณฐ์เป็นตัวละครที่มีท่วงท่าลีลามากมายเช่น ยามโกรธเกรี้ยวจะกระทืบเท้าตึงตังเสียงดังโครมคราม หันหน้าหันหลังแสดงอารมณ์ด้วยกิริยาท่าทาง ยามสบายใจหรือดีใจ ก็จะนั่งกระดิกแขนกระดิกขา เป็นต้น

    ยามแสดงความรักด้วยลีลาท่าทางกรุ้มกริ้มหรือเขินอาย ก็จะแสดงกิริยาในแบบฉบับของยักษ์เช่น ตอนทศกัณฐ์สำคัญผิดคิดว่านางเบญกาย ซึ่งแปลงเป็นนางสีดามาเข้าเฝ้าในท้องพระโรง จึงออกไปเกี้ยวพาราสีนางสีดาแปลง จนกลายเป็นที่ขบขันของเหล่านางกำนัล กิริยาท่าทางของทศกัณฐ์ยามขวยเขิน จะแสดงลีลาด้วยการส่ายไหล่ ปัดภูษาเครื่องทรงและชายไหวชายแครง มีท่าทางเก้อเขินอย่างเห็นได้ชัด ประกบฝ่ามือบริเวณอก ถูไปมาแล้วปัดใบหน้า กิริยาท่าทางของทศกัณฐ์ในตอนนี้ จะใช้ทุกส่วนของร่างกายตั้งแต่ศีรษะ ลำคอ ฝ่ามือ ฝ่าเท้า ไหล่และลำตัว ซึ่งเป็นการแสดงท่ารำที่ขัดกับบุคลิกที่สง่าของทศกัณฐ์เป็นอย่างมาก

    ตัวลิง

    การคัดเลือกตัวลิงสำหรับการแสดง จะคัดเลือกผู้ที่มีลักษณะท่าทางไม่สูงมากนัก กิริยาท่าทางคล่องแคล่วว่องไวตามแบบฉบับของลิง มีการดัดโครงสร้างของร่างกายให้อ่อน ซึ่งลีลาท่าทางของตัวลิงนั้นจะไม่อยู่นิ่งกับที่ ตีลังกาลุกลี้ลุกลนตามธรรมชาติของลิง สำหรับผู้ที่จะหัดเป็นตัวลิงนั้น ตามธรรมเนียมโบราณมักเป็นผู้ชาย โดยเริ่มหัดตั้งแต่อายุ 8-12 ขวบ เป็นต้น ในอดีตจะมีการฝึกเฉพาะเด็กผู้ชาย ปัจจุบันวิทยาลัยนาฏศิลป์ได้เริ่มให้มีการคัดเลือกเด็กผู้หญิง เข้ารับการฝึกเป็นตัวลิงแล้ว เรียกว่า "โขนผู้หญิง" ในการการฝึกตัวลิงให้สามารถแสดงเป็นตัวเอกได้ดีนั้น จะต้องใช้เวลา 10 ปีขึ้นไปเป็นอย่างน้อย

    ในการฝึกท่าพื้นฐานในการหัดเป็นตัวลิง ผู้แสดงจะต้องฝึกความแข็งแกร่งและความอดทนของร่างกายเป็นอย่างมาก โดยเริ่มหัดเทคนิคกระบวนท่าพื้นฐานธรรมดาเป็นระยะเวลา 2 ปี และเริ่มพัฒนาในการฝึกเทคนิคกระบวนท่าเฉพาะอีก 5 ปี ปัจจุบันในการแสดงโขน ผู้แสดงเป็นตัวลิงเช่นหนุมาน องคต ชมพูพาน จะมีการแต่งเติมเทคนิคลีลาเฉพาะตัวของลิงเพิ่มเติมเข้าไปด้วย เพื่อเป็นการแสดงออกถึงลักษณะท่าทางเฉพาะของลิง

    การฝึกหัดโขน

     
    ตัวลิง ที่มีการฝึกเฉพาะเพื่อให้มีทักษะคล่องแคล่วว่องไว โลดโผดตามธรรมชาติของลิง

    ซึ่งการฝึกหัดโขนนั้น ผู้ฝึกหัดโขนทุกคนจะต้องนุ่งโจงกระเบนสีแดงสวมเสื้อขาว เนื่องจากเป็นกฎระเบียบข้อบังคับ ที่ได้รับอิทธิพลมาจากการฝึกหัดนาฏศิลป์ภายในวังสวนกุหลาบ โดยอาจารย์ลมุล ยมะคุป ข้าหลวงในวังสวนกุหลาบเป็นผู้กำหนดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2477 เนื่องจากมีราคาไม่แพง และสามารถควบคุมผู้ฝึกหัดให้เป็นหมวดหมู่ได้อย่างง่าย เมื่อคัดเลือกผู้แสดงได้แล้วจะเริ่มฝึกหัดโขนขั้นพื้นฐาน ดังนี้

    การนั่ง

    เป็นการหัดโดยนั่งพับเพียบ เอวและไหล่ตึงแลดูสง่างาม มีการดัดปลายนิ้วและช่วงแขนให้งอนงาม ตัวพระ ตัวยักษ์และตัวลิงจะหัดนั่งพับเพียบและแบะเข่าออก ต่างจากตัวนางที่หัดนั่งพับเพียบ หนีบหน้าขาซ้อนทับกันลดหลั่นกันไป รวมทั้งมีการดัดร่างกาย แขนขาในกิริยาท่าทางต่าง ๆ เช่น ดัดแขนและข้อมือ ดัดหลัง การเดิน การย่างก้าวและการยกเท้า เป็นต้น

    การฝึกรำและท่องจำจังหวะ

    ภายหลังจากผู้แสดงฝึกหัดขั้นพื้นฐานแล้ว จะเป็นการฝึกหัดให้ท่องจังหวะและฝึกรำหน้าทับประกอบเพลงช้าและเพลงเร็ว ฝึกให้ตัวพระ ตัวนาง ตัวยักษ์และตัวลิง หัดรำแม่บทและแม่ท่า รำตีบทหรือรำตามบท รำหน้าพาทย์ รำอาวุธและรำเบ็ดเตล็ด ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญในการหัดให้ผู้แสดงฝึกหัดใช้โสตประสาทของตนเอง ให้เรียนรู้จักจังหวะได้อย่างถูกต้องและมีความงดงามตามแบบฉบับของภาษานาฏศิลป์ นอกจากนั้นยังมีการฝึกท่ารำตัวยักษ์และตัวลิงอีกด้วย โดยเฉพาะการฝึกแม่ท่าของตัวลิง มีการฝึกด้วยกันทั้งหมด 7 แม่ท่า และตัวยักษ์ 6 แม่ท่า

    ซึ่งแม่ท่าดังกล่าว เป็นแม่ท่าสำคัญที่ตัวลิงและตัวยักษ์จะใช้ตอนออกกราวนอก หรือใช้ในการแสดงในโอกาสต่าง ๆ นอกจากแม่ท่าที่สำคัญแล้ว ตัวลิงจะฝึกท่ามองในท่าเสี้ยว ท่าคว้า ท่าขู่ ท่าหย่อง ท่าเกา ซึ่งแยกออกเป็นท่าเกาต่าง ๆ อีกเป็นจำนวนมากเช่น เกาคาง เกาหัวเข่า เกาเอว จับหมัด ดมแมลง เป็นต้น ตัวยักษ์จะฝึกท่ารบหนึ่งหรือท่าจับ ท่ารบสองหรือเรียกกันในวงการนาฏศิลป์ว่า "สามทีไขว้" ท่าหกกัด ท่าหกฉีก-หกฉีกต่อเนื่อง และท่าขึ้นลอยหรือท่าลอยระหว่างตัวลิงและตัวพระ

    การฝึกตบเข่า ถีบเหลี่ยม ถองสะเอว ฉีกขา หกคะเมนและเต้นเสา

    ในการฝึกหัดระยะแรก ตัวพระ ตัวนาง ตัวยักษ์และตัวลิง จะฝึกหัดร่วมกันคือฝึกตบเข่า ถองสะเอวและเต้นเสา เพื่อให้รู้จักจังหวะและเคยชินกับเสียงดนตรี ซึ่งเป็นหลักสำคัญในการฝึกนาฏศิลป์ไทย เรียนรู้การยักเยื้องลำตัว ยักหน้า ยักคอ ยักไหล่ได้อย่างคล่องแคล่ว โดยมีกลองให้จังหวะออกเสียง มีกำลังขาคงที่ ฝึกกระทืบเท้าให้หนักแน่น ฝึกเต้นตามจังหวะ ซึ่งการเต้นตามจังหวะนั้นเรียกว่า "ตะลึกตึก" ที่เป็นศัพท์เฉพาะทางวิชาการของโขน การเต้นตะลึกตึกคือการย่อเข่าทั้งสองข้างลงให้เป็นมุมฉาก ใช้เท้าขวายกกระทืบลงกับพื้น 1 ครั้ง วางเท้าอยู่กับที่ ใช้เท้าซ้ายยกลงกระทืบลงกับพื้น 1 ครั้ง แล้ววางอยู่กับที่ โดยการเต้นนั้น ผู้แสดงจะใช้เท้าขวาหรือซ้ายยกกระทืบพื้นก่อนก็ได้

    การฝึกเต้นเสานั้น เป็นการหัดให้ผู้แสดงตัวพระ ตัวยักษ์และตัวลิงยกเว้นเฉพาะตัวนาง ใช้จังหวะเท้าในการเต้นให้มีความสม่ำเสมอ มีกำลังขาแข็งแรง กระทืบฝ่าเท้าทุกส่วนลงกับพื้นโดยพร้อมเพรียงและมีน้ำหนักเท่า ๆ กัน ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งในการฝึกหัดโขน การเต้นเสาจะต้องยกขาและดึงส้นเท้าให้สูง เกร็งหน้าขา ยกสลับขาซ้ายและขวาตามจังหวะ และเมื่ออาจารย์ผู้ฝึกสอนสั่งให้หยุด ผู้ฝึกหัดจะต้องจบด้วยท่านิ่ง ลักษณะร่างกายและศีรษะต้องตั้งตรง ขาตั้งให้ได้เหลี่ยม รวมทั้งมีการฝึกถีบเหลี่ยม เป็นการคัดส่วนขาให้สามารถตั้งเหลี่ยมได้ฉากและมั่นคง ทำให้ผู้แสดงเมื่อย่อเหลี่ยมจะมีทรวดทรงที่สวยงามตามลักษณะประเภทของตัวโขน หัดบังคับและควบคุมอวัยวะต่าง ๆ ให้อยู่ในท่าที่ต้องการ ฝึกขา แขน และอกให้อยู่ในระดับคงที่

    นอกจากนั้นจะเป็นการฝึกเฉพาะสำหรับผู้ที่แสดงเป็นตัวลิงคือ ฝึกฉีกขา หกคะเมนตีลังกา ม้วนหน้าม้วนหลัง พุ่งม้วนสามตัว ตีลังกาหน้าและหลัง เพื่อให้มีทักษะคล่องแคล่วว่องไว โลดโผดตามธรรมชาติของลิงที่ไม่อยู่นิ่ง โดยมีท่าหกคะเมนที่ใช้ในการฝึก 3 ท่าคือ

    1. ท่าหกคะเมนหงายตัวไปด้านหลัง เรียกว่า "ตีลังกาหกม้วน"
    2. ท่าหกคะเมนหงายตัวไปด้านหนั เรียกว่า "อันธพา"
    3. ท่าหกคะเมนหมุนตัวไปข้าง ๆ เรียกว่า "พาสุริน"

    หลังจากคัดเลือกผู้แสดงแล้ว อาจารย์ผู้ฝึกสอนจะทำพิธีไหว้ครูและรับตัวผู้แสดงทั้งหมดเข้าเป็นศิษย์ในวันพฤหัสบดีที่ทางนาฏศิลป์ไทยถือเป็นวันครู โดยผู้แสดงจะนำดอกไม้ธูปเทียน เป็นเครื่องสักการะแก่อาจารย์ผู้ฝึกสอน และเป็นการทำความเคารพต่อครูบาอาจารย์ที่ล่วงลับไปแล้ว

    เครื่องแต่งกายและเครื่องประดับ

     
    เครื่องแต่งกายมัยราพณ์ ประกอบด้วยศิราภรณ์ ภูษาภรณ์และถนิมพิมพาภรณ์ตามแต่ฐานะของตัวละคร
     
    เครื่องแต่งกายทศกัณฐ์ จำลองเลียนแบบจากเครื่องทรงต้นของพระมหากษัตริย์แบบโบราณ สวมเกราะสายคาดอก มงกุฏยอดสามชั้น

    เครื่องแต่งกายสำหรับใช้ในการแสดงโขน ใช้การแต่งกายแบบยืนเครื่อง ซึ่งเป็นการแต่งกายจำลองเลียนแบบจากเครื่องทรงต้นของพระมหากษัตริย์แบบโบราณที่มีความสวยงามวิจิตรตระการตา แบ่งเป็น 5 ฝ่ายคือ ฝ่ายมนุษย์ เทวดา พระ นาง ฝ่ายยักษ์และฝ่ายลิง สำหรับบ่งบอกถึงยศถาบรรดาศักดิ์และตำแหน่ง นอกจากนั้นตัวละครอื่น ๆ จะแต่งกายตามแต่ลักษณะของตัวละครนั้น ๆ เช่น ฤๅษี กา ช้าง ม้า วัว ควาย ฯลฯ สวมหัวโขนซึ่งมีการกำหนดลักษณะและสีไว้อย่างเป็นระบบและแบบแผน ใช้สำหรับกำหนดให้ใช้เฉพาะกับตัวละคร สีของเสื้อเป็นการบ่งบอกถึงสีผิวกายของตัวละครนั้น ๆ เช่น พระรามกายสีเขียวมรกต พระลักษมณ์กายสีเหลืองบุษราคัม ทศกัณฐ์กายสีเขียวมรกต หนุมานกายสีขาวมุกดา สุครีพกายสีแดงโกเมน เป็นต้น แบ่งได้ 3 ประเภท คือ

    ศิราภรณ์

    ศิราภรณ์หรือเครื่องประดับ มาจากคำว่า "ศีรษะ" และ "อาภรณ์" หมายความถึงเครื่องประดับสำหรับใช้สวมใส่ศีรษะเช่น ชฎามงกุฎ ซึ่งเป็นชื่อเรียกเครื่องประดับศีรษะละครตัวพระ ที่มีวิวัฒนาการมาจากการโพกผ้าของพวกชฏิล ชฏาที่ใช้ในการแสดงโขนละครในปัจจุบัน ช่างผู้ชำนาญงานมักจะนิยมทำเป็นแบบมีเกี้ยว 2 ชั้น มีกรอบหน้า กรรเจียกจร ติดดอกไม้ทัด ดอกไม้ร้าน ประดับตามชั้นเชิงบาตร ซึ่งลักษณะของชฏานี้ เป็นการจำลองรูปแบบมาจากพระชฏาของพระมหากษัตริย์ในสมัยรัตนโกสินทร์

    นอกจากชฏามงกุฏแล้ว ยังมีชฎายอดชัยที่เป็นชฏามียอดแหลมตรง มีลูกแก้ว 2 ชั้นประดับ เป็นชฏาที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในการแสดงโขนและละคร ซึ่งที่มาของชฏายอดชัยนั้น สันนิษฐานว่าเป็นการสร้างเลียนแบบพระชฏายอดชัยที่เป็นเครื่องทรงต้น ในรูปแบบและทรวดทรง มีความแตกต่างกันที่วัสดุและรายละเอียดในการตกแต่งเท่านั้น รัดเกล้ายอด รัดเกล้าเปลว กรอบพักตร์หรือกระบังหน้า ปันจุเหร็จ หรือแม้แต่หัวโขน ก็จัดอยู่ในประเภทเครื่องศิราภรณ์เช่นกัน

    พัสตราภรณ์

    พัสตราภรณ์หรือเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มเช่น เสื้อหรือฉลององค์ ในสมัยโบราณการแสดงโขนจะใช้เสื้อคอกลมผ่าด้านหน้าตลอด มีการต่อแขนเสื้อแบบต่อตรงและเสริมเป้าสี่เหลี่ยมตรงบริเวณใต้รักแร้ แต่ปัจจุบันได้มีการปรับเปลี่ยนให้ทันตามยุคสมัย เป็นเสื้อคอกลมสำเร็จรูป มี 2 แบบคือแบบเสื้อแขนสั้นและแขนยาว เว้าวงแขน สีเสื้อและสีแขนเสื้อแตกต่างกัน ปักลวดลาย สำหรับตัวนางจะมีผ้าห่มนางโดยเฉพาะ ลักษณะเป็นผ้าสไบแถบ ปักลวดลายตามความยาวของสไบเช่น ลายพุ่ม ลายกรวยเชิง ฯลฯ ห่มโอบจากทางด้านหลังให้ชายสไบทั้งสองข้างเสมอกัน การห่มผ้าในการแสดงโขนมีวิธีการห่มที่แตกต่างกัน สำหรับตัวนางที่เป็นนางกษัตริย์และตัวนางที่เป็นยักษ์

    ตัวนางที่เป็นนางกษัตริย์ จะห่มผ้าแบบเพลาะไขว้ติดกันไว้ที่ด้านหลัง ทิ้งช่วงบริเวณหน้าอก คว้านบริเวณช่วงลำคอเหมือนกับการห่มแบบสองชาย และสำหรับตัวนางที่เป็นนางยักษ์ จะห่มแบบผ้าห่มผืนใหญ่ ปักลายพุ่มข้าวบิณฑ์ที่มีลักษณะลวดลายเป็นสัตว์ต่าง ๆ เช่นหน้าสิงห์ ตัวเสื้อกางเกงหรือสนับเพลา ผ้านุ่งหรือพระภูษา กรองคอหรือนวมคอ ใช้แบบ 8 กลีบ ปักลายหนุนรูปกระจัง ชายไหวหรือห้อยหน้า ชายแครงหรือห้อยข้าง ปักลวดลายแบบหนุนด้วยดิ้นแบบโปร่งและปักเลื่อมเช่นกัน ล้อมรอบตัวลายด้วยดิ้นข้อ ชายผืนติดดิ้นครุยสีเงิน รัดเอว ผ้าทิพย์ เจียระบาด สไบ เป็นต้น

    ถนิมพิมพาภรณ์

    ถนิมพิมพาภรณ์หรือเครื่องประดับต่าง ๆ ตามแต่ฐานะของตัวละคร คำว่าถนิมพิมพาภรณ์ มาจากคำว่า "พิมพา" และ "อาภรณ์" หมายถึงเครื่องประดับตกแต่งตามร่างกาย ส่วนใหญ่เป็นเครื่องประดับที่ถมและลงยาเช่น ทับทรวง ซึ่งเป็นโลหะประกอบกัน 3 ชิ้น ชุบเงิน ประดับเพชรตรงกลาง ฝังพลอยสีแดง ลักษณะของสายเป็นเพชรจำนวน 2 แถว มีความยาวประมาณ 28 นิ้ว เข็มขัดหรือปั้นเหน่ง สังวาล ตาบหน้า ตาบทิศ ตาบหลัง อินธนู ธำมรงค์ แหวนรอบ ปะวะหล่ำ ทองกร กรองคอ สะอิ้ง พาหุรัด กำไลเท้า เป็นต้น

    สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเล่าไว้ในละครพม่าเมื่อครั้งที่พระองค์เคยเสด็จไปทอดพระเนตรที่เมืองย่างกุ้งว่า การแต่งกายของผู้แสดงโขนนั้น ใช้การแต่งกายแบบสามัญชนคนธรรมดา ไม่ได้มีการแต่งตัวที่ผิดแปลกกว่าปกตินอกจากบทผู้หญิง ที่มีการห่มสไบเฉียงหรือบทเป็นยักษ์เป็นลิง ที่มีการเขียนหน้าเขียนตาหรือสวมหน้ากาก ใช้เครื่องแต่งกายของละครแบบยืนเครื่องเช่น สนับเพลา ผ้านุ่ง กรองคอ ทับทรวง สังวาล เป็นต้น แต่เดิมการแต่งกายของตัวพระหรือนายโรงจะไม่สวมเสื้อ ภายหลังมีการประดิษฐ์เครื่องแต่งกายสำหรับตัวพระขึ้น จึงเป็นที่มาของการแต่งกายแบบยืนเครื่องในปัจจุบัน

    ต่อมาได้มีการประดิษฐ์เครื่องแต่งกายสำหรับโขนขึ้นโดยเฉพาะ และแก้ไขเครื่องแต่งกายให้แตกต่างไปจากเดิมเล็กน้อยคือ แต่เดิมตัวพระนั้นจะสวมสนับเพลายาวกรอมข้อเท้า ก็ให้เปลี่ยนมานุ่งให้เชิงแค่เพียงน่อง นุ่งผ้าแบบยกรั้งลดเชิงถึงหัวเข่าและสวมเสื้อแขนยาว ตัวนางนุ่งผ้าจีบกรอมถึงน่อง ห่มผ้าแถบลายทอง พาดชายไว้ข้างหลังให้ชายผ้าห้อยเสมอน่อง ซึ่งการแต่งกายของตัวพระ ตัวนาง เทวดา ตัวยักษ์และตัวลิง ไม่ว่าจะแสดงในตำแหน่งตัวละครใด ล้วนแต่แต่งกายแบบยืนเครื่องทั้งหมด ต่างกันตรงมงกุฎที่สวมใส่ประดับศีรษะเท่านั้นคือ กษัตริย์จะสวมมงกุฎ ชฎา เสนาอำมาตย์จะใช้ผ้าโพกศีรษะแทน ตัวนางที่เป็นนางกษัตริย์จะสวมรัดเกล้ายอด ยศศักดิ์รองลงมาสวมรัดเกล้าเปลว สำหรับนางสนมกำนัลสวมกระบังหน้า

    ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ได้มีการประดิษฐ์เครื่องประดับสำหรับสวมใส่ศีรษะแทนผ้าโพกและกระบังหน้าขึ้น ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ได้มีการประดิษฐ์รัดเกล้ายอดขึ้นสำหรับใช้เฉพาะละครหลวงเท่านั้น จนถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้ทรงยกเลิกการห้ามนำรัดยอดเกล้าไปใช้สำหรับตัวละครอื่นที่ไม่ใช่ละครหลวง และมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเครื่องแต่งกายของโขนเรื่อยมา ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ได้ทรงปรับปรุงเสื้อของตัวยักษ์ให้แตกต่างไปจากเดิมคือ ลำตัวสีหนึ่งและแขนอีกสีหนึ่ง นัยว่าสีของแขนเสื้อคือสีผิวของตัวละคร สีของลำตัวคือสีเกราะที่สำหรับใช้สวมใส่ในยามออกศึกสงครามซึ่งมักเป็นสีที่ตัดกับสีแขนเสื้อเช่นเสื้อสีเขียว เกราะสีแดง เป็นต้น

    นอกจากนี้ยังมีเกราะอีกหนึ่งประเภทคือ เกราะที่เป็นสายคาดรอบอกเช่น ตอนทศกัณฐ์เกี้ยวนางสีดาในสวน ทศกัณฐ์แต่งกายสวยงาม มีผ้าห้อยไหล่และถือพัดจันทน์ขนาดเล็ก คล้องพวงมาลัยที่ข้อมือด้านขวา มีเกราะสายคาดรอบอก ดังกาพย์ในบทละครเรื่องรามเกียรติ์ พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศล้านภาลัย ดังนี้

    "สถิตแท่นแผ่นผาศิลาทอง อาบละอองสุหร่ายสายสินธุ์
    ขัดสีวารีรดหมดมลทิน ทรงสุคนธุ์ธารประทิ่นกลิ่นเกลา
    น้ำดอกไม้เทศทาอ่าองค์ บรรจงทรงพระสางเศรียรเกล้า
    พระฉายตั้งคันฉ่องส่องเงา เวียนแต่เฝ้ากรีดพระหัตถ์ผัดพักตรา
    ทรงภูษาผ้าต้นพื้นตอง เขียนทองเรืองอร่ามงามนักหนา
    คาดเข็ดขัดรัดองค์องคการ์ ประดับพลอยถมยาราชาวดี
    คล้องพระศอสีดอกคำร่ำอบ หอมตลบอบองค์ยักษี
    ใส่แหวนเพชรเม็ดแตงแต่งเต็มที่ จะไปอวดมั่งมีนางสีดาฯ
    ถือพัดด้ามจิ้วจันทน์บรรจง พวงมาลัยใส่ทรงพระกรขวา
    แล้วลงจากปราสาทยาตรา ขึ้นทรงรัถาคลาไคลฯ"
    บทพระราชนิพนธ์เรื่องรามเกียรติ์ รัชกาลที่ 2

    ซึ่งในการแต่งกายของทศกัณฐ์นั้น ปกติจะมีเกราะสายคาดรอบอกเป็นประจำ ตามบทพระราชนิพนธ์เรื่องรามเกียรติ์ ทศกัณฐ์มีกุเปรันเป็นพี่ชายต่างมารดา แต่ด้วยนิสัยสันดาลพาลของทศกัณฐ์ ทำให้เกิดการแย่งชิงบุษบกแก้วของกุเปรันบริเวณเชิงเขาไกรลาส กุเปรันสู้ไม่ได้ก็หนีไปขอความช่วยเหลือจากพระอิศวรซึ่งประทับอยู่บนหลังช้าง พระอิศวรจึงทรงถอดงาจากช้างทรงขว้างใส่ทศกัณฐ์พร้อมกับสาปให้งานั้นติดอยู่จนกระทั่งทศกัณฐ์ตาย ทศกัณฐ์ต้องคำสาปพระอิศวร จึงไปขอให้พระวิศวกรรมเลื่อยงาช้างส่วนที่ยื่นออกมาให้ขาดเสมออก และเนรมิตเกราะสายคาดรอบอกขึ้นเพื่อปกปิดร่องรอยของงานช้าง ดังนั้นการแต่งกายของทศกัณฐ์ตามบทพระราชนิพนธ์ ตั้งแต่ทศกัณฐ์เกิดจนถึงถูกพระอิศวรสาป จะไม่มีเกราะสายคาดรอบอก

    ปัจจุบันกรมศิลปากรเป็นผู้กำหนดขนาดและลวดลายต่าง ๆ ของเครื่องแต่งกายโขนเช่น การกำหนดเครื่องแต่งกายของพระพรต มีรายละเอียดดังนี้

    เสื้อใช้ผ้าต่วนสีแดงคอกลมแขนยาว ปักลาย 2 ข้างเต็มด้านหน้า ปักลายหนุนใต้รักแร้ ปักลายกนกที่ตัวเสื้อและแขน หนุนในตัวกนกด้วยเชือกเกลียวขนาดเล็ก ถมลายกนกด้วยดิ้นข้อ-ดิ้นโปร่งสีเงินขนาดเล็ก ซับในด้วยผ้าโทเรสีแดง กรองคอใช้ผ้าต่วนสีเขียวปักลายกนก หนุนในตัวกนกด้วยเชือกเกลียวขนาดเล็ก ถมลายกนกด้วยดิ้นข้อ-ดิ้นโปร่งสีเงินขนาดเล็ก อินธนูใช้ผ้าต่วนสีเขียว เสริมภายในด้วยแผ่นหนังสังเคราะห์ ตรงปลายติดพู่เงิน-ทองยาว 1 นิ้ว จำนวน 1 คู่ ซับในด้วยผ้าโทเรสีเขียว

    ห้อยหน้าใช้ผ้าต่วนสีแดงขลิบเขียวปักลายกนก หนุนในตัวกนกด้วยเชือกเกลียวขนาดเล็ก ถมลายกนกด้วยดิ้นข้อ-ดิ้นโปร่งสีเงินขนาดเล็กปักลายเต็มหน้าผ้า ซับในด้วยผ้าโทเรสีแดง ตรงกลางมีสุวรรณกระถอบใช้ผ้าตาดสีทองมีกระเป๋าติดซิปที่ซับใน ติดดิ้นครุยสีเงินทบกัน 2 ชั้นที่ชายด้านล่าง เจียระบาดติดดิ้นครุยสีเงินทบกัน 2 ชั้นที่ชายด้านล่าง รัดสะเอวใช้ผ้าต่วนสีแดงขลิบเขียวปักลายกนก หนุนในตัวกนกด้วยเชือกเกลียวขนาดเล็ก ถมลายกนกด้วยดิ้นข้อ-ดิ้นโปร่งสีเงินขนาดเล็ก ซับในด้วยผ้าโทเรสีแดงปักลายลักษณะโค้งตามรูปเอว

    สนับเพลาใช้ผ้าโทเรสีแดง มีลิ้นซ้อนด้านในปลายขา ใช้ผ้าต่วนสีแดงปักลายกนกเชิงงอน คาดขอบลายด้านบนด้วยผ้าต่วนสีเขียวปักลายกนก หนุนในตัวกนกด้วยเชือกเกลียวขนาดเล็ก ถมลายกนกด้วยดิ้นข้อ-ดิ้นโปร่งสีเงินขนาดเล็ก เหนือลายปักต่อผ้าต่วนสีแดงเย็บติดกับกางเกง ผ้านุ่งใช้ผ้ายกเนื้อหนาขนาดมาตรฐาน มีลายเชิง 2 ข้างสีเขียวพร้อมผ้าคาดเอวสีขาว จำนวน 2 ชิ้น

    ซึ่งเครื่องแต่งกายในการแสดงโขนในของตัวพระ ตัวนาง ตัวยักษ์และตัวลิง มีดังนี้

    ตัวแสดง เครื่องแต่งกายและเครื่องประดับ
    ตัวพระเช่น พระราม พระลักษณ์ พระพรต พระสัตรุต ผู้แสดงตัวพระจะสวมเสื้อแขนยาวปักดิ้นและเลื่อม ประดับด้วยปะวะหล่ำ มีอินธนูที่ไหล่และพาหุรัด สวมกรองศอทับด้วยทับทรวง สังวาลและตาบทิศ ส่วนล่างสวมสนับเพลาไว้ข้างใน นุ่งผ้านุ่งยกจีบโจงไว้หางหงส์ทับสนับเพลา ด้านหน้ามีชายไหวและชายแครงห้อยอยู่ ประดับด้วยสุวรรณประกอบ รัดเอวด้วยรัดพัสตร์ คาดปั้นเหน่ง ศีรษะสวมชฎา ประดับด้วยดอกไม้เพชรที่ด้านซ้าย ดอกไม้ทัดที่ด้านขวา มีอุบะ ตามตัวสวมเครื่องประดับต่าง ๆ ประกอบด้วยกำไลเท้า ธำมงรค์ แหวนรอบ กรรเจียกและทองกร แต่เดิมตัวพระจะสวมหัวโขนในการแสดง แต่ภายหลังไม่เป็นที่นิยม เพียงแต่แต่งหน้าและสวมชฎาแบบละครในเท่านั้น
    ตัวนางเช่น นางสีดา นางเบญจกาย นางสุพรรณมัจฉา ผู้แสดงตัวนางจะสวมเสื้อในนางแขนสั้นเป็นชั้นใน มีพาหุรัดแล้วห่มสไบทับ ทิ้งชายไปด้านหลังยาวลงไปถึงน่อง ประดับด้วยปะวะหล่ำ สวมกรองศอ สะอิ้งและจี้นาง ส่วนล่างนุ่งผ้านุ่งยกจีบหน้า คาดปั้นเหน่ง ศีรษะสวมมงกุฎ รัดเกล้ายอด รัดเกล้าเปลวหรือกระบังหน้าตามแต่ฐานะของตัวละคร ประดับด้วยดอกไม้ทัดที่ด้านซ้าย ดอกไม้ทัดที่ด้านขวา มีอุบะ ตามตัวสวมเครื่องประดับต่าง ๆ ประกอบด้วยธำมงรค์ กำไลเท้า แหวนรอบ กำไลตะขาบ กรรเจียกและทองกร แต่เดิมตัวนางที่เป็นตัวยักษ์เช่น นางสำมนักขา นางกากนาสูร จะสวมหัวโขน แต่ภายหลังมีการแต่งหน้าไปตามลักษณะของตัวละครนั้น ๆ โดยไม่สวมหัวโขน
    ตัวยักษ์เช่น ทศกัณฐ์ พิเภก อินทรชิต มังกรกัณฐ์ ผู้แสดงตัวยักษ์นั้น เครื่องแต่งกายส่วนใหญ่คล้ายกับตัวพระ จะแตกต่างกันที่การนุ่งผ้าเท่านั้น ตัวยักษ์จะนุ่งผ้าไม่มีหางหงส์แต่มีผ้าปิดก้นลงมาจากเอว ส่วนศีรษะสวมหัวโขนตามลักษณะของตัวละครซึ่งมีอยู่ประมาณร้อยชนิด การแต่งกายของตัวยักษ์คือทศกัณฐ์ ซึ่งเป็นพญายักษ์ตัวสำคัญที่สุดในการแสดงโขน สวมเสื้อแขนยาวปักดิ้นและเลื่อม ซึ่งในวรรณคดีสมมุติเป็นเกราะ ประดับด้วยแหวนรอบ ปะวะหล่ำ มีอินธนูที่ไหล่ สวมกรองศอทับด้วยทับทรวง พวงประคำคอ สังวาลและตาบทิศ ส่วนล่างสวมสนับเพลาไว้ข้างใน นุ่งผ้านุ่งยก ด้านหน้ามีชายไหวและชายแครงห้อยอยู่ ผ้าปิดก้นอยู่เบื้องหลัง รัดอกด้วยพระอุระ รัดเอวด้วยรัดพัสตร์ คาดปั้นเหน่ง ศีรษะสวมหัวโขนหัวทศกัณฐ์ ตามตัวสวมเครื่องประดับต่าง ๆ ประกอบด้วยกำไลเท้า ธำมงรค์ กรรเจียกและทองกร ถืออาวุธคือคันศร
    ตัวลิงเช่น หนุมาน พาลี สุครีพ องคต ท้าวชมพูพาน ผู้แสดงตัวลิง เครื่องแต่งกายส่วนใหญ่คล้ายกับตัวยักษ์ แต่มีหางลิงห้อยอยู่ใต้ผ้าปิดก้นอีกที สวมเสื้อตามสีประจำตัวในเรื่องรามเกียรติ์ ไม่มีอินธนู ตัวเสื้อปักลายขดเป็นวงทักษิณาวรรต สมมุติว่าเป็นขนตามตัวลิง ส่วนศีรษะสวมหัวโขนตามลักษณะของตัวละครซึ่งมีอยู่ประมาณสี่สิบชนิด การแต่งกายของตัวลิงคือหนุมาน ซึ่งเป็นทหารเอกของพระราม สวมเสื้อแขนยาวปักดิ้นและเลื่อมลายวงทักษิณาวรรต มีพาหุรัด ประดับด้วยแหวนรอบ ปะวะหล่ำ สวมกรองศอทับด้วยทับทรวง สังวาลและตาบทิศ ส่วนล่างสวมสนับเพลาไว้ข้างใน นุ่งผ้านุ่งยก ด้านหน้ามีชายไหวและชายแครงห้อยอยู่ ผ้าปิดก้นอยู่เบื้องหลัง หางลิง รัดสะเอว คาดปั้นเหน่ง ศีรษะสวมหัวโขนหัวหนุมาน ตามตัวสวมเครื่องประดับต่าง ๆ ประกอบด้วยกำไลเท้า ธำมงรค์ กรรเจียกและทองกร ถืออาวุธคือตรีเพชร และอื่น ๆ

    การแต่งหน้าโขน

    โครงสี

    ขั้นแรกต้องถอดโครงสีตามสมัยนิยมทิ้ง โดยคงไว้เพียงโครงสีหลัก คือสีขาว สีดำ และสีแดง เพื่อปรับลดความเป็นตัวตนของนักแสดงออกไป ให้กลายเป็นตัวละครนั้นโดยสมบูรณ์ ถ้าว่ากันในทางวิธีการแล้ว ก็คือการเปลี่ยนแนวทางการแต่งหน้าจากแนวความงาม มาใช้แนวตัวละครแทนนั่นเอง สีหลักและสีรองที่ใช้ ได้แก่

    สีหลัก

    1. สีขาว สำหรับสีขาวของใบหน้า ขาวเป็นหน้าหุ่น ขาวผ่อง ขาวนวล สีขาวนั้นขาวแค่ไหนจึงจะพอดี ตามความจริงแล้ว ขาวแบบไหนก็ได้ แต่ขอให้ขาวเท่ากันทุกตัวละคร รวมทั้งสีผิวกาย คอ มือและเท้า
    2. สีดำ สำหรับสีดำของเส้นคิ้ว เส้นขอบตาบนและขอบตาล่าง และเส้นตาสองชั้นในเบ้าตา
    3. สีแดง สำหรับปากสีแดงสด หรือแดงก่ำ ไม่มันวาวจนเกินไป สีปากพระ ลดความแดงลง ด้วยการเจือสีส้มหรือสีน้ำตาลลงไป ส่วนแก้มแดงระเรื่อ ปัดให้ดูเปล่งปลั่ง อาจปัดไล่สูงขึ้นมาจนถึงขอบตาล่างเลยก็ได้

    สีรอง

    • สีใกล้เคียงสีผิว ทั้งสีอ่อนและสีเข้ม ใช้สำหรับปรับแสงเงาบนจุดต่าง ๆ บนใบหน้า ใช้ทั้งแป้งเค้ก บรัชออน อายเชโดว์ หลาย ๆ เฉดสี ให้เลือกสีใกล้เคียงสีผิวเช่น ขาว ครีม ส้มอ่อน เหลืองอ่อน น้ำตาลอ่อน น้ำตาลเข้ม เป็นต้น ใช้สีอ่อนและสีเข้มเน้นย้ำหลาย ๆ จุดบนใบหน้า เช่น ข้างสันจมูก เงาบนเปลือกตา เงาข้างแก้ม ประกายใต้คิ้ว ที่หัวตาบน-ล่าง ใต้ริมฝีปากเป็นต้น

    โครงเส้น

    ทั้งหมดถอดแบบมาจากหัวโขนจริง และจากหน้าพระหน้าเทวดาในภาพจิตรกรรมไทย โดยปรับให้เข้ากับใบหน้าคนจริง ซึ่งมีมิติมากกว่ากระดาษและผนัง รูปแบบของใบหน้าโขนจะไม่มีวัย นักแสดงอายุน้อยหรือมากก็แต่งหน้าแบบเดียวกัน ยกเว้นคิ้ว โดยตัวนาง นิยมเขียนคิ้วให้โค้งโก่ง และเรียวลงมาทางหางคิ้ว ส่วนตัวพระเพิ่มขนาดของเส้นคิ้วให้ใหญ่ขึ้น และเขียนหางคิ้วให้ตวัดกระดกขึ้นเล็กน้อย ส่วนรายละเอียดอื่นๆ ของสีตา สีแก้ม และสีปาก เหมือนกัน โดยตัวพระลดความแดงของปากลง

    เส้นร่างสีแดง

    ก่อนการลงเส้นด้วยสีดำ ให้เขียนเส้นร่างสีแดงนำเส้นโครงทั้งหมดไว้เสียก่อน แล้วจึงใช้เค้กไลเนอร์สีน้ำตาลแดงผสมสีดำเขียนทับเส้นสีแดง โดยให้เหลื่อมซ้อนกันกับสีแดง จากนั้นเขียนทับเส้นอีกครั้งด้วยอายไลเนอร์สีดำให้คมและชัด โดยยังมีเส้นร่างสีแดงประกบเป็นเงาแดง อยู่คู่กับเส้นดำทุกเส้น เพื่อให้เส้นทั้งหมดดูมีน้ำหนักและอ่อนหวานขึ้น

    คิ้วโก่งเป็นคันศร

    เตรียมคิ้วให้พร้อมเพื่อความสวยงาม ในขั้นต้นอาจใช้วิธีถอนขนคิ้วที่เกินรูปออก หรือกันคิ้วออกบ้างเป็นบางส่วน หรือใช้วิธีการ ปิดคิ้ว การแต่งหน้าสมัยโบราณ ใช้น้ำมันและแป้งทาทับคิ้วให้หายไป หรือใช้สบู่ และขี้ผึ้งจับขนคิ้ว แล้วใช้รองพื้นและแป้งทาทับก่อนเขียนขึ้นใหม่ การเขียนคิ้วให้โก่งเป็นคันศร เริ่มจากเขียนคิ้วให้หัวคิ้วต่ำ เพื่อจะได้ยกโครงของคิ้วให้โก่งขึ้นทันที และเขียนหางคิ้วให้ขนานไปกับใบหู โดยที่หางคิ้วยังอยู่ในกรอบหน้า ไม่หายไปในเครื่องประดับศีรษะ คิ้วนางหัวคิ้วแหลม หางคิ้วเรียว คิ้วพระเพิ่มขนาดของเส้นคิ้วให้ใหญ่ขึ้น และเขียนหางคิ้วให้ตวัดกระดกขึ้นเล็กน้อย อย่าวาดคิ้วให้ดูแล้วเหมือนกับว่า ตัวละครสงสัยหรือตกใจอยู่ตลอดเวลา

    หัวโขน

    ดูบทความหลักที่: หัวโขน
     
    มงกุฏตามหัวหรือหน้าของทศกัณฐ์ สีเขียว ปากแสยะ ตาโพลง

    หัวโขนเป็นงานศิลปะชั้นสูง ใช้สำหรับสวมครอบศีรษะ ปิดบังส่วนหน้าของผู้แสดงอย่างมิดชิด เป็นศิลปวัตถุประเภทประณีตศิลป์ และงานศิลปะที่ได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นอย่างวิจิตรตระการตาเช่นเดียวกับเครื่องแต่งกาย ประณีตบรรจงตามแบบช่างไทย มีรูปลักษณะสวยงาม ลักษณะคล้ายหน้ากาก แตกต่างตรงที่เป็นการสร้างจำลองรูปทรงใบหน้าและศีรษะทั้งหมด เจาะช่องเป็นรูกลมที่นัยน์ตาของหัวโขน ให้ตรงกับนัยน์ตาของผู้แสดงเพื่อการมองเห็น แบ่งเป็น 2 ประเภทคือหัวโขนสำหรับใช้ในการแสดง หมายความถึงหัวโขนที่สื่อถึงตัวละครนั้น ๆ เช่น พระ ยักษ์ เทวดา วานรและสัตว์ต่าง ๆ สร้างขึ้นด้วยกรรมวิธีแบบโบราณ ตามเอกลักษณ์ของหัวโขนที่ถูกต้องและสมบูรณ์แบบของศิลปะไทย และหัวโขนที่ใช้สำหรับเป็นของประดับตกแต่งหรือของที่ระลึก หมายความถึงหัวโขนที่ทำขึ้นโดยการหล่อ ปั้น ฉีดและขึ้นรูปด้วยพลาสติกหรือกรรมวิธีอื่น ๆ ลงรักปิดทอง ประดับกระจก

    หัวโขนที่ใช้สำหรับแสดง แบ่งเป็นประเภทต่าง ๆ ตามลักษณะของตัวละครคือ หัวโขนพงศ์นารายณ์ ประกอบด้วยเผ่าพงศ์วงศ์กษัตริย์แห่งกรุงอโยธยา หัวโขนพรหมพงศ์และอสูรพงศ์ ประกอบด้วยพรหมผู้สร้างกรุงลงกาและอสูรพงศ์ในกรุงลงกา หัวโขนมเหศวรพงศ์ ประกอบด้วยพระอิศวร พระนารายณ์ พระพรหมและเทวดาต่าง ๆ หัวโขนฤๅษี ประกอบด้วยฤๅษีผู้สร้างกรุงอโยธยา ฤๅษีที่พระราม พระลักษมณ์และนางสีดาพบเมื่อคราวเดินดง หัวโขนวานรพงศ์ ประกอบด้วยพญาวานร วานรสิบแปดมงกุฎ เสนาวานร วานรเตียวเพชร วานรจังเกียงและพลลิงหรือเขนลิง

    หัวโขนคนธรรพ์ ประกอบด้วยเทพคนธรรพ์และคนธรรพ์ หัวโขนพญาปักษา ประกอบด้วยพญาครุฑ พญาสัมพาที พญาสดายุ และหัวโขนแบบเบ็ดเตล็ด ประกอบด้วยหัวสัตว์ต่าง ๆ เป็นต้น และอาจแบ่งตามประเภทของหัวโขนที่ใช้สวมอย่างละ 2 ประเภทคือ ยักษ์ยอด ยักษ์โล้น ลิงยอดและลิงโล้น นอกจากนี้ยังแบ่งตามชนิดของมงกุฎ ซึ่งมีลักษณะแตกต่างกันไป แบ่งเป็นฝ่ายลงกาคือ มงกุฎยอดกระหนก มงกุฎยอดจีบ มงกุฎยอดหางไก่ มงกุฎยอดน้ำเต้า มงกุฎยอดน้ำเต้ากลม มงกุฎยอดน้ำเต้าเฟื่อง มงกุฎยอดกาบไผ่ มงกุฎยอดสามกลีบ มงกุฎยอดหางไหล มงกุฎยอดนาคา มงกุฎตามหัวหรือหน้า พวกไม่มีมงกุฎ พวกหัวโล้น พวกหัวเขนยักษ์หรือพลทหารยักษ์และตัวตลกฝ่ายยักษ์

    ถึงแม้มีการบัญญัติและประดิษฐ์หัวโขนให้มีลักษณะที่แตกต่างกัน ยังคงมีหัวโขนบางประเภทที่มีมงกุฎยอดเหมือนกัน จึงมีการทำหน้าโขนให้ปากและตาแตกต่างกันไป แบ่งเป็น 4 ประเภทคือ ประเภทปากแสยะตาโพลง ประเภทปากแสยะตาจระเข้ ประเภทปากขบตาโพลง และประเภทปากขบตาจระเข้ เป็นต้น ฝ่ายพลับพลาคือ มงกุฎยอดบัด มงกุฎยอดชัยหรือยอดแหลม มงกุฎยอดสามกลีบ พวกไม่มีมงกุฎแต่เป็นลิงพญามีฤทธิ์เดช พวกไม่มีมงกุฎแต่เรียกมงกุฎ พวกเตียวเพชร จังเกียง หัวลิงเขนหรือพลทหารลิงและหัวตลกฝ่ายลิง สำหรับพวกพญาวานรที่ไม่มีมงกุฎและพวกสิบแปดมงกุฎ มักนิยมเรียกรวมกันว่าลิงโล้น

    ภาษาโขน

    ภาษาโขน เป็นการที่ผู้แสดงใช้ท่าเต้นท่ารำต่าง ๆ เพื่อให้สื่อผู้ชมได้รู้ถึงบทบาทนั้น ๆ เพื่อให้เกิดความสนุกสนาน ภาษาโขนโดยทั่วไปมีลักษณะคล้ายกับภาษาที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เพียงแต่ไม่สามารถสื่อสารออกมาด้วยน้ำเสียงได้ จึงใช้ท่าทางและอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายเช่น ลำตัว มือ แขน ขา เท้า ไหล่ คอ ใบหน้าและศีรษะ ประกอบอากัปกิริยาแทน ทำให้สามารถสื่อสารภาษาและรู้ถึงความหมายนั้น ๆ ได้ ซึ่งท่าทางบางอย่างของภาษาโขนบ่งบอกความหมายได้ดีกว่าการออกเสียงเช่น เมื่อต้องการปฏิเสธจะส่ายศีรษะก็หมายถึง

    ประเพณีไหว้ครูและความเชื่อ

    โขนเป็นนาฏศิลปชั้นสูง ที่มีธรรมเนียมประเพณีและความเชื่อในการปฏิบัติหลายอย่าง สืบต่อกันมาแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน บางอย่างมีการปรับเปลี่ยนตามกาลเวลาและความเหมาะสม บางอย่างคงใช้อยู่ตามรูปแบบเดิม บางอย่างสูญหายไปตามกาลเวลา โดยเฉพาะหัวโขนซึ่งจัดเป็นอุปกรณ์สำคัญอย่างมากในการแสดงโขน เนื่องจากเป็นตัวชี้บ่งถึงบุคลิกและลักษณะนิสัยของตัวละครนั้น ๆ ช่างทำหัวโขนที่จัดอยู่ในงานช่างสิบหมู่ ต้องผ่านการไหว้ครูและครอบครูเช่นเดียวกับนาฏศิลป์ประเภทอื่น ๆ มีความเคารพครูอาจารย์ตั้งแต่เริ่มฝึกหัด ก่อนเริ่มการออกโรงแสดงในแต่ละครั้ง ต้องมีการตั้งเครื่องเซ่นไหว้บายศรีให้ครบถ้วน ในการประกอบพิธีจะต้องมีหัวโขนตั้งประดิษฐานเป็นเครื่องสักการะต่อครูบาอาจารย์ที่ล่วงลับไปแล้ว

    พิธีไหว้ครู

    ในพิธีไหว้ครูจะมีการนำหัวโขนหรือศีรษะครู ที่เป็นเสมือนตัวแทนของครูแต่ละองค์มาตั้งประกอบในพิธี การจัดตั้งหัวโขนต่าง ๆ มีหลายรูปแบบเช่น การตั้งแบบรวมกับพระพุทธรูป แบ่งเป็นแบบ 12 หน้า 10 หน้า 8 หน้า 6 หน้า 4 หน้าและ 2 หน้า มีการเปลี่ยนแปลงจำนวนของหัวโขนตามแต่รูปแบบในการตั้ง นอกจากการตั้งแบบรวมกับพระพุทธรูปแล้ว ยังมีการตั้งหัวโขนแบบพระพุทธรูปแยกระหว่างหัวโขนต่างหาก นิยมจัดให้หัวโขนมีความลดหลั่นเป็นชั้น โดยที่ชั้นบนสุดเป็นชั้นของมหาเทพได้แก่ พระอิศวร พระนารายณ์และพระพรหม ชั้นสองเป็นชั้นของเทพที่มีความสำคัญต่อโลกมนุษย์และนาฏศิลป์เช่น พระอินทร์ พระวิษณุกรรม พระพิราพ

    ชั้นที่สามเป็นชั้นของหัวโขนหน้ามนุษย์ หน้าลิง และมีศัสตราวุธและเครื่องประดับศีรษะที่ใช้ในการแสดงวางอยู่ตรงกลาง และชั้นสุดท้ายเป็นชั้นของหัวโขนหน้ายักษ์ ผู้แสดงทุกคนก่อนแต่งตัวตามตัวละครก็ต้องมีการไหว้ครู ภายหลังจากแต่งกายเสร็จแล้ว ก่อนจะทำการสวมหัวโขนหน้ายักษ์ หน้าลิง มงกุฎหรือชฎา ก็จะต้องมีการทำพิธีครอบหัวโขนและไหว้ครูเพื่อแสดงความเคารพ ซึ่งนอกจากประเพณีไหว้ครูแล้ว ยังมีความเชื่อเกี่ยวกับหัวโขนสืบทอดต่อกันมาอีกหลายอย่างเช่น การเจาะรูสำหรับมองเห็น ผู้ที่สามารถเจาะได้คือช่างทำหัวโขนเท่านั้น

    ในสมัยโบราณมีความเชื่อกันว่า หัวโขนที่ใช้ในการแสดงที่ผ่านพิธีเบิกเนตรเรียบร้อย ก่อนนำไปใช้ในการแสดง ช่างทำหัวโขนจะวัดขนาดความห่างของดวงตาผู้แสดง และเจาะรูให้สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ห้ามผู้แสดงเจาะรูดวงตาเองเด็ดขาด เพราะเชื่อว่าจะทำให้พิการตาบอด แต่ความเชื่อดังกล่าวเป็นเพียงกุศโลบายเท่านั้น ความเป็นจริงคือในการตกแต่งดวงตาของหัวโขน จะใช้เปลือกหอยมุกมาประดับตกแต่ง ซึ่งถ้าผู้เจาะรูไม่ใช่ช่างทำหัวโขนที่มีความชำนาญ อาจทำให้หัวโขนเกิดความผิดพลาดและเสียหายได้ง่าย

    การบวงสรวง

    ในการปลูกโรงโขนสำหรับใช้แสดง ก่อนเริ่มก่อสร้างต้องมีการทำพิธีบวงสรวงเซ่นไหว้ ขอขมาลาโทษในสิ่งต่าง ๆ ที่เคยล่วงเกิน และขออนุญาตบอกกล่าวแก่เจ้าที่เจ้าทางให้รับทราบ เพื่อเป็นการเปิดทางให้แก่ผู้แสดง ช่วยให้ทำการแสดงได้อย่างราบรื่นไม่ติดขัด รวมทั้งปกป้องคุ้มครองและปัดเสนียดรังควานต่อการแสดงให้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี เนื่องจากในการแสดงโขนนั้น หลายต่อหลายครั้งที่มีการแแข่งขันชิงชัยหรือประชันฝีมือซึ่งกันและกัน ซึ่งมีความเชื่อกันว่าฝ่ายตรงข้ามมักมีการใช้ไสยศาสตร์ กลั่นแกล้งโจมตีฝ่ายตรงข้ามให้เสียเปรียบและพ่ายแพ้ เพื่อให้ได้รับชัยชนะในการแสดง ดังนั้นก่อนเริ่มการแสดงจึงต้องมีพิธีถอนอาถรรพ์ทุกครั้ง

    สำหรับผู้แสดงที่ไม่เคยออกโรงแสดงมาก่อน หลังจากรับครอบครูแล้ว ก่อนทำการแสดงครูผู้ฝึกสอน จะครอบครูครอบหน้าให้เป็นการปฐมฤกษ์ ช่วยให้ไม่ติดขัดในการแสดงหลังจากการแสดงเสร็จสิ้น ผู้แสดงทุกคนจะต้องเข้าร่วมพิธีไหว้ครูอีกครั้ง หลังจากนั้น ผู้แสดงทุกคนจะต้องเอ่ยปากขอขมาลาโทษซึ่งกันและกันเป็นใจความว่า "หากข้าพเจ้าพลาดพลั้งด้วยกายกรรมก็ดี วจีกรรมก็ดี โดยมิได้ตั้งใจ โปรดให้อภัยและอโหสิด้วย" เนื่องจากบางครั้งในการแสดงอาจมีการกระทบกระทั่ง ละเมิดล่วงเกินหรือพลาดพลั้งโดยไม่ตั้งใจหรือเจตนาเช่น ผู้แสดงเป็นพาหนะได้แก่ ครุฑ ช้าง ม้า ราชสีห์ ซึ่งมักถูกตัวพระ ตัวยักษ์หรือตัวลิงล่วงเกิน จนกลายเป็นเหตุให้เกิดการทะเลาะวิวาทได้ในภายหลัง

    โดยการขอขมานั้น ผู้แสดงจะขอขมาตามความอาวุโสที่ด้านหลังเวที นอกจากพิธีไหว้ครูและความเชื่อในด้านต่าง ๆ แล้ว ในการแสดงโขนยังมีกฎข้อห้ามสำคัญอีกจำนวนมากเช่น ห้ามนั่งเล่นบนเตียงหรือนราวโขนเมื่อยังไม่ถึงคิวการแสดงของตน ห้ามนำอาวุธสำหรับใช้ในการแสดงมาเล่นนอกเวลาแสดงโดยเด็ดขาด ห้ามเดินข้ามเหล่าศัสตราวุธ ห้ามนำกรับมาตีเล่น ห้ามนำไม้ตะขาบหรือไม้ที่ใช้สำหรับตีเพื่อให้เกิดเสียงดังสำหรับการแสดงของตัวตลกมาตีเล่นเพื่อความสนุกสนาน เป็นต้น

    วงดนตรีและเครื่องประกอบ

    วงดนตรีที่ใช้ประกอบการแสดงโขน ได้แก่ วงปี่พาทย์ (บางทีก็เรียก "พิณพาทย์") ซึงประกอบไปด้วย ปี่ ระนาด ฆ้อง กลอง ตะโพน หากในการแสดงงานพระราชพิธีหรืองานใหญ่ที่ใช้คนจำนวนมาก อาจขยายวงปี่พาทย์ เครื่องคู่ หรือปี่พาทย์เครื่องใหญ่ก็ได้ และบางสมัยก็จัดเป็นวงเครื่องห้าตามแต่ฐานะของผู้เป็นเจ้าของงาน

    เพลงประกอบการแสดง

    เพลงประกอบการแสดงแบ่งได้เป็น 2 ประเภทดังนี้

    1. เพลงหน้าพาทย์ เป็นเพลงที่ใช้บรรเลงประกอบกิริยาอาการและบทบาทต่าง ๆ ของโขนละคร ไม่มีบทร้อง ใช้ทำนองในการดำเนินกิริยา เช่น เพลงพราหมณ์ออก ใช้ประกอบกิริยาการออกจากโรงพิธีสำคัญ เพลงพราหมณ์เข้า ใช้ประกอบกิริยาการเข้าโรงพิธีสำคัญ เป็นต้น
    2. เพลงร้อง เพลงจะให้อารมณ์แตกต่างกัน บางเพลงอาจใช้วิธีร้องอย่างเดียวโดยไม่มีดนตรี (แต่มีจังหวะฉิ่งกำกับ) หรือร้องลำลอง ร้องคลอ ก็ได้ การบรรจุเพลงร้องตามทำนองเพื่อสื่ออารมณ์ในแต่ละตอนของโขนละครมีความสำคัญ และยังใช้ในโอกาสต่าง ๆ กัน เช่น อารมณ์โศกเศร้าเสียใจ ใช้เพลง กบเต้น พญาโศก โอ้ร่าย อารมณ์โกรธเคือง ใช้เพลง ลิงโลด ลิงลาน เทพทอง นาคราช เป็นต้น

    เพลงประกอบการแสดง

    เพลงหน้าพาทย์

    เป็นเพลงที่ใช้บรรเลงประกอบกิริยาอาการและบทบาทต่าง ๆ ของโขนละคร ไม่มีบทร้อง ใช้ทำนองในการดำเนินกิริยา เช่น

    1. เพลงเข้าม่าน ใช้ประกอบการเดินเข้าฉากในระยะใกล้ ๆ ของตัวเอก
    2. เพลงเสมอ ใช้ประกอบการไปมาในระยะใกล้ ๆ ของตัวเอก
    3. เพลงพราหมณ์เข้า ใช้ประกอบกิริยาการเข้าโรงพิธีสำคัญ เช่น กุมภกรรณเข้าโรงพิธีลับหอกโมกขศักดิ์ ไมยราพเข้าโรงพิธีหุงสพรรยา
    4. เพลงพราหมณ์ออก ใช้ประกอบกิริยาการออกจากโรงพิธีสำคัญ เช่น อินทรชิตออกจากโรงพิธีชุบศรพรหมาศ อินทรชิตออกจากโรงพิธีศรนาคบาศ
    5. เพลงกลม ใช้ประกอบการเหาะไปของเทวดา
    6. เพลงเชิด ใช้ประกอบการไป มาในระยะไกล ๆ และใช้ในการต่อสู้
    7. เพลงตระนิมิตร ใช้ประกอบการแปลงกายของตัวเอก เช่น อินทรชิตแปลงเป็นพระอินทร์
    8. เพลงชุบ ใช้ประกอบการเดินของนางกำนัล เช่น เมื่อทศกัณฐ์ใช้นางกำนัลให้ไปตามเบญกาย
    9. เพลงโลม ใช้ประกอบการโลมเล้าเกี้ยวพาระหว่างตัวแสดงที่เป็นตัวเอก มักต่อด้วยเพลงตระนอน เช่น หนุมานเกี้ยวนางสุพรรณมัจฉา
    10. เพลงตระนอน ใช้สำหรับตัวเอกเมื่อจะเข้านอน เช่น หนุมาน องคต ชมพูพานสืบมรรคา เมื่อมืดก็ใช้ตระนอน อาจเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "ตระบรรทมไพร" หรืออาจบรรเลงต่อจากเพลงโลมเมื่อเกี้ยวพาราสีกันแล้ว จึงนอน
    11. เพลงโอด ใช้ประกอบการเศร้าโศกเสียใจ
    12. เพลงโอดสองชั้น ใช้ประกอบการเศร้าโศกเสียใจของผู้สูงศักดิ์ เช่น พระราม ทศกัณฐ์
    13. เพลงโล้ ใช้ประกอบการเดินทางทางน้ำ เช่น เบญกายแปลงเป็นนางสีดาลอยน้ำไป
    14. เชิดฉิ่ง ใช้ประกอบการเดินทาง การเหาะ เช่น เบญกายเหาะมายังเขาเหมติรัน
    15. เชิดฉิ่งศรทะนง ใช้ประกอบการต่อสู้ด้วยศร และมีการแผลงศร เช่น พระรามแผลงศรต้องทศกัณฐ์ขาดเศียรขาดกร
    16. เชิดกลอง ใช้บรรเลงต่อจากเพลงเชิดฉิ่ง หรือใช้ในกรณีต่อสู้กัน หรือในการเดินทางไกล
    17. เพลงรัวต่าง ๆ ใช้ประกอบการแผลงอิทธิฤทธิ์ หรือแปลงตัวอย่างรวบรัด
    18. เพลงกราวนอก ใช้ประกอบการยกทัพตรวจพลของกระบวนทัพฝ่ายมนุษย์และลิง
    19. เพลงกราวใน ใช้ประกอบการยกทัพตรวจพลของกระบวนทัพฝ่ายยักษ์
    20. เพลงแผละ ใช้ประกอบการเดินทางทางอากาศ เช่น การบินมาของพญาครุฑ

    เพลงร้อง

    เพลงร้องแต่ละเพลงจะให้อารมณ์แตกต่างกัน บางเพลงอาจใช้วิธีร้องอย่างเดียวโดยไม่มีดนตรี (แต่มีจังหวะฉิ่งกำกับ) หรือร้องลำลอง ร้องคลอ ก็ได้ การบรรจุเพลงร้องตามทำนองเพื่อสื่ออารมณ์ในแต่ละตอนของโขนละครมีความสำคัญ และยังใช้ในโอกาสต่าง ๆ กัน เช่น

    1. อารมณ์โศกเศร้าเสียใจ ใช้เพลง กบเต้น พญาโศก โอ้ร่าย
    2. อารมณ์โกรธเคือง ใช้เพลง ลิงโลด ลิงลาน เทพทอง นาคราช
    3. อารมณ์รักใคร่ ใช้เพลง ลีลากระทุ่ม โอ้โลม
    4. โอกาสการขึ้นต้นการแสดงโดยเห็นตัวเอกเป็นหลัก ใช้เพลง ช้าปี่ ยานี
    5. โอกาสการดำเนินเรื่องอย่างธรรมดา ใช้เพลง ร่ายนอก ร่ายใน

    โขนในรูปแบบต่าง ๆ

    ละคร

    ดูบทความหลักที่: ลูกโขน
     
    ลูกโขน พ.ศ. 2553

    โขนได้รับการดัดแปลงเป็นละคร โดยละครเรื่อง ลูกโขน นำแสดงโดย ศรัณย์ ศิริลักษณ์,พิมพ์ชนก ลือวิเศษไพบูลย์ ถูกสร้างครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2553 เขียนบทโทรทัศน์โดย ตรียูงทอง กำกับการแสดงโดย ธงชัย ประสงค์สันติ ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7

    ภาพยนตร์

    โขนได้รับการดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ โดยภาพยนตร์เรื่อง คนโขน นำแสดงโดย สรพงษ์ ชาตรี,นิรุตติ์ ศิริจรรยา,เพ็ญพักตร์ ศิริกุล,พิมลรัตน์ พิศลยบุตร กำกับโดย ศรัณยู วงษ์กระจ่าง ออกฉายเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2554

    มรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้

    เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 เวลา 19.35 น. ตามเวลาประเทศไทย ในการประชุมคณะกรรมการอนุสัญญาฯ ครั้งที่ 13 ที่เมืองพอร์ตลูอิส ประเทศมอริเชียส องค์การยูเนสโก (UNESCO) ประกาศขึ้นทะเบียน "โขน" ประเทศไทย ภายใต้ชื่อภาษาอังกฤษว่า "Khon, masked dance drama in Thailand" เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ในประเภท "รายการตัวแทนมรดกทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติ (Representative List of the Intangible Cultural Heritage of Humanity" นับเป็นการขึ้นทะเบียนมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้รายการแรกของประเทศไทย

    อ้างอิง

    1. ความเหมือนและความแตกต่างของโขนและละครใน
    2. ประวัติและความเป็นมาของโขนในสมัยกรุงศรีอยุธยา
    3. ว่าด้วยการแสดงและการละเล่นอย่างอื่นของชาวสยาม, มหรสพสามอย่างของชาวสยาม,จดหมายเหตุ ลา ลู แบร์ ราชอาณาจักรสยาม, เขียนโดย : มองซิเอร์ เดอ ลาลูแบร์, แปลโดย : สันต์ ท. โกมลบุตร, สำนักพิมพ์ศรีปัญญา, 2548, หน้า 157
    4. คำนำการแสดงโขนชุดนางลอย, สูจิบัตรการแสดงโขนชุด นางลอย, มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ, ระหว่างวันที่ 19 -20 และ 22 -24 พฤศจิกายน 2553, หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย
    5. กำเนิดโขน
    6. รอบรู้เรื่องโขน
    7. เครื่องแต่งกายยืนเครื่องโขน
    8. บทพากย์ในการแสดงโขน
    9. การพากย์ การเจรจาในโขน
    10. คำนำการแสดงโขนชุดพรหมมาศ, สูจิบัตรการแสดงโขนชุด พรหมมาศ, มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ, ระหว่างวันที่ 25 และ 27 -28 ธันวาคม 2550, หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย
    11. การแสดงมหรสพในลิลิตพระลอ[ลิงก์เสีย]
    12. ประวัติและความเป็นมาของโขน
    13. ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับโขน กรมศิลปากร]
    14. โขนในภาษาเบงคาลี, โขน, ธนิต อยู่โพธิ์, องค์การค้าของคุรุสภา, 2538, หน้า 32, เลขหมู่หนังสือ 793. 3209593, ISBN 974-000-849-4
    15. ความหมายของโขนตามราชบัณฑิตยสถาน
    16. ที่มาของคำว่าโขน, โขน, ธนิต อยู่โพธิ์, องค์การค้าของคุรุสภา, 2538, หน้า 42, เลขหมู่หนังสือ 793. 3209593, ISBN 974-000-849-4
    17. ว่าด้วยการแสดงและการละเล่นอย่างอื่นของชาวสยาม, มหรสพสามอย่างของชาวสยาม,จดหมายเหตุ ลา ลู แบร์ ราชอาณาจักรสยาม, เขียนโดย : มองซิเอร์ เดอ ลาลูแบร์, แปลโดย : สันต์ ท. โกมลบุตร, สำนักพิมพ์ศรีปัญญา, 2548, หน้า 157
    18. ความนิยมของรามเกียรติ์ในการแสดงโขน
    19. ประเภทของโขน
    20. โขนกลางแปลง, โขน, ธนิต อยู่โพธิ์, องค์การค้าของคุรุสภา, 2538, หน้า 48, เลขหมู่หนังสือ 793. 3209593, ISBN 974-000-849-4
    21. การแสดงโขนกลางแปลงในสมัยรัชกาลที่ 1 ระหว่างฝ่ายพลับพลาวังหน้าและฝ่ายลงกาวังหลัง
    22. โขนนั่งราว วิวัฒนาการจากโขนกลางแปลง
    23. โขนโรงใน การผสมผสานระหว่างโขนและละครใน
    24. โขนหน้าจอ, โขน, ธนิต อยู่โพธิ์, องค์การค้าของคุรุสภา, 2538, หน้า 52, เลขหมู่หนังสือ 793. 3209593, ISBN 974-000-849-4
    25. โขนหน้าจอ การแสดงของโขนและหนังใหญ่
    26. วิวัฒนาการของโขน, โขน, ธนิต อยู่โพธิ์, องค์การค้าของคุรุสภา, 2538, หน้า 53, เลขหมู่หนังสือ 793. 3209593, ISBN 974-000-849-4
    27. โขนสด การแสดงโขนตามแบบฉบับชาวบ้าน
    28. โขนนอกตำรา - โขนนอนโรง, โขน, นงนุช ไพรพิบูลยกิจ, สำนักพิมพ์คอมแพคท์พริ้นท์ จำกัด, 2542, หน้า 50
    29. โขนนอกตำรา - โขนชักรอก, โขน, นงนุช ไพรพิบูลยกิจ, สำนักพิมพ์คอมแพคท์พริ้นท์ จำกัด, 2542, หน้า 50
    30. ตำนานโขนหลวง, โขน, ธนิต อยู่โพธิ์, องค์การค้าของคุรุสภา, 2538, หน้า 57, เลขหมู่หนังสือ 793. 3209593, ISBN 974-000-849-4
    31. 'ลูกหมู่' ประวัติความเป็นมาของโขน
    32. โขนสมัครเล่นในรัชกาลที่ 6, โขน, ธนิต อยู่โพธิ์, องค์การค้าของคุรุสภา, 2538, หน้า 79, เลขหมู่หนังสือ 793. 3209593, ISBN 974-000-849-4
    33. โขนในยุคสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
    34. คนพากย์ เจรจา ต้นเสียง ลูกคู่, โขน, ธนิต อยู่โพธิ์, องค์การค้าของคุรุสภา, 2538, หน้า 169, เลขหมู่หนังสือ 793. 3209593, ISBN 974-000-849-4
    35. ลักษณะบทโขนที่ใช้ในการแสดง
    36. ลักษณะบทโขน 6 ประเภท
    37. บทเจรจาของโขน
    38. คำเจรจา, โขน, ธนิต อยู่โพธิ์, องค์การค้าของคุรุสภา, 2538, หน้า 174, เลขหมู่หนังสือ 793. 3209593, ISBN 974-000-849-4
    39. บทพากย์และเจรจาโขนชุดศึกมัยราพณ์, สูจิบัตรการแสดงโขนชุด ศึกมัยราพณ์, มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ, ระหว่างวันที่ 15 กรกฎาคม - 7 สิงหาคม พ.ศ. 2554, หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย, หน้า 27
    40. เรื่องย่อวรรณคดีไทยชุด รามเกียรติ์
    41. บทละครที่ใช้สำหรับการแสดงโขน
    42. บทละครรามเกียรติ์ในสมัยกรุงศรีอยุธยา
    43. บทละครรามเกียรติ์สมัยกรุงธนบุรี
    44. รามเกียรติ์ บทละครในรัชกาลที่ 1, โขน, ธนิต อยู่โพธิ์, องค์การค้าของคุรุสภา, 2538, หน้า 122, เลขหมู่หนังสือ 793. 3209593, ISBN 974-000-849-4
    45. คำกลอนในบทละคร บทพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 1
    46. รามเกียรติ์ บทละครในรัชกาลที่ 2, โขน, ธนิต อยู่โพธิ์, องค์การค้าของคุรุสภา, 2538, หน้า 124, เลขหมู่หนังสือ 793. 3209593, ISBN 974-000-849-4
    47. คำกลอนในบทละคร บทพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 2
    48. บทละครเรื่องรามเกียรติ์และบ่อเกิดรามเกียรติ์, บทพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 6,พระนคร, กรมศิลปากร, 2484, หน้า 151, ISBN 974-419-405-7
    49. พระน้อย พระใหญ่ในการแสดงโขน
    50. ตัวละครในการแสดงโขนนาง, โขน, นงนุช ไพรพิบูลยกิจ, สำนักพิมพ์คอมแพคท์พริ้นท์ จำกัด, 2542, หน้า 61
    51. จารีตการฝึกหัดและการแสดงโขนตัวทศกัณฐ์
    52. การขึ้นลอยตัวพระ-ตัวยักษ์, โขน, นงนุช ไพรพิบูลยกิจ, สำนักพิมพ์คอมแพคท์พริ้นท์ จำกัด, 2542, หน้า 60
    53. ตัวละครในการแสดงโขนยักษ์, โขน, นงนุช ไพรพิบูลยกิจ, สำนักพิมพ์คอมแพคท์พริ้นท์ จำกัด, 2542, หน้า 61 อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่สมเหตุสมผล มีนิยามชื่อ "ตัวละครในการแสดงโขนยักษ์" หลายครั้งด้วยเนื้อหาต่างกัน
    54. "โขนลิง" วิทยานิพนธ์ดีเด่นจากนักวิชาการรั้วพระเกี้ยว
    55. แนวคิดและวิธีแสดงโขนลิง
    56. เหตุผลในการนุ่งผ้าโจงกระเบนแดง สวมเสื้อขาวในการฝึกหัดโขน
    57. การฝึกหัดโขน
    58. นาฏลีลา การฝึกทักษะท่ารำตัวยักษ์และตัวลิง, ผู้ช่วยศาสตราจารย์อรวรรณ ขมวัฒนาและคณะ, องค์การค้าของคุรุสภา, พ.ศ. 2551, หน้า16-33
    59. การเต้นเสา พื้นฐานสำคัญในการแสดงโขน
    60. ตะลึกตึก ศัพท์วิชาการเฉพาะในการหัดเต้นเสา
    61. การหัดหกคะเมนในตัวลิง, โขน, ธนิต อยู่โพธิ์, องค์การค้าของคุรุสภา, 2538, หน้า 153, เลขหมู่หนังสือ 793. 3209593, ISBN 974-000-849-4
    62. นาฏยภรณ์ การแต่งกายของโขนแบบยืนเครื่อง
    63. ความหมายของถนิมพิมพาภรณ์
    64. เบื้องหลังโขนพรหมมาศ
    65. ฉุยฉายทศกัณฐ์ลงสวน
    66. ประวัติและความเป็นการของเครื่องแต่งกายโขนในสมัยรัตนโกสินทร์
    67. TOR เครื่องแต่งกายชุดพระพรต-งานจ้างทำเครื่องแต่งกายโขน กรมศิลปากร
    68. การแต่งกายของผู้แสดงโขนในตัวละครประเภทต่าง ๆ
    69. การแต่งหน้า - KONKHON
    70. การทำหัวโขน
    71. ประวัติหัวโขน
    72. นิยามของหัวโขน[ลิงก์เสีย]
    73. ประเภทของหัวโขนชนิดต่าง ๆ
    74. การจำแนกประเภทของหัวโขนตามฝ่ายเสนายักษ์และเสนาลิง
    75. หัวโขน, โขน, ธนิต อยู่โพธิ์, องค์การค้าของคุรุสภา, 2538, หน้า 130, เลขหมู่หนังสือ 793. 3209593, ISBN 974-000-849-4
    76. พิธีไหว้ครูช่างหัวโขน
    77. ความเชื่อเกี่ยวกับหัวโขน
    78. ประเพณี พิธีกรรมและความเชื่อเกี่ยวกับโขน
    79. ธรรมเนียมในการแสดงโขน, โขน, นงค์นุช ไพรพิบูลยกิจ, สำนักพิมพ์บริษัทคอมแพคท์พริ้นท์ จำกัด, 2542, หน้า 96
    80. ความเชื่อในด้านต่าง ๆ เกี่ยวกับการแสดงโขน
    81. วงดนตรีและเพลงประกอบการแสดง - KONKHON
    82. "ยูเนสโก" ขึ้นทะเบียน "โขน" เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติ

    แหล่งข้อมูลอื่น

    • อนุรักษ์ไทย
    • โขนกรมศิลปากร

    โขน, ทศก, ณฐ, หน, าส, ทอง, ตอนทศก, ณฐ, ลงสวนเก, ยวนางส, ดาประเภท, นาฏศ, ลป, รายละเอ, ยด, เป, นศ, ลปะการแสดงช, นส, งของไทยท, ความสง, างาม, อล, งการและอ, อนช, อย, การแสดงประเภทหน, งท, ใช, ารำตามแบบละครใน, แตกต, างเพ, ยงท, ารำท, การเพ, มต, วแสดง, เปล, ยนทำนองเพลง. okhn thsknthhnasithxng txnthsknthlngswnekiywnangsidapraephth natsilpraylaexiyd okhn epnsilpakaraesdngchnsungkhxngithythimikhwamsngangam xlngkaraelaxxnchxy karaesdngpraephthhnungthiichtharatamaebblakhrin aetktangephiyngtharathimikarephimtwaesdng epliynthanxngephlngthiichinkardaenineruxngimehmuxnkblakhr aesdngepneruxngrawodyladbkxnhlngehmuxnlakhrthukprakar sungimeriykkaraesdngehlaniwalakhraeteriykwaokhnaethn 1 miprawtiyawnantngaetsmykrungsrixyuthya 2 cakhlkthancdhmayehtulaluaebr exkxkhrrachthutfrngessinsmysmedcphranaraynmharach idmikarklawthungkaraesdngokhnwa epnkaretnxxkthathang prakxbkbesiyngsxaelaekhruxngdntripraephthtang phuaesdngcaswmhnakakpidbngibhnatnexngaelathuxxawuth 3 okhn lakhrraswmhnakakinithy mrdkphumipyyathangwthnthrrmodyyuensokkaraesdngokhnthimhawithyalythrrmsastr ph s 2552praeths ithyphumiphakh exechiyaelaaepsifiksakhathrrmeniymaelakaraesdngxxkthangmukhpatha silpakaraesdng aenwptibtithangsngkhm phithikrrm aelanganethskal nganchangfimuxdngedimeknthphicarnaR 1 R 2 R 3 R 4 R 5xangxing01385prawtikarkhunthaebiynkhunthaebiyn2561 khnakrrmkarsmythi 13 raykartwaethnmrdkphumipyyathangwthnthrrmkhxngmnusychati chuxtamthiidcdthaebiyninbychimrdkphumipyyathangwthnthrrmaelakarsngwnrksathidi phumiphakhthicdaebngodyyuensokokhnepncudsunyrwmkhxngsastraelasilphlakhlayaekhnngechn wrrnkrrm wrrnsilp natsilp khitsilp htthsilp 4 odynaexawithielnaelakaraetngtwbangchnidmacakkarelnchknakhdukdabrrph 5 mithathangkartxsuthioldophn thara thaetnechn thapthminkarihwkhrukhxngkrabikrabxng rwmthngkarnasilpakarphaky karecrca hnaphathyaelaephlngdntriekhamaprakxbkaraesdng 6 inkaraesdngokhn lksnasakhyxyuthiphuaesdngtxngswmhwokhn sungepnekhruxngswmkhrxbhumtngaetsirsathungkhx ecaarusxngrubriewndwngtaihsamarthmxngehn aesdngxarmnphanthangkarrayra srangtamlksnakhxngtwlakhrnn echn twyks twling twethwda l tkaetngdwysi lngrkpidthxng pradbkrack bangkeriykwahnaokhninsmyobran twphraaelatwethwdatangswmhwokhninkaraesdng txmaphayhlngmikarepliynaeplngimtxngswmhwokhn khngichibhnacringechnediywkblakhr aetngkayaebbediywkblakhrin ekhruxngaetngkaykhxngtwphraaelatwyksinsmyobranmkmisxngsikhux sihnungepnsiesux xiksihnungepnsiaekhnodysmmutiaethnekraa epnlayhnunpraephthlayphum hruxlaykracngtaxxy swnekhruxngaetngkaytwlingcaepnlaywngthksinawrrt 7 odysmmutiepnkhnkhxnglinghruxhmi daenineruxngdwykarklawkhanaelaeruxngepnthanxngeriykwaphakyxyanghnung kbecrcaepnthanxngxyanghnung ichkaphyyaniaelakaphychbng 8 odymiphuihesiyngaethneriykwaphuphakyaelaecrca mitnesiyngaelalukkhurxngbthih 9 ichwngpiphathyekhruxnghaprakxbkaraesdng niymaesdngeruxngramekiyrtiaelaxunruth pccubnsankkarsngkhit thahnathi daeninkardannatduriyangkhsilpinnganphrarachphithi rthphithi aelaphithikartang tamcaritpraephni aelarwmxngkhkhwamrudannatduriyangkhsilp odykar suksa khnkhwa wicy aelaxnurks sngesrim snbsnun ihbrikar aelafukxbrmaekhnwynganxunthngphakhrth aelaexkchnthidaeninngansilpwthnthrrm dannatduriyangkhsilp aeladaeninkarekiywkbkickar ornglakhraehngchati sngkdkrmsilpakr krathrwngwthnthrrm aela sthabnbnthitphthnsilpmihnathihlkinkarsubthxdkarfukhdokhn aelakrmsilpakr mihnathiinkarcdkaraesdng 10 enuxha 1 prawti 2 praephthkhxngokhn 2 1 okhnklangaeplng 2 2 okhnnngraw 2 3 okhnorngin 2 4 okhnhnacx 2 5 okhnchak 2 6 okhnnxktara 3 okhninphrarachsank 3 1 yukhecriyrungeruxng 3 2 yukhesuxmothrm 4 lksnabthokhn 5 bthlakhrsahrbaesdngokhn 5 1 bthlakhrramekiyrtismykrungsrixyuthya 5 2 bthlakhrramekiyrtismykrungthnburi 5 3 bthlakhrramekiyrtismyrtnoksinthr 6 karkhdeluxkaelafukhdokhn 6 1 twlakhrinkaraesdngokhn 6 2 karfukhdokhn 7 ekhruxngaetngkayaelaekhruxngpradb 8 karaetnghnaokhn 8 1 okhrngsi 8 1 1 sihlk 8 1 2 sirxng 8 2 okhrngesn 8 2 1 esnrangsiaedng 8 2 2 khiwokngepnkhnsr 9 hwokhn 10 phasaokhn 11 praephniihwkhruaelakhwamechux 11 1 phithiihwkhru 11 2 karbwngsrwng 12 wngdntriaelaekhruxngprakxb 12 1 ephlngprakxbkaraesdng 13 ephlngprakxbkaraesdng 13 1 ephlnghnaphathy 13 2 ephlngrxng 14 okhninrupaebbtang 14 1 lakhr 14 2 phaphyntr 15 mrdkthangwthnthrrmthicbtxngimid 16 xangxing 17 aehlngkhxmulxunprawti aekikhokhncdepnnatkrrmthimikhwamepnsilpaechphaakhxngtnexng impraktchdaennxnwakhawa okhn praktkhuninsmyid aetmikarexythunginwrrnkhdiithyeruxnglilitphralxthiklawthungokhninnganaesdngmhrsph rahwangnganphrasphkhxngphralx phraephuxnaelaphraaephngwa khyayorngokhnorngra tharatharawethiyn 11 odymikhxsnnisthanwakhawaokhnnn mithimacakkhaaelakhwamhmayinphasatang dngni 12 13 khawaokhninphasaebngkhali sungpraktkhawa okhla hrux okhl bangkhrngsakddwy l epnkhawa okhla hrux okhl 14 thiepnchuxeriykkhxngekhruxngdntripraephthhnngchnidhnungkhxnghindu lksnaaelaruprangkhlaykhlungkbtaophnkhxngithy immikhatng thadwydin immisaysahrbthwngesiyng miesiyngdngkhxnkhangmak cdepnekhruxngdntrithiidrbkhwamniyminaekhwnebngkxl praethsxinediy ichsahrbprakxbkarlaelnchnidhnung eriykwayatrahruxlakhrerthikhlaykhlungkblakhrchatri odysnnisthanwaekhruxngdntrichnidni ekhythuknamaichprakxbkarelnnatkrrmchnidhnung cungeriykwaokhltamchuxkhxngekhruxngdntrikhawaokhninphasaxihran mithimacakkhawasurt khwan xngkvs Surat khwan hmaykhwamthungtuktahruxhun sungichsahrbprakxbkaraesdng odymiphukhbrxngaelaihesiyngaethntwhun eriykwakhwanhruxokhn xngkvs Khon mikhwamkhlaykhlungkbphuphakyaelaphuecrcakhxngkaraesdngokhninpccubnkhawaokhninphasaekhmr epnkarklawthungokhninphcnanukrmphasaekhmr sunghmaykhwamthunglakhr aetekhiynaethnwalaokhn thihmaykhwamthungkaraesdngmhrsphxyanghnungcakkhxsnnisthantang yngimsamarthsrupidwaokhnepnkhamacakphasaid phcnanukrmchbbrachbnthitysthan ph s 2525 rabukhwamhmaykhxngokhnexaiwwa okhnhmaythungkarelnxyanghnungkhlaylakhrra aetelnechphaaineruxngramekiyrti odyphuaesdngswmhwcalxngtang thieriykwahwokhn 15 hruxhmaykhwamthungimichtxesrimhweruxthayeruxihngxnechidkhunipthieriykwaokhnerux hruxichsahrberiykeruxchnidhnungthimiokhnwaeruxokhnechn eruxokhnkhnadihynxyehluxhlayinlilitphyuhyatra hruxhmaykhwamthungswnsudthngsxngkhangkhxngrangranadhruxkhxngwngihythimilksnangxnkhunwaokhn 16 wngpiphathythiichinkaraesdngokhn insmykhxngsmedcphranaraymharach idmikarklawthungokhnodylaluaebr exaiwwa okhnnn epnkarrayraekha xxk hlaykharb tamcnghwasxaelaekhruxngdntrixyangxunxik phuaesdngnnswmhnakak hwokhn aelathuxxawuth aesdngbthhnkipinthangsurbknmakkwacaepnkarrayra aelamatrwakaraesdngswnihycahnkipinthangoldetnephnophnocnthayan aelawangthaxyangekinsmkhwraelw nan kcahyudecrcaxxkmaskkhasxngkha hnakak hwokhn swnihynnnaekliyd epnhnastwthimirupphrrnwitthar ling hruximepnhnapisac yks 17 sungepnkaraesdngkhwamehntxmhrsphinxditkhxngchawithyinsaytakhxngchawtangpraethskaraesdngokhnodythwipniymaesdngeruxngramynahruxramekiyrti inxditkrmsilpakrekhycdaesdngeruxngxunruth aetimidrbkhwamniymmakethakbkaraesdngeruxngramekiyrti 18 mihlaysanwn thngthimikarpraphnthkhuninsmykrungsrixyuthya krungthnburiaelakrungrtnoksinthr odyechphaabthpraphnthinsmyrtnoksinthr niymaesdngtamsanwnkhxngphrabathsmedcphraphuththelishlanphaly rchkalthi 2 thikrmsilpakridprbprungepnchudepntxnsahrbaesdngepnokhnchak insmykhxngphrabathsmedcphramngkuteklaecaxyuhw rchkalthi 6 kekhythrngphrarachniphnthbthrxngaelabthphakyiwthung 6 chud idaek chudnangsidahay chudephakrunglngka chudphiephkthukkhb chudcxngthnn chudpraedimsuklngkaaelachudnakhbasaetedimnnkaraesdngokhncaimmikarsrangchakprakxbkaraesdngtamthxngeruxng kardaenineruxngrawtang epnaebbcintnakarthungchakhruxsthanthiineruxngrawexng karcdchakinkaraesdngokhnekidkhunkhrngaerkinsmyphrabathsmedcphraculcxmeklaecaxyuhw rchkalthi 5 odythithrngkhidsrangchakprakxbkaraesdngokhnbnewthikhun khlaykbkaraesdnglakhrdukdabrrphthismedcecafakrmphrayanrisranuwdtiwngsthrngkhidkhunpraephthkhxngokhn aekikh karaesdngokhnklangaeplng eruxngramekiyrti okhnepnkaraesdngthiidrbkhwamniymmaodytlxd tngaetinxditcnthungpccubn mkniymaesdngepnmhkrrmbuchaecanaychnsungechn aesdnginnganthwayphraephlingphrabrmsphhruxphrasph aesdngepnmhrsphsmophchechn innganphrarachphithibrmrachaphiesk aelaaesdngepnmhrsphephuxkhwambnethinginoxkasthw ip niymaesdngephiyng 3 praephthkhux okhnklangaeplng okhnhnacxaelaokhnchak sahrbokhnnngrawhruxokhnorngnxkimniymcdaesdng enuxngcakepnkaraesdngokhnthimiaetbthphakyaelabthecrcaethann immibthrxng ichrawimkrabxkaethnetiyngsahrbnng aelaokhnornginsungepnsilpathiokhnhnacxnaipaesdng aetedimimmixngkhprakxbcanwnmak txmaphayhlngemuxmikhwamtxngkarinkaraesdngmakkhun okhncungmiwiwthnakarphthnaepnladb aebngepn 5 praephthkhux 19 okhnklangaeplng aekikh okhnklangaeplngepnkarelnokhnklangaecng immikarsrangorngaesdng ichphumipraethsaelathrrmchatiepnchakinkaraesdng phuaesdngthnghmdrwmthngtwphratxngswmhwokhn niymaesdngtxnykthphrb wiwthnakarmacakkarelnchknakhdukdabrrpheruxngkwnnaxmvtthiichelninphithixinthraphiesk praktinkdmnethiyrbalsmykrungsrixyuthya odynawithikaraesdngkhuxkarcdkrabwnthphaelakaretnprakxbhnaphathymaich aetepliynmaelneruxngramekiyrtiaethn mikaretnprakxbhnaphathyaelaxacmibthphathyaelaecrcabang aetimmibthrxngemux ph s 2339 insmykhxngphrabathsmedcphraphuththyxdfaculaolkmharach rchkalthi 1 mikarelnokhninnganchlxngxthismedcphrapthmbrmchnkathirach odyokhnwnghnaepnthphthsknthfaylngka aelaokhnwnghlngepnthphphraramfayphlbphla aelwykthphmaelnrbkninthxngsnamhnaphlbphla dngpraktinphrarachphngsawdarkhwamwa inkarmhrsphsmophchphrabrmxthikhrngnn miokhnchkrxkorngihy thngokhnwnghlngaelawnghna aelwprasmorngelnknklangaeplng elnemuxsukthsknthykthphkbsibkhunsibrth okhnwnghlngepnthphphraram ykipaetthangphrabrmmharachwng okhnwnghnaepnthphthsknth ykxxkcakphrarachwngbwr maelnrbkninthxngsnamhnaphlbphla thungmipunbaehriymrangekwiynlakxxkmayingkndngsnnip sungkaraesdngokhninkhrngnn ekidkarrbkncringrahwangphuaesdngthngsxngfay cnekidkarbadhmangrahwangwnghnaaelawnghlng cnkrathngsmedcecafakrmphrayaethphsudawdi aelasmedcecafakrmphrasrisudarks smedcphraphinangthngsxngphraxngkhkhxngphrabathsmedcphraphuththyxdfaculaolkmharach aelasmedcphrabwrrachecamhasursinghnath txngesdcmaepnphuiklekliyihaekwnghnaaelawnghlng thngsxngfaycungyxmelikbadhmangsungknaelakn thaihepnkhxsnnisthanwaehtuidkaraesdngokhnklangaeplngcungniymaesdngtxnykthphrbaelakarrbbnphun 20 miekhruxngdntriwngpiphathyimtakwasxngwnginkarbrrelng 21 okhnnngraw aekikh karaesdngokhnnngraw okhnnngrawhruxeriykxikxyangwaokhnorngnxk wiwthnakarmacakokhnklangaeplng epnokhnthiaesdngbnorngthipluksrangkhunsahrbaesdng tworngmkmihlngkhakhumknaesngaeddaelasayfn immietiyngsahrbphuaesdngnng miephiyngrawthacakimiphwangphadtamswnyawkhxngorngethann michxngihphuaesdnginbthkhxngtwphrahruxtwyks thimitaaehnngaelaysthabrrdaskdi samarthedinwnidrxbrawsungsmmutiihepnetiyng inswnphuaesdngthirbbthepnesnayks ekhnyks esnalinghruxekhnling khngnngphunaesdngtampktimikarphakyaelaecrca immibthkhbrxng wngpiphathybrrelngephlnghnaphathyechn krawin krawnxk l inkaraesdngichpiphathysahrbbrrelngephlngthungsxngwng enuxngcaktxngbrrelngepncanwnmak odytaaehnngkhxngpiphathytwaerkcatngxyubriewnhworng taaehnngkhxngpiphathytwthisxngcatngxyubriewnthayorng aelaklayepnthimakhxngkareriykwa wnghwaelawngthayhruxwngsayaelawngkhwa 22 okhnorngin aekikh okhnornginepnokhnthinasilpakaraesdngkhxnglakhrin ekhamaphsmphsanrahwangokhnkblakhrin inrchsmyphrabathsmedcphraphuththyxdfaculaolkmharach rchkalthi 1 aelaphrabathsmedcphraphuththelishlanphaly rchkalthi 2 rwmthngmirachkwiphayinrachsank chwyprbprungkhdeklaaelapraphnthbthphaky bthecrcaihmikhwamkhlxngcxng ipheraaslaslwymakyingkhun odynatharathaetn aelabthphakyecrcatamaebbokhnmaphsmkbkarkhbrxng epnkarprbprungwiwthnakarkhxngokhninkaraesdngokhnorngin phuaesdngepntwphra twnangaelaethwda erimthicaimtxngswmhwokhninkaraesdng mikarphakyaelaecrcatamaebbchbbkhxngkaraesdngokhn naephlngkhbrxngprakxbxakpkiriyaxakarkhxngtwlakhr aelaepliynmaaesdngphayinorngaebblakhrincungeriykwaokhnorngin mipiphathybrrelngsxngwng pccubnokhnthikrmsilpakrnaxxkaesdngnn ichsilpakaraesdngaebbokhnornginsungepnkaraesdngrahwangokhnklangaeplngaelaokhnhnacx 23 okhnhnacx aekikh karechidhnngihyinkaraesdngokhnhnacx okhnhnacxepnokhnthiaesdnghnacxhnngihy sungichsahrbaesdnghnngihyhruxhnngtalung odyphuaesdngokhnxxkmaaesdng slbkbkarechidtwhnng thichluaekaslkepntwlakhrineruxngramekiyrtixyangswyngamwicitrbrrcng eriykwa hnngtidtwokhn sunginkarelnhnngihy camikarechidhnngihyxyuhnacxphakhawaebbcxhnngihy yaw 7 wa 2 sxk rimkhxbcxichphasiaedngaelasinaengineybtidkn ichesacanwn 4 tnsahrbkhungcx playesaaetladanpradbdwyhangnkyunghruxthngaedng 24 misilpasakhyinkaraesdngkhuxkarphakyaelaecrca ichekhruxngdntripiphathyprakxbkaraesdng phuechidtwhnngcatxngetntamcnghwadntriaelalilathathangkhxngtwhnngniymaesdngeruxngramekiyrti phayhlngykelikkaraesdnghnngihykhngehluxechphaaokhn odykhngcxhnngiwphxepnphithi enuxngcakphuduniymkaraesdngthiichkhnaesdngcringmakkwatwhnng cungepnthimakhxngkareriykokhnthielnhnacxhnngwaokhnhnacx mikarphthnacxhnngthiichaesdngokhn ihmichxngpratusahrbekhaxxk odywadepnsumpratueriykwacxaekhwa odythipratuthangdansaywadepnrupkhayphlbphlakhxngphraram swnpratudankhwawadepnkrunglngkakhxngthsknth txmaphayhlngcungmikarykphunhnacxkhunephuxknkhnduimihekakatwaesdngewlaaesdngokhn 25 sahrbokhnhnacx krmsilpakrekhycdaesdngihprachachnthwipidrbchminnganchlxngwnshprachachatithisnamesuxpa emuxwnthi 24 tulakhm ph s 2491 aelanganfunfupraephnisngkrant n thxngsnamhlwng emuxwnthi 13 emsayn 15 emsayn ph s 2492 26 okhnchak aekikh okhnchakepnkaraesdngokhnthithuxkaenidkhunkhrngaerk insmykhxngphrabathsmedcphraculcxmeklaecaxyuhw rchkalthi 5 oprdihmikarcdchakinkaraesdngaebblakhrdukdabrrphprakxbtamthxngeruxng aebngepnchakepnxngk ekhakbehtukarnaelasthanthi cungeriykwaokhnchak pccubnkaraesdngokhnkhxngkrmsilpakr nxkcakcaaesdngokhnornginaelw yngcdaesdngokhnchakkhwbkhuknxikdwyechn chudprabkaknasur chudmyraphnsakdthph chudnanglxy chudnakhbas chudphrhmastr chudsukwiruycabng chudthalayphithihungnathiphy chudsidaluyifaelaprabbrrlyklp chudhnumanxasa chudphraramedindngaelachudphraramkhrxngemuxngsunginkaraesdngokhnthukpraephth miwiwthnakarmayawnantngaetsmyxyuthyacnthungpccubn rupaebbaelawithikaraesdngkhxngokhnidmikarprbepliyniptamyukhtamsmy aetkhngrupaebbaelaexklksnechphaakhxngkaraesdngexaiw okhnnxktara aekikh nxkcakpraephthkhxngokhntang thng 5 praephthaelw yngmikaraesdngokhnnxktarathithangkrmsilpakrimcdihrwmxyuinpraephthkhxngokhn idaek okhnsdokhnsd epnkaraesdngthiphsmphsanthangwthnthrrm thiprbprungmacakkaraesdngokhnihmikhwameriybngay mikarprbepliynldthara karaetngkay karkhbrxng khaphakyaelakarecrca epnkaraesdngthiekidcakphsmphsankaraesdng 3 chnidkhux okhn hnngtalungaelaliek immikarphakyesiyngaelaecrca odyphuaesdngcaepnphuphudbthecrcaexng aetngkayyunekhruxng swmhwokhnbnsirsaaetimkhlumhna samarthmxngehnibhnakhxngphuaesdngidxyangchdecn idrbkhwamniymxyangaephrhlayinchnbth aesdngdwykiriyathathangoldophn cringcngkwakaraesdngokhnmak 27 okhnhnaifokhnhnaif epnkaraesdngokhnthimkniymcdaesdngintxnklangwn hruxaesdngechphaatxnphrarachthanephlingsph epnkaraesdnginchwngrayaewlasn odymicudprasngkhinkaraesdngephuxepnkaraesdngkhwamekharphaelaihekiyrtiaekphuesiychiwithruxecaphaphkhxngngan rwmthngepnkaraesdngkhnewlaihaekphuthimarwmnganidchmkaraesdngkxnthungewlaphrarachthanephlingcring aetedimokhnhnaifichsahrbinnganphrarachphithi rthphithihruxngankhxngecanayechuxphrawngschnsung esnakhunnangxamatyechn phrarachphithiphrarachthanephlingphrasphphrabrmwngsanuwngs n briewnthungphraemruhruxthxngsnamhlwng okhnnxnorngokhnnxnorng epnkaraesdngokhnthimkniymaesdnginewlabay kxnwnaesdngcringkhxngokhnnngraw aesdngtxn ekhaswnphiraph sungehmuxnkbngiwebikorng ephiyngeruxngediywethann mipiphathysxngwnginkarbrrelngephlngohmorng aesdngephiyngchwngrayaewlasn odykxnaesdngcamiphuaesdngxxkipetnkrathungesathng 4 mumkhxngorngaesdng sungkarkrathungesann epnkarthdsxbkhwamaekhngaerngkhxngewthiinkarrbnahnktwkhxngphuaesdng smykxnewthisahrbaesdngichwithikhudhlumfngesaaelaichdinklb thaihrahwangthakaraesdngewthiekidkarthrudtw epnehtuphlihxacaryphuthakarfuksxn mkihphuaesdngipetntamhwesathng 4 mumkhxngewthi ephuxihkaretnnnchwykrathunghnadinthifngesaiwihekidkhwamaennmakkhunhlngaesdngesrc phuaesdngmkcanxnefaorngaesdngephuxaesdngorngnngrawtxinwnrungkhun inxditokhnnxnorngekhyaesdngmaaelwsxngkhrngkhux khrngaerkaesdnginsmykhxngphrabathsmedcphramngkuteklaecaxyuhw rchkalthi 6 inngansmophchphraeswtkhchedndilk aelakhrngthisxnginsmykhxngphrabathsmedcphrapkeklaecaxyuhw rchkalthi 7 aesdngthibriewnthxngsnamhlwnginnganchlxngrththrrmnuy rahwangwnthi 10 11 thnwakhm ph s 2475 28 okhnchkrxkokhnchkrxk epnkaraesdngokhnthiimkhxyidrbkhwamniymmaknk cakhlkthanthangprawtisastrthaihsnnisthanidwa okhnchkrxknnmikartngaetinsmykhxngphrabathsmedcphraphuththyxdfaculaolkmharach rchkalthi 1 epnkaraesdngokhninorngaesdngthiplukkhunodyechphaa ykphunsungaelamihlngkha aesdngehmuxnkbokhnthukprakar aetktangephiyngaetphuaesdngnnsamarthlxytwkhunipinxakasdwykarchkrxk mixupkrnthiichepncanwnmak epnehtuphlsakhythithaihokhnchkrxkimkhxypraktihehnmaknk 29 krmsilpakrekhycdaesdngokhnchkrxkihprachachnidchm emuxkhrawnganethskalwdxrunrachwraram r s 100 karcdaesdngokhnchkrxkkhrngni krmsilpakridrwmmuxkbbristhxxrkainesxr cakd sungepnokhrngkarthicdkhunephuxnxnurkswdxrunaelakaraesdngthihayakinpccubn rahwangwnthi 9 15 phvscikayn ph s 2543 ewla 17 00 22 00 n odyichphunthibriewnhnawdepnorngaesdng miphraprangkhwdxrunepnchakhlngokhninphrarachsank aekikh phrabathsmedcphramngkuteklaecaxyuhw phukxtngkhnaokhnsmkhrelntamaebbthrrmeniymobran insmyobrankharachkar mhadelkthirbrachkarinsankphrarachwng mkidrbkarphicarnakhdeluxkihfukhdaesdngokhn enuxngcakokhnnnthuxepnkarlaelnkhxngphumiysthabrrdaskdi ichsahrbaesdnginnganphrarachphithiethann thaihtxngmikarkhdeluxkphuaesdngthimikhwamsamarth chladechliyw cdcaaelafukhdtharathaetntang ihekhaicidodyngay dngkhasnnisthankhxngsmedckrmphrayadarngrachanuphaph khwamwa bangthiekidmi krmokhn khuncamaaetkarelndukdabrrph inphrarachphithixinthraphieskniexng odythanxngcamiphrarachphithixunxnmikarelnaesdngtananenuxng cungepnehtuihfukhdokhnhlwngnikhuniw sahrbelninkarphrarachphithi aelaexamhadelkhlwngmahdepnokhntamaebbaephn sungmixyuintaraphrarachphithixinthraphiesk aetedimnnichphuchaylwninkaraesdngthngtwphraaelatwnang karidrbkhdeluxkihaesdngokhninsmynn thuxepnkhwamphakhphumiictxphuthiidthukrbkhdeluxk enuxngcakokhnepnsilpakaraesdngchnsung aelaklayepnpraephnisubtxmacnthungkrungrtnoksinthr thiphuaesdngokhninphrarachsankcatxngepnphwkmhadelk kharachkarhruxbutrhlankharachkarethann 30 yukhecriyrungeruxng aekikh insmyphrabathsmedcphraphuththyxdfaculaolkmharach rchkalthi 1 idphrarachthanphrabrmrachanuyatihecanaychnsung khunnangchnphuihy esnaxamatyaelaphuwarachkaremuxng ekharbkarfukhdokhnephuxepnkarpradbekiyrtiysaektnexngaelawngstrakul aelaoprdihhdiwechphaaaetephiyngphuchaytampraephnidngedim thaihphuthifukhdokhn mikhwamkhlxngaekhlwwxngiw samarthichxawuthtang inkartxsuidxyangchanay rwmthngoprdihmikaraetngbthlakhrsahrbaesdngokhnkhunxikdwy thaihecanaychnsung khunnangchnphuihycanwnmaktanghdokhniwinkhnakhxngtnexnghlakhlaykhnaechn okhnkhxngkrmhmunecsdabdinthr hruxphrabathsmedcphranngeklaecaxyuhw khrngesdcdarngphraysepnphraecalukyaethxinphrabathsmedcphraphuththelishlanphaly rchkalthi 2 aelaokhnkhxngkrmphithksethewsr epntn aelamikarprakwdaekhngkhnprachnfimux rwmthngidmikarfukhdokhnihphwklukthasaelalukhmu 31 sungepnphuthisngkdkrmkxngtang tamwithikhwbkhumthharaebbobranxikdwy thaihokhninsmynnidrbkhwamniymxyangaephrhlaytxmainsmykhxngphrabathsmedcphramngkuteklaecaxyuhw rchkalthi 6 khrngesdcdarngphraysepnsmedcphrabrmoxrsathirachsyammkudrachkumar prathb n phrarachwngsrayrmy idoprdihmikarfukhdokhnkhuntamaebbobran odymichuxkhnawa okhnsmkhreln oprdihyumkhruphufuksxncakecaphrayaethewswiwthn canwn 3 khn idaek khunrabaphasa thxngib suwrrnphart txmaphayhlngidrbkareluxnbrrdaskdiodyladbcnthungphrayaphrhmaphibal thahnathiepnkhruyks phufukhdsxnokhnintwyks khunntkanurks thxngdi suwrrnphart txmaphayhlngidrbkareluxnbrrdaskdiodyladbcnepnphrayainrachthinnam thahnathiepnkhruphraaelakhrunang phufukhdsxnokhnintwphraaelatwnang khunphankncnikr ephim sukhriwka txmaphayhlngidrbkaroprdekla phrarachthanbrrdaskdiepnphradukdabrrphpracng thahnathiepnkhruling phufukhdsxnokhnintwlingsahrbphuthiekharbkarfukhdokhnnn lwnepnphuthithwaynganrbichiklchidphraxngkhmaodytlxdechn lukkhunnang ecanayaelamhadelk epntn odythrngfukhdokhndwykhwamexaphrathyisepnxyangying rwmthngihkarsnbsnuninkaraesdngokhnmaodytlxd ekhynaxxkaesdnginngansakhysakhyhlaykhrngechn nganepidorngeriynnayrxy thharbk chnmthym emuxwnesarthi 25 thnwakhm r s 128 ph s 2452 dngkhwaminsucibtrthiaeckcayinngan khwamwa 32 okhnorngni eriyknamwa okhnsmkhreln ephraaphuelnelnodykhwamsmkhrexng imichthukkaeknthhruxehnaeksincang mikhwamprasngkhaetcaihphuthikhunekhychxbphxknaelathiepnkhnchnediywkn mikhwamruneringaelaephuxcaidimlumwa silpawithyakarelnetnra imcaepncatxngepnkhxngfrngcungcaduid khxngobrankhxngithyeramixyu imkhwrcaihesuxmsuyipesiy okhnorngniidekhyelnaetthiphrarachwngsrayrmyepnphun aetkhrngniehnwaphuthiepnnkeriynnayrxy kepnkhnchnediywkn aelaepnthihwngxyuwacaepnkalngkhxngchatieratxip phwkokhncungmikhwametmicmachwyngan ephuxihepnkarkhrukkhrun thaaemwaphuthidurusukwasnukaelaaelehnxyuwa karelnxyangithyaethkyngepnsingthikhwrduxyuaelw phuthixxknaphknaaerngelnihdukcarusukwaidrbkhwamphxicyingkwaidsincangxyangid thngsin yukhesuxmothrm aekikh hlngcakokhnthiecriyrungeruxnginsmykhxngphrabathsmedcphraphuththyxdfaculaolkmharach aelaecriyrungeruxngcnthungkhidsudinsmykhxngphrabathsmedcphramngkuteklaecaxyuhw kerimmiphuthinaexaokhniprbcangaesdnginngantang echnngansphhruxnganthiimmiekiyrtiephiyngephuxhwngkhatxbaethn thaihokhnerimthukmxngipinthangthiimdi klayepnkaraesdngthiimsmthanakhxngphuaesdng imkhanungthungekiyrtiyskhxngkaraesdngsilpachnsungthiidrbkhwamniymykyxng enuxngcakaetedimnnokhnepnkaraesdngthimiekiyrtiaelaskdisri ichsahrbaesdnginnganphrarachphithiethann thaihkhwamniyminokhnerimesuxmlngxyangrwderw prakxbkbphrabathsmedcphracxmeklaecaxyuhw rchkalthi 4 idphrarachthanphrabrmrachanuyatihecanaychnsung kharachkaresnaxamatymilakhrhying thiaetedimmiechphaaphramhakstriyid dngphrarachprarphwa milakhrdwyknhlayraydi banemuxngcaidkhrukkhrun caidepnekiyrtiysaekaephndin thaihsngphlkrathbkraethuxnxyangihyhlwngtxkaraesdngokhninphrarachsankkhxngecanaychnsungaelakhunnangchnphuihykaraehwkmanpraephnikhxngphrabathsmedcphracxmeklaecaxyuhw thiphrarachthanxnuyatihmilakhrhyingidnn thaihecanaychnsung esnaxamatykhunnangtang phaknepliynaeplngephskhxngphuaesdnginsngkdtnexngepnxyangmak thaihaetedimokhnthimiechphaaphuchaylwnnn erimmikarelnphsmphsankblakhrhying thiidrbkhwamniymaethnthiokhnxyangrwderw epnehtuihhwhnakhnathiekhyfukhdaelathanubarungokhniw kerimepliynaeplngkaraesdnginsngkdtnexng bangraykmiokhnaelalakhrhyingkhwbkhuknip bangraythungkyykelikokhninsngkdaelaepliynmahdlakhrhyingephiyngxyangediyw thaihokhnkhxy suyhayip ykewnbangsngkdthimikhwamniymchmchxbsilpaithyaebbobranechnokhn thiyngkhngxnurksrksaiwsubtxmacnthungpccubn aelaokhnhlwngthiphramhakstriythrngxupthmphiwethann rwmthngidkxtngepnkrmokhnkhunkxncaykelikipinsmykhxngphrabathsmedcphranngeklaecaxyuhw rchkalthi 3txmaphayhlngcakphrabathsmedcphramngkuteklaecaxyuhw esdcswrrkhtaelw okhnthierimekhasuyukhesuxmothrmkyingtktalngxyangrwderw thngindankhxngsphaphciticphuaesdngaelaindankhxngsilpwtthu 33 aelainsmykhxngphrabathsmedcphrapkeklaecaxyuhw rchkalthi 7 oprdihelikorngmhrsphtang rwmthngokhn enuxngcakmhrsphtang nnepnkarsinepluxngphrarachthrphyinthxngphrakhlngepnxyangmak aelaoxnnganthangdannatsilpaelasilpa ihxyuphayitsngkdkhxngkrmsilpakrlksnabthokhn aekikhbthecrcarahwangthsknththirbsngihkalsur ipthulechiyxinthrchitiherngchubsrphrhmasephuxxxkiptxsukbphraram source source twxyangbthecrcarahwangthsknththirbsngihkalsur ipthulechiyxinthrchitiherngchubsrphrhmasephuxxxkiptxsukbphraram inkaraesdngokhnechlimphraekiyrtitxn sukphrhmas brrelngodywngoythwathithakimidyinesiyng oprdduephimthi wikiphiediy withiichsux inkaraesdngokhn emuxerimaesdngwngpiphathycabrrelngephlngohmorngepnephlngepid emuxcbephlngcungcaerimkaraesdng daenineruxngodyichkhaphakyaelakhaecrcaepnhlk karelnokhnaetedimimmibthrxngkhxngphuaesdngehmuxnlakhrin phuaesdngthukkhninsmyobrantxngswmhwokhn ykewntwtlkthiichibhnacringinkaraesdng thaihtxngmiphuthahnathisahrbphakyaelaecrcathxykhatang aethntwphuaesdng phuphakyesiyngnnmikhwamsakhyinkaraesdngokhnepnxyangmak txngeriynruaelasuksathakhwamekhaiceruxngrawaelawithikaraesdng cdcakhaphakyaelaichptiphanihwphribinechingkaphy klxn ephuxsamarthecrcaihsxdkhlxngthuktxng mismphsnxk smphsinkhlxngcxngkbkaraesdngkhxngphuaesdnglksnabthokhninsmyobran aebngxxkepn 3 praephthkhux bthrxng bthphaky bthecrcasungbthrxngnnepnkarrxngklxnbthlakhr ichsahrbaesdngokhnornginaelaokhnchakethann bthphakyichkaphyyaniaelakaphychbng emuxphakycbhnungbth piphathycatitaophnthaaelatiklxngthdtxcaktaophnsxngthi phuaesdngphayinorngcarxngrbwa ephy phrxm kn sungkhawaephyni snnisthanwaaetedimnn macakkhawa ehy inkarbychasuksngkhramkhxngaemthphnaykxng khxy ephiynesiyngcnklayepnkhawaephyinpccubn 34 sahrbbthphakyepnkhapraphnthchnidkaphychbng 16 hruxkaphyyani 11 bth michuxeriykaetktangkn withiphakybthokhninkaraesdng aebngxxkepnpraephthtang dngni 35 36 karphakyemuxnghruxphakyphlbphlaichsahrbphakyewlaphuaesdngtwexk hruxphuaesdngxxkthxngphraornghruxxxkphlbphla echn thsknth phraramhruxphralksmnesdcxxkprathbinprasathhruxphlbphla odymitwxyangbthphakykaphychbng 16 txnechn phraramesdcxxkphlbphla rbkarekhaefakhxngphiephk sukhriph hnumanaelaehlaesnaling khrnrungaesngsuriyoxpha phungphnewhakhiriyxdyukhnthrsmedcphrahriwngsthrngsr vththieluxngluxkhcrsathxnthngitrolkaesdcxxknnghnaphlbphla phrxmdwyesnasiortmkmkrabkranphiephksukhriphhnuman nxbnxmthulsarsdbkhdiodythwil bthphrarachniphntheruxngramekiyrti rchkalthi 2 karphakyrthhruxphakyphahnaichsahrbphakyewlaphuaesdngexychmphahnaaelakarcdkrabwnthphechn rth ma chang hruxsingxunidthiepnphahna hruxichphakyewlaphuaesdngtwexngthrngphahnatlxdcnchmiphrphl odymitwxyangbthphakykaphychbng 16 echn phraram phralksmn thrngrachrthxxkthasukkbthsknthaelaehlaesnayks esdcthrngrthephchrephchrphray phrayaesngaesngchaycaruycarsrsmixaiphiphorcnruci sihrachrachsihchkrchrthrththrngdumhnhnewiynwng kukkxngkxngdngesthuxnthngiphriphrwnyksasarthiolthn ehyiybyunyunynkngsrcaaephlaephlngphlay bthphrarachniphntheruxngramekiyrti rchkalthi 2 karphakyoxhruxkarphakyraphnichsahrbphakyewlaphuaesdngmixakaresraoskesiyic raphnkhrakhrwythungkhnrk erimthanxngtxntnepnkarphaky txnthayepnthanxngkarrxngephlngoxpi sungkarphakypraephthnicaihpiphathyepnphurbemuxsinsudkarphakyhnungbth mikhwamaetktangcakkarphakypraephthxuntrngthimiekhruxngdntrirb kxnthilukkhucarxngrbwaephy odymitwxyangbthphakyyani 11 echn phraramoskesraraphnthungnangsida thiepnnangebyckayaeplngmatamkhasngthsknth ephuxihphraramekhaicwanangsidatay xniccaecaephuxnir mabrrlyxyuexxngkhphicaidsingidpxng phrasphnxnginhimwacaechiysphphraeyawers ekhayngniewsnxyuthyathngphrayatiwngsa caphiorthphiireriymwaphiphamaesiychnm inkmlihtrmekriymcaekliythraykhunthaethiym tangaethnthiphbrrthmcaxumxngkhkhuntangoks exaphraoxsthmarangmtangesiyngphrasnm xnrarxngpracaewr bthphrarachniphntheruxngramekiyrti rchkalthi 2 karphakychmdngichsahrbphakyewlaphuaesdngchmsphaphphumipraeths paekha laenaiphraelastwpanxyihy erimthanxngtxntnepnthanxngrxngephlngchmdngin txnthayepnthanxngkarphakythrrmda odymitwxyangbthphakychbng 16 echn phraram phralksmnaelanangsida exychmsphaphpathimikhwamswyngam hlngcakxxkcakemuxngephuxbwchepnvsiinpa ekhaomngcbomngmxngemiyng khuekhaomngekhiyngekhiyngkhuxyuplayimomnglanglinglingehniywldaoyng khxyyudchudochlngoldilinklanglanglingchingchngnkchingknsing rngikhrikhrchingchingkncbtnchingchnnkyungcbphyungyunyn aephhangehiynhnhnehyibeliybitimphyung bthphrarachniphntheruxngramekiyrti rchkalthi 2 karphakybrryayichsahrbphakyewlabrryaykhwamepnmakhxngsingidsinghnung epnbribthkarkhyaykhwamepnmaepnipkhxngsingkhxngnn hruxichsahrbphakyraphungraphnid odymitwxyangbthphakychbng 16 echn karphakybrryaytananrtnthnu khnsrthiphrawiswkrrmsrangthwayphranarayntxnxwtarmaepnphraram edimthithnurtn wrvththiekriyngikrxngkhwiswkrrmisr pradisthasxngthwaykhnhnungphrawisnu surrachanaraynkhnhnungnathulthway siwaethwaethwnkhrnemuxmunithk saprachabdinnkxbkiccakaryy yaphlisuethwaimechiymhaethph th kaesncaokrthakumaesngthnukhla n phithiphlikrn bthphrarachniphntheruxngramekiyrti rchkalthi 2 karphakyebdetldichsahrbphakyichinoxkasthw ipinkaraesdng epnkarphakyeruxngrawelk nxy thiimcdxyuinkarphakypraephthid rwmthngkarexyklawthungikhr thaxair xyuthiihnhruxphudkbikhr odymitwxyangbthphakychbng 16 echn phraramsngihhnuman xngkhtaelachmphuphan ipsuberuxngkhxngnangsidathithukthsknthlkphatwip aelamxbthamngkhaelaphusaipihephuxepnkarthdsxbcitickhxngnangsidaemuxidehnsingkhxngdngklaw phuwkwkeriykhnumanma trssngkiccaihaecngpracksiccngaelwthxdckrrtnthamrngkh kbpharxyxngkhyuphinthrihnaipphiwnangyngaehnngnaic cngaenakhwaminmithilrachpharaxnpraktcringicma emuxtatxtapracwbbnbychrichy bthphrarachniphntheruxngramekiyrti rchkalthi 2 sahrbbthecrcann aetktangcakbthrxngaelabthphakytrngthiepnbthkwiaebbrayyaw mikarsngaelarbkhasmphsxyangtxenuxng ichthxykhaslaslwy khlxngcxng mismphsnxksmphsin bthecrcainkaraesdngokhnepnbththikhidkhuninkhnaaesdng epnkhwamsamarthaelaihwphribptiphanechphaatwkhxngphuecrca pccubnbthecrcamikaraetngetriymiwaelw phuphakybthecrcacawatambthihekidxarmnkhlxytamthxykha odyichnaesiynginkarecrcaihehmaakbtwokhn iskhwamrusukihehmaakbxarmnkhxngtwlakhrineruxngechn ecrcaesiyngethwdaktxngprbnaesiyngihnum suphaph ecrcaesiyngyksktxngprbesiyngihdng durayaelaaekrngkraw ecrcatwnangktxngprbesiyngihnum xxnhwan epntnkarphakybthecrcaichphuchayepnphuihesiyngimtakwasxngkhn ephuxthahnathithngphakyaelaecrca bangkhrngmikarehnbaenmesiydsiottxbrahwangkn thainkaraesdngokhnmibthrxng phuphakyaelaecrcacatxngthahnathibxkbthihaekphuaesdngxikdwy 37 ewlaaesdngphuphakyaelaecrcacayunpracacudtang tamthikahndiwechn okhngklangaeplng cayunxyuiklkbcudkhxngtwaesdng aebngepn 2 faykhuxmnusyaelayks okhnnngrawaelaokhnhnacx cayunxyubriewnrimchakpratusayaelakhwakhanglahnungkhn okhnorngincanngeriyngtidkbkhnrxngkhangla 2 khn 38 dngtwxyangkarbthphakyaelaecrcarahwanghnumanaelanangphirakwn thirxngihkhrakhrwydwykhwamesiyic dwymyraphnsngihxxkmatknaephuxnaiptmphraramaelaiwywikbutrchay khwamwa 39 hnumanchayskda sumkayaaexbfngnangraih idyinkhawaprasythungphrackri khunkrabinuksngsyinwaca cungxxkmacaksumthumphumphvksaekhaiklnang thrudkaylngnngkhang phlangkrabihw thkthamwamacakihnca paca iymaraoskanasngsar thungtwchnepnedrcchansycrpa kmicitkhidsngsarpacbdwngic eruxngthukkhrxnepnxyangir oprdelaihfngbangethidpa hakchnchwyidchnkcaxasa xyaoski hnuman khxbicecakrabithiemtta tweramichuxwaphirakwnethwi epnphikhxngmyraphnxsuriecabadal xnmyraphnmnichaysndanochd israypayothsthxderalngepniphr mihnasacbiwywiklukeraip hawaepnkbtkhidaeyngemuxng esaesrngaeklngkxeruxngcbtwipkhng emuxkhunwankipsakdthphcbphrathrngsngkhmakhngiw mnwacaphlayihbrrlyphrxmthnglukrkaelaphrackri icheraihmatknthiiskrathaihy aesnsngsarbutrsudxalyimmiphid epnthixbcnphncitkhidaekikh txngtknanaexaiptmlukrk thungaesnehnuxykimxacphkephraaklwphy nangyingelayingxalythunglukya nangphirakwn hnumanchayskdasudsngsarnangethwi cungwaeruxngrawthielainkhrngni paxyaesiyic chncacaaelngaeplngkayepniybwekaaphusa ephuxekhaipsngharphlaychiwinmyraphnihsinchiwa waphlangthangcaaelngaeplngkayainthnthi hnuman bthlakhrsahrbaesdngokhn aekikh bthlakhreruxngramekiyrti aeplcakphasasnskvtepnphasafrngess bthlakhrthiichsahrbprakxbkaraesdngokhn pccubnichramekiyrtiephiyngeruxngediyw epnbthlakhrthimisanwnhlakhlayphasaechn phasaithy phasachwa phasaekhmraelaphasasnskvt epntnkaenidkhxngramekiyrtihruxramaynaemuxhlayphnpikxn aetngodyvisiwalmiki chawxinediyinsmyobranihkhwamekharphnbthuxbthlakhreruxngramekiyrti echuxknwahakidxanhruxfngcasamarthlblangbapaelakhwamphidthiidkrathaiwramekiyrtiepneruxngrawkhxngphranaraynthixwtarmaekidepnphraram ephuxprabnnthkhruxthsknthdngwacathiiwihtxnphranarayprabnnthk dwykarihnnthkmaekidepnphyayks misibesiyrsibkr mivththimakmay swntncamaekidepnmnusythrrmdaephuxtamprabihsinsak sngkhramrahwangphraramkbthskntherimtnkhun phayhlngcakthsknthekidhlngrknangsida mehsikhxngphraram cunglkphatwmaiwthikrunglngkaephuxihepnmehsikhxngtnexng phraramaelaphralksmnsungepnphraxnuchathitidtamxxkphnwchinpa idxxktidtamephuxchingtwnangsidaklbkhun rahwangthangphbkbphali sukhriph thawmhachmphuaelachmphuphan rwmthngidkxngthphlingmaepnbriwar mihnumanepnthharexk rwmthasukkbthsknthcnkrathngidrbchychna 40 ramekiyrtitamaebbchbbkhxngithy aetngepnbthlakhrsahrbaesdngepntxn hruxaesdngthngeruxng ichsahrbaesdngokhn hnngihyaelalakhr aetngkhunhlayyukhhlaysmy dngni bthlakhrramekiyrtismykrungsrixyuthya aekikh ramekiyrtikhachnthkhawxrxydi epnbthlakhrthiimprakthlkthanwaaetngkhuninsmysawid aetngkhunsahrbkhnswythichuxxairkidichinkaraesdnghnngihy cakcdhmayehtulaluaebrthimikarbnthukeruxngrawekiywkbokhn thaihsamarthrabuidwakaraesdngokhnnn txngmimaaetkxninsmysmedcphranaraynmharach pccubntnchbbkhachnthsuyhayipekuxbhmdtamkalewla mikarklawthunginhnngsuxcindamnikhxngphraohrathibdiephiyng 3 4 bthethannkhux bthlakhrtxnphraxinthrsngihphramatulinarachrthmathwayyngsnamrb bthlakhrtxnphraramoskesraesiyic raphnkhrakhrwyemuxkhrawthithsknthlkphatwnangsida bthlakhraebbphrrnatxnmhabasbutrkhxngthsknth aelabthlakhrtxnphiephkkhrakhrwyhlngthsknthlmramekiyrtikhaphaky epnbthephylakhrthihxsmudaehngchati krmsilpakr idthakaraebngtiphimphiwepnphakh epnkardaenineruxngtidtxkntngaetphakh 2 txnsidahay cnthungphakh 9 txnkumphkrrnlm rupaebbkaraetngepnbthphakythikhxnkhangyawaelasn aetedimichphakthysahrbelnhnngihy phayhlngnamaichprakxbinkarelnokhndwy nxkcakramekiyrtikhachnthaelaramekiyrtikhaphakyaelw yngmibthlakhrnirassidahruxrachaphilap thiphraohrathibdikhdlxknamaisinhnngsuxcindamnihlaybth sahrbbthlakhrnirassidani thangkrmsilpakrekhytiphimphnaesnxephyaephraelwkhrnghnunginhnngsuxwchiryan txnthi 49 chbbpracaeduxnkumphaphnth r s 120 41 bthlakhrramekiyrtiinsmykrungsrixyuthya mibangsanwnklawthungtxnphraramprachumphlcnthungtxnxngkhtsuxsar epnbthlakhrthiimekhytiphimphephyaephrthiidmakxn emuxnamaepriybethiybkbbthlakhrramekiyrtiinsmyphrabathsmedcphraphuththyxdfaculaolkmharach rchkalthi 1 phbwaenuxkhwambangtxnimtrngkn thxykhatang duimehmaasm cungekhaicwabthlakhrdngklawepnbthlakhrramekiyrtichbbechlyskdi thimiphukhdlxkiwinsmykrungsrixyuthya 42 bthlakhrramekiyrtismykrungthnburi aekikh bthlakhrramekiyrtismykrungthnburi epnbthlakhrthismedcphraecakrungthnburithrngphrarachniphnthiwephiyng 4 txnethann prakthlkthaninkaraetnginsmudithyda odythrngphrarachniphnthbthlakhrimeriyngtamladbkxnhlngkhxngenuxeruxngkhux bthlakhrelm 1 txnphramngkud bthlakhrelm 2 txnhnumanekiywnangwanrinthr cnthungthawmaliwrachesdcma bthlakhrelm 3 txnthawmaliwrachwakhwamcnthungthsknthekhaemuxngaelatxnthsknthtngphithithraykrd bthlakhrelm 4 txnphralksmntxnghxkkbilphthcnthunghnumanphukphmnangmnothkbthsknth 43 bthlakhrramekiyrtismyrtnoksinthr aekikh bthlakhrramekiyrti epnbthlakhrinsmyphrabathsmedcphraphuththyxdfaculaolk rchkalthi 1 thimiphrarachprasngkhcarwbrwmbthlakhrramekiyrtithnghmdihepneruxngediywkn oprdihmikarprachumbthlakhreruxngramekiyrtiaelaphrarachniphnthkhunihmxikkhrng epnbthlakhrthimikhwamyawmakthisudinramekiyrtithukeruxnginphasaithy epnwrrnkhdiekhiyninsmudithy 117 elmsmudithy khanwnkhxkhwamtang inbthlakhrepnkhaklxnidpraman 50 286 khaklxn 44 45 phayhlngthiphrabathsmedcphraphuththelishlanphaly rchkalthi 2 esdckhunkhrxngrachy thrngehnwabthphrarachniphntheruxngramekiyrtiinrchkalthi 1 mikhwameyineyxaelayawekinip imehmaathicanamaichprakxbkarelnokhn cungthrngkhdeluxkephiyngbangtxnkhux bthlakhrtngaethnumanthwayaehwnaeknangsidacnthungthsknthlm namaphrarachniphnthkhunihmichsahrbelnokhninphrarachsank bthphrarachniphntheruxngramekiyrtiinrchkalthi 2 epnhnngsux 36 elmsmudithy epnkhaklxnpraman 14 300 khaklxn 46 47 insmyphrabathsmedcphracxmeklaecaxyuhw rchkalthi 4 thrngphrarachniphnthbthlakhreruxngramekiyrtiephimxikhnungsanwnkhux txnphraramedindng epnhnngsux 4 elmsmudithy nxkcaknnyngthrngphrarachniphnthaeplngbthlakhrebikorngeruxngnaraynprabnnthkaelaphraramekhaswnphraphiraphephimkhunxik 2 txn rwmthngmikarprbprungbthlakhreruxngramekiyrtixikkhrnginsmyphrabathsmedcphramngkudeklaecaxyuhw rchkalthi 6 thithrngphrarachniphnthbthrxngaelabthphakykhunihmsahrbelnokhnkhunmithnghmd 10 chudkhux chudsidahay chudephalngka chudphiephkthukkhb chudcxngthnn chudpraedimsuklngka chudnakhbas chudxphiesksmrs chudnanglxy chudphithikumphniyaaelachudphrhmastr odythrngsuksakhnkhwathimakhxngeruxngramekiyrticakkhmphirramaynanxkcaknnyngthrngphrarachniphnthhnngsuxbxekidaehngramekiyrtikhun odythrngchiaecngiwinhnngsuxkhwamwa bthlakhreruxngramekiyrtithirwmxyuinelmni epnbththikhaphecaidaetngkhunepnkhrngkhrawsahrbelnokhn miidtngicthicaihepnhnngsuxkwiniphnthsahrbxanephraa hruxdaenineruxngrawtidtxkn bthehlaniidaetngkhunsahrbkhwamsadwkinkarelnokhnodyaeth cungmithngkhaklxnxnepnbthrxng thngbthphaky aelaecrcaxyangokhnrakhnknxyu tamaetcaehmaaaekkarelnxxkorngcring 48 aelamikarphthnabthlakhreruxngmacnthunghlngsngkhramolkkhrngthi 2 krmsilpakridthakarruxfun prbprungnatsilp lakhraeladuriyangkhsilpkhxngithykhunmaihmxikkhrng inkarruxfunkhrngniidnabthphrarachniphnthinrchkalthi 1 aelarchkalthi 2 maprbprungephuxichsahrbaesdngokhnihprachachnidchm txmaphayhlngidprbprungbthokhntxnhnumanxasakhunmaihmxikhnungeruxng epnkardaenineruxngtambthphrarachniphnthkhxngrchkalthi 1 aelarchkalthi 2 eriyberiyngihmithngbthkhbrxngtamaebblakhrin mibthphakybthecrcatamaebbkaraesdngokhnaetobranechn chudprabnangkaknasur chudmyraphnsakdthph chudnanglxy chudnakhbas chudphrhmastr lkarkhdeluxkaelafukhdokhn aekikhinkarkhdeluxkphuaesdngaelafukhdokhn aetedimcaichnkeriynchaythnghmdtamaebbpraephniobran xacaryphuthakarfukhdcathakarkhdeluxkphuaesdngthicahdepntwlakhrtang echn phraram nangsida hnuman thsknth epntn tampktiinkaraesdngokhn caprakxbdwytwlakhrthimilksnaaetktangkn 4 caphwkidaek twphra twnang twyks twlingsungtwokhnaetlacaphwkni phufukhdcatxngmilksnaruprangechphaaehmaasmkbtwlakhr mikarichsrirarangkay aelathwngthakiriyaeyuxngyanginkarrayra karaesdngthathangprakxbkarphaky karaetngkayaelaekhruxngpradbthimikhwamaetktangknxyangchdecn dngni twlakhrinkaraesdngokhn aekikh twphraaelatwnang thikhdeluxkcakphuthimilksnaehmaasm txngtamwrrnkhdiithy twphrakarkhdeluxktwphrasahrbkaraesdng cakhdeluxkphuthilksnaibhnarupikh swyngam khmkhayednsadudta thathangsaoxdsaxngaelaphungphay lakhxrahng ihlladtrng chwngxkihy khnadlatweriyw exwelkkiwkhxdtamlksnachayngaminwrrnkhdiithyechn phraxphymni srisuwrrn phralx sngkhamarata l swmphramhamngkuthruxmngkudyxdchy hxydxkimephchrdankhwa sahrbkaraesdngokhnthimitwlakhrexkthiepntwphra 2 twhruxmakkwann aelamibthbathinkaraesdngsakhyetha kn aebngepnphraihyhruxphranxy sungphraihyinkaraesdngokhnhmaythungphraexk mibukhliklksnaehnuxkwaphranxy 49 echn inkaraesdngokhneruxngramekiyrti phraramepnphraihy aelaphralksmnepnphranxy hruxtxnphraramkhrxngemuxng phraramepnphraihy phralksmn phraphrtaelaphrastrutepnphranxy epntn twnangkarkhdeluxktwnangsahrbkaraesdng inkaraesdngokhneruxngramekiyrti twlakhrthiepntwnangnnmiepncanwnmakechn epnmnusyidaek nangsida nangmnoth nangikyeksi nangekasuriya epnethphhruxnangxpsridaek phraxuma phralksmi epnkungmnusykungstwidaek nangsuphrrnmccha nangkalxkhkhinakhrach nangxngnkhnakhi aelaepnykssunginthinihmaythungyksthimilksnaruprangehmuxnkbtwnangthwip imidmiruprangaelaibhnaehmuxnkbyksidaek nangebyckay nangtrichta nangsuwrrnknyuma aelayksthimilksnaibhnaehmuxnyksaetswmhwokhnidaek nangsamankkha xakastail l sungtwlakhrehlannsamarthbngbxkchatikaenidkhxngtnexngid caksylksnkhxngkaraetngkayaelaekhruxngpradb 50 sahrbtwnangnn aebngxxkepn 2 praephthidaek twnangthiepnnangkstriyaelanangtlad sungnangkstriycakhdeluxkcakphuthimirupranglksnakhlaykbtwphra swmmngkut hxydxkimephchrdansay kiriyamaryatheriybrxy suphaph numnwlxxnhwantamlksnahyingngaminwrrnkhdiechnkn yamaesdngxakaroskesrahruxyimaeymdiic kcakridkrayniwmuxaetephiyngphxngam swnnangtladnncakhdeluxkcakphuthimithathangkrachbkraechng khlxngaekhlwwxngiw micrit samarthaesdngkiriyathathangtang idxyangepnthrrmchati twykskarkhdeluxktwykssahrbkaraesdng cakhdeluxkphuthimilksnakhlaykbtwphra ruprangsungihy 51 wngehliymkhxngphuaesdngepntwykstlxdcnthungkarthrngtwtxngduaekhngaerng kiriyathathangkareyuxngyangaeldusngangam odyechphaaphuaesdngepnthsknth sungepntwlakhrsakhyineruxngramekiyrti cafukhdepnphiessephraathuxknwahdyakkwatwxun txngmikhwamaekhngaerngkhxngchwngkhaepnxyangmak enuxngcakinkaraesdngcatxngyxehliymrbkarkhunlxykhxngtwphraaelatwling 52 thsknthepntwlakhrthimithwngthalilamakmayechn yamokrthekriywcakrathubethatungtngesiyngdngokhrmkhram hnhnahnhlngaesdngxarmndwykiriyathathang yamsbayichruxdiic kcanngkradikaekhnkradikkha epntn 53 yamaesdngkhwamrkdwylilathathangkrumkrimhruxekhinxay kcaaesdngkiriyainaebbchbbkhxngyksechn txnthsknthsakhyphidkhidwanangebykay sungaeplngepnnangsidamaekhaefainthxngphraorng cungxxkipekiywpharasinangsidaaeplng cnklayepnthikhbkhnkhxngehlanangkanl kiriyathathangkhxngthsknthyamkhwyekhin caaesdngliladwykarsayihl pdphusaekhruxngthrngaelachayihwchayaekhrng mithathangekxekhinxyangehnidchd prakbfamuxbriewnxk thuipmaaelwpdibhna kiriyathathangkhxngthsknthintxnni caichthukswnkhxngrangkaytngaetsirsa lakhx famux faetha ihlaelalatw sungepnkaraesdngtharathikhdkbbukhlikthisngakhxngthsknthepnxyangmak 53 twlingkarkhdeluxktwlingsahrbkaraesdng cakhdeluxkphuthimilksnathathangimsungmaknk kiriyathathangkhlxngaekhlwwxngiwtamaebbchbbkhxngling mikarddokhrngsrangkhxngrangkayihxxn sunglilathathangkhxngtwlingnncaimxyuningkbthi tilngkalukliluklntamthrrmchatikhxngling sahrbphuthicahdepntwlingnn tamthrrmeniymobranmkepnphuchay odyerimhdtngaetxayu 8 12 khwb epntn inxditcamikarfukechphaaedkphuchay pccubnwithyalynatsilpiderimihmikarkhdeluxkedkphuhying ekharbkarfukepntwlingaelw eriykwa okhnphuhying inkarkarfuktwlingihsamarthaesdngepntwexkiddinn catxngichewla 10 pikhunipepnxyangnxy 54 inkarfukthaphunthaninkarhdepntwling phuaesdngcatxngfukkhwamaekhngaekrngaelakhwamxdthnkhxngrangkayepnxyangmak odyerimhdethkhnikhkrabwnthaphunthanthrrmdaepnrayaewla 2 pi aelaerimphthnainkarfukethkhnikhkrabwnthaechphaaxik 5 pi 55 pccubninkaraesdngokhn phuaesdngepntwlingechnhnuman xngkht chmphuphan camikaraetngetimethkhnikhlilaechphaatwkhxnglingephimetimekhaipdwy ephuxepnkaraesdngxxkthunglksnathathangechphaakhxngling karfukhdokhn aekikh twling thimikarfukechphaaephuxihmithksakhlxngaekhlwwxngiw oldophdtamthrrmchatikhxngling sungkarfukhdokhnnn phufukhdokhnthukkhncatxngnungocngkraebnsiaedngswmesuxkhaw enuxngcakepnkdraebiybkhxbngkhb thiidrbxiththiphlmacakkarfukhdnatsilpphayinwngswnkuhlab odyxacarylmul ymakhup khahlwnginwngswnkuhlabepnphukahndkhunemuxpi ph s 2477 enuxngcakmirakhaimaephng aelasamarthkhwbkhumphufukhdihepnhmwdhmuidxyangngay 56 emuxkhdeluxkphuaesdngidaelwcaerimfukhdokhnkhnphunthan dngni karnngepnkarhdodynngphbephiyb exwaelaihltungaeldusngangam mikarddplayniwaelachwngaekhnihngxnngam twphra twyksaelatwlingcahdnngphbephiybaelaaebaekhaxxk tangcaktwnangthihdnngphbephiyb hnibhnakhasxnthbknldhlnknip rwmthngmikarddrangkay aekhnkhainkiriyathathangtang echn ddaekhnaelakhxmux ddhlng karedin karyangkawaelakaryketha epntn 57 karfukraaelathxngcacnghwaphayhlngcakphuaesdngfukhdkhnphunthanaelw caepnkarfukhdihthxngcnghwaaelafukrahnathbprakxbephlngchaaelaephlngerw fukihtwphra twnang twyksaelatwling hdraaembthaelaaemtha ratibthhruxratambth rahnaphathy raxawuthaelaraebdetld sungthuxepnsingsakhyinkarhdihphuaesdngfukhdichostprasathkhxngtnexng iheriynruckcnghwaidxyangthuktxngaelamikhwamngdngamtamaebbchbbkhxngphasanatsilp nxkcaknnyngmikarfuktharatwyksaelatwlingxikdwy odyechphaakarfukaemthakhxngtwling mikarfukdwyknthnghmd 7 aemtha aelatwyks 6 aemtha 58 sungaemthadngklaw epnaemthasakhythitwlingaelatwykscaichtxnxxkkrawnxk hruxichinkaraesdnginoxkastang nxkcakaemthathisakhyaelw twlingcafukthamxnginthaesiyw thakhwa thakhu thahyxng thaeka sungaeykxxkepnthaekatang xikepncanwnmakechn ekakhang ekahwekha ekaexw cbhmd dmaemlng epntn twykscafuktharbhnunghruxthacb tharbsxnghruxeriykkninwngkarnatsilpwa samthiikhw thahkkd thahkchik hkchiktxenuxng aelathakhunlxyhruxthalxyrahwangtwlingaelatwphra karfuktbekha thibehliym thxngsaexw chikkha hkkhaemnaelaetnesainkarfukhdrayaaerk twphra twnang twyksaelatwling cafukhdrwmknkhuxfuktbekha thxngsaexwaelaetnesa ephuxihruckcnghwaaelaekhychinkbesiyngdntri sungepnhlksakhyinkarfuknatsilpithy eriynrukarykeyuxnglatw ykhna ykkhx ykihlidxyangkhlxngaekhlw odymiklxngihcnghwaxxkesiyng mikalngkhakhngthi fukkrathubethaihhnkaenn fuketntamcnghwa 59 sungkaretntamcnghwanneriykwa taluktuk thiepnsphthechphaathangwichakarkhxngokhn karetntaluktukkhuxkaryxekhathngsxngkhanglngihepnmumchak ichethakhwaykkrathublngkbphun 1 khrng wangethaxyukbthi ichethasayyklngkrathublngkbphun 1 khrng aelwwangxyukbthi odykaretnnn phuaesdngcaichethakhwahruxsayykkrathubphunkxnkid 60 karfuketnesann epnkarhdihphuaesdngtwphra twyksaelatwlingykewnechphaatwnang ichcnghwaethainkaretnihmikhwamsmaesmx mikalngkhaaekhngaerng krathubfaethathukswnlngkbphunodyphrxmephriyngaelaminahnketha kn sungthuxepnsingsakhyxyanghnunginkarfukhdokhn karetnesacatxngykkhaaeladungsnethaihsung ekrnghnakha ykslbkhasayaelakhwatamcnghwa aelaemuxxacaryphufuksxnsngihhyud phufukhdcatxngcbdwythaning lksnarangkayaelasirsatxngtngtrng khatngihidehliym rwmthngmikarfukthibehliym epnkarkhdswnkhaihsamarthtngehliymidchakaelamnkhng thaihphuaesdngemuxyxehliymcamithrwdthrngthiswyngamtamlksnapraephthkhxngtwokhn hdbngkhbaelakhwbkhumxwywatang ihxyuinthathitxngkar fukkha aekhn aelaxkihxyuinradbkhngthinxkcaknncaepnkarfukechphaasahrbphuthiaesdngepntwlingkhux fukchikkha hkkhaemntilngka mwnhnamwnhlng phungmwnsamtw tilngkahnaaelahlng ephuxihmithksakhlxngaekhlwwxngiw oldophdtamthrrmchatikhxnglingthiimxyuning odymithahkkhaemnthiichinkarfuk 3 thakhux 61 thahkkhaemnhngaytwipdanhlng eriykwa tilngkahkmwn thahkkhaemnhngaytwipdanhn eriykwa xnthpha thahkkhaemnhmuntwipkhang eriykwa phasurin hlngcakkhdeluxkphuaesdngaelw xacaryphufuksxncathaphithiihwkhruaelarbtwphuaesdngthnghmdekhaepnsisyinwnphvhsbdithithangnatsilpithythuxepnwnkhru odyphuaesdngcanadxkimthupethiyn epnekhruxngskkaraaekxacaryphufuksxn aelaepnkarthakhwamekharphtxkhrubaxacarythilwnglbipaelwekhruxngaetngkayaelaekhruxngpradb aekikh ekhruxngaetngkaymyraphn prakxbdwysiraphrn phusaphrnaelathnimphimphaphrntamaetthanakhxngtwlakhr ekhruxngaetngkaythsknth calxngeliynaebbcakekhruxngthrngtnkhxngphramhakstriyaebbobran swmekraasaykhadxk mngkutyxdsamchn ekhruxngaetngkaysahrbichinkaraesdngokhn ichkaraetngkayaebbyunekhruxng sungepnkaraetngkaycalxngeliynaebbcakekhruxngthrngtnkhxngphramhakstriyaebbobranthimikhwamswyngamwicitrtrakarta aebngepn 5 faykhux faymnusy ethwda phra nang fayyksaelafayling sahrbbngbxkthungysthabrrdaskdiaelataaehnng 62 nxkcaknntwlakhrxun caaetngkaytamaetlksnakhxngtwlakhrnn echn visi ka chang ma ww khway l swmhwokhnsungmikarkahndlksnaaelasiiwxyangepnrabbaelaaebbaephn ichsahrbkahndihichechphaakbtwlakhr sikhxngesuxepnkarbngbxkthungsiphiwkaykhxngtwlakhrnn echn phraramkaysiekhiywmrkt phralksmnkaysiehluxngbusrakhm thsknthkaysiekhiywmrkt hnumankaysikhawmukda sukhriphkaysiaedngokemn epntn aebngid 3 praephth khux siraphrnsiraphrnhruxekhruxngpradb macakkhawa sirsa aela xaphrn hmaykhwamthungekhruxngpradbsahrbichswmissirsaechn chdamngkud sungepnchuxeriykekhruxngpradbsirsalakhrtwphra thimiwiwthnakarmacakkarophkphakhxngphwkchtil chtathiichinkaraesdngokhnlakhrinpccubn changphuchanaynganmkcaniymthaepnaebbmiekiyw 2 chn mikrxbhna krreciykcr tiddxkimthd dxkimran pradbtamchnechingbatr sunglksnakhxngchtani epnkarcalxngrupaebbmacakphrachtakhxngphramhakstriyinsmyrtnoksinthrnxkcakchtamngkutaelw yngmichdayxdchythiepnchtamiyxdaehlmtrng milukaekw 2 chnpradb epnchtathiniymichknxyangaephrhlayinkaraesdngokhnaelalakhr sungthimakhxngchtayxdchynn snnisthanwaepnkarsrangeliynaebbphrachtayxdchythiepnekhruxngthrngtn inrupaebbaelathrwdthrng mikhwamaetktangknthiwsduaelaraylaexiydinkartkaetngethann rdeklayxd rdeklaeplw krxbphktrhruxkrabnghna pncuehrc hruxaemaethwokhn kcdxyuinpraephthekhruxngsiraphrnechnkn phstraphrnphstraphrnhruxesuxphaekhruxngnunghmechn esuxhruxchlxngxngkh insmyobrankaraesdngokhncaichesuxkhxklmphadanhnatlxd mikartxaekhnesuxaebbtxtrngaelaesrimepasiehliymtrngbriewnitrkaer aetpccubnidmikarprbepliynihthntamyukhsmy epnesuxkhxklmsaercrup mi 2 aebbkhuxaebbesuxaekhnsnaelaaekhnyaw ewawngaekhn siesuxaelasiaekhnesuxaetktangkn pklwdlay sahrbtwnangcamiphahmnangodyechphaa lksnaepnphasibaethb pklwdlaytamkhwamyawkhxngsibechn layphum laykrwyeching l hmoxbcakthangdanhlngihchaysibthngsxngkhangesmxkn karhmphainkaraesdngokhnmiwithikarhmthiaetktangkn sahrbtwnangthiepnnangkstriyaelatwnangthiepnykstwnangthiepnnangkstriy cahmphaaebbephlaaikhwtidkniwthidanhlng thingchwngbriewnhnaxk khwanbriewnchwnglakhxehmuxnkbkarhmaebbsxngchay aelasahrbtwnangthiepnnangyks cahmaebbphahmphunihy pklayphumkhawbinththimilksnalwdlayepnstwtang echnhnasingh twesuxkangeknghruxsnbephla phanunghruxphraphusa krxngkhxhruxnwmkhx ichaebb 8 klib pklayhnunrupkracng chayihwhruxhxyhna chayaekhrnghruxhxykhang pklwdlayaebbhnundwydinaebboprngaelapkeluxmechnkn lxmrxbtwlaydwydinkhx chayphuntiddinkhruysiengin rdexw phathiphy eciyrabad sib epntn thnimphimphaphrnthnimphimphaphrnhruxekhruxngpradbtang tamaetthanakhxngtwlakhr khawathnimphimphaphrn macakkhawa phimpha aela xaphrn hmaythungekhruxngpradbtkaetngtamrangkay 63 64 swnihyepnekhruxngpradbthithmaelalngyaechn thbthrwng sungepnolhaprakxbkn 3 chin chubengin pradbephchrtrngklang fngphlxysiaedng lksnakhxngsayepnephchrcanwn 2 aethw mikhwamyawpraman 28 niw ekhmkhdhruxpnehnng sngwal tabhna tabthis tabhlng xinthnu thamrngkh aehwnrxb pawahla thxngkr krxngkhx saxing phahurd kailetha epntnsmedcphraecabrmwngsethx krmphrayadarngrachanuphaph thrngelaiwinlakhrphmaemuxkhrngthiphraxngkhekhyesdcipthxdphraentrthiemuxngyangkungwa karaetngkaykhxngphuaesdngokhnnn ichkaraetngkayaebbsamychnkhnthrrmda imidmikaraetngtwthiphidaeplkkwapktinxkcakbthphuhying thimikarhmsibechiynghruxbthepnyksepnling thimikarekhiynhnaekhiyntahruxswmhnakak ichekhruxngaetngkaykhxnglakhraebbyunekhruxngechn snbephla phanung krxngkhx thbthrwng sngwal epntn aetedimkaraetngkaykhxngtwphrahruxnayorngcaimswmesux phayhlngmikarpradisthekhruxngaetngkaysahrbtwphrakhun cungepnthimakhxngkaraetngkayaebbyunekhruxnginpccubntxmaidmikarpradisthekhruxngaetngkaysahrbokhnkhunodyechphaa aelaaekikhekhruxngaetngkayihaetktangipcakedimelknxykhux aetedimtwphranncaswmsnbephlayawkrxmkhxetha kihepliynmanungihechingaekhephiyngnxng nungphaaebbykrngldechingthunghwekhaaelaswmesuxaekhnyaw twnangnungphacibkrxmthungnxng hmphaaethblaythxng phadchayiwkhanghlngihchayphahxyesmxnxng sungkaraetngkaykhxngtwphra twnang ethwda twyksaelatwling imwacaaesdngintaaehnngtwlakhrid lwnaetaetngkayaebbyunekhruxngthnghmd tangkntrngmngkudthiswmispradbsirsaethannkhux kstriycaswmmngkud chda esnaxamatycaichphaophksirsaaethn twnangthiepnnangkstriycaswmrdeklayxd ysskdirxnglngmaswmrdeklaeplw sahrbnangsnmkanlswmkrabnghnainsmyphrabathsmedcphraphuththelishlanphaly rchkalthi 2 idmikarpradisthekhruxngpradbsahrbswmissirsaaethnphaophkaelakrabnghnakhun txmainsmyphrabathsmedcphracxmeklaecaxyuhw rchkalthi 4 idmikarpradisthrdeklayxdkhunsahrbichechphaalakhrhlwngethann cnthungsmyphrabathsmedcphraculcxmeklaecaxyuhw rchkalthi 5 idthrngykelikkarhamnardyxdeklaipichsahrbtwlakhrxunthiimichlakhrhlwng aelamikaraekikhepliynaeplngekhruxngaetngkaykhxngokhneruxyma txmainsmyphrabathsmedcphramngkudeklaecaxyuhw rchkalthi 6 idthrngprbprungesuxkhxngtwyksihaetktangipcakedimkhux latwsihnungaelaaekhnxiksihnung nywasikhxngaekhnesuxkhuxsiphiwkhxngtwlakhr sikhxnglatwkhuxsiekraathisahrbichswmisinyamxxksuksngkhramsungmkepnsithitdkbsiaekhnesuxechnesuxsiekhiyw ekraasiaedng epntnnxkcakniyngmiekraaxikhnungpraephthkhux ekraathiepnsaykhadrxbxkechn txnthsknthekiywnangsidainswn thsknthaetngkayswyngam miphahxyihlaelathuxphdcnthnkhnadelk khlxngphwngmalythikhxmuxdankhwa miekraasaykhadrxbxk 65 dngkaphyinbthlakhreruxngramekiyrti phrarachniphnthinphrabathsmedcphraphuththelislanphaly dngni sthitaethnaephnphasilathxng xablaxxngsuhraysaysinthukhdsiwarirdhmdmlthin thrngsukhnthutharprathinklineklanadxkimethsthaxaxngkh brrcngthrngphrasangesriyreklaphrachaytngkhnchxngsxngenga ewiynaetefakridphrahtthphdphktrathrngphusaphatnphuntxng ekhiynthxngeruxngxramngamnkhnakhadekhdkhdrdxngkhxngkhkar pradbphlxythmyarachawdikhlxngphrasxsidxkkharaxb hxmtlbxbxngkhyksiisaehwnephchremdaetngaetngetmthi caipxwdmngminangsidathuxphddamciwcnthnbrrcng phwngmalyisthrngphrakrkhwaaelwlngcakprasathyatra khunthrngrthakhlaikhl bthphrarachniphntheruxngramekiyrti rchkalthi 2 sunginkaraetngkaykhxngthsknthnn pkticamiekraasaykhadrxbxkepnpraca tambthphrarachniphntheruxngramekiyrti thsknthmikueprnepnphichaytangmarda aetdwynisysndalphalkhxngthsknth thaihekidkaraeyngchingbusbkaekwkhxngkueprnbriewnechingekhaikrlas kueprnsuimidkhniipkhxkhwamchwyehluxcakphraxiswrsungprathbxyubnhlngchang phraxiswrcungthrngthxdngacakchangthrngkhwangisthsknthphrxmkbsapihnganntidxyucnkrathngthsknthtay thsknthtxngkhasapphraxiswr cungipkhxihphrawiswkrrmeluxyngachangswnthiyunxxkmaihkhadesmxxk aelaenrmitekraasaykhadrxbxkkhunephuxpkpidrxngrxykhxngnganchang dngnnkaraetngkaykhxngthsknthtambthphrarachniphnth tngaetthsknthekidcnthungthukphraxiswrsap caimmiekraasaykhadrxbxk 66 pccubnkrmsilpakrepnphukahndkhnadaelalwdlaytang khxngekhruxngaetngkayokhnechn karkahndekhruxngaetngkaykhxngphraphrt miraylaexiyddngni 67 esuxichphatwnsiaedngkhxklmaekhnyaw pklay 2 khangetmdanhna pklayhnunitrkaer pklayknkthitwesuxaelaaekhn hnunintwknkdwyechuxkekliywkhnadelk thmlayknkdwydinkhx dinoprngsienginkhnadelk sbindwyphaothersiaedng krxngkhxichphatwnsiekhiywpklayknk hnunintwknkdwyechuxkekliywkhnadelk thmlayknkdwydinkhx dinoprngsienginkhnadelk xinthnuichphatwnsiekhiyw esrimphayindwyaephnhnngsngekhraah trngplaytidphuengin thxngyaw 1 niw canwn 1 khu sbindwyphaothersiekhiywhxyhnaichphatwnsiaedngkhlibekhiywpklayknk hnunintwknkdwyechuxkekliywkhnadelk thmlayknkdwydinkhx dinoprngsienginkhnadelkpklayetmhnapha sbindwyphaothersiaedng trngklangmisuwrrnkrathxbichphatadsithxngmikraepatidsipthisbin tiddinkhruysienginthbkn 2 chnthichaydanlang eciyrabadtiddinkhruysienginthbkn 2 chnthichaydanlang rdsaexwichphatwnsiaedngkhlibekhiywpklayknk hnunintwknkdwyechuxkekliywkhnadelk thmlayknkdwydinkhx dinoprngsienginkhnadelk sbindwyphaothersiaedngpklaylksnaokhngtamrupexwsnbephlaichphaothersiaedng milinsxndaninplaykha ichphatwnsiaedngpklayknkechingngxn khadkhxblaydanbndwyphatwnsiekhiywpklayknk hnunintwknkdwyechuxkekliywkhnadelk thmlayknkdwydinkhx dinoprngsienginkhnadelk ehnuxlaypktxphatwnsiaedngeybtidkbkangekng phanungichphaykenuxhnakhnadmatrthan milayeching 2 khangsiekhiywphrxmphakhadexwsikhaw canwn 2 chin sungekhruxngaetngkayinkaraesdngokhninkhxngtwphra twnang twyksaelatwling midngni 68 twaesdng ekhruxngaetngkayaelaekhruxngpradbtwphraechn phraram phralksn phraphrt phrastrut phuaesdngtwphracaswmesuxaekhnyawpkdinaelaeluxm pradbdwypawahla mixinthnuthiihlaelaphahurd swmkrxngsxthbdwythbthrwng sngwalaelatabthis swnlangswmsnbephlaiwkhangin nungphanungykcibocngiwhanghngsthbsnbephla danhnamichayihwaelachayaekhrnghxyxyu pradbdwysuwrrnprakxb rdexwdwyrdphstr khadpnehnng sirsaswmchda pradbdwydxkimephchrthidansay dxkimthdthidankhwa mixuba tamtwswmekhruxngpradbtang prakxbdwykailetha thamngrkh aehwnrxb krreciykaelathxngkr aetedimtwphracaswmhwokhninkaraesdng aetphayhlngimepnthiniym ephiyngaetaetnghnaaelaswmchdaaebblakhrinethanntwnangechn nangsida nangebyckay nangsuphrrnmccha phuaesdngtwnangcaswmesuxinnangaekhnsnepnchnin miphahurdaelwhmsibthb thingchayipdanhlngyawlngipthungnxng pradbdwypawahla swmkrxngsx saxingaelacinang swnlangnungphanungykcibhna khadpnehnng sirsaswmmngkud rdeklayxd rdeklaeplwhruxkrabnghnatamaetthanakhxngtwlakhr pradbdwydxkimthdthidansay dxkimthdthidankhwa mixuba tamtwswmekhruxngpradbtang prakxbdwythamngrkh kailetha aehwnrxb kailtakhab krreciykaelathxngkr aetedimtwnangthiepntwyksechn nangsamnkkha nangkaknasur caswmhwokhn aetphayhlngmikaraetnghnaiptamlksnakhxngtwlakhrnn odyimswmhwokhntwyksechn thsknth phiephk xinthrchit mngkrknth phuaesdngtwyksnn ekhruxngaetngkayswnihykhlaykbtwphra caaetktangknthikarnungphaethann twykscanungphaimmihanghngsaetmiphapidknlngmacakexw swnsirsaswmhwokhntamlksnakhxngtwlakhrsungmixyupramanrxychnid karaetngkaykhxngtwykskhuxthsknth sungepnphyaykstwsakhythisudinkaraesdngokhn swmesuxaekhnyawpkdinaelaeluxm sunginwrrnkhdismmutiepnekraa pradbdwyaehwnrxb pawahla mixinthnuthiihl swmkrxngsxthbdwythbthrwng phwngprakhakhx sngwalaelatabthis swnlangswmsnbephlaiwkhangin nungphanungyk danhnamichayihwaelachayaekhrnghxyxyu phapidknxyuebuxnghlng rdxkdwyphraxura rdexwdwyrdphstr khadpnehnng sirsaswmhwokhnhwthsknth tamtwswmekhruxngpradbtang prakxbdwykailetha thamngrkh krreciykaelathxngkr thuxxawuthkhuxkhnsrtwlingechn hnuman phali sukhriph xngkht thawchmphuphan phuaesdngtwling ekhruxngaetngkayswnihykhlaykbtwyks aetmihanglinghxyxyuitphapidknxikthi swmesuxtamsipracatwineruxngramekiyrti immixinthnu twesuxpklaykhdepnwngthksinawrrt smmutiwaepnkhntamtwling swnsirsaswmhwokhntamlksnakhxngtwlakhrsungmixyupramansisibchnid karaetngkaykhxngtwlingkhuxhnuman sungepnthharexkkhxngphraram swmesuxaekhnyawpkdinaelaeluxmlaywngthksinawrrt miphahurd pradbdwyaehwnrxb pawahla swmkrxngsxthbdwythbthrwng sngwalaelatabthis swnlangswmsnbephlaiwkhangin nungphanungyk danhnamichayihwaelachayaekhrnghxyxyu phapidknxyuebuxnghlng hangling rdsaexw khadpnehnng sirsaswmhwokhnhwhnuman tamtwswmekhruxngpradbtang prakxbdwykailetha thamngrkh krreciykaelathxngkr thuxxawuthkhuxtriephchr aelaxun karaetnghnaokhn aekikhokhrngsi aekikh khnaerktxngthxdokhrngsitamsmyniymthing odykhngiwephiyngokhrngsihlk khuxsikhaw sida aelasiaedng ephuxprbldkhwamepntwtnkhxngnkaesdngxxkip ihklayepntwlakhrnnodysmburn thawakninthangwithikaraelw kkhuxkarepliynaenwthangkaraetnghnacakaenwkhwamngam maichaenwtwlakhraethnnnexng sihlkaelasirxngthiich idaek sihlk aekikh sikhaw sahrbsikhawkhxngibhna khawepnhnahun khawphxng khawnwl sikhawnnkhawaekhihncungcaphxdi tamkhwamcringaelw khawaebbihnkid aetkhxihkhawethaknthuktwlakhr rwmthngsiphiwkay khx muxaelaetha sida sahrbsidakhxngesnkhiw esnkhxbtabnaelakhxbtalang aelaesntasxngchninebata siaedng sahrbpaksiaedngsd hruxaedngka immnwawcnekinip sipakphra ldkhwamaednglng dwykarecuxsismhruxsinatallngip swnaekmaedngraerux pdihdueplngplng xacpdilsungkhunmacnthungkhxbtalangelykidsirxng aekikh siiklekhiyngsiphiw thngsixxnaelasiekhm ichsahrbprbaesngengabncudtang bnibhna ichthngaepngekhk brchxxn xayechodw hlay echdsi iheluxksiiklekhiyngsiphiwechn khaw khrim smxxn ehluxngxxn natalxxn natalekhm epntn ichsixxnaelasiekhmennyahlay cudbnibhna echn khangsncmuk engabnepluxkta engakhangaekm prakayitkhiw thihwtabn lang itrimfipakepntnokhrngesn aekikh thnghmdthxdaebbmacakhwokhncring aelacakhnaphrahnaethwdainphaphcitrkrrmithy odyprbihekhakbibhnakhncring sungmimitimakkwakradasaelaphnng rupaebbkhxngibhnaokhncaimmiwy nkaesdngxayunxyhruxmakkaetnghnaaebbediywkn ykewnkhiw odytwnang niymekhiynkhiwihokhngokng aelaeriywlngmathanghangkhiw swntwphraephimkhnadkhxngesnkhiwihihykhun aelaekhiynhangkhiwihtwdkradkkhunelknxy swnraylaexiydxun khxngsita siaekm aelasipak ehmuxnkn odytwphraldkhwamaedngkhxngpaklng esnrangsiaedng aekikh kxnkarlngesndwysida ihekhiynesnrangsiaedngnaesnokhrngthnghmdiwesiykxn aelwcungichekhkilenxrsinatalaedngphsmsidaekhiynthbesnsiaedng odyihehluxmsxnknkbsiaedng caknnekhiynthbesnxikkhrngdwyxayilenxrsidaihkhmaelachd odyyngmiesnrangsiaedngprakbepnengaaedng xyukhukbesndathukesn ephuxihesnthnghmdduminahnkaelaxxnhwankhun khiwokngepnkhnsr aekikh etriymkhiwihphrxmephuxkhwamswyngam inkhntnxacichwithithxnkhnkhiwthiekinrupxxk hruxknkhiwxxkbangepnbangswn hruxichwithikar pidkhiw karaetnghnasmyobran ichnamnaelaaepngthathbkhiwihhayip hruxichsbu aelakhiphungcbkhnkhiw aelwichrxngphunaelaaepngthathbkxnekhiynkhunihm karekhiynkhiwihokngepnkhnsr erimcakekhiynkhiwihhwkhiwta ephuxcaidykokhrngkhxngkhiwihokngkhunthnthi aelaekhiynhangkhiwihkhnanipkbibhu odythihangkhiwyngxyuinkrxbhna imhayipinekhruxngpradbsirsa khiwnanghwkhiwaehlm hangkhiweriyw khiwphraephimkhnadkhxngesnkhiwihihykhun aelaekhiynhangkhiwihtwdkradkkhunelknxy xyawadkhiwihduaelwehmuxnkbwa twlakhrsngsyhruxtkicxyutlxdewla 69 hwokhn aekikhdubthkhwamhlkthi hwokhn mngkuttamhwhruxhnakhxngthsknth siekhiyw pakaesya taophlng hwokhnepnngansilpachnsung ichsahrbswmkhrxbsirsa pidbngswnhnakhxngphuaesdngxyangmidchid epnsilpwtthupraephthpranitsilp aelangansilpathiidrbkarsrangsrrkhkhunxyangwicitrtrakartaechnediywkbekhruxngaetngkay pranitbrrcngtamaebbchangithy miruplksnaswyngam lksnakhlayhnakak aetktangtrngthiepnkarsrangcalxngrupthrngibhnaaelasirsathnghmd ecaachxngepnruklmthinyntakhxnghwokhn ihtrngkbnyntakhxngphuaesdngephuxkarmxngehn 70 aebngepn 2 praephthkhuxhwokhnsahrbichinkaraesdng hmaykhwamthunghwokhnthisuxthungtwlakhrnn echn phra yks ethwda wanraelastwtang srangkhundwykrrmwithiaebbobran tamexklksnkhxnghwokhnthithuktxngaelasmburnaebbkhxngsilpaithy 71 aelahwokhnthiichsahrbepnkhxngpradbtkaetnghruxkhxngthiraluk hmaykhwamthunghwokhnthithakhunodykarhlx pn chidaelakhunrupdwyphlastikhruxkrrmwithixun lngrkpidthxng pradbkrack 72 hwokhnthiichsahrbaesdng aebngepnpraephthtang tamlksnakhxngtwlakhrkhux hwokhnphngsnarayn prakxbdwyephaphngswngskstriyaehngkrungxoythya hwokhnphrhmphngsaelaxsurphngs prakxbdwyphrhmphusrangkrunglngkaaelaxsurphngsinkrunglngka hwokhnmehswrphngs prakxbdwyphraxiswr phranarayn phraphrhmaelaethwdatang hwokhnvisi prakxbdwyvisiphusrangkrungxoythya visithiphraram phralksmnaelanangsidaphbemuxkhrawedindng hwokhnwanrphngs prakxbdwyphyawanr wanrsibaepdmngkud esnawanr wanretiywephchr wanrcngekiyngaelaphllinghruxekhnlinghwokhnkhnthrrph prakxbdwyethphkhnthrrphaelakhnthrrph hwokhnphyapksa prakxbdwyphyakhruth phyasmphathi phyasdayu aelahwokhnaebbebdetld prakxbdwyhwstwtang epntn aelaxacaebngtampraephthkhxnghwokhnthiichswmxyangla 2 praephthkhux yksyxd yksoln lingyxdaelalingoln 73 nxkcakniyngaebngtamchnidkhxngmngkud sungmilksnaaetktangknip aebngepnfaylngkakhux mngkudyxdkrahnk mngkudyxdcib mngkudyxdhangik mngkudyxdnaeta mngkudyxdnaetaklm mngkudyxdnaetaefuxng mngkudyxdkabiph mngkudyxdsamklib mngkudyxdhangihl mngkudyxdnakha mngkudtamhwhruxhna phwkimmimngkud phwkhwoln phwkhwekhnykshruxphlthharyksaelatwtlkfayyksthungaemmikarbyytiaelapradisthhwokhnihmilksnathiaetktangkn yngkhngmihwokhnbangpraephththimimngkudyxdehmuxnkn cungmikarthahnaokhnihpakaelataaetktangknip aebngepn 4 praephthkhux praephthpakaesyataophlng praephthpakaesyatacraekh praephthpakkhbtaophlng aelapraephthpakkhbtacraekh epntn 74 fayphlbphlakhux mngkudyxdbd mngkudyxdchyhruxyxdaehlm mngkudyxdsamklib phwkimmimngkudaetepnlingphyamivththiedch phwkimmimngkudaeteriykmngkud phwketiywephchr cngekiyng hwlingekhnhruxphlthharlingaelahwtlkfayling sahrbphwkphyawanrthiimmimngkudaelaphwksibaepdmngkud mkniymeriykrwmknwalingoln 75 phasaokhn aekikhphasaokhn epnkarthiphuaesdngichthaetntharatang ephuxihsuxphuchmidruthungbthbathnn ephuxihekidkhwamsnuksnan phasaokhnodythwipmilksnakhlaykbphasathiichinchiwitpracawn ephiyngaetimsamarthsuxsarxxkmadwynaesiyngid cungichthathangaelaxwywatang khxngrangkayechn latw mux aekhn kha etha ihl khx ibhnaaelasirsa prakxbxakpkiriyaaethn thaihsamarthsuxsarphasaaelaruthungkhwamhmaynn id sungthathangbangxyangkhxngphasaokhnbngbxkkhwamhmayiddikwakarxxkesiyngechn emuxtxngkarptiesthcasaysirsakhmaythungpraephniihwkhruaelakhwamechux aekikhokhnepnnatsilpchnsung thimithrrmeniympraephniaelakhwamechuxinkarptibtihlayxyang subtxknmaaetsmyobrancnthungpccubn bangxyangmikarprbepliyntamkalewlaaelakhwamehmaasm bangxyangkhngichxyutamrupaebbedim bangxyangsuyhayiptamkalewla odyechphaahwokhnsungcdepnxupkrnsakhyxyangmakinkaraesdngokhn enuxngcakepntwchibngthungbukhlikaelalksnanisykhxngtwlakhrnn changthahwokhnthicdxyuinnganchangsibhmu txngphankarihwkhruaelakhrxbkhruechnediywkbnatsilppraephthxun mikhwamekharphkhruxacarytngaeterimfukhd 76 kxnerimkarxxkorngaesdnginaetlakhrng txngmikartngekhruxngesnihwbaysriihkhrbthwn inkarprakxbphithicatxngmihwokhntngpradisthanepnekhruxngskkaratxkhrubaxacarythilwnglbipaelw phithiihwkhru aekikh inphithiihwkhrucamikarnahwokhnhruxsirsakhru thiepnesmuxntwaethnkhxngkhruaetlaxngkhmatngprakxbinphithi 77 karcdtnghwokhntang mihlayrupaebbechn kartngaebbrwmkbphraphuththrup aebngepnaebb 12 hna 10 hna 8 hna 6 hna 4 hnaaela 2 hna mikarepliynaeplngcanwnkhxnghwokhntamaetrupaebbinkartng nxkcakkartngaebbrwmkbphraphuththrupaelw yngmikartnghwokhnaebbphraphuththrupaeykrahwanghwokhntanghak niymcdihhwokhnmikhwamldhlnepnchn odythichnbnsudepnchnkhxngmhaethphidaek phraxiswr phranaraynaelaphraphrhm chnsxngepnchnkhxngethphthimikhwamsakhytxolkmnusyaelanatsilpechn phraxinthr phrawisnukrrm phraphiraphchnthisamepnchnkhxnghwokhnhnamnusy hnaling aelamisstrawuthaelaekhruxngpradbsirsathiichinkaraesdngwangxyutrngklang aelachnsudthayepnchnkhxnghwokhnhnayks phuaesdngthukkhnkxnaetngtwtamtwlakhrktxngmikarihwkhru phayhlngcakaetngkayesrcaelw kxncathakarswmhwokhnhnayks hnaling mngkudhruxchda kcatxngmikarthaphithikhrxbhwokhnaelaihwkhruephuxaesdngkhwamekharph 78 sungnxkcakpraephniihwkhruaelw yngmikhwamechuxekiywkbhwokhnsubthxdtxknmaxikhlayxyangechn karecaarusahrbmxngehn phuthisamarthecaaidkhuxchangthahwokhnethanninsmyobranmikhwamechuxknwa hwokhnthiichinkaraesdngthiphanphithiebikentreriybrxy kxnnaipichinkaraesdng changthahwokhncawdkhnadkhwamhangkhxngdwngtaphuaesdng aelaecaaruihsamarthmxngehnidxyangchdecn hamphuaesdngecaarudwngtaexngeddkhad ephraaechuxwacathaihphikartabxd aetkhwamechuxdngklawepnephiyngkusolbayethann khwamepncringkhuxinkartkaetngdwngtakhxnghwokhn caichepluxkhxymukmapradbtkaetng sungthaphuecaaruimichchangthahwokhnthimikhwamchanay xacthaihhwokhnekidkhwamphidphladaelaesiyhayidngay karbwngsrwng aekikh inkarplukorngokhnsahrbichaesdng kxnerimkxsrangtxngmikarthaphithibwngsrwngesnihw khxkhmalaothsinsingtang thiekhylwngekin aelakhxxnuyatbxkklawaekecathiecathangihrbthrab ephuxepnkarepidthangihaekphuaesdng chwyihthakaraesdngidxyangrabrunimtidkhd rwmthngpkpxngkhumkhrxngaelapdesniydrngkhwantxkaraesdngihphanphnipiddwydi enuxngcakinkaraesdngokhnnn hlaytxhlaykhrngthimikaraeaekhngkhnchingchyhruxprachnfimuxsungknaelakn sungmikhwamechuxknwafaytrngkhammkmikarichisysastr klnaeklngocmtifaytrngkhamihesiyepriybaelaphayaeph ephuxihidrbchychnainkaraesdng dngnnkxnerimkaraesdngcungtxngmiphithithxnxathrrphthukkhrngsahrbphuaesdngthiimekhyxxkorngaesdngmakxn hlngcakrbkhrxbkhruaelw kxnthakaraesdngkhruphufuksxn cakhrxbkhrukhrxbhnaihepnkarpthmvks chwyihimtidkhdinkaraesdnghlngcakkaraesdngesrcsin phuaesdngthukkhncatxngekharwmphithiihwkhruxikkhrng hlngcaknn phuaesdngthukkhncatxngexypakkhxkhmalaothssungknaelaknepnickhwamwa hakkhaphecaphladphlngdwykaykrrmkdi wcikrrmkdi odymiidtngic oprdihxphyaelaxohsidwy 79 enuxngcakbangkhrnginkaraesdngxacmikarkrathbkrathng laemidlwngekinhruxphladphlngodyimtngichruxectnaechn phuaesdngepnphahnaidaek khruth chang ma rachsih sungmkthuktwphra twykshruxtwlinglwngekin cnklayepnehtuihekidkarthaelaawiwathidinphayhlngodykarkhxkhmann phuaesdngcakhxkhmatamkhwamxawuosthidanhlngewthi nxkcakphithiihwkhruaelakhwamechuxindantang aelw inkaraesdngokhnyngmikdkhxhamsakhyxikcanwnmakechn hamnngelnbnetiynghruxnrawokhnemuxyngimthungkhiwkaraesdngkhxngtn hamnaxawuthsahrbichinkaraesdngmaelnnxkewlaaesdngodyeddkhad hamedinkhamehlasstrawuth hamnakrbmatieln hamnaimtakhabhruximthiichsahrbtiephuxihekidesiyngdngsahrbkaraesdngkhxngtwtlkmatielnephuxkhwamsnuksnan epntn 80 wngdntriaelaekhruxngprakxb aekikhwngdntrithiichprakxbkaraesdngokhn idaek wngpiphathy bangthikeriyk phinphathy sungprakxbipdwy pi ranad khxng klxng taophn hakinkaraesdngnganphrarachphithihruxnganihythiichkhncanwnmak xackhyaywngpiphathy ekhruxngkhu hruxpiphathyekhruxngihykid aelabangsmykcdepnwngekhruxnghatamaetthanakhxngphuepnecakhxngngan 81 ephlngprakxbkaraesdng aekikh ephlngprakxbkaraesdngaebngidepn 2 praephthdngni ephlnghnaphathy epnephlngthiichbrrelngprakxbkiriyaxakaraelabthbathtang khxngokhnlakhr immibthrxng ichthanxnginkardaeninkiriya echn ephlngphrahmnxxk ichprakxbkiriyakarxxkcakorngphithisakhy ephlngphrahmnekha ichprakxbkiriyakarekhaorngphithisakhy epntn ephlngrxng ephlngcaihxarmnaetktangkn bangephlngxacichwithirxngxyangediywodyimmidntri aetmicnghwachingkakb hruxrxnglalxng rxngkhlx kid karbrrcuephlngrxngtamthanxngephuxsuxxarmninaetlatxnkhxngokhnlakhrmikhwamsakhy aelayngichinoxkastang kn echn xarmnoskesraesiyic ichephlng kbetn phyaosk oxray xarmnokrthekhuxng ichephlng lingold linglan ethphthxng nakhrach epntnephlngprakxbkaraesdng aekikhephlnghnaphathy aekikh epnephlngthiichbrrelngprakxbkiriyaxakaraelabthbathtang khxngokhnlakhr immibthrxng ichthanxnginkardaeninkiriya echn ephlngekhaman ichprakxbkaredinekhachakinrayaikl khxngtwexk ephlngesmx ichprakxbkaripmainrayaikl khxngtwexk ephlngphrahmnekha ichprakxbkiriyakarekhaorngphithisakhy echn kumphkrrnekhaorngphithilbhxkomkkhskdi imyraphekhaorngphithihungsphrrya ephlngphrahmnxxk ichprakxbkiriyakarxxkcakorngphithisakhy echn xinthrchitxxkcakorngphithichubsrphrhmas xinthrchitxxkcakorngphithisrnakhbas ephlngklm ichprakxbkarehaaipkhxngethwda ephlngechid ichprakxbkarip mainrayaikl aelaichinkartxsu ephlngtranimitr ichprakxbkaraeplngkaykhxngtwexk echn xinthrchitaeplngepnphraxinthr ephlngchub ichprakxbkaredinkhxngnangkanl echn emuxthsknthichnangkanlihiptamebykay ephlngolm ichprakxbkarolmelaekiywpharahwangtwaesdngthiepntwexk mktxdwyephlngtranxn echn hnumanekiywnangsuphrrnmccha ephlngtranxn ichsahrbtwexkemuxcaekhanxn echn hnuman xngkht chmphuphansubmrrkha emuxmudkichtranxn xaceriykxikxyanghnungwa trabrrthmiphr hruxxacbrrelngtxcakephlngolmemuxekiywpharasiknaelw cungnxn ephlngoxd ichprakxbkaresraoskesiyic ephlngoxdsxngchn ichprakxbkaresraoskesiyickhxngphusungskdi echn phraram thsknth ephlngol ichprakxbkaredinthangthangna echn ebykayaeplngepnnangsidalxynaip echidching ichprakxbkaredinthang karehaa echn ebykayehaamayngekhaehmtirn echidchingsrthanng ichprakxbkartxsudwysr aelamikaraephlngsr echn phraramaephlngsrtxngthsknthkhadesiyrkhadkr echidklxng ichbrrelngtxcakephlngechidching hruxichinkrnitxsukn hruxinkaredinthangikl ephlngrwtang ichprakxbkaraephlngxiththivththi hruxaeplngtwxyangrwbrd ephlngkrawnxk ichprakxbkarykthphtrwcphlkhxngkrabwnthphfaymnusyaelaling ephlngkrawin ichprakxbkarykthphtrwcphlkhxngkrabwnthphfayyks ephlngaephla ichprakxbkaredinthangthangxakas echn karbinmakhxngphyakhruthephlngrxng aekikh ephlngrxngaetlaephlngcaihxarmnaetktangkn bangephlngxacichwithirxngxyangediywodyimmidntri aetmicnghwachingkakb hruxrxnglalxng rxngkhlx kid karbrrcuephlngrxngtamthanxngephuxsuxxarmninaetlatxnkhxngokhnlakhrmikhwamsakhy aelayngichinoxkastang kn echn xarmnoskesraesiyic ichephlng kbetn phyaosk oxray xarmnokrthekhuxng ichephlng lingold linglan ethphthxng nakhrach xarmnrkikhr ichephlng lilakrathum oxolm oxkaskarkhuntnkaraesdngodyehntwexkepnhlk ichephlng chapi yani oxkaskardaenineruxngxyangthrrmda ichephlng raynxk rayinokhninrupaebbtang aekikhlakhr aekikh dubthkhwamhlkthi lukokhn lukokhn ph s 2553 okhnidrbkarddaeplngepnlakhr odylakhreruxng lukokhn naaesdngody srny sirilksn phimphchnk luxwiessiphbuly thuksrangkhrngaerkemuxpi ph s 2553 ekhiynbthothrthsnody triyungthxng kakbkaraesdngody thngchy prasngkhsnti xxkxakasthangsthaniothrthsnsikxngthphbkchxng 7 phaphyntr aekikh okhnidrbkarddaeplngepnphaphyntr odyphaphyntreruxng khnokhn naaesdngody srphngs chatri nirutti siricrrya ephyphktr sirikul phimlrtn phislybutr kakbody srnyu wngskracang xxkchayemuxwnthi 25 singhakhm ph s 2554mrdkthangwthnthrrmthicbtxngimid aekikhemuxwnthi 29 phvscikayn ph s 2561 ewla 19 35 n tamewlapraethsithy inkarprachumkhnakrrmkarxnusyya khrngthi 13 thiemuxngphxrtluxis praethsmxriechiys xngkhkaryuensok UNESCO prakaskhunthaebiyn okhn praethsithy phayitchuxphasaxngkvswa Khon masked dance drama in Thailand epnmrdkthangwthnthrrmthicbtxngimid inpraephth raykartwaethnmrdkthangwthnthrrmkhxngmnusychati Representative List of the Intangible Cultural Heritage of Humanity nbepnkarkhunthaebiynmrdkthangwthnthrrmthicbtxngimidraykaraerkkhxngpraethsithy 82 xangxing aekikh khwamehmuxnaelakhwamaetktangkhxngokhnaelalakhrin prawtiaelakhwamepnmakhxngokhninsmykrungsrixyuthya wadwykaraesdngaelakarlaelnxyangxunkhxngchawsyam mhrsphsamxyangkhxngchawsyam cdhmayehtu la lu aebr rachxanackrsyam ekhiynody mxngsiexr edx laluaebr aeplody snt th okmlbutr sankphimphsripyya 2548 hna 157 khanakaraesdngokhnchudnanglxy sucibtrkaraesdngokhnchud nanglxy mulnithisngesrimsilpachiphinsmedcphranangecasirikiti phrabrmrachininath rahwangwnthi 19 20 aela 22 24 phvscikayn 2553 hxprachumihy sunywthnthrrmaehngpraethsithy kaenidokhn rxbrueruxngokhn ekhruxngaetngkayyunekhruxngokhn bthphakyinkaraesdngokhn karphaky karecrcainokhn khanakaraesdngokhnchudphrhmmas sucibtrkaraesdngokhnchud phrhmmas mulnithisngesrimsilpachiphinsmedcphranangecasirikiti phrabrmrachininath rahwangwnthi 25 aela 27 28 thnwakhm 2550 hxprachumihy sunywthnthrrmaehngpraethsithy karaesdngmhrsphinlilitphralx lingkesiy prawtiaelakhwamepnmakhxngokhn khwamruthwipekiywkbokhn krmsilpakr okhninphasaebngkhali okhn thnit xyuophthi xngkhkarkhakhxngkhuruspha 2538 hna 32 elkhhmuhnngsux 793 3209593 ISBN 974 000 849 4 khwamhmaykhxngokhntamrachbnthitysthan thimakhxngkhawaokhn okhn thnit xyuophthi xngkhkarkhakhxngkhuruspha 2538 hna 42 elkhhmuhnngsux 793 3209593 ISBN 974 000 849 4 wadwykaraesdngaelakarlaelnxyangxunkhxngchawsyam mhrsphsamxyangkhxngchawsyam cdhmayehtu la lu aebr rachxanackrsyam ekhiynody mxngsiexr edx laluaebr aeplody snt th okmlbutr sankphimphsripyya 2548 hna 157 khwamniymkhxngramekiyrtiinkaraesdngokhn praephthkhxngokhn okhnklangaeplng okhn thnit xyuophthi xngkhkarkhakhxngkhuruspha 2538 hna 48 elkhhmuhnngsux 793 3209593 ISBN 974 000 849 4 karaesdngokhnklangaeplnginsmyrchkalthi 1 rahwangfayphlbphlawnghnaaelafaylngkawnghlng okhnnngraw wiwthnakarcakokhnklangaeplng okhnorngin karphsmphsanrahwangokhnaelalakhrin okhnhnacx okhn thnit xyuophthi xngkhkarkhakhxngkhuruspha 2538 hna 52 elkhhmuhnngsux 793 3209593 ISBN 974 000 849 4 okhnhnacx karaesdngkhxngokhnaelahnngihy wiwthnakarkhxngokhn okhn thnit xyuophthi xngkhkarkhakhxngkhuruspha 2538 hna 53 elkhhmuhnngsux 793 3209593 ISBN 974 000 849 4 okhnsd karaesdngokhntamaebbchbbchawban okhnnxktara okhnnxnorng okhn nngnuch iphrphibulykic sankphimphkhxmaephkhthphrinth cakd 2542 hna 50 okhnnxktara okhnchkrxk okhn nngnuch iphrphibulykic sankphimphkhxmaephkhthphrinth cakd 2542 hna 50 tananokhnhlwng okhn thnit xyuophthi xngkhkarkhakhxngkhuruspha 2538 hna 57 elkhhmuhnngsux 793 3209593 ISBN 974 000 849 4 lukhmu prawtikhwamepnmakhxngokhn okhnsmkhrelninrchkalthi 6 okhn thnit xyuophthi xngkhkarkhakhxngkhuruspha 2538 hna 79 elkhhmuhnngsux 793 3209593 ISBN 974 000 849 4 okhninyukhsmykrungrtnoksinthr khnphaky ecrca tnesiyng lukkhu okhn thnit xyuophthi xngkhkarkhakhxngkhuruspha 2538 hna 169 elkhhmuhnngsux 793 3209593 ISBN 974 000 849 4 lksnabthokhnthiichinkaraesdng lksnabthokhn 6 praephth bthecrcakhxngokhn khaecrca okhn thnit xyuophthi xngkhkarkhakhxngkhuruspha 2538 hna 174 elkhhmuhnngsux 793 3209593 ISBN 974 000 849 4 bthphakyaelaecrcaokhnchudsukmyraphn sucibtrkaraesdngokhnchud sukmyraphn mulnithisngesrimsilpachiphinsmedcphranangecasirikiti phrabrmrachininath rahwangwnthi 15 krkdakhm 7 singhakhm ph s 2554 hxprachumihy sunywthnthrrmaehngpraethsithy hna 27 eruxngyxwrrnkhdiithychud ramekiyrti bthlakhrthiichsahrbkaraesdngokhn bthlakhrramekiyrtiinsmykrungsrixyuthya bthlakhrramekiyrtismykrungthnburi ramekiyrti bthlakhrinrchkalthi 1 okhn thnit xyuophthi xngkhkarkhakhxngkhuruspha 2538 hna 122 elkhhmuhnngsux 793 3209593 ISBN 974 000 849 4 khaklxninbthlakhr bthphrarachniphnthinrchkalthi 1 ramekiyrti bthlakhrinrchkalthi 2 okhn thnit xyuophthi xngkhkarkhakhxngkhuruspha 2538 hna 124 elkhhmuhnngsux 793 3209593 ISBN 974 000 849 4 khaklxninbthlakhr bthphrarachniphnthinrchkalthi 2 bthlakhreruxngramekiyrtiaelabxekidramekiyrti bthphrarachniphnthinrchkalthi 6 phrankhr krmsilpakr 2484 hna 151 ISBN 974 419 405 7 phranxy phraihyinkaraesdngokhn twlakhrinkaraesdngokhnnang okhn nngnuch iphrphibulykic sankphimphkhxmaephkhthphrinth cakd 2542 hna 61 caritkarfukhdaelakaraesdngokhntwthsknth karkhunlxytwphra twyks okhn nngnuch iphrphibulykic sankphimphkhxmaephkhthphrinth cakd 2542 hna 60 53 0 53 1 twlakhrinkaraesdngokhnyks okhn nngnuch iphrphibulykic sankphimphkhxmaephkhthphrinth cakd 2542 hna 61 xangxingphidphlad payrabu lt ref gt imsmehtusmphl miniyamchux twlakhrinkaraesdngokhnyks hlaykhrngdwyenuxhatangkn okhnling withyaniphnthdiedncaknkwichakarrwphraekiyw aenwkhidaelawithiaesdngokhnling ehtuphlinkarnungphaocngkraebnaedng swmesuxkhawinkarfukhdokhn karfukhdokhn natlila karfukthksatharatwyksaelatwling phuchwysastracaryxrwrrn khmwthnaaelakhna xngkhkarkhakhxngkhuruspha ph s 2551 hna16 33 karetnesa phunthansakhyinkaraesdngokhn taluktuk sphthwichakarechphaainkarhdetnesa karhdhkkhaemnintwling okhn thnit xyuophthi xngkhkarkhakhxngkhuruspha 2538 hna 153 elkhhmuhnngsux 793 3209593 ISBN 974 000 849 4 natyphrn karaetngkaykhxngokhnaebbyunekhruxng khwamhmaykhxngthnimphimphaphrn ebuxnghlngokhnphrhmmas chuychaythsknthlngswn prawtiaelakhwamepnkarkhxngekhruxngaetngkayokhninsmyrtnoksinthr TOR ekhruxngaetngkaychudphraphrt ngancangthaekhruxngaetngkayokhn krmsilpakr karaetngkaykhxngphuaesdngokhnintwlakhrpraephthtang karaetnghna KONKHON karthahwokhn prawtihwokhn niyamkhxnghwokhn lingkesiy praephthkhxnghwokhnchnidtang karcaaenkpraephthkhxnghwokhntamfayesnayksaelaesnaling hwokhn okhn thnit xyuophthi xngkhkarkhakhxngkhuruspha 2538 hna 130 elkhhmuhnngsux 793 3209593 ISBN 974 000 849 4 phithiihwkhruchanghwokhn khwamechuxekiywkbhwokhn praephni phithikrrmaelakhwamechuxekiywkbokhn thrrmeniyminkaraesdngokhn okhn nngkhnuch iphrphibulykic sankphimphbristhkhxmaephkhthphrinth cakd 2542 hna 96 khwamechuxindantang ekiywkbkaraesdngokhn wngdntriaelaephlngprakxbkaraesdng KONKHON yuensok khunthaebiyn okhn epnmrdkthangwthnthrrmkhxngmnusychatiaehlngkhxmulxun aekikhkhxmmxns miphaphaelasuxekiywkb okhnxnurksithy okhnkrmsilpakrekhathungcak https th wikipedia org w index php title okhn amp oldid 9528876, wikipedia, วิกิ หนังสือ, หนังสือ, ห้องสมุด,

    บทความ

    , อ่าน, ดาวน์โหลด, ฟรี, ดาวน์โหลดฟรี, mp3, วิดีโอ, mp4, 3gp, jpg, jpeg, gif, png, รูปภาพ, เพลง, เพลง, หนัง, หนังสือ, เกม, เกม