ภาษาไทยถิ่นใต้
ภาษาไทยถิ่นใต้ (โดยย่อว่า ภาษาใต้) หรือ ภาษาตามโพร (อังกฤษ: Dambro) เป็นภาษาไทกลุ่มหนึ่ง จัดอยู่ในกลุ่มภาษาไทตะวันตกเฉียงใต้ มีผู้ใช้ภาษาหนาแน่นบริเวณสิบสี่จังหวัดภาคใต้ของประเทศไทย มีบางส่วนกระจายตัวไปในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เขตตะนาวศรีในประเทศพม่า และบริเวณรัฐเกอดะฮ์ รัฐปะลิส รัฐปีนัง และรัฐเปรัก ทางตอนเหนือของประเทศมาเลเซีย มีผู้พูดเป็นภาษาแม่ราวห้าล้านคน และอีกราว 1.5 ล้านคนใช้เป็นภาษาที่สอง ได้แก่กลุ่มชนเชื้อสายจีน เปอรานากัน มลายู อูรักลาโวยจ และมานิ
ภาษาไทยถิ่นใต้ | |
---|---|
ประเทศที่มีการพูด | ภาคใต้ของประเทศไทย, เขตตะนาวศรี (พม่า), รัฐเกอดะฮ์ (มาเลเซีย) |
ชาติพันธุ์ | ไทย (ภาคใต้) เปอรานากัน ไทยเชื้อสายจีน มาเลเซียเชื้อสายสยาม ไทยเชื้อสายมลายู |
จำนวนผู้พูด | 4.5 ล้านคน (2006) |
ตระกูลภาษา | ขร้า-ไท
|
ระบบการเขียน | อักษรไทย อักษรเบรลล์ไทย |
สถานภาพทางการ | |
ภาษาชนกลุ่มน้อยที่รับรองใน | ประเทศไทย |
รหัสภาษา | |
ISO 639-3 | sou |
นอกจากนี้ในภาคใต้ยังมีกลุ่มภาษาไทที่ไม่ได้จัดอยู่ในกลุ่มย่อยของภาษาไทยถิ่นใต้ ได้แก่ ภาษาตากใบ ภาษาสะกอม และภาษาพิเทน เพราะมีเอกลักษณ์เป็นของตนเองที่แตกต่างไปจากภาษาไทยถิ่นใต้หรือภาษามลายู
สัทอักษร
วรรณยุกต์
ภาษาไทยถิ่นใต้ส่วนใหญ่ในพยางค์เดียวมี 5 ระดับเสียง ซึ่งเป็นจริงสำหรับสำเนียงที่อยู่ในระดับละติจูดประมาณ 10° เหนือถึง 7° เหนือกับภาษาถิ่นในเมืองทั่วภาคใต้ ในบางพื้นที่มีวรรณยุกต์หกถึงเจ็ดเสียง โดยสำเนียงจังหวัดนครศรีธรรมราช (ประมาณละติจูด 8° เหนือ) มีวรรณยุกต์ 7 เสียง
ต้น
ริมฝีปาก | ปุ่มเหงือก | เพดานแข็ง | เพดานอ่อน | เสียง Sj | เส้นเสียง | ||
---|---|---|---|---|---|---|---|
เสียงนาสิก | [m] ม | [n] ณ,น | [ɲ] ญ* | ||||
เสียงหยุด | ไม่พ่นลม | [p] ป | [t] ฏ,ต | [c] จ | [k] ก | [ʔ] อ** | |
พ่นลม | [pʰ] ผ,พ,ภ | [tʰ] ฐ,ฑ,ฒ,ถ,ท,ธ | [cʰ] ฉ,ช,ฌ | [kʰ] ข,ฃ,ค,ฅ,ฆ | |||
ก้อง | [b] บ | [d] ฎ,ด | |||||
เสียงเสียดแทรก | [v] ฝ,ฟ | [s] ซ,ศ,ษ,ส | [ɧ] ง | [ɦ] ห,ฮ | |||
เสียงเปิด | [l] ล,ฬ | [j] ย | [w] ว | ||||
เสียงลิ้นรัว | [r] ร |
- * พบในบางสำเนียง
- ** ตั้งก่อนหน้าสระใด ๆ โดยไม่มีตัวหน้าและหลังสระสั้นโดยไม่มีตัวท้าย
- ***ปัจจุบันไม่ใช้พยัญชนะ ฃ และ ฅ ทำให้เหลือพยัญชนะ 42 ตัว
กลุ่มคำ
ในภาษาไทยมีกลุ่มคำ 11 แบบ ดังนี้:
- /kr/ (กร), /kl/ (กล), /kw/ (กว)
- /kʰr/ (ขร,คร), /kʰl/ (ขล,คล), /kʰw/ (ขว,คว)
- /pr/ (ปร), /pl/ (ปล)
- /pʰr/ (พร), /pʰl/ (ผล,พล)
- /tr/ (ตร)
นอกจากนี้ยังมีคำควบกล้ำที่ไม่ได้อยู่ในหลักภาษาไทยมาตรฐานด้วย เช่น
- หมฺรฺ เช่น หมฺรับ อ่านว่า "หฺมฺรับ" (ห เป็นอักษรนำ ตามด้วย ม ควบกล้ำด้วย ร) แปลว่า สำรับ ไม่ได้ อ่านว่า หม-รับ หรือ หมับ ให้ออกเสียง "หมฺ" ควบ "ร") เช่น การจัดหฺมฺรับประเพณีสารทเดือนสิบ
ท้าย
เสียงหยุดทั้งหมดไม่มีการออกเสียง ดังนั้น เสียงท้ายของ /p/, /t/ และ /k/ ออกเสียงเป็น [p̚], [t̚] และ [k̚] ตามลำดับ
ริมฝีปาก | ปุ่มเหงือก | เพดานแข็ง | เพดานอ่อน | เส้นเสียง | |
---|---|---|---|---|---|
เสียงนาสิก | [m] ม | [n] ญ,ณ,น,ร,ล,ฬ | [ŋ] ง | ||
เสียงหยุด | [p] บ,ป,พ,ฟ,ภ | [t] จ,ช,ซ,ฌ,ฎ,ฏ,ฐ,ฑ, ฒ,ด,ต,ถ,ท,ธ,ศ,ษ,ส | [k] ก,ข,ค,ฆ | [ʔ]* | |
เสียงเปิด | [w] ว | [j] ย |
- * ตรงท้ายออกเสียงเป็นเส้นเสียงหยุด (glottal stop) เมื่อไม่มีตัวท้ายหลังสระสั้น
สระ
สระในภาษาไทยถิ่นใต้มีความคล้ายกับภาษาไทยถิ่นกลาง โดยเป็นไปตามตารางนี้
หน้า | หลัง | |||||
---|---|---|---|---|---|---|
ปากเหยียด | ปากห่อ | |||||
สั้น | ยาว | สั้น | ยาว | สั้น | ยาว | |
สูง | /i/ -ิ | /iː/ -ี | /ɯ/ -ึ | /ɯː/ -ื- | /u/ -ุ | /uː/ -ู |
กลาง | /e/ เ-ะ | /eː/ เ- | /ɤ/ เ-อะ | /ɤː/ เ-อ | /o/ โ-ะ | /oː/ โ- |
ต่ำ | /ɛ/ แ-ะ | /ɛː/ แ- | /a/ -ะ, -ั- | /aː/ -า | /ɔ/ เ-าะ | /ɔː/ -อ |
สระมักมาเป็นคู่ยาว-สั้น โดยแบ่งไปตามนี้:
ยาว | สั้น | ||
---|---|---|---|
ไทย | IPA | ไทย | IPA |
–า | /aː/ | –ะ | /a/ |
–ี | /iː/ | –ิ | /i/ |
–ู | /uː/ | –ุ | /u/ |
เ– | /eː/ | เ–ะ | /e/ |
แ– | /ɛː/ | แ–ะ | /ɛ/ |
–ื- | /ɯː/ | –ึ | /ɯ/ |
เ–อ | /ɤː/ | เ–อะ | /ɤ/ |
โ– | /oː/ | โ–ะ | /o/ |
–อ | /ɔː/ | เ–าะ | /ɔ/ |
สระพื้นฐานสามารถรวมกันเป็นสระประสมสองเสียงที่ใช้ในการกำหนดเสียงวรรณยุกต์ สระที่มีสัญลักษณ์ดอกจันในบางครั้งอาจถือเป็นสระยาว:
ยาว | สั้น | ||
---|---|---|---|
อักษรไทย | IPA | อักษรไทย | IPA |
–าย | /aːj/ | ไ–*, ใ–*, ไ–ย, -ัย | /aj/ |
–าว | /aːw/ | เ–า* | /aw/ |
เ–ีย | /iːə/ | เ–ียะ | /iə/ |
– | – | –ิว | /iw/ |
–ัว | /uːə/ | –ัวะ | /uə/ |
–ูย | /uːj/ | –ุย | /uj/ |
เ–ว | /eːw/ | เ–็ว | /ew/ |
แ–ว | /ɛːw/ | – | – |
เ–ือ | /ɯːə/ | เ–ือะ | /ɯə/ |
เ–ย | /ɤːj/ | – | – |
–อย | /ɔːj/ | – | – |
โ–ย | /oːj/ | – | – |
นอกจากนี้ ยังมีสระประสมสามเสียง 3 แบบที่ใช้ในการกำหนดเสียงวรรณยุกต์ สระที่มีสัญลักษณ์ดอกจันในบางครั้งอาจถือเป็นสระยาว:
อักษรไทย | IPA |
---|---|
เ–ียว* | /iəw/ |
–วย* | /uəj/ |
เ–ือย* | /ɯəj/ |
สำเนียง
- ภาษาไทยถิ่นใต้
- กลุ่มตะวันออก
- สำเนียงสุราษฎร์ธานี
- สำเนียงนครศรีธรรมราช
- สำเนียงพัทลุง–สงขลา
- สำเนียงนครศรีธรรมราช
- สำเนียงสุราษฎร์ธานี
- กลุ่มตะวันตก
- สำเนียงพังงา–ภูเก็ต
- สำเนียงกระบี่–ตรัง
- สำเนียงพังงา–ภูเก็ต
- กลุ่มตอนล่าง
- สำเนียงปัตตานี–ยะลา
- สำเนียงนราธิวาส
- สำเนียงปัตตานี–ยะลา
- กลุ่มตะวันออก
ภาษาไทยถิ่นใต้มีภาษาย่อยแตกต่างกันออกไปในแต่ละท้องถิ่นต่าง ๆ บางแห่งมีการใช้คำศัพท์หรือมีการออกเสียงแตกต่างกันออกไป โดยแบ่งออกเป็นสามกลุ่มใหญ่ ดังนี้
- ภาษาไทยถิ่นใต้กลุ่มตะวันออก เป็นภาษาไทยถิ่นใต้ที่มีผู้ใช้หนาแน่นในบริเวณทางตะวันออกของคาบสมุทร ตั้งแต่จังหวัดสุราษฎร์ธานี, นครศรีธรรมราช, พัทลุง, สงขลา เรื่อยไปจนถึงรัฐเกอดะฮ์ และปะลิสของประเทศมาเลเซีย
- ภาษาไทยถิ่นใต้กลุ่มตะวันตก เป็นภาษาไทยถิ่นใต้ที่มีผู้ใช้หนาแน่นในบริเวณทางตะวันตกของคาบสมุทร ตั้งแต่จังหวัดสุราษฎร์ธานี, นครศรีธรรมราช, ชุมพร, พังงา, ภูเก็ต, กระบี่, ตรัง และเขตตะนาวศรีของประเทศพม่า
- ภาษาไทยถิ่นใต้ตอนล่าง เป็นภาษาไทยถิ่นใต้ที่มีผู้ใช้หนาแน่นในบริเวณสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดปัตตานี, ยะลา และนราธิวาส โดยสำเนียงปัตตานีและยะลามีความเชื่อมโยงกันมาก และใกล้ชิดกับสำเนียงนราธิวาสเป็นลำดับถัดมา มีการยืมคำมลายูค่อนข้างหนาแน่น เพราะตั้งชุมชนอยู่ท่ามกลางชาวไทยเชื้อสายมลายูซึ่งเป็นชนกลุ่มใหญ่ โดยเฉพาะในอำเภอทุ่งยางแดง อำเภอสายบุรี และอำเภอตากใบ
คำยืม
ภาษาไทยถิ่นใต้มีความสัมพันธ์กับชาวต่างชาติอย่างหลากหลาย จนเกิดการยืมคำมาใช้ ทั้งนี้พบว่าภาษาไทยถิ่นใต้มีการยืมคำจากภาษาเขมรมากที่สุดถึง 1,320 คำ บางส่วนเป็นคำยืมที่พบได้เพียงแต่ในภาษาไทยถิ่นใต้เท่านั้น ไม่พบในภาษาไทยกลาง เข้าใจว่าคงยืมผ่านภาษาเขมรโบราณโดยตรง นอกจากนี้ยังมีคำยืมภาษาจีนโดยเฉพาะภาษาฮกเกี้ยนหนาแน่นในสำเนียงภูเก็ต (1,239 คำ) และภาษาจีนอื่น ๆ ในสำเนียงสงขลา (396 คำ) และคำยืมภาษามลายูหนาแน่นในสำเนียงปัตตานี ยะลา นราธิวาส (400 คำ) และสตูล (375 คำ) แต่อย่างไรก็ตามคำยืมเหล่านี้มีผู้ใช้น้อยลง และแทนที่ด้วยภาษาไทยมาตรฐาน
ระบบการเขียน
ในอดีตภาษาไทยถิ่นใต้จะใช้อักษรขอมไทยในการจดจารตำรับตำราสำคัญทางศาสนา นับถือว่าหนังสือและอักษรเป็นของศักดิ์สิทธิ์ ถ้าใครเหยียบหรือข้ามหนังสือจะทำให้วิชาความรู้เสื่อมถอย อักษรขอมนี้พัฒนามาจากอักษรหลังปัลลาวะเริ่มใช้เขียนหลัง พ.ศ. 1726 เป็นต้นมา พบหลักฐานที่ฐานพระพุทธรูปวัดหัวเวียง จังหวัดสุราษฎร์ธานี จนกระทั่ง พ.ศ. 1773 อักษรขอมนี้มีพัฒนาการในรูปแบบท้องถิ่นภาคใต้โดยเฉพาะ แต่ระยะหลังมีการรับอักษรขอมไทยอย่างภาคกลางมากขึ้นในช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์
ส่วนอักษรไทยอยุธยา ปรากฏครั้งแรกในศิลาจารึกวัดแวง จังหวัดสุราษฎร์ธานี แต่มีอักขรวิธีอย่างคนเมืองเหนือ ในช่วงหลังมีการบันทึกวรรณกรรมเป็นอักษรไทยลงสมุดไทยและใบลานตรงกับรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ต่อมา พ.ศ. 2357 ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย มีการใช้อักษรไทยอยุธยาเขียนตามสำเนียงใต้โดยไม่คำนึงถึงรูปแบบที่ถูกต้อง หรือมีอักขรวิธีตามความพอใจของผู้เขียนเอง ครั้นเมื่อมีการพัฒนาด้านการศึกษาในประเทศไทย ภาษาไทยถิ่นใต้จึงพัฒนามาเขียนด้วยอักษรไทยอย่างกรุงเทพมหานครจนถึงปัจจุบัน
ภาษาทองแดง
ภาษาทองแดง ใน พจนานุกรมภาษาถิ่นใต้ พุทธศักราช 2525 ให้ความหมายไว้ว่า "การพูดภาษากลางปนภาษาใต้หรือพูดเพี้ยน" ซึ่งเกิดขึ้นได้กับทุกคนที่ใช้ภาษาไทยผิดเพี้ยนไปจากมาตรฐานกำหนด ไม่ได้จำกัดว่าเป็นคนภาคใดหรือจังหวัดใด ๆ อย่างเช่น เมื่อผู้ใช้ภาษาไทยถิ่นใต้เป็นภาษาแม่ไปพูดภาษาไทยมาตรฐาน ก็ย่อมจะนำลักษณะบางประการของภาษาถิ่นของตนปะปนเข้ากับภาษาไทยมาตรฐานจนผิดเพี้ยน เรียกว่า "ทองแดง" และชาวไทยเชื้อสายมลายูในสามจังหวัดชายแดนใต้ที่พูดภาษาไทยมาตรฐานไม่ชัด เพราะติดสำเนียงมลายู ก็จะถูกเรียกว่า "ทองแดง" เช่นกัน
แต่เดิมชาวไทยในแถบภาคใต้จะไม่นิยมใช้ภาษาไทยมาตรฐาน เพราะเป็นภาษาของเจ้านายหรือราชสำนัก เมื่อมีชนชั้นนำหรือเจ้านายพูดภาษาไทยมาตรฐาน ชาวบ้านจึงต้องออกเสียงให้ตรงกับภาษาของนาย เรียกว่า "แหลงข้าหลวง" ซึ่งเป็นความพยายามอย่างหนึ่งของคนใต้ ที่ต้องการให้ส่วนกลางเข้าใจเนื้อหาคำพูดของตน แม้จะออกเสียงผิดเพี้ยนไปบ้าง และหากชาวใต้คนใดพูดภาษาไทยกลางหรือ "แหลงบางกอก" ก็จะถูกคนใต้ด้วยกันมองด้วยเชิงตำหนิว่า "ลืมถิ่น" หรือ "ดัดจริต" เพราะแม้จะพูดภาษาไทยมาตรฐานแต่ยังคงติดสำเนียงใต้อยู่ จึงถูกล้อเลียนว่า "พูดทองแดง" เพราะมีการออกเสียงพยัญชนะและสระต่างกัน มีการตัดคำหน้าของสระเสียงสั้นออกไป เพื่อความสะดวกในการออกเสียง เช่น "เงาะ" เป็น "เฮาะ", "ลอยกระทง" เป็น "ลอยกระตง", "สังขยา" เป็น "สังหยา" นอกจากนี้ยังมีการใช้คำต่างจากภาษาไทยมาตรฐาน แต่มีความหมายเดียวกัน เช่น "ปวดท้อง" ว่า "เจ็บพุง", "ปวดหัว" ว่า "เจ็บเบ็ดหัว", "ชักช้า" ว่า "ลำลาบ"
ปัจจุบันภาษาไทยมาตรฐานมีอิทธิพลเหนือภาษาไทยถิ่นใต้มาขึ้นตามลำดับ โดยเฉพาะจากการศึกษาในระบบ และผ่านการสื่อสารมวลชน ทำให้ภาษาไทยถิ่นใต้เกิดความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นทุกขณะ
อ้างอิง
- ภาษาไทยถิ่นใต้ at Ethnologue (18th ed., 2015)
- International Convention on the Elimination of All Forms of Racial Discrimination; landforms a growing larger by the second Reports submitted by States parties under article 9 of the Convention: Thailand (PDF) (ภาษาอังกฤษ และ ไทย). United Nations Committee on the Elimination of Racial Discrimination. 28 July 2011. สืบค้นเมื่อ 8 October 2016.
- กรมส่งเสริมวัฒนธรรม (2559). ภาษา : มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ (PDF). กรุงเทพฯ: สำนักงานกิจการโรงพิมพ์ องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก ในพระบรมราชูปถัมภ์. p. 62. Check date values in:
|year=
(help) - ตามใจ อวิรุทธิโยธิน (2559). "ภาพรวมการศึกษาภาษาไทยถิ่นใต้". วารสารมนุษยศาสตรและสังคมศาสตร์ (13:1), หน้า 9
- Diller, Anthony (1979). Nguyen, Dang Liem (บ.ก.). "How Many Tones For Southern Thai?". South-east Asian Linguistic Studies. Pacific Linguistics, the Australian National University. 4: 122.
- ↑ ตามใจ อวิรุทธิโยธิน (2559). "ภาพรวมการศึกษาภาษาไทยถิ่นใต้". วารสารมนุษยศาสตรและสังคมศาสตร์ (13:1), หน้า 18
- ↑ ตามใจ อวิรุทธิโยธิน (2559). "ภาพรวมการศึกษาภาษาไทยถิ่นใต้". วารสารมนุษยศาสตรและสังคมศาสตร์ (13:1), หน้า 21
- ↑ เฉลิมชัย ส่งศรี (ตุลาคม 2541-มีนาคม 2542). "ภาษาไทยถิ่นใต้ในบริบททางวัฒนธรรม". วารสารปาริชาด (11:2). หน้า 48
- ↑ ชะเอม แก้วคล้าย (17 ตุลาคม 2561). "พัฒนาการอักษรที่ใช้บันทึกวรรณกรรมท้องถิ่นภาคใต้". สถาบันไทยศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. สืบค้นเมื่อ 24 กันยายน 2564. Check date values in:
|accessdate=, |date=
(help) - ↑ ปรีชา ทิชินพงศ์. "ลักษณะทางภาษาทองแดงของชาวไทยภาคใต้" (PDF). มหาวิทยาลัยทักษิณ. สืบค้นเมื่อ 24 กันยายน 2564. Check date values in:
|accessdate=
(help) - นิยามาล อาแย (2552). ตัวตนคนมลายูมุสลิมในเขตเมืองยะลา (PDF). สาขาวิชาพัฒนามนุษย์และสังคม มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์. p. 124. Check date values in:
|year=
(help) - ↑ เล่าเรื่องเมืองใต้, หน้า 8
- เล่าเรื่องเมืองใต้, หน้า 9
ข้อมูล
- Bradley, David. (1992). "Southwestern Dai as a lingua franca." Atlas of Languages of Intercultural Communication in the Pacific, Asia, and the Americas. Vol. II.I:13, pp. 780–781.
- Levinson, David. Ethnic Groups Worldwide: A Ready Reference Handbook. Greenwood Publishing Group. ISPN: 1573560197.
- Miyaoka, Osahito. (2007). The Vanishing Languages of the Pacific Rim. Oxford University Press. ISBN 0-19-926662-X.
- Taher, Mohamed. (1998). Encylopaedic Survey of Islamic Culture. Anmol Publications Pvt. Ltd. ISBN 81-261-0403-1.
- Yegar, Moshe. Between Integration and Secession: The Muslim Communities of the Southern Philippines, Southern Thailand, and Western Burma/Myanmar. Lexington Books. ISBN 0-7391-0356-3.
- Diller, A. Van Nostrand. (1976). Toward a Model of Southern Thai Diglossic Speech Variation. Cornell University Publishers.
- Li, Fang Kuei. (1977). A Handbook of Comparative Tai. University of Hawaii Press. ISBN 0-8248-0540-2.
- พจนานุกรมภาษาไทยท้องถิ่นภาคใต้
- หนังสือพจนานุกรมภาษาถิ่นใต้ สำนักพิมพ์สถาบันทักษิณคดีศึกษา