ข้อมูลผิดเกี่ยวกับโควิด-19
หลังมีการระบาดทั่วของโรคติดเชื้อโคโรนาไวรัส 2019 (โควิด-19) ก็ได้เกิดทฤษฎีสมคบคิด ข้อมูลผิด ๆ และข่าวปลอมเกี่ยวกับแหล่งกำเนิด การแพร่กระจาย การป้องกัน การวินิจฉัย การรักษา และประเด็นอื่น ๆ เกี่ยวกับโรคที่ถูกเผยแพร่ออกไปอย่างรวดเร็วทางสื่อสังคม ระบบส่งข้อความ และสื่อมวลชน มีกระทั่งนักข่าวที่ถูกจับฐานเผยแพร่ข่าวปลอมเกี่ยวกับการระบาดทั่ว อนึ่ง คนดัง นักการเมือง และผู้นำทางสังคมอื่น ๆ ก็ช่วยกันกระจายข้อมูลด้วย สำหรับสื่อภาษาอังกฤษ งานศึกษาของมหาวิทยาลัยคอร์เนลพบว่า ประธานาธิบดีสหรัฐดอนัลด์ ทรัมป์ น่าจะเป็นตัวขับข้อมูลเท็จเกี่ยวกับการระบาดทั่วที่แรงสุด
มีการหลอกลวงขายผลิตภัณฑ์เพื่อตรวจโรค ป้องกันโรค และรักษาโรค "แบบมหัศจรรย์" มีกลุ่มศาสนาหลายกลุ่มที่อ้างว่า ความเชื่อในศาสนานั้น ๆ จะป้องกันผู้เชื่อจากไวรัสได้ มีคนบางส่วนที่อ้างว่า ไวรัสเป็นอาวุธชีวภาพที่หลุดโดยอุบัติเหตุหรือโดยตั้งใจจากแล็บ เป็นอุบายควบคุมจำนวนประชากร เป็นจารกรรม หรือเป็นผลข้างเคียงของเครือข่ายมือถือแบบ 5 จี
องค์การอนามัยโลกได้แถลง "การระบาดทั่วของข้อมูลผิด" (infodemic) เกี่ยวกับไวรัส ซึ่งสร้างความเสี่ยงต่อสุขภาพของชาวโลก แล้วจึงประกาศการร่วมมือกับมูลนิธิวิกิมีเดียโดยอนุญาตให้ใช้อินโฟกราฟิกและสื่ออื่น ๆ ขององค์การเพื่อสู้กับข้อมูลผิด ๆ
ชนิด แหล่งกำเนิด และผลกระทบ
ในวันที่ 30 มกราคม 2020 สำนักข่าวอังกฤษบีบีซีรายงานทฤษฎีสมคบคิดและคำแนะนำทางสุขภาพซึ่งไม่ดีเกี่ยวกับโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตัวอย่างเด่นในเวลานั้นรวมคำแนะนำทางสุขภาพผิด ๆ ที่แชร์ไปตามสื่อสังคมและระบบส่งข้อความ บวกกับทฤษฎีสมคบคิดต่าง ๆ เช่นโรคเกิดจากซุปค้างคาว (จีน) และเกิดจากแผนการแพร่โรคระบาดที่อาศัยความร่วมมือจากสถาบันวิจัยโรคติดต่อในสัตว์แห่งสหราชอาณาจักรคือ Pirbright Institute ต่อมาในวันที่ 31 หนังสือพิมพ์อังกฤษเดอะการ์เดียนระบุตัวอย่างข้อมูลผิด ๆ 7 อย่าง, เพิ่มทฤษฎีสมคบคิดว่า โรคเป็นอาวุธชีวภาพ และโรคสัมพันธ์กับเทคโนโลยี 5 จี และเพิ่มคำแนะนำทางสุขภาพที่ผิดอื่น ๆ
เพื่อเร่งแชร์ข้อมูลงานวิจัย นักวิจัยจำนวนมากได้เริ่มใช้เว็บไซต์ที่พิมพ์ผลงานวิจัยก่อนตีพิมพ์รวมทั้ง arXiv, bioRxiv, medRxiv และ SSRN. งานวิจัยสามารถโหลดขึ้นไปยังเซิร์ฟเวอร์โดยไม่มีการตรวจสอบโดยผู้รู้เสมอกันหรือผ่านกระบวนการทางบรรณาธิการอื่น ๆ เพื่อรับรองคุณภาพ งานวิจัยบางงานจึงได้มีส่วนกระจายทฤษฎีสมคบคิดต่าง ๆ กรณีเด่นที่สุดก็คือเอกสารที่โหลดขึ้น bioRxiv ซึ่งอ้างว่าไวรัสโควิด-19 มีลำดับยีนจากไวรัสเอชไอวี หลังจากมีการคัดค้าน งานจึงถูกเพิกถอน เอกสารแบบก่อนตีพิมพ์เกี่ยวกับโควิด-19 เช่นนี้ได้แชร์กันอย่างกว้างขวางออนไลน์ โดยมีข้อมูลที่แสดงว่า สื่อใช้เอกสารในเรื่องนี้เกือบเป็น 10 เท่าเทียบกับเรื่องอื่น ๆ
ตามงานศึกษาของสถาบันศึกษาวารสารศาสตร์ของมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ข้อมูลผิด ๆ เรื่องโควิด-19 โดยมากเป็น "การแปรรูปในลักษณะต่าง ๆ ซึ่งข้อมูลที่มีอยู่และบ่อยครั้งเป็นเรื่องจริง จะถูกปั่น บิดเบือน เปลี่ยนบริบท หรือเปลี่ยนใหม่" โดยมีข้อมูลน้อยกว่าที่กุขึ้นแบบโคมลอย งานศึกษาบางส่วนพบว่า ข้อมูลผิด ๆ จากผู้นำในสังคมรวมทั้งนักการเมือง คนดัง และคนสำคัญอื่น ๆ แม้จะเป็นส่วนน้อย แต่ก็ได้การเผยแพร่เป็นส่วนมากไปตามสื่อสังคม ตามการจัดหมวดหมู่ของสถาบัน หมวดที่มีข้อมูลผิด ๆ มากสุด (ร้อยละ 39) เป็นข้ออ้างผิด ๆ หรือให้เข้าใจผิดเกี่ยวกับการกระทำหรือนโยบายเจ้าหน้าที่ของรัฐ รวมทั้งรัฐบาลและองค์กรสากลเช่น องค์การอนามัยโลกและสหประชาชาติ
การทดลองตามธรรมชาติ คือรูปแบบการทดลองที่เกิดขึ้นเองโดยไม่มีใครออกแบบหรือเข้าไปจัดการ ได้แสดงความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลผิด ๆ เกี่ยวกับไวรัสโคโรนากับการติดโรคและการตายที่เพิ่มขึ้น มีตัวอย่างเป็นข่าวทางทีวีคล้ายกันสองข่าวที่รายงานในเครือข่ายโทรทัศน์เดียวกัน ข่าวหนึ่งรายงานผลของโรคที่หนักกว่าโดยทำก่อนข่าวต่อมาอีกเดือนหนึ่ง พบว่า บุคคลและกลุ่มคนที่ดูข่าวหลังแล้วรายงานผลติดโรคและตายในอัตราสูงกว่า
ข้อมูลผิด ๆ ถูกใช้โดยนักการเมือง กลุ่มสนับสนุน และเจ้าหน้าที่ของรัฐในประเทศต่าง ๆ ในทางการเมือง คือเพื่อบอกปัดหน้าที่รับผิดชอบ โทษประเทศอื่น ๆ และเพื่อไม่ให้การตัดสินใจก่อนหน้านี้ของตนถูกวิพากษ์วิจารณ์ แต่บางครั้งก็มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องด้วยประเทศจำนวนหนึ่งถูกกล่าววหาว่า กระจายข้อมูลผิด ๆ ในสื่อสังคมของประเทศอื่น ๆ เพื่อสร้างความตื่นตระหนก ความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจ บ่อนทำลายการอภิปรายทางประชาธิปไตย หรือเพื่อโปรโหมตรูปแบบรัฐบาลของตน ๆ
งานศึกษาของมหาวิทยาลัยคอร์เนลซึ่งตรวจบทความภาษาอังกฤษ 38 ล้านบททั่วโลกพบว่า ประธานาธิบดีสหรัฐดอนัลด์ ทรัมป์ เป็นผู้เผยแพร่ข้อมูลเท็จที่แรงสุด
แหล่งกำเนิด
จากแล็บจีน
ในการระบาดทั่วระยะแรก ๆ เกิดทฤษฎีสมคบคิดหนึ่งว่า สถาบันไวรัสวิทยาอู่ฮั่นในจีนได้สร้างไวรัสขึ้นผ่านพันธุวิศวกรรม ต้นกำเนิดแหล่งหนึ่งของทฤษฎีนี้เป็นอดีตเจ้าหน้าที่หน่วยจารกรรมของอิสราเอล (Dany Shoham) ผู้ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์อนุรักษนิยมอเมริกันเดอะวอชิงตันไทมส์เกี่ยวกับแล็บนี้ ภายหลังนักการเมืองอเมริกันจึงเริ่มกระจายข้อมูลผิดนี้ รวมทั้งสมาชิกวุฒิสภา Tom Cotton, ประธานาธิบดีทรัมป์ และเลขาธิการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐไมก์ พอมเพโอ อนึ่ง ยังมีนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งในแล็บนี้คือ Li-Meng Yan ผู้ได้หนีจากประเทศจีนแล้วสนับสนุนแนวคิดนี้ แต่เจ้าหน้าที่จำนวนมากก็ได้ออกมาหักล้างทฤษฎีสมคบคิดนี้ รวมทั้งนักชีววิทยาชาวอเมริกัน Richard H. Ebright, ผู้อำนวยการสถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดต่อแห่งชาติสหรัฐ Anthony Fauci, นักวิทยาศาสตร์คนดังต่าง ๆ และชุมชนหน่วยจารกรรมสหรัฐ แม้ทฤษฎีนี้จะกระจายไปทั่วในสื่อสังคม แต่การตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์ต่อมาก็ได้แสดงว่า ไวรัสมีแหล่งกำเนิดจากค้างคาว
เป็นจารกรรมจีนที่ทำในแล็บแคนาดา
มีคนอ้างว่า นักวิทยาศาสตร์จีนได้ขโมยไวรัสโคโรนามาจากแล็บวิจัยไวรัสในแคนาดา แต่กระทรวงสาธารณสุขแคนาดา (Health Canada) และสำนักงานสาธารณสุขแคนาดากล่าวว่า นี่ไม่มีมูลฐานความจริง เรื่องนี้ดูจะกลายมาจาก ข่าวในเดือนกรกฎาคม 2019 ซึ่งระบุว่า นักวิจัยจีนถูกระงับไม่ให้เข้าไปยังแล็บจุลชีววิทยาแห่งชาติแคนาดาในเมืองวินนิเพ็ก ซึ่งเป็นแล็บไวรัสวิทยาระดับ 4 หลังจากนักวิจัยจีนถูกตำรวจแห่งชาติ (Royal Canadian Mounted Police) สอบสวน แต่เจ้าหน้าที่แคนาดาก็ระบุว่านี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับการบริหารบุคลากรโดยไม่มีความเสี่ยงต่อประชาชน
เพราะสำนักข่าวแห่งชาติแคนาดาซีบีซี (Canadian Broadcasting Corporation) รายงานข่าวตามที่ว่า ปลายเดือนมกราคม 2020 สำนักข่าวจึงระบุว่า รายงานของสำนักข่าวไม่เคยอ้างว่า นักวิทยาศาสตร์สองคนที่ว่าเป็นจารบุคคล หรือว่าพวกเขานำไวรัสโคโรนาใด ๆ ไปยังแล็บที่อู่ฮั่น แม้จะมีตัวอย่างจุลชีพก่อโรคที่ส่งจากแล็บในวินนิเพ็กไปยังนครปักกิ่งในวันที่ 31 มีนาคม 2019 แต่ก็ไม่ใช่ตัวอย่างไวรัสโคโรนา สำนักงานสาธารณสุขแห่งชาติแคนาดากล่าวว่า การส่งตัวอย่างเป็นไปตามนโยบายรัฐบาลกลางทุกอย่าง และก็ไม่เคยมีการระบุว่า นักวิทยาศาสตร์ที่ถูกสอบสวนได้ส่งตัวอย่างที่ว่า อย่างไรก็ดี นักวิทยาศาสตร์ที่ถูกสอบสวนก็ไม่ได้เปิดเผยว่าปัจจุบันอยู่ที่ไหน
ในปลายเดือนมกราคม ผู้ช่วยผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับสงครามชีวภาพในสถาบันแบบ Think tank ของอิสราเอล (Begin-Sadat Center for Strategic Studies) เมื่อกล่าวถึงการแถลงการณ์ของเนโท ก็ได้ระบุความสงสัยทางจารกรรมว่าเป็นเหตุผลให้ไล่นักวิทยาศาสตร์ที่ว่าออกจากแล็บ แต่ก็ไม่ได้ระบุว่า ไวรัสโคโรนาถูกขโมยจากแล็บแคนาดาหรือเป็นผลของการวิจัยอาวุธชีวภาพเพื่อการทหารในประเทศจีน
เป็นอาวุธชีวภาพของสหรัฐ
ตามหนังสือพิมพ์ The Economist ในลอนดอน มีทฤษฎีสมคบคิดมากมายในเน็ตของจีนว่า ซีไอเอสร้างโควิด-19 ขึ้นเพื่อทำลายจีน ตามการสืบสวนของสำนักข่าวออนไลน์ ProPublica ทฤษฎีสมคมคิดและข้อมูลผิด ๆ เช่นนี้กระจายไปตามคำสั่งของสำนักข่าวของรัฐบาลจีน คือ China News Service โดยหนังสือพิมพ์รัฐบาลจีนคือ Global Times และสำนักข่าวรัฐบาลจีน Xinhua News Agency ก็กระจายข้อมูลผิด ๆ เกี่ยวแหล่งกำเนิดโรคโควิด-19 เช่นกัน แต่สำนักข่าวอเมริกัน NBC News ก็ให้ข้อสังเกตว่า มีความพยายามหักล้างทฤษฎีสมคบคิดเกี่ยวกับสหรัฐที่ได้โพสต์ออนไลน์ เช่น เมื่อเสิรช์คำว่า "Coronavirus is from the U.S." โดยมากก็จะได้บทความที่อธิบายว่าทำไมข้ออ้างเช่นนี้ไม่สมเหตุผล
ในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ เจ้าหน้าที่สหรัฐกล่าวหาว่า รัสเซียได้รณรงค์สร้างข้อมูลผิด ๆ โดยใช้บัญชีสื่อสังคมเป็นพัน ๆ ของทวิตเตอร์ เฟซบุ๊ก และอินสตาแกรมเพื่อสนับสนุนทฤษฎีสมคบคิดอันไม่มีมูลซึ่งอ้างว่า ไวรัสเป็นอาวุธชีวภาพของซีไอเอและสหรัฐกำลังทำสงครามทางเศรษฐกิจกับจีนด้วยไวรัส
ตามสถาบันวิจัยสื่อตะวันออกกลาง (Middle East Media Research Institute) ซึ่งเป็นองค์กรไม่หวังผลกำไรในกรุงวอชิงตันดีซี มีนักข่าวภาษาอาหรับจำนวนมากที่ได้สนับสนุนทฤษฎีสมคบคิดว่าไวรัสโควิด-19 ซาร์ส และไข้หวัดใหญ่ในสุกร ได้สร้างขึ้นแล้วกระจายอย่างตั้งใจเพื่อขายวัคซีนต่อต้านไวรัสนั้น ๆ โดยเป็น "ส่วนของสงครามทางเศรษฐกิจและทางจิตวิทยาที่สหรัฐทำต่อจีนโดยมุ่งทำให้จีนอ่อนแอและแสดงว่าเป็นประเทศล้าหลังและเป็นแหล่งเกิดโรค"
ทฤษฎีเดียวกันก็รายงานในอิหร่านโดยเป็นส่วนของการโฆษณาชวนเชื่อของประเทศว่าไวรัสมีจุปประสงค์เพื่อ "ทำลายวัฒนธรรมและเกียรติยศของประเทศ" แต่รองรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขอิหร่านก็ปฏิเสธข้ออ้างว่าไวรัสเป็นอาวุธชีวภาพ โดยชี้ในเดือนมีนาคม 2020 ว่า สหรัฐจะเสียหายอย่างมากจากโรค เขากล่าวว่า อิหร่านเป็นหนักก็เพราะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจีน เพราะการไม่ระงับสายการบินได้แพร่เชื้อไวรัส และเพราะผู้ติดโรคต้น ๆ วินิจฉัยผิดว่าเป็นไข้หวัดใหญ่
ทฤษฎีนี้ก็กระจายไปในประเทศฟิลิปปินส์ และเวเนซุเอลาด้วย
เกิดจากคนยิว
ในโลกมุสลิม
เครือข่ายข่าวของรัฐบาลอิหร่านคือ Press TV อ้างว่า พวกคนยิวได้พัฒนาสายพันธุ์ไวรัสโคโรนาที่ร้ายแรงกว่าเพื่อใช้กับอิหร่าน เช่นเดียวกัน สื่ออาหรับอื่น ๆ ก็ได้กล่าวหาอิสราเอลและสหรัฐว่า พัฒนาแล้วกระจายโควิด-19 ไข้หวัดนก และซาร์ส ส่วนผู้ใช้เครือข่ายสังคมให้ทฤษฎีอื่น ๆ รวมทั้งอ้างว่า คนยิวได้สร้างโควิด-19 เพื่อล้มตลาดหลักทรัพย์โลกเพื่อทำกำไรโดยใช้ข้อมูลล่วงหน้า มีแม้กระทั่งแขกผู้รับเชิญในรายการทีวีตุรกีซึ่งระบุทฤษฎีที่ดุเดือดยิ่งกว่านั้น คือคนยิวได้สร้างโควิด-19 ไข้หวัดนก ไข้เลือดออกไครเมีย-คองโก เพื่อ "เปลี่ยนโลก ยึดประเทศ และตอนประชากรโลก"
การพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ในอิสราเอลได้ก่อปฏิกิริยาเชิงลบในอิหร่าน อายะตุลลอฮ์ Naser Makarem Shirazi แห่งอิหร่านปฏิเสธข่าวว่า เขาได้ตัดสินว่าวัคซีนที่คนยิวทำจะจัดเป็นฮาลาล โดยมีนักข่าวของ Press TV ได้ส่งข้อความทวิตเตอร์ว่า "ผมยอมเสี่ยงกับไวรัสดีกว่าใช้วัคซีนอิสราเอล" ส่วนนักข่าวตุรกีคนหนึ่งอ้างว่า วัคซีนเช่นนั้นสามารถใช้เป็นอุบายทำหมันคนเป็นจำนวนมาก
ในสหรัฐ
การประกาศเตือนของเอฟบีไอเกี่ยวกับการคุกคามของพวกขวาจัดที่ตั้งใจกระจายไวรัสโคโรนาไปยังคนกลุ่มจำเพาะ ๆ ได้กล่าวถึงการโทษคนยิวและผู้นำคนยิวว่า เป็นเหตุให้เกิดการระบาดทั่วและให้ต้องปิดรัฐต่าง ๆ
องค์การนอกภาครัฐ Anti-Defamation League (ADL) ตีพิมพ์ข่าวและบล็อกเกี่ยวกับการต่อต้านคนยิวออนไลน์ รวมทั้งทฤษฎีสมบคบคิดและข้อมูลผิด ๆ เรื่องแหล่งกำเนิดของโควิด-19 การกระจายโรค การสร้างและการได้กำไรจากวัคซีนในบรรดาเรื่องต่าง ๆ แล้วเชื่อมมันกับเรื่องเท็จต่อต้านคนยิวที่ทำกันมาแล้วเป็นศตวรรษ ๆ โดยเฉพาะในช่วงกาฬโรคระบาด ADL ยังโทษแพลตฟอร์มเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ต่าง ๆ เช่น เฟซบุ๊ก เพราะช่วยให้ทฤษฎีสมคบคิดเหล่านี้กระจายไปเหมือนกับไวรัส โดยไม่ยอมตั้งนโยบายที่บังคับให้ลบข้อมูลเช่นนี้ออก ไม่บังคับใช้นโยบายการกลั่นกรองเนื้อความที่ก่อความเกลียดชังตามที่มีอยู่แล้ว และการล้มเหลวไม่สามารถจำกัดการขยายและกระจายเนื้อความเช่นนี้
โทษคนมุสลิม
ในประเทศอินเดีย มีการโทษคนมุสลิมว่าเป็นผู้กระจายโรคหลังจากเกิดกรณีโรคในการประชุมทางศาสนาของกลุ่ม Tablighi Jamaat มีรายงานถึงการด่าคนมุสลิมในสื่อสังคมและการทำร้ายคนมุสลิมในอินเดีย มีข้ออ้างว่าคนมุสลิมกำลังขายอาหารที่ปนเปื้อนไวรัสโครโรนา และมัสยิดในเมืองปัฏนากำลังให้ที่หลบซ่อนแก่คนจากอิตาลีและอิหร่าน ซึ่งล้วนแสดงแล้วว่าเป็นเท็จ
ในสหราชอาณาจักร มีรายงานเกี่ยวกับกลุ่มขวาจัดที่โทษคนมุสลิมในการระบาดของไวรัสโคโรนา แล้วอ้างผิด ๆ ว่า มัสยิดก็ฝืนเปิดอยู่แม้หลังรัฐบาลได้ประกาศงดการชุมนุมคนแบบมีจำนวนมากทั่วประเทศ ในสหรัฐ องค์การนอกภาครัฐ Anti-Defamation League (ADL) รายงานว่า มีความเดียดฉันท์ต่อต้านคนมุสลิมที่เนื่องกับไวรัสโคโรนา
เป็นแผนจำกัดจำนวนประชากร
ตามสำนักข่าวบีบีซี มีสมาชิกยูทูบ (Jordan Sather) ที่ได้สนับสนุนทฤษฎีสมคบคิดว่ามีการต่อต้านประธานาธิบดีสหรัฐดอนัลด์ ทรัมป์ (QAnon conspiracy theory) และสนับสนุนขบวนต่อต้านวัคซีน ได้อ้างอย่างผิด ๆ ว่า โรคระบาดเป็นแผนคุมจำนวนประชากรโดยสถาบันวิจัยทางชีวภาพแห่งสหราชอาณาจักรคือ Pirbright Institute ร่วมกับบิล เกตส์
นักพยากรณ์อากาศชาวอังกฤษคนดังคนหนึ่ง (Piers Corbyn) ได้ระบุไวรัสโคโรนาว่าเป็น "ปฏิบัติการทางจิตวิทยาเพื่อล้มเศรษฐกิจเพื่อผลประโยชน์ของบริษัทยักษ์ใหญ่" และกล่าวว่า "วัคซีนจะทำให้ถึงตาย" เป็นบุคคลที่แพทย์ออกทีวีคนดังอีกคนหนึ่ง (Hilary Jones) ได้เรียกเมื่อให้สัมภาษณ์ร่วมกับนักพยากรณ์อากาศในรายการทีวียามเช้าว่า เป็นบุคคลอันตราย
เครือข่ายมือถือ 5 จี
ในเดือนกุมภาพันธ์ สำนักข่าวบีบีซีรายงานว่า นักทฤษฎีสมคบคิดในสื่อสังคมได้อ้างว่า ไวรัสโคโรนาสัมพันธ์กับเครือข่ายมือถือ 5 จี คืออ้างว่า การระบาดโรคในอู่ฮั่นและที่เรือสำราญ Diamond Princess เกิดจากสนามแม่เหล็กไฟฟ้าของเทคโนโลยีไร้สายและของเครือข่ายมือถือ 5 จี และว่า เหตุการณ์ระบาดทั่วเป็นเรื่องกุเพื่ออำพรางความเจ็บป่วยที่มีเหตุจากระบบ 5 จี
ในเดือนมีนาคม 2020 หมอทางเลือกอเมริกันผู้หนึ่ง (Thomas Cowan) ที่เคยฝึกเป็นแพทย์ปัจจุบันและปัจจุบันต้องทำงานแบบถูกคุมความประพฤติโดยคณะกรรมการแพทย์ของแคลิฟอร์เนียระบุว่า โควิด-19 เกิดจากระบบ 5 จี โดยอ้างหลักฐานว่า ประเทศในแอฟริกาไม่มีการระบาดทั่วอย่างสำคัญและแอฟริกาก็ไม่มีระบบ 5 จี เขายังอ้างผิด ๆ ด้วยว่า ไวรัสเป็นของเสียจากเซลล์ที่กลายเป็นพิษเพราะสนามแม่เหล็กไฟฟ้า และการระบาดทั่วของโรคไวรัสต่าง ๆ ตามประวัติศาสตร์เกิดพร้อม ๆ กับความก้าวหน้าสำคัญทางเทคโนโลยีวิทยุ ต่อมาวิดีโอของหมอคนนี้ได้กระจายไปทั่วโดยได้รับการส่งต่อจากคนดัง ๆ รวมทั้งนักแสดงวูดดี แฮร์เรลสัน, นักแสดงจอห์น คูแซก และนักร้องเคอรี ฮิลสัน
ทฤษฎีนี้ยังอาจถูกเผยแพร่โดยการรณรงค์สร้างข้อมูลเท็จแบบประสาน คล้ายกับที่องค์กรโน้มน้าวความคิดเห็นของรัสเซียคือ Internet Research Agency ได้ทำ ต่อมาสำนักข่าวและองค์กรอื่น ๆ จึงได้หักล้างและติเตียนทฤษฎีนี้รวมทั้งรอยเตอร์สยูเอสเอทูเดย์, องค์กรเช็คและแก้ความจริงของประเทศอังกฤษคือ Full Fact และผู้อำนวยการของสมาคมสาธารณสุขอเมริกัน (American Public Health Association)
ยังมีนักทฤษฎีสมคบคิดอีกคน (Mark Steele) ที่อ้างความรู้โดยตรงว่า ระบบ 5 จีสามารถสร้างอาการเหมือนกับที่ไวรัสก่อ อดีตพยาบาลอีกผู้หนึ่งที่ถูกเลิกใบอนุญาตโดยคณะกรรมการแพทย์ทั่วไปอังกฤษ ก็ได้มาเป็นผู้สนับสนุนทฤษฎีสมคบคิดนี้อีกคนหนึ่ง โดยกล่าวมาเรื่อย ๆ ว่า อาการเช่นนี้เหมือนกับที่เกิดเมื่อถูกกับสนามแม่เหล็กไฟฟ้า
ศาสตราจารย์ผู้อำนวยการของสถาบันให้บริการทางสาธารณสุของอังกฤษคือ NHS England จัดทฤษฎีที่สัมพันธ์เครือข่ายมือถือ 5 จีกับโควิด-19 ว่าเป็น "ข่าวปลอมชนิดแย่สุด" เพราะไวรัสไม่สามารถแพร่ไปตามคลื่นวิทยุ และโควิด-19 ก็ได้กระจายและยังคงกระจายไปในประเทศที่ไม่มีเครือข่าย 5 จี
มีไฟไหม้เสาร์โทรศัพท์ที่น่าสงสัยถึง 20 กรณีในอังกฤษในช่วงสุดสัปดาห์เทศกาลอีสเตอร์ปี 2020 รวมทั้งในเมืองดาเก็นแฮมที่จับผู้ต้องสงสัยวางเพลิงได้ 3 คน ในเมืองฮัดเดอส์ฟีลด์ที่ไฟไหม้เสาโทรศัพท์ซึ่งหน่วยฉุกเฉินใช้ และในนครเบอร์มิงแฮมที่ไฟไหม้เสาโทรศัพท์ซึ่งให้บริการแก่โรงพยาบาลไนติงเกลของ NHS ช่างโทรคมนาคมบางส่วนรายงานว่าถูกคุกคามด้วยความรุนแรงรวมทั้งจะแทงให้ถึงตาย โดยบุคคลที่เชื่อว่าตนทำงานกับเครื่อข่าย 5 จี ในวันที่ 12 เมษายน 2020 มีการโทรเรียกตำรวจแห่งชาติและหน่วยดับเพลิงไปยังเสา 5 จีที่ถูกไฟไหม้ในประเทศไอร์แลนด์ ซึ่งตำรวจจัดว่าเป็นคดีวางเพลิง จนกระทั่งรัฐมนตรีอังกฤษออกมากล่าวว่า ทฤษฎีว่าไวรัสโควิด-19 กำลังกระจายไปทางการสื่อสารไร้สายแบบ 5 จี เป็นเรื่อง "เหลวไลทั้งเพ และเหลวไหลอย่างเป็นอันตรายด้วย"
จนถึงวันที่ 30 มีนาคม มีการวางเพลิง 29 ครั้งที่เสาโทรศัพท์มือถือในประเทศเนเธอร์แลนด์ รวมทั้งกรณีที่มีข้อความเขียนไว้ว่า "Fuck 5G" ด้วย มีเหตุการณ์ในประเทศไอร์แลนด์และไซปรัสด้วย เฟซบุ๊กได้ลบบทความที่สนับสนุนให้ทำลายอุปกรณ์ 5 จี ช่างที่ทำงานกับบริษัทลูกของบริติชเทเลคอมโพสต์ขอร้องในกลุ่มเฟซบุ๊กต่อต้าน 5 จีว่าอย่าทำการใด ๆ ต่อช่างเพราะไม่ได้เกี่ยวกับเครือข่ายมือถือ กลุ่มสนับสนุนทางอุตสาหกรรม (Mobile UK) กล่าวว่า การกระทำเยี่ยงนี้มีผลต่อการดำรงรักษาเครือข่ายที่รับรองให้ทำงานจากบ้านและให้บริการแก่ผู้บริโภคที่อ่อนแอ แก่บริการฉุกเฉิน และแก่ รพ.
มีวิดีโอที่ส่งต่ออย่างกว้างขวางซึ่งแสดงหญิงที่กล่าวหาพนักงานของบริษัทบรอดแบนด์ (Community Fibre) ว่าติดตั้งระบบ 5 จีโดยเป็นส่วนของแผนการฆ่าประชาชน ในบรรดาบุคคลที่เชื่อว่าเครือข่าย 5 จีเป็นเหตุต่ออาการโควิด-19 ร้อยละ 60 ระบุว่า ความรู้เกี่ยวกับไวรัสโดยมากมาจากยูทูบ ในเดือนเมษายน 2020 ยูทูบประกาศว่าจะลดสื่อที่สัมพันธ์ระบบ 5 จีกับไวรัสโคโรนา แต่วิดีโอทฤษฎีสมคบคิดเกี่ยวกับระบบ 5 จีโดยไม่กล่าวถึงไวรัสโคโรนาก็จะไม่ลบออก แม้ยังอาจจัดว่าเฉียดเส้นและดังนั้น ก็จะลบออกจากผลเสิร์ชแล้วทำให้เสียรายได้ นักทฤษฎีสมคบคิดผู้หนึ่ง (David Icke) ได้กระจายข้ออ้างที่ถูกดิสเครดิตแล้วไปตามวิดีโอ (ต่อมาถูกลบออก) ในยูทูบ, ใน Vimeo และในการสัมภาษณ์ทางช่องทีวีของรัฐ London Live ต่อมาจึงมีการเรียกร้ององค์กรผู้ควบคุมการดำเนินการ (คือ Ofcom) ให้เข้าไปจัดการ ยูทูบใช้เวลาโดยเฉลี่ย 41 วันเพื่อลบวิดีโอเท็จเกี่ยวกับโควิดในช่วงครึ่งปีแรกของ 2020
การรายงานการป่วยและการตายผิด ๆ
ประธานาธิบดีทรัมป์อ้างว่านับคนตายเกินจริง
ในเดือนสิงหาคม 2020 ประธานาธิบดีสหรัฐดอนัลด์ ทรัมป์ทวีตว่า จำนวนคนตายเนื่องกับโควิด-19 ที่รายงานในสหรัฐ จริง ๆ ร้อยละ 6 เท่านั้นเกิดจากโรค แต่ก็นับเอาแต่มรณบัตรที่ระบุโควิด-19 เท่านั้นว่าเป็นเหตุ ต่อมาในเดือนตุลาคม หัวหน้านักสถิติอัตราการตายที่ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐ (ซีดีซี) จึงกล่าวว่า มรณบัตรเหล่านั้นไม่ได้ระบุลำดับเหตุการณ์ทั้งหมดที่นำไปสู่ความตาย ดังนั้น จึงไม่สมบูรณ์ แต่ซีดีซีประมวลข้อมูลการตายอาศัยการสอดส่องกรณีคนไข้ (case surveillance) บันทึกการตาย (vital record) และการตายเพิ่มผิดปกติ (mortality displacement) ส่วนเว็บไซต์ FactCheck.org รายงานว่า แม้มรณบัตรเพียงร้อยละ 6 จะระบุโควิด-19 ว่าเป็นเหตุอย่างเดียวของการตาย โดยที่เหลือร้อยละ 94 มีภาวะอื่น ๆ ที่เป็นเหตุสนับสนุนให้ตาย แต่โควิด-19 ก็ระบุว่าเป็นเหตุการตายของมรณบัตรถึงร้อยละ 92 เพราะมันอาจเป็นเหตุให้เกิดอาการรุนแรงอื่น ๆ รวมทั้งปอดบวมและกลุ่มอาการหายใจลำบากเฉียบพลัน ในกลางเดือนตุลาคม 2020 จำนวนคนตายเพราะโควิด-19 ในสหรัฐรายงานอยู่ที่ 218,511 ราย (ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐ), 219,681 ราย (มหาวิทยาลัยจอนส์ฮอปกินส์) และ 219,541 ราย (หนังสือพิมพ์เดอะนิวยอร์กไทมส์)
ข้อมูลไม่ดี
ในสหรัฐ การรับมือกับการระบาดทั่วมีอุปสรรคเนื่องกับเทคโนโลยีที่ล้าสมัย (รวมทั้งเครื่องโทรสารและรูปแบบข้อมูลที่ส่งแลกเปลี่ยนกันไม่ได้) การส่งและการบริหารข้อมูลที่ไม่ดี (หรือแม้แต่ไม่ได้ข้อมูลเลย) การไร้มาตรฐาน และการไร้ความเป็นผู้นำจากรัฐบาลกลาง กฎหมายภาวะส่วนตัวยังเป็นปัญหาจนกระทั่งถึงขั้นว่า เป็นตัวยับยั้งการติดตามค้นหาคนที่มาสัมผัสกับผู้ป่วย และข้อมูลที่จำเป็นบางครั้งกลับบิดเบือนอย่างจงใจในบางที่ เช่น ในรัฐต่าง ๆ ของสหรัฐ
จำนวนการตายที่ระบุว่าเป็นข่าวรั่ว
ในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ สำนักข่าว Taiwan News ตีพิมพ์บทความที่อ้างว่าบริษัทอินเทอร์เน็ตจีน Tencent อาจพลาดทำข่าวรั่วแล้วแสดงอัตราการตายและการติดโรคจริง ๆ ในจีน คือสำนักข่าวระบุว่า ระบบ Tencent Epidemic Situation Tracker ได้แสดงกรณีติดโรคและจำนวนคนตายเป็นหลายเท่าของจำนวนทางการ โดยอ้างโพสต์เฟซบุ๊กของเจ้าของร้านขายเครื่องดื่มในไต้หวันและคนไต้หวันนิรนามอีกคนหนึ่ง สำนักข่าวอื่น ๆ ก็ได้อ้างอิงบทความนี้จนกระจายไปอย่างกว้างขวางในทวิตเตอร์ เฟซบุ๊ก และ 4chan การกระจายข่าวได้จุดชนวนทฤษฎีสมคบคิดมากมายที่ระบุว่า รูปตัวอย่างแสดงจำนวนการตายจริง ๆ ซึ่งต่างกับที่ระบุโดยทางการ รองศาสตราจารย์แผนกสาธารณสุขของมหาวิทยาลัยจอนส์ฮอปกินส์อธิบายว่า ตัวเลขจจากข่าวที่ "รั่ว" มาเช่นนี้ไม่สมเหตุผลและไม่สมกับความจริง เพราะโรคมีอัตราความตายทซึ่งต่ำกว่าที่ข่าวระบุมาก ส่วนโฆษกของ Tencent ตอบโดยอ้างว่า รูปนั้นสร้างขึ้น และมันประกอบด้วย "ข้อมูลผิด ๆ ที่เราไม่เคยตีพิมพ์"
ต่อมาผู้เขียนข่าวเบื้องต้นก็ได้ให้สัมภาษณ์ทางทีวีแล้วยืนยันความเป็นจริงและความควรเป็นข่าวของข้อมูลรั่วเช่นนี้
การเผาศพหมู่ในอู่ฮั่น
ในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2020 มีรายงานในทวิตเตอร์ว่า มี "ข้อมูล" ที่แสดงว่ามีการปล่อยสารกำมะถันเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากเหนือเมืองอู่ฮั่น แล้วอ้างต่อไปว่า มีเหตุจากการเผาคนติดไวรัสโครนาที่เสียชีวิตโดยเผาเป็นหมู่ ซึ่งสำนักข่าวอื่น ๆ นำไปเผยแพร่ รวมทั้งสำนักข่าวอังกฤษแนวตื่นเต้น Daily Express, Daily Mail และสำนักข่าวไต้หวัน Taiwan News เว็บไซต์ตรวจความจริง Snopes ต่อมาหักล้างข้อมูลผิด ๆ นี้ โดยชี้ว่าแผนที่ซึ่งใช้ในข้ออ้างไม่ใช่ค่าระดับซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2) เหนือเมืองอู่ฮั่นในเวลาจริง เป็นเพียงแต่แบบจำลองที่คอมพิวเตอร์สร้างขึ้นอาศัยข้อมูลตามประวัติและตามที่พยากรณ์
ข้อมูลผิด ๆ เพื่อโจมตีไต้หวัน
ในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2020 สำนักข่าวรัฐบาลไต้หวันคือ Central News Agency รายงานว่า มีข้อมูลผิด ๆ เป็นจำนวนมากที่ปรากฏในเฟซบุ๊กซึ่งอ้างว่า การระบาดทั่วของโควิด-19 ในไต้หวันควบคุมไม่ได้ ว่ารัฐบาลได้ปกปิดการติดโรค และประธานาธิบดีไต้หวันไช่ อิงเหวินได้ติดโรค องค์กรตรวจสอบความจริงในไต้หวันเสนอว่า ข้อมูลผิด ๆ ในเฟซบุ๊กคล้ายกับที่พบในจีนแผ่นดินใหญ่ เพราะใช้อักษรจีนตัวย่อและศัพท์ภาษาจีนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งองค์กรเตือนว่า จุดประสงค์ก็เพื่อโจมตีรัฐบาลไต้หวัน
ในเดือนมีนาคม 2020 สำนักงานสืบสวนของกระทรวงยุติธรรมไต้หวันเตือนว่า จีนกำลังพยายามตัดทอนความเชื่อใจในข่าวจริงโดยวาดภาพรายงานของรัฐบาลไต้หวันว่าเป็นข่าวปลอม เจ้าหน้าที่ของรัฐจึงได้รับคำสั่งให้ใช้ทุกวิถีทางเพื่อตรวจว่าบทความเหล่านี้สัมพันธ์กับคำสั่งของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนหรือไม่ แต่สำนักงานไต้หวันของจีนแผ่นดินใหญ่ก็ปฏิเสธข้อกล่าวหานี้ โดยระบุว่าเป็นการโกหก และว่าพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้ากำลัง "กระตุ้นให้เกลียดกัน" ระหว่างจีนทั้งสองฝ่าย แต่ตามหนังสือพิมพ์อเมริกันเดอะวอชิงตันโพสต์ จีนก็ได้รณรงค์ทำข้อมูลเท็จเพื่อโจมตีไต้หวันเป็นทศวรรษ ๆ แล้ว
ส่วนผู้อำนวยการด้านวิจัยที่สถาบันเพื่ออนาคตอันเป็นสถาบัน think tank ได้วิเคราะห์โพสต์เหล่านั้นแล้วสรุปว่า โดยมากมาจากผู้ใช้ธรรมดา ๆ ในจีน ไม่ใช่มาจากรัฐ แต่เขาก็วิจารณ์รัฐบาลจีนในฐานะอนุญาตให้ข้อมูลผิด ๆ เหล่านั้นกระจายออกนอกประเทศ (ผ่านการตรวจพิจารณาของ Great Firewall) ซึ่งเขาจัดว่า "มุ่งร้าย" ตามสำนักข่าว Taiwan News ข้อมูลผิด ๆ ถึง 1/4 เชื่อว่ามาจากจีน
ในวันที่ 27 มีนาคม 2020 องค์กรไม่หวังผลกำไรที่รัฐบาลสหรัฐจัดตั้งในไต้หวันคือ American Institute in Taiwan ประกาศว่าจะร่วมมือกับศูนย์เช็คความจริงของไต้หวันเพื่อแก้ปัญหาข้อมูลผิด ๆ เกี่ยวกับโควิด-19
การใช้แผนที่ผิด ๆ
ในต้นเดือนกุมภาพันธ์ แผนที่ซึ่งเก่าแก่เป็นทศวรรษและแสดงการระบาดของไวรัสที่เป็นไปได้ของโปรเจ็กต์ World Population Project ถูกนำไปใช้อย่างผิด ๆ โดยสำนักข่าวออสเตรเลีย (รวมหนังสือพิมพ์แนวตื่นเต้นอังกฤษ คือ The Sun, Daily Mail และ Metro) ซึ่งอ้างว่าเป็นแผนที่ระบุการระบาดทั่วของไวรัสโคโรนาในปี 2020 แล้วต่อมาก็กระจายไปตามสื่อสังคมของสำนักข่าวเหล่านั้น ๆ แม้สำนักข่าวบางส่วนภายหลังจะลบแผนที่ออก บีบีซีก็รายงานว่ายังมีบางส่วนที่ยังคงแผนที่ไว้
นางพยาบาลนักเปิดเผย
วันที่ 24 มกราคม 2020 มีวิดีโอเกี่ยวกับบุคคลที่ดูเหมือนกับพยาบาลจีนในมณฑลหูเป่ย์ที่กระจายไปทางออนไลน์ ซึ่งกล่าวถึงสถานการณ์ในอู่ฮั่นอันร้ายแรงกว่าที่รัฐบาลรายงาน คืออ้างว่าคนเกิน 90,000 คนได้ติดเชื้อไวรัสในจีน ว่าไวรัสอาจติดต่อจากคน ๆ เดียวไปยัง 14 คน (R0=14) และว่าไวรัสกำลังกลายพันธุ์เป็นรอบที่สอง มีคนดูวิดีโอเป็นล้าน ๆ ครั้งในสื่อสังคมต่าง ๆ และกล่าวถึงในรายงานออนไลน์ต่าง ๆ มากมาย
บีบีซีระบุว่า ผิดจากคำบรรยายภาษาอังกฤษที่มีในวิดีโอรุ่นหนึ่ง หญิงผู้นี้ไม่ได้อ้างว่าเป็นพยาบาลหรือหมอ และเครื่องแบบและหน้ากากของเธอก็ไม่เหมือนกับของบุคลากรทางแพทย์ในมณฑลหูเป่ย์ ข้ออ้างเกี่ยวกับ R0=14 ก็ไม่เข้ากับการประเมินของผู้เชี่ยวชาญซึ่งให้ค่าประเมินระหว่าง 1.4-2.5 ในตอนนั้น และการอ้างการติดเชื้อถึง 90,000 รายก็ไม่มีข้อพิสูจน์อะไร
การลดใช้โทรศัพท์มือถือ
มีการระงับใช้โทรศัพท์มือถือถึง 21 ล้านรายสำหรับบริษัทโทรศัพท์มือถือใหญ่สุด 3 รายในจีน ซึ่งใช้เป็นหลักฐานผิด ๆ ว่าเกิดคนตายเป็นล้าน ๆ เพราะไวรัสโคโรนาในจีน เพราะการะงับเกิดเนื่องกับเศรษฐกิจที่แย่ลงและการลดการติดต่อทางสังคมในช่วงการระบาดทั่ว
Casedemic
ผู้ปฏิเสธโควิด-19 ได้ใช้คำว่า "casedemic" (แทน pandemic) โดยเป็นทฤษฎีสมคบคิดหนึ่งที่ว่า โควิด-19 ไม่เป็นอันตรายและจำนวนโรคซึ่งรายงานเป็นเพียงผลของการตรวจสอบที่เพิ่มขึ้น แนวคิดนี้ดึงดูดใจนักปฏิบัติการต่อต้านวัคซีนเป็นพิเศษ ผู้ใช้แนวคิดเพื่ออ้างว่า ปฏิบัติการทางสาธารณสุขโดยเฉพาะวัคซีน ไม่จำเป็นเพื่อแก้สิ่งที่พวกเขาเรียกว่าการระบาดทั่วจอมปลอม
วิศวกรชื่อว่า Ivor Cummins ดูเหมือนจะเป็นคนบัญญัติคำนี้ขึ้นในเดือนสิงหาคม 2020 เป็นบุคคลนิยมในหมู่ผู้ปฏิเสธโควิด-19 ผู้สนับสนุนการแพทย์ทางเลือกคนหนึ่ง (Joseph Mercola) ได้นำคำนี้ไปใช้ เมื่อพูดเกินจริงถึงผลบวกเทียมที่ได้ในการตรวจโรคด้วยปฏิกิริยาลูกโซ่พอลิเมอเรส (PCR) เพื่อสร้างเรื่องเท็จว่า การตรวจเช่นนี้ไม่สมเหตุผล จริง ๆ แล้ว ปัญหาของ PCR เป็นเรื่องที่รู้กันดีอยู่แล้ว และเจ้าหน้าที่ก็ทำการเพื่อชดใช้ผลบวกเทียมแล้ว คำปฏิเสธโควิดเช่นนี้ยังละเลยการกระจายโรคแบบไร้อาการ จำนวนกรณีที่อาจไม่ได้ตรวจในช่วงเบื้องต้นของการระบาดทั่ว เทียบกับปัจจุบันที่ได้เพิ่มการตรวจและเพิ่มความรู้หลังจากช่วงนั้น และปัจจัยอื่น ๆ ที่มีผลต่อการตรวจด้วย PCR
การกระจายโรค
จากมนุษย์สู่มนุษย์
วันที่ 3 มกราคม 2020 คณะกรรมการสาธารณสุขอู่ฮั่นได้แถลงการณ์ถึงอาการปอดบวมเหตุไวรัสชนิดใหม่ แต่กล่าวว่าโรคไม่สามารถติดต่อจากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่ง
ภูมิคุ้มกันหมู่ในแคลิฟอร์เนียตั้งแต่ปี 2019
วันที่ 31 มีนาคม 2020 นักอนุรักษนิยมชาวอเมริกันคนหนึ่ง (Victor Davis Hanson) ได้เผยแพร่ทฤษฎีว่า โควิด-19 อาจมีอยู่ในรัฐแคลิฟอร์เนียตั้งแต่ฤดูใบไม้ตกของปี 2019 จึงทำให้เกิดระดับภูมิคุ้มกันหมู่ และสามารถอธิบายความแตกต่างของอัตราการติดเชื้อในเมืองต่าง ๆ เช่น นครนิวยอร์กเทียบกับลอสแอนเจลิส ต่อมาจึงมีการให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์เดอะลอสแอนเจลิสไทมส์อีกว่า มีหลักฐานที่แสดงว่า ไวรสัอาจมีอยู่ในแคลิฟอร์เนียตั้งแต่เดือนธันวาคม 2019 แต่การวิเคราะห์ทางพันธุกรรมและทางสารภูมิต้านทานก็หักล้างแนวคิดว่าไวรัสมีอยู่ในสหรัฐก่อนเดือนมกราคม 2020
คนไข้แรก
ในเดือนมีนาคม นักทฤษฎีสมคบคิดได้เริ่มข่าวลือเท็จว่า ทหารกองหนุนสหรัฐคนหนึ่ง (Maatje Benassi) เป็นคนไข้แรกของการระบาดทั่ว เพราะเธอได้ร่วมงานเกมโลกทหาร 2019 (2019 Military World Games) ก่อนที่โรคจะเริ่มระบาด แม้ว่าเธอจริง ๆ ไม่เคยตรวจพบไวรัส นักทฤษฎีสมคบคิดยังเชื่อมครอบครัวของเธอกับดีเจอิตาลีคนดัง Benny Benassi ทั้ง ๆ ที่ดีเจก็ไม่มีความสัมพันธ์กับเธอและก็ไม่เคยติดไวรัสด้วย
ภูมิต้านทาน/ความอ่อนแอเพราะชาติพันธุ์
มีการอ้างว่าคนชาติพันธุ์บางชาติอ่อนแอหรือแข็งแรงต่อโควิด-19 ยิ่งกว่า แต่โควิด-19 ก็เป็นโรคสัตว์ที่ติดต่อมายังมนุษย์โรคใหม่ ดังนั้น จึงไม่มีกลุ่มมนุษย์ใด ๆ ที่อาจเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ก่อนกลุ่มอื่นได้ เริ่มตั้งแต่วันที่ 11 กุมภาพันธ์ มีรายงานที่กระจายไปอย่างรวดเร็วผ่านเฟซบุ๊กว่า นักศึกษาแคเมอรูนในจีนหายจากโรคอย่างสิ้นเชิงเพราะมีเชื้อสายแอฟริกา แต่แม้นักศึกษาคนหนึ่งจะรักษาหาย แต่สื่ออื่น ๆ ก็ระบุว่าไม่มีหลักฐานที่แสดงว่า คนแอฟริกาทนต่อไวรัสยิ่งกว่า และการกล่าวเช่นนี้เป็นข้อมูลเท็จ เลขาธิการกระทรวงสาธารณสุขเคนยาปฏิเสธตรง ๆ ข่าวลือที่ว่า "คนผิวดำจะไม่ติดไวรัสโคโรนา" แล้วประกาศกรณีแรกของเคนยาในวันที่ 13 มีนาคม ข่าวลือนี้โทษว่าเป็นปัจจัยอย่างหนึ่งที่ทำให้คนอเมริกันเชื้อสายแอฟริกาติดโรคและตายในอัตราสูงกว่า
ยังมีการอ้างถึง "ภูมิคุ้มกันของคนอินเดีย" ต่อโควิด-19 อาศัยความเป็นอยู่ของคนอินเดีย (เช่น เป็นคนกินเจ) ซึ่งศาสตราจารย์ที่กลุ่มมหาวิทยาลัยการแพทย์อินเดียคือ All India Institute of Medical Sciences (AIIMS) กล่าวว่า "เหลวไหลโดยสิ้นเชิง" เขากล่าวว่า ยังไม่มีภูมิคุ้มกันหมู่ต่อไวรัส-19 เพราะเป็นเชื้อใหม่ มันยังไม่ชัดเจนแม้กระทั่งว่าคนที่หายป่วยจากโควิด-19 จะมีภูมิคุ้มกันที่คงยืน เพราะนี่เกิดกับไวรัสบางอย่าง ไม่เกิดกับบางอย่าง
ผู้นำสูงสุดอิหร่านแอลี ฆอเมเนอีอ้างว่า สหรัฐได้ดัดแปลงไวรัสทางพันธุกรรมโดยเฉพาะ ๆ เพื่อใชักับคนอิหร่าน แล้วใช้ข้ออ้างเท็จนี้อธิบายว่าทำไมโควิด-19 จึงมีผลหนักต่ออิหร่าน แต่ก็ไม่ได้ให้หลักฐานอะไร ๆ
นักวิจัยชาวจอร์แดนกลุ่มหนึ่งตีพิมพ์รายงานที่อ้างว่า คนอาหรับอ่อนแอต่อโควิด-19 น้อยกว่าเพราะมีการแปรผันทางพันธุกรรมอย่างหนึ่งที่เฉพาะเจาะจงต่อคนตะวันออกกลาง
การโทษคนพวกอื่นโดยชาติพันธุ์และศาสนา
มีคนถูกทำร้ายเพราะความเกลียดกลัวต่างชาติเนื่องกับโควิด-19 โดยคนร้ายโทษเหยื่ออาศัยความต่างกันทางชาติพันธุ์ว่า แพร่โควิด คนที่ดูเหมือนคนจีนอาจถูกทำร้ายทางกายและทางวาจาเนื่องกับโควิดในประเทศต่าง ๆ โดยบุคคลที่กล่าวหาคนจีนว่าแพร่ไวรัส ในประเทศจีนเองก็มีการเลือกปฏิบัติ (เช่น การขับไล่และการไม่ให้บริการในร้านค้า) ต่อคนที่มาจากใกล้ ๆ อู่ฮั่น (ที่การระบาดทั่วได้เริ่ม) และต่อคนที่มองว่าไม่ใช่คนจีน (โดยเฉพาะคนแอฟริกา) เพราะรัฐบาลจีนได้โทษกรณีที่ยังเพิ่มขึ้นเนื่องกับการนำไวรัสเข้ามาใหม่จากต่างประเทศ (ทั้ง ๆ ที่ร้อยละ 90 ของกรณีเกิดใหม่เป็นคนถือหนังสือเดินทางจีน) โดยประเทศใกล้เคียงก็เลือกปฏิบัติต่อคนตะวันตกด้วย
คนยังโทษคนกลุ่มอื่น ๆ ตามการแบ่งพวกทางสังคมที่มีอยู่แล้ว โดยบางครั้งอ้างกรณีโควิด-19 ของกลุ่มนั้น ๆ ยกตัวอย่างเช่น ในอินเดีย มีคนโทษ หลีกเลี่ยง และเลือกปฏิบัติต่อคนมุสลิมอย่างกว้างขวาง (รวมการทำร้ายอย่างรุนแรง) โดยใช้ข้ออ้างซึ่งไร้มูลฐานว่า คนมุสลิมจงใจแพร่โควิด-19 และงานประชุมมุสลิมหนึ่งที่เกิดการติดต่อของโรคได้รับความสนใจจากประชาชนยิ่งกว่างานคล้าย ๆ ที่จัดโดยคนกลุ่มอื่นหรือโดยรัฐบาล กลุ่มคนที่ถือคนขาวว่าดีสุดก็ได้โทษคนไม่ใช่คนขาวกลุ่มอื่น ๆ และสนับสนุนให้จงใจแพร่โรคแก่คนกลุ่มน้อยที่ตนไม่ชอบ เช่น คนยิว
การกินซุปค้างคาว
สื่อข่าวบางแห่งรวมทั้งหนังสือพิมพ์แนวตื่นเต้นอังกฤษ Daily Mail และทีวีข่าวประจำชาติของรัสเซีย RT บวกกับบุคคลต่าง ๆ ได้ส่งต่อวิดีโอที่แสดงหญิงจีนกินค้างคาว แล้วบอกอย่างเป็นเท็จว่า ได้ถ่ายในอู่ฮั่นและเชื่อมมันกับโรคระบาด แต่วิดีโอนี้เป็นคลิปที่ไม่เกี่ยวกันของนักเดินทางแล้วบล็อกวิดีโอชาวจีนผู้หนึ่ง (Wang Mengyun) ที่ได้กินซุปค้างคาวในประเทศเกาะคือ ปาเลา ในปี 2016 เธอยังได้โพสต์คำขอโทษในแพลตฟอร์ม Weibo แล้วเล่าว่าเธอถูกทารุณกรรมและถูกขู่ทำร้าย และระบุว่าเธอเพียงแต่ต้องการโชว์อาหารปาเลา
การกระจายข้อมูลผิดเกี่ยวกับการกินคางค้าวจัดว่าเป็นความรู้สึกกลัวคนต่างชาติและเชื้อชาตินิยมโดยต่อต้านคนเอเชีย นี้เทียบกับความจริงที่นักวิทยาศาสตร์ได้แสดงแล้วว่า ไวรัสเกิดในค้างคาว แล้วกระจายไปยังสัตว์ถูกเบียนในระหว่างก่อนที่จะมาติดมนุษย์
การชุมนุมใหญ่
นักการเมืองประชานิยมแนวอนุรักษ์นิยมเกาหลีใต้ผู้หนึ่ง (Jun Kwang-hun) ได้บอกผู้คล้อยตามว่า ไม่มีความเสี่ยงในการชุมนุมขนาดใหญ่เพราะไม่สามารถติดไวรัสกลางแจ้ง โดยผู้ติดตามจำนวนมากก็เป็นผู้สูงวัย
ช่วงชีวิตของไวรัส
มีข้อมูลผิดที่กระจายไปว่า ไวรัสโควิด-19 มีช่วงชีวิตเพียง 12 ชม. และการอยู่บ้านเป็นเวลา 14 ชม. ในเคอร์ฟิวชานาตา (เคอร์ฟิวประชาชน) ของอินเดียก็จะทำลายโซ่การติดต่อ โดยอีกข้อความหนึ่งอ้างว่า การอยู่เคอร์ฟิวชานาตาจะลดกรณีโควิดได้ร้อยละ 40
ยุง
มีการอ้างว่า ยุงแพร่เชื้อไวรัสโคโรนา แต่ก็ไม่มีหลักฐานว่าจริง เพราะไวรัสโคโรนาแพร่เชื้อผ่านละอองน้ำลายและน้ำมูก
เรื่องต่าง ๆ
มีประกาศปลอมเรียกคืนสินค้าของบริษัทคอสต์โคที่กระจายไปยังสื่อสังคมและอ้างว่า กระดาษทิชชูยี่ห้อที่บริษัทเองจัดขายปนเปื้อนไวรัสโควิด-19 เพราะผลิตในจีน แต่ก็ไม่มีหลักฐานว่าไวรัสสามารถรอดชีวิตบนผิววัสดุเป็นระยะเวลานาน (เช่น เมื่อขนส่งสินค้า) และบริษัทก็ไม่ได้เรียกคืนสินค้านั้นจริง ๆ
มีประกาศปลอมที่อ้างว่ามาจากกระทรวงสุขภาพออสเตรเลียและระบุว่า ไวรัสโคโรนาสามารถกระจายไปตามปั๊มน้ำมัน ทุกคนจึงควรใส่ถุงมือเมื่อปั๊มน้ำมันใส่รถของตน ๆ
มีการอ้างว่า การใส่รองเท้าในบ้านเป็นเหตุผลให้ไวรัสโคโรนากระจายตัวในอิตาลี
ความปลอดภัยของเรือสำราญจากโรค
ในเดือนมีนาคม 2020 หนังสือพิมพ์ Miami New Times รายงานว่า ผู้จัดการเรือสำราญนอร์เวย์ได้เตรียมคำตอบเพื่อชวนลูกค้าที่ยังกังวลให้จองที่เรือสำราญ รวมทั้งข้ออ้างซึ่ง "เป็นเท็จอย่างทนโท่" ว่า ไวรัสโคโรนา "สามารถรอดชีวิตได้แต่ในอุณหภูมิต่ำ ดังนั้น ทะเลแคริบเบียนจึงเป็นการเลือกที่ดีมากเมื่อไปเที่ยวเรือสำราญครั้งหน้าของคุณ" ว่า "นักวิทยาศาสตร์และบุคลากรทางแพทย์ได้ยืนยันแล้วว่า อากาศอุ่นระดับฤดูใบไม้ผลิจะเป็นจุดยุติของไวรัสโคโรนา" และว่า "ไวรัสไม่สามารถรอดชีวิตในอุณหภูมิซึ่งอุ่นเป็นอย่างดี โดยเป็นอุณหภูมิเขตร้อนที่เรือสำราญของคุณจะแล่นไป"
หวัดเป็นโรคประจำฤดู (คือมีน้อยกว่าในช่วงฤดูร้อน) ในบางประเทศ แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด แม้โรคโควิด-19 อาจเป็นไปตามฤดูบ้าง แต่ก็ยังไม่ชัดเจน ไวรัสโควิด-19 กระจายไปตามเส้นเดินทางสายการบินรวมทั้งที่ต่าง ๆ ในเขตร้อน การระบาดของโรคในเรือสำราญเป็นเรื่องสามัญเพราะคนอายุมากกว่าอยู่ด้วยกันอย่างใกล้ชิดและจับพื้นผิวที่คนอื่นได้จับ
ดูเหมือนว่า โควิด-19 จะติดต่อได้ในทุกภูมิอากาศ เพราะมีผลหนักต่อประเทศเขตร้อนหลายประเทศ ยกตัวอย่างเช่น เมืองดูไบ ซึ่งมีอุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ย 28 องศาเซลเซียสตลอดปี และมีสนามบินที่อ้างว่ามีการขนส่งโดยสารนานาประเทศมากที่สุด มีการติดโรคเป็นพัน ๆ
การป้องกัน
ประสิทธิผลของน้ำยาทำความสะอาดมือ สบู่ต้านแบคทีเรีย
ข้ออ้างว่าน้ำยาทำความสะอาดมือฆ่าเพียงแบคทีเรียแต่ไม่ฆ่าไวรัส และดังนั้น จึงไม่มีผลต่อโควิด-19 ได้กระจายไปอย่างกว้างขวางในทวิตเตอร์และสื่อสังคมอื่น ๆ แม้ประสิทธิผลของมันจะขึ้นอยู่กับองค์ประกอบ แต่น้ำยาทำความสะอาดมือโดยมากก็ฆ่าไวรัสโควิด-19 ดังนั้น จึงแนะนำให้ใช้น้ำยาทำความสะอาดมือ แม้จะไม่เหมือนกับสบู่คือไม่ได้ผลสำหรับเชื้อโรคทุกอย่าง
ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐแนะนำให้ล้างมือด้วยสบู่และน้ำอย่างน้อย 20 วินาที โดยระบุว่าเป็นวิธีทำความสะอาดมือซึ่งดีที่สุดในสถานการณ์โดยมาก แต่ถ้าไม่มีสบู่และน้ำ น้ำยาทำความสะอาดมือที่มีแอลกอฮอล์อย่างน้อยร้อยละ 60 ก็ใช้แทนได้ ยกเว้นถ้ามองเห็นได้ว่ามือไม่สะอาดหรือมีคราบน้ำมัน ทั้งศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐและองค์การอาหารและยาสหรัฐต่างก็แนะนำสบู่ธรรมดา เพราะไม่มีหลักฐานว่า สบู่ต้านแบคทีเรียดีกว่า โดยยังมีหลักฐานที่จำกัดด้วยว่า อาจแย่กว่าในระยะยาว
การใช้หน้ากากในที่สาธารณะ
แม้เจ้าหน้าที่ของประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะในเอเชีย จะแนะนำให้ใส่หน้ากากในที่สาธารณะ แต่ในภูมิภาคอื่น ๆ รัฐบาลก็ให้คำแนะนำที่ขัดแย้งกันเองแล้วสร้างความสับสนแก่ประชาชน รัฐบาลและสถาบันต่าง ๆ เช่น ในสหรัฐ เบื้องต้นไม่สนใจให้สาธารณชนใช้หน้ากาก และมักให้ข้อมูลที่ทำให้เข้าใจผิดหรือไม่สมบูรณ์เกี่ยวกับประสิทธิผลของหน้ากาก แต่ก็มีผู้วิเคราะห์ซึ่งระบุเหตุการสื่อความต่อต้านหน้ากากเช่นนี้ว่า เป็นการบริหารการขาดแคลนของหน้ากาก เพราะรัฐบาลไม่ดำเนินการแก้ปัญหาเร็วพอ โดยให้ข้อสังเกตว่า ข้ออ้างเช่นนี้เกินวิทยาศาสตร์และไม่ใช่การโกหกธรรมดา ๆ
ในเดือนกุมภาพันธ์ 2020 หัวหน้าหน่วยงานทางสาธารณสุขสหรัฐ (U.S. Surgeon General) ผู้เป็นวิสัญญีแพทย์คนหนึ่งทวีตว่า "จริง ๆ นะพวกคุณ จงหยุดซื้อหน้ากาก เพราะมันไม่มีผลป้องกันสาธารณชนจากการติดไวรัสโคโรนา" แต่ภายหลังก็ถอยจากจุดยืนนี้เมื่อหลักฐานเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ว่าหน้ากากสามารถกำจัดการติดต่อของไวรัส อนึ่ง ในวันที่ 12 มิถุนายน 2020 สมาชิกของหน่วยงานเฉพาะกิจไวรัสโคโรนาของทำเนียบขาวคนดังคือ นพ. (วิทยาภูมิคุ้มกัน) Anthony Fauci ก็ยืนยันว่า คนอเมริกันถูกบอกให้ไม่ใส่หน้ากากตั้งแต่ต้นเพราะหน้ากากขาดแคลน แล้วอธิบายว่าหน้ากากจริง ๆ มีผล
สำนักข่าวบางแห่งอ้างว่า หลอดผ้าที่นำมาสวมคอให้อุ่น (neck gaiter) เมื่อเอามาใช้แทนหน้ากากเพื่อป้องกันโควิดความจริงแย่กว่าไม่ใส่มันเลย โดยตีความงานศึกษาหนึ่งผิด ๆ เพราะเป็นงานศึกษาที่แสดงวิธีการประเมินหน้ากาก และไม่ได้ประเมินประสิทธิภาพของหน้ากากในรูปแบบต่าง ๆ งานศึกษายังได้ตรวจดูคนใส่หลอดผ้าที่ว่าซึ่งทำมาจากผ้าผสมโพลีเอสเตอร์และสแปนเด็กซ์เพียงรายเดียว ซึ่งจริง ๆ ไม่พอเป็นหลักฐานสนับสนุนข้ออ้างที่สื่อข่าวว่า งานศึกษาพบว่าหลอดผ้าดังว่า ซึ่งทำมาจากวัสดุที่บางและยืดได้ ดูเหมือนจะไม่มีประสิทธิภาพจำกัดละอองน้ำที่คนใส่พ่นออก ผู้เขียนงานศึกษานี้คนหนึ่งกล่าวว่า ผลที่ได้น่าจะเป็นเพราะวัสดุและไม่ใช่เพราะรูปแบบของผ้า โดยระบุว่า "หน้ากากที่ทำจากผ้าเช่นนั้นน่าจะมีผลเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบใด" ผู้ร่วมเขียนงานศึกษานี้อีกคนหนึ่งกล่าวว่า พวกเขาพยายามใช้คำอย่างระมัดระวังแล้วในการสัมภาษณ์ แต่ข่าวนี้บิดเบือนอย่างควบคุมไม่ได้สำหรับงานศึกษาที่ตรวจสอบเทคนิคการวัด ไม่ใช่ทดสอบหน้ากาก
ยังมีข้ออ้างผิด ๆ ที่กระจายไปว่า การใช้หน้ากากมีผลเสียต่อสุขภาพ เช่น ลดออกซิเจนในเลือด เพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือด และทำภูมิคุ้มกันให้อ่อนแอ มีข้ออ้างผิด ๆ ด้วยว่า หน้ากากก่อปอดบวมที่ดื้อยาปฏิชีวนะเพราะหน้ากากกันไม่ให้พ่นจุลชีพก่อโรคออกจากร่างกาย
คนต่อต้านไม่ใส่หน้ากากยังใช้ข้ออ้างกำมะลอทางกฎหมายหรือทางสุขภาพเมื่อไม่ยอมใส่หน้ากาก เช่นอ้างว่ากฎหมายต่อต้านการเลือกปฏิบัติกับคนพิการ (Americans with Disabilities Act) ยกเว้นตนให้ไม่ต้องใส่หน้ากาก แต่กระทรวงยุติธรรมสหรัฐต่อมาโต้ว่า กฎหมาย "ไม่ได้ยกเว้นคนพิการทุกอย่างจากการปฏิบัติตามข้อบังคับเพื่อความปลอดภัยที่เป็นธรรมและจำเป็นต่อการดำเนินการที่ปลอดภัย" กระทรวงยังประกาศเตือนเรื่องการใช้บัตรปลอมที่ "ยกเว้น" ผู้ถือให้ไม่ต้องใส่หน้ากาก โดยระบุว่าเป็นบัตรปลอมซึ่งกระทรวงไม่ได้ออกให้
ในวันที่ 31 กรกฎาคม 2020 ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์โรดรีโก ดูแตร์เต กล่าวว่า คนที่ไม่มีเครื่องมือทำความสะอาดอาจใช้แก๊สโซลีนเป็นน้ำยาฆ่าเชื้อหน้ากากของตน โดยกล่าวต่อไปว่า "สำหรับคนที่ไม่มีไลซอล ให้จุ่มมันในแก๊สโซลีนหรือน้ำมันดีเซล เพียงให้หาแก๊สโซลีนแล้วจุ่มมือ (ที่มีหน้ากาก) ลงในนั้น" โฆษกของเขาต่อมาจึงต้องออกมาแก้ความนี้
แอลกอฮอล์ (เอทานอลและเมทานอลที่เป็นพิษ)
ตรงข้ามกับที่รายงานในบางที่ การดื่มแอลกอฮอล์ไม่ได้ป้องกันโควิด-19 และสามารถเพิ่มความเสี่ยงทางสุขภาพทั้งระยะสั้นและยาว แอลกอฮอล์ที่ใช้ดื่มเป็นชนิดเอทานอล แอลกอฮอล์อื่น ๆ เช่น เมทานอล ซึ่งเป็นพิษอย่างรุนแรง อาจมีในเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ทำอย่างแย่มาก
อิหร่านมีรายงานเมทานอลเป็นพิษ ซึ่งเกิดจากความเชื่อผิด ๆ ว่าการดื่มแอลกอฮอล์จะรักษาหรือป้องกันไวรัสโคโรนา เพราะแอลกอฮอล์สำหรับดื่มผิดกฎหมายในอิหร่าน แอลกอฮอล์ที่ทำเองอาจมีเมทานอล ตามสื่อข่าวอิหร่านเดือนมีนาคม 2020 คนเกือบ 300 คนได้เสียชีวิตและเกินกว่าพันล้มป่วยเพราะเมทานอลเป็นพิษ แต่สำนักข่าวเอพีระบุว่ามีคนตาย 480 รายและมีคนป่วย 2,850 คน จำนวนคนตายเนื่องกับเมทานอลเป็นพิษในอิหร่านได้เพิ่มเป็นเกิน 700 คนในเดือนเมษายน เพราะสื่อสังคมอิหร่านกระจายเรื่องจากหนังสือพิมพ์ข่าวแนวตื่นเต้นอังกฤษว่า คนอังกฤษและอื่น ๆ หายจากไวรัสโคโรนาด้วยเหล้าวิสกี้ผสมน้ำผึ้ง ซึ่งเมื่อรวมข่าวนี้กับการใช้น้ำยาทำความสะอาดมือที่เป็นแอลกอฮอล์ (ปกติเป็นเมทานอล) จึงได้ก่อความเชื่อผิด ๆ ว่า การดื่มแอลกอฮอล์แบบเข้มข้นสูงสามารถฆ่าไวรัส
มีเหตุการณ์เช่นเดียวกันในตุรกี คือมีคนตุรกี 30 คนเสียชีวิตเพราะเมทานอลเป็นพิษอาศัยวิธีการรักษาไวรัสโคโรนาที่ผิด ๆ
ในประเทศเคนยา ผู้ว่าการเมืองไนโรบีถูกวิเคราะห์พิจารณาเพราะรวมขวดคอนญักเล็ก ๆ กับห่อของแจก โดยอ้างผิด ๆ ว่า แอลกอฮอล์เป็น "น้ำยาทำความสะอาดคอ" และว่า เพราะผลงานวิจัย จึงเชื่อว่า "แอลกอฮอล์มีบทบาทสำคัญในการฆ่าไวรัสโคโรนา"
ภูมิคุ้มกันของคนกินเจ
มีข้ออ้างออนไลน์ที่กระจายไปในอินเดียว่า คนกินเจมีภูมิคุ้มกันไม่ติดเชื้อไวรัสโครนา จนกระทั่งแฮชแท็ก #NoMeat_NoCoronaVirus กลายเป็นเทรนด์ในทวิตเตอร์ การกินเนื้อไม่มีผลต่อการติดโรคโควิด-19 รัฐมนตรีของอินเดีย (Fisheries, Dairying and Animal Husbandry) กล่าวว่า ข่าวลือนี้มีผลลบต่ออุตสาหกรรม เช่น ลดราคาของไก่จนเหลือแค่ 1/3
ศาสนาเป็นเครื่องป้องกัน
กลุ่มศาสนาต่าง ๆ อ้างการคุ้มกันโรคเนื่องกับศรัทธาของตน จนบางกลุ่มไม่ยอมระงับการชุมนุมทางศาสนาที่รวมคนเป็นจำนวนมาก ในอิสราเอล คนยิว Ultra-Orthodox ตอนแรกไม่ยอมปิดสุเหร่ายิวและโรงเรียนสอนศาสนา โดยไม่สนใจข้อจำกัดของรัฐบาลเพราะ "คัมภีร์โทราห์จะป้องกันและรักษา" ซึ่งทำให้เกิดอัตราการติดโรคเป็น 8 เท่าในบางกลุ่ม
กลุ่มเคลื่อนไหวสอนศาสนาอิสลาม Tablighi Jamaat ได้จัดการชุมนุมคนเป็นจำนวนมาก (Ijtema) ในประเทศมาเลเซีย อินเดีย และปากีสถานที่ผู้เข้าร่วมเชื่อว่าอัลลอฮ์จะป้องกันพวกเขา จึงเพิ่มการติดโควิด-19 เป็นจำนวนมากที่สุดในประเทศเหล่านั้นและอื่น ๆ ในนครโกม อิหร่าน หัวหน้าของสถานบูชา Fatima Masumeh Shrine สนับสนุนให้ผู้แสวงบุญมาเยี่ยมแม้จะมีผู้ร้องให้ปิด โดยอ้างว่า สถานบูชาเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์จึงย่อมคุ้มกันรักษา
ในเกาหลีใต้ โบสถ์ River of Grace Community Church ในจังหวัดคย็องกีได้แพร่ไวรัสหลังจากพ่นน้ำเกลือใส่ปากสมาชิกเพราะเชื่อว่าจะฆ่าไวรัส ส่วนผู้นำของโบสต์ Shincheonji Church of Jesus ในนครบาลแทกูอวดอ้างว่า ไม่มีศาสนิกชนของโบสถ์เลยที่ติดเชื้อในเดือนกุมภาพันธ์เทียบกับคนเป็นร้อย ๆ ผู้กำลังเสียชีวิตในอู่ฮั่น ต่อมาจึงก่อการติดโรคซึ่งกระจายไปมากที่สุดในประเทศ
ในประเทศแทนซาเนีย ประธานาธิบดีประเทศแทนที่จะห้ามการชุมนุมกันทางศาสนา กลับกระตุ้นให้ผู้มีศรัทธาไปยังโบสต์และมัสยิดโดยเชื่อว่าจะช่วยป้องกันพวกเขา เขากล่าวว่า ไวรัสโคโรนาเป็นซาตาน ดังนั้น "จึงไม่สามารถรอดชีวิตในพระกายของพระคริสต์ มันจะไหม้ไป" (โดยพระกายของพระคริสต์หมายถึงโบสถ์)
ในประเทศโซมาเลีย มีเทพนิยายที่กำลังกระจายไปและอ้างว่า คนมุสลิมมีภูมิคุ้มกันต่อไวรัส
แม้จะเกิดเหตุการณ์ระบาดทั่ว ในวันที่ 9 มีนาคม โบสถ์แห่งกรีซ (Church of Greece) ประกาศว่า พิธีมหาสนิทศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งผู้ที่ไปโบสถ์จะกินขนมปังชุบไวน์จากถ้วยเดียวกัน จะทำพิธีเช่นเดียวกันต่อไป สภาสงฆ์ของโบสถ์กล่าวว่า พิธี "ไม่อาจเป็นเหตุของการกระจายโรค" โดยมีผู้นำที่กล่าวว่า ไวน์ไม่มีโทษเพราะเป็นเลือดเนื้อของพระคริสต์ และว่า "คนที่ไปยังพิธีมหาสนิทศักดิ์สิทธิ์กำลังก้าวเข้าไปหาพระเจ้า ผู้มีอำนาจในการรักษา" ดังนั้น โบสถ์จึงปฏิเสธการจำกัดไม่ให้คนคริสต์เข้าพิธีนี้ ซึ่งมีคนหลายกลุ่มที่เห็นด้วยรวมทั้งผู้สอนศาสนา นักการเมือง และบุคลากรทางแพทย์ ส่วนสมาคมแพทย์โรงพยาบาลแห่งกรีซวิจารณ์บุคลากรแพทย์เหล่านั้นเพราะเอาความเชื่อขึ้นหน้าวิทยาศาสตร์ แต่ก็มีแพทย์กรีกผู้หนึ่งที่ตีพิมพ์งานทบทวนวรรณกรรมซึ่งอ้างว่า การแพร่โรคติดต่อในพิธีมหาสนิทศักดิ์สิทธิ์ไม่เคยเกิด แต่การมีข้อถกเถียงเช่นนี้ก็เท่ากับแบ่งพวกทางสังคม ทางการเมือง และผู้ชำนาญการทางแพทย์ของกรีซ
โคเคน
ยาเสพติดคือ โคเคน ไม่ได้ช่วยป้องกันโควิด-19 มีทวีตหลายบทความที่อ้างว่า การสูดโคเคนจะฆ่าเชื้อไวรัสโคโรนาในช่องจมูก โดยข้อความได้กระจายไปทั่วยุโรปและแอฟริกา กระทรวงสุขภาพฝรั่งเศสจึงได้ประกาศหักล้างข้ออ้างเท็จนี้ว่า "ไม่เลย โคเคนไม่ได้ป้องกันโควิด-19 มันเป็นยาเสพติดซึ่งก่อผลข้างเคียงที่รุนแรงและเป็นอันตรายต่อสุขภาพ" องค์การอนามัยโลกก็หักล้างข้ออ้างนี้ด้วย
การพ่นยาฆ่าเชื้อจากเฮลิคอปเตอร์
ในประเทศเอเชียบางประเทศ มีการอ้างว่า ควรจะอยู่บ้านในวันที่เฮลิคอปเตอร์พ่น "ยาฆ่าโควิด-19" เหนือบ้านและอาคาร ไม่เคยมีการพ่นยาเช่นนี้ ไม่มีแผนการ และจนถึงเดือนกรกฎาคม 2020 ก็ยังไม่มียาเพื่อใช้ในการนี้
แรงสั่น
ในอินเดีย สื่อได้หักล้างแนวคิดว่าแรงสั่นจากการตบมือในเคอร์ฟิวชานาตา (เคอร์ฟิวประชาชน) จะฆ่าไวรัส นักแสดงอมิตาภ พัจจันถูกตำหนิอย่างรุนแรงสำหรับทวีตของเขาบทความหนึ่ง ซึ่งอ้างว่าแรงสั่นจากการตบมือและการเป่าหอยสังค์โดยเป็นส่วนของเคอร์ฟิวชานาตาในวันอาทิตย์จะลดหรือทำลายฤทธิ์ของไวรัสโคโรนาเพราะมันเป็นคืนมืดที่สุดของเดือน (Amavasya)
อาหาร
ในอินเดีย ข่าวปลอมได้กระจายไปว่า องค์การอนามัยโลกเตือนไม่ให้กินกะหล่ำปลีเพื่อป้องกันการติดโรค ซึ่งจริง ๆ ไม่มีการเตือนเช่นนี้ ข้ออ้างว่า ผลอันเป็นพิษของต้น Datura (พืชประเภทลำโพงและมะเขือบ้า) สามารถช่วยป้องกันโควิด-19 ทำให้คน 11 คนต้องเข้า รพ. เพราะได้กินผลไม้ตามคำแนะนำของวิดีโอในติ๊กต็อกที่กระจายข้อมูลเท็จเกี่ยวกับวิธีป้องกันโควิด-19
ข้อมูลผิดเกี่ยวกับวัคซีน
บทบาทของเอ็มอาร์เอ็นเอ
การใช้วัคซีนเอ็มอาร์เอ็นเอป้องกันโควิด-19 ได้เป็นเรื่องสร้างข้อมูลเท็จที่กระจายไปตามสื่อสังคม โดยอ้างผิด ๆ ว่า วัคซีนอาร์เอ็นเอจะเปลี่ยนดีเอ็นเอของคนที่ได้รับ ใน รพ. รัฐวิสคอนซิน (สหรัฐ) เภสัชกรคนหนึ่งได้อ้างทฤษฎีสมคบคิดนี้ เมื่อจงใจเอาขวดวัคซีน 57 ขวดออกจากตู้แช่แข็งในเดือนธันวาคม 2020 แล้วต่อมาถูกดำเนินคดีด้วยข้อหาอาญาฐานก่ออันตรายอย่างสะเพร่าและก่อความเสียหายต่อทรัพย์สิน
ความเป็นหมัน
นักการเมืองและแพทย์ชาวเยอรมัน (Wolfgang Wodarg) บวกกับอดีตพนักงานบริษัทไฟเซอร์ (Michael Yeadon) ได้กระจายข่าวเท็จที่อ้างว่า วัคซีนโควิด-19 ทำหญิงให้เป็นหมัน แพทย์นักวิจารณ์กลุ่มคนต่อต้านวัคซีนคนหนึ่ง (David Gorski) เขียนว่า "ที่น่าเศร้าก็คือ คู่ที่ไร้ความคิดสร้างสรรค์นี้กำลังเติมเชื้อให้แก่ความกลัวที่มีอยู่แล้วว่า วัคซีนโควิด-19 ใหม่ ๆ จะทำให้หญิงเป็นหมัน และกำลังทำการเช่นนี้อาศัยเรื่องเหลวไหลที่คิดเอา"
วัคซีนโปลิโอเป็นพาหะของโควิด-19
สื่อสังคมในประเทศแคเมอรูนกระจายทฤษฎีสมคบคิดว่า วัคซีนโปลิโอมีโคโรนาไวรัส ทำให้การกำจัดโรคโปลิโอยุ่งยากขึ้นนอกเหนือไปจากปัญหาทางโลจิสติกส์และเงินทุนที่มีอยู่แล้วเนื่องกับการระบาดทั่ว
อัมพาตแบบเบลล์
มีการกระจ่ายข่าวเท็จไปทางสื่อสังคมว่าวัคซีนโควิด-19 tozinameran (ของบริษัทไฟเซอร์-ไบออนเทค) ก่ออัมพาตแบบเบลล์ แม้จะจริงว่าในช่วงการทดลอง อาสาสมัคร 4 คนใน 22,000 คนเกิดอัมพาตแบบเบลล์ แต่องค์การอาหารและยาสหรัฐก็ให้ข้อสังเกตว่า "ความถี่การเกิดอัมพาตแบบเบลล์ที่รายงานในกลุ่มได้วัคซีนสอดคล้องกับอัตราการเกิดโรคที่คาดหวังได้ในกลุ่มประชากรทั่วไป" คือวัคซีนไม่ได้ทำให้เกิดอัมพาตเพิ่มขึ้นจากที่มีอยู่ตามธรรมชาติอยู่แล้ว
การเพิ่มฤทธิ์ของไวรัสอาศัยสารภูมิต้านทาน
การเพิ่มฤทธิ์ของไวรัสอาศัยสารภูมิต้านทาน (Antibody-dependent enhancement ตัวย่อ ADE) เป็นปรากฏการณ์ที่สารภูมิต้านทานที่มีอยู่ทำให้ไวรัสสามารถติดเซลล์บางอย่างได้มากขึ้น แม้ ADE จะพบในการทดลองวัคซีนไวรัสโคโรนากับสัตว์ แต่จนถึงปลายเดือนธันวาคม 2020 ก็ยังไม่พบในการทดลองกับมนุษย์ แต่นักต่อต้านวัคซีนก็อ้าง ADE อย่างผิด ๆ ว่าเป็นเหตุผลควรให้เลี่ยงวัคซีนโควิด-19
การอ้างว่ามีวัคซีนก่อนจะมีจริง ๆ
มีโพสต์ทางสื่อสังคมหลายบทความที่สนับสนุนทฤษฎีสมคบคิดว่า ในระยะต้น ๆ ของการระบาดทั่ว ไวรัสนี้รู้จักกันอยู่แล้ว และวัคซีนต้านไวรัสก็มีแล้ว แต่เว็บไซต์เช็คความจริง PolitiFact และ FactCheck.org ระบุว่า ไม่มีวัคซีนโควิด-19 ในช่วงนั้น สิทธิบัตรลำดับยีนและวัคซีนที่อ้างกันต่าง ๆ ก็เป็นสิทธิบัตรเกี่ยวกับสายพันธุ์ไวรัสโคโรนาอื่น ๆ เช่น ซาร์สองค์การอนามัยโลกรายงานว่า จนถึงวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2020 แม้จะมีรายงานข่าวว่ากำลังค้นพบยาใหม่ ๆ แต่ก็ยังไม่มีการรักษาที่ได้ผล รวมทั้งยาปฏิชีวนะและสมุนไพร
ในเฟซบุ๊ก โพสต์หนึ่งที่กระจายไปทั่วในเดือนเมษายน 2020 อ้างว่า เด็กเซเนกัล 7 คนได้เสียชีวิตเพราะวัคซีนโควิด-19 แต่ก็ยังไม่มีวัคซีนเช่นนั้นที่อนุมัติให้ใช้ในมนุษย์ แม้จะมีบ้างที่กำลังทดลองทางคลินิกอยู่
มีชิ้นส่วนทารกแท้งในวัคซีน
ในเดือนพฤศจิกายน 2020 มีข้ออ้างที่กระจายไปในเว็บว่า วัคซีนโควิด-19 AZD1222 ของมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดและบริษัทแอสตราเซเนกามีเนื้อเยื่อจากทารกในครรภ์ที่ถูกทำแท้ง แม้จะจริงว่าสายพันธุ์เซลล์ที่ใช้พัฒนาวัคซีนสืบสายมาจากเซลล์ของเด็กที่ถูกทำแท้งในปี 1970 แต่วัคซีนเองก็ไม่มีโมเลกุลเช่นนี้อยู่เลย
ข้อมูลการรักษาผิด ๆ
มีโพสต์ในสื่อสังคมมากมายที่กระจายไปทั่วเกี่ยวกับวิธีการป้องกันรักษาโคโรนาไวรัสที่ไม่มีมูลฐานความจริง บางอย่างเป็นเล่ห์โกง บางอย่างเป็นอันตรายและไม่ถูกสุขภาพ
โรงพยาบาล
ในสหรัฐ คนอนุรักษ์นิยมคนดังต่าง ๆ ในสหรัฐ (เช่น Richard Epstein) ระบุว่าการระบาดทั่วไม่ได้แพร่หลายขนาดนั้นจริง ๆ เป็นการกล่าวเกินจริงเพื่อโจมตีประธานาธิบดีสหรัฐดอนัลด์ ทรัมป์ โดยมีบางคนผู้ชี้ที่จอดรถของ รพ. ที่ว่าง ๆ ว่าเป็นหลักฐานแสดงว่าการติดโรคเป็นเรื่องเกินจริง ถึงที่จอดรถจะว่างก็จริง แต่ รพ. ในทั้งนครนิวยอร์กและเมืองอื่น ๆ มีคนเป็นพัน ๆ ต้องเข้า รพ.
สมุนไพร
ในจีน สื่อระดับชาติและที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นเจ้าของต่าง ๆ ได้โฆษณาอย่างหนักในเรื่อง "งานวิจัยข้ามคืน" ของสถาบันไวรัสวิทยาอู่ฮั่นและของวิทยาศาสตร์บัณฑิตยสถานแห่งจีนเกี่ยวกับสูตรยาสมุนไพรจีน (shuanghuanglian) จนทำให้เกิดการกวาดซื้อยาประเภทนี้
ส่วนประธานาธิบดีของประเทศมาดากัสการ์ แอนดรี ราโจเอลินา เริ่มผลิตและโฆษณาเครื่องดื่มสมุนไพรจากพืชสกุล Artemisia โดยอ้างว่าเป็นยามหัศจรรย์ที่สามารถรักษาและป้องกันโรคโควิด-19 แม้จะไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ใด ๆ เลย แล้วยังส่งออกไปยังประเทศแอฟริกาหลายประเทศด้วย
วิตามิน
ในช่วงการระบาดทั่วของโควิด-19 ผู้ขายวิตามินซีได้รับจดหมายเตือนจากองค์การอาหารและยาสหรัฐมากกว่าผู้ขายยากลางบ้านประเภทอื่น ๆ
มีข้ออ้างในสื่อสังคมประเทศไทยว่า อาหารเสริมคือวิตามินดีสามารถช่วงป้องกันโคโรนาไวรัส จริง ๆ แล้ว แม้ศูนย์เวชปฏิบัติอิงหลักฐานที่มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดจะให้ข้อสังเกตว่า "คำแนะนำในปัจจุบันก็คือประชากรทั้งหมดของสหราชอาณาจักรควรกินอาหารเสริมคือวิตามินดีเพื่อป้องกันการขาดวิตามินดี" แต่ก็ "ไม่พบหลักฐานทางคลินิกใด ๆ ว่า อาหารเสริมคือวิตามินดีมีประโยชน์ป้องกันหรือรักษาโควิด-19" ถึงกระนั้น การขาดวิตามินดีก็อาจเพิ่มความเสี่ยงการติดโรคโควิด และเพิ่มความรุนแรงของโรค
การรักษาหวัดและไข้หวัดใหญ่
มีการอ้างว่าตำราอินเดียอายุ 30 ปีระบุแอสไพริน สารต้านฮิสตามีน และยาพ่นจมูกเป็นวิธีการรักษาโควิด-19 แต่ตำราจริง ๆ พูดถึงวงศ์ไวรัสโคโรนาแบบรวม ๆ
มีข่าวลือที่กระจายไปตามสื่อสังคมคือซินล่างเวย์ปั๋ว เฟซบุ๊ก และทวิตเตอร์ที่อ้างว่า ผู้เชี่ยวชาญจีนกล่าวว่า น้ำเกลือสามารถใช้ฆ่าไวรัสโคโรนาได้ แต่ก็ไม่มีหลักฐานว่าน้ำเกลือมีผลเช่นนั้น
ทวีตจากรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขฝรั่งเศส (Olivier Véran) บวกกับประกาศจากกระทรวงสาธารณสุขฝรั่งเศสเอง และงานศึกษาเล็ก ๆ เชิงทฤษฎีในวารสารการแพทย์ The Lancet Respiratory Medicine ได้สร้างความวิตกว่ายาแก้อักเสบไอบิวพรอเฟนทำโรคโควิด-19 ให้แย่ลง ซึ่งกระจายไปอย่างกว้างขวางในสื่อสังคม แต่สำนักงานการแพทย์ยุโรป และองค์การอนามัยโลกก็แนะนำให้คนไข้โควิด-19 กินยาไอบิวพรอเฟนตามที่หมอสั่ง โดยระบุว่าไม่มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือว่ามีอันตราย
ผลิตภัณฑ์หรืออาหารสัตว์
นักปฏิบัติการทางการเมืองอินเดีย Swami Chakrapani และสมาชิกสภาของรัฐอัสสัม Suman Haripriya อ้างว่า การดื่มน้ำปัสสาวะของโคและการแปะอุจจาระโคที่ร่างกายสามารถรักษาโควิด-19 ส่วนหัวหน้านักวิทยาศาสตร์ขององค์การอนามัยโลกชาวอินเดีย Soumya Swaminathan ได้วิจารณ์นัการเมืองที่กระจายข่าวเท็จเช่นนี้โดยไม่มีมูลฐานความจริง
ยาจีน
แนวทางการจัดการโควิดตั้งแต่ฉบับที่ 3 ของคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติจีนแนะนำให้ใช้ยาจีนเพื่อรักษาโรค ในอู่ฮั่น สำนักข่าว China Central Television รายงานว่า เจ้าหน้าที่ในพื้นที่ได้ผลักดันให้ใช้ยาจีนชุดหนึ่งสำหรับกรณีโควิดทุกกรณีตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์ โดยมีสูตรหนึ่งที่ได้โปรโหมตในระดับชาติ รพ. สนามในพื้นที่ก็มุ่งใช้ยาจีนอย่างโต้ง ๆ ตามสื่อของรัฐ จนถึงวันที่ 16 มีนาคม 2020 คนไข้ร้อย 91.9 ในมณฑลหูเป่ย์ได้ใช้ยาจีน โดยมากถึงอัตราร้อยละ 99 สำหรับคนไข้ใน รพ. ภาคสนาม และร้อยละ 94 ในเขตกักตัวขนาดใหญ่ ในเดือนมีนาคม หนังสือพิมพ์อังกฤษ The Daily Telegraph มีหน้าแทรกเป็นโฆษณาจากหนังสือพิมพ์จีน People's Daily ซึ่งระบุว่ายาจีน "ช่วยสู้กับโคโรนาไวรัส"
คลอโรควิน
มีการอ้างผิด ๆ ว่าได้ใช้ยาต้านมาลาเรียคือ คลอโรควิน เพื่อรักษาคนไข้กว่า 12,000 คนในไนจีเรีย
Ivermectin
ในเดือนธันวาคม 2020 หัวหน้าคณะวุฒิสภาสหรัฐด้านความปลอดภัยของประเทศรอน จอนห์สัน (วิสคอนซิน พรรคริพับลิกัน) ได้ใช้การประชุมพิจารณาของวุฒิสภาเพื่อโปรโมตทฤษฎีสุดโต่งเกี่ยวกับโควิด-19 โดยมีพยานต่าง ๆ รวมทั้งหมอปอดและเวชบำบัดวิกฤติผู้กล่าวผิด ๆ ถึงยารักษาปรสิต ivermectin ว่าเป็นยามหัศจรรย์เพื่อใช้สู้กับโควิด-19 คลิปวิดีโอเรื่องสิ่งที่เขากล่าวได้กระจายออกไปอย่างรวดเร็วในสื่อสังคม โดยมีคนดูเกินกว่าล้าน
แพทย์วิมตินิยมท่านหนึ่งได้เขียนว่า การระบุยา ivermectin ว่าเป็น "การรักษามหัศจรรย์" สำหรับโควิด-19 เป็นเนื้อร้ายที่กระจายออกของทฤษฎีสมคบคิดเกี่ยวกับยาไฮดรอกซิคลอโรควิน โดยทฤษฎีระบุว่ามีผู้มีอำนาจนิรนามที่พยายามกดข่าวเกี่ยวกับประสิทธิผลของยาเพื่อประโยชน์ชั่วของตนเอง
การรักษาที่เป็นอันตราย
นักทฤษฎีสมคบคิดกลุ่ม QAnon บางคนโปรโหมตการบ้วนปากด้วย "Miracle Mineral Supplement" (อาหารเสริมที่เป็นเกลือแร่อัศจรรย์) เพื่อป้องกันหรือรักษาโรคโควิด จริง ๆ นี่เป็นคลอรีนไดออกไซด์ซึ่งเป็นสารเคมีที่ใช้ในการอุตสาหกรรมเช่นน้ำยาฟอกขาวเป็นต้น และอาจก่อปฏิกิริยาที่เป็นอันตรายถึงชีวิต องค์การอาหารและยาสหรัฐได้เตือนหลายครั้งว่าการดื่มยาที่ว่านี้เป็น "อันตราย" ซึ่งอาจทำให้ "อาเจียนอย่างรุนแรง" และ "ตับวายอย่างฉับพลัน"
การรักษาที่ไม่ได้ตรวจ
ในเดือนกุมภาพันธ์ 2020 นักเทศน์คริสเตียนทางโทรทัศน์ Jim Bakker ได้โปรโหมตสารละลายทำด้วยเงินที่เขาขายทางเว็บไซต์ว่าเป็นยารักษาโควิด-19 ต่อมาหมอรักษาแนวธรรมชาติคนหนึ่งได้มาให้สัมภาษณ์ในรายการของเขาว่า ยานี้ "ยังไม่ได้ทดสอบกับสายพันธุ์โคโรนาไวรัสนี้ แต่ได้ทดสอบกับสายพันธุ์โคโรนาไวรัสอื่น ๆ แล้ว และสามารถกำจัดไวรัสได้ภายใน 12 ชม." ต่อมา ทั้งองค์การอาหารและยาสหรัฐและอัยการรัฐนิวยอร์กก็ได้สั่งเขาให้หยุดระงับทำการ แล้วหลังจากนั้น รัฐมิสซูรีจึงฟ้องคดีเขาเกี่ยวกับการขายยา
อัยการรัฐนิวยอร์กยังได้ออกคำสั่งให้ระงับทำการแก่ผู้ดำเนินการวิทยุอนุรักษนิยมขวาจัด Alex Jones ผู้ขายยาสีฟันมีส่วนผสมเป็นเงินที่เขาอ้างอย่างเป็นเท็จว่า สามารถฆ่าไวรัสโดยเป็นผลิตภัณฑ์ที่เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลกลางได้ตรวจยืนยันแล้ว
ในอินเดีย มีข้อมูลผิด ๆ ที่กระจายไปตามสื่อสังคมว่า รัฐบาลพ่นยาต่อต้านโคโรนาในช่วงเคอร์ฟิวชานาตา ซึ่งเป็นเคอร์ฟิวบังคับให้อยู่บ้านในอินเดีย ส่วนครูโยคะ Ramdev อ้างว่า สามารถรักษาโคโรนาไวรัสโดยกรอกน้ำมันมัสตาร์ดในจมูก ซึ่งจะทำให้ไวรัสไหลเข้าไปในกระเพาะอาหารแล้วน้ำย่อยก็จะทำลายเชื้อ เขายังอ้างอีกด้วยว่าถ้ากลั้นหายใจได้หนึ่งนาที นี่หมายความว่าบุคคลไม่ได้ติดเชื้อโคโรนาไวรัส ไม่ว่าจะแบบมีอาการหรือไม่มี แต่ข้ออ้างทั้งสองก็ระบุว่าเท็จแล้ว
หลังจากการเกิดเค้สโควิดเป็นเค้สแรกในไนจีเรียวันที่ 28 กุมภาพันธ์ วิธีการรักษาที่ไม่ได้ทดสอบก็เริ่มกระจายไปทางแพลตฟอร์มสื่อสังคมรวมทั้งวอตส์แอปป์
สำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐได้จับนักแสดงคนหนึ่งฐานขายยารักษาโควิด-19 ปลอม
การรักษาทางจิตวิญญาณ
นักเทศน์คริสเตียนทางโทรทัศน์อเมริกันอีกผู้หนึ่ง (Kenneth Copeland) ได้อ้างทางโปรแกรม "Standing Against Coronavirus" (ยืนหยัดกับโคโรนาไวรัส) ว่า เขาสามารถรักษาผู้ชมรายการให้หายจากโควิด-19 ผ่านทีวีโดยตรง คือผู้ชมเพียงแต่แตะจอโทรทัศน์เพื่อรับการรักษาทางจิตวิญญาณ
อื่น ๆ
ชื่อโรค
โพสต์ในสื่อสังคมและอินเทอร์เน็ตมีมได้อ้างว่า คำอักษรละตินว่า COVID-19 มาจากวลีภาษาอังกษว่า "Chinese Originated Viral Infectious Disease 19" (โรคติดต่อทางไวรัสซึ่งเกิดจากจีนที่ 19) หรืออะไรที่คล้าย ๆ กัน โดยหมายถึง "ไวรัสชนิดที่ 19 ซึ่งมาจากจีน" แต่จริง ๆ องค์การอนามัยโลกได้ตั้งชื่อโรคโดยย่อคำดังต่อไปนี้ คือ CO ย่อมาจาก corona, VI ย่อมาจาก virus, D ย่อมาจาก disease และ 19 ระบุปีที่โรคเริ่มระบาด (31 ธ.ค. 2019)
รายการการ์ตูนเดอะซิมป์สันส์ได้พยากรณ์โรคไว้แล้ว
โพสต์ว่า รายการการ์ตูนเดอะซิมป์สันส์ได้พยากรณ์การระบาดทั่วของโควิด-19 ในปี 1993 โดยประกอบกับรูปที่แค็ปจากรายการ (โดยมีคำว่า "Corona Virus" ปิดทับคำเดิมว่า "Apocalypse Meow") แม้ต่อมาจะพบว่าเท็จ แต่เนื้อความของโพสต์ก็กระจายไปอย่างกว้างขวางในสื่อสังคมแล้ว
ธนบัตร 20 ปอนด์ของสหราชอาณาจักร
ทวีตหนึ่งได้เริ่มอินเทอร์เน็ตมีมว่า ธนบัตร 20 ปอนด์ของสหราชอาณาจักรมีรูปเสาส่งสัญญาณของเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ 5 จี และไวรัสโควิด-19 ต่อมาเฟซบุ๊กและยูทูบจึงได้ลบบทความที่สร้างกระแสนี้ และองค์กรเช็คความจริงต่าง ๆ ก็ได้ระบุว่า เป็นรูปประภาคารมาร์เกต (Margate Lighthouse) และสิ่งที่ระบุว่า "ไวรัส" ก็คือขั้นบันไดที่พิพิธภัณฑ์ศิลป์เทตบริเตน
การโจมตีเรือโรงพยาบาล
รัฐบาลกลางสหรัฐได้ส่งเรือโรงพยาบาล USNS Mercy (T-AH-19) ไปที่ ท่าเรือลอสแอนเจลิสเพื่อเป็น รพ. สำรองสำหรับภูมิภาค ต่อมาวันที่ 31 มีนาคม 2020 พนักงานขับรถไฟได้ตั้งใจทำให้รถไฟขนส่งสินค้าตกรางเพื่อเข้าชนเรือ รพ. แต่ก็ไม่สำเร็จโดยไม่มีผู้บาดเจ็บอะไร ๆ ตามอัยการของรัฐบาลกลาง พนักงานสงสัยว่าเรือจริง ๆ มีจุดมุ่งหมายอย่างอื่นเกี่ยวกับโควิด-19 หรือเป็นการเข้ายึดเมืองของรัฐบาล
การกลับคืนของสัตว์ป่า
ในช่วงการระบาดทั่ว มีรูปปลอมหรือทำให้เข้าใจผิด หรือรายงานข่าวเกี่ยวกับผลทางสิ่งแวดล้อมของโรค ที่ได้แชร์ไปตามแหล่งข่าวคลิกเบตและสื่อสังคม โพสต์ที่มาจากซินล่างเวย์ปั๋วและกระจายไปทางทวิตเตอร์อ้างว่า มีโขลงช้างที่ลงไปยังหมู่บ้านที่เป็นเขตกักตัวในมณฑลยูนนานของประเทศจีน กินไวน์ข้าวโพดจนเมา แล้วไปสลบไสลอยู่ที่สวนน้ำชา ส่วนรายงานข่าวในจีนเองหักล้างข้ออ้างว่าช้างกินไวน์จนเมาโดยให้ข้อสังเกตว่า ช้างป่าเป็นเรื่องสามัญในหมู่บ้านนั้น และภาพที่ส่งต่อดั้งเดิมถ่ายมาจากศูนย์วิจัยช้างเอเชียแห่งยูนนานในเดือนธันวาคม 2019
หลังจากมีรายงานว่าภาวะมลพิษได้ลดลงในอิตาลีเพราะการล็อกดาวน์ ก็เกิดภาพที่ระบุอย่างไม่จริงว่า เป็นภาพหงส์และโลมาว่ายน้ำอยู่ในคลองเมืองเวนิส แล้วภาพต่อมาก็กระจายไปตามสื่อสังคม ในที่สุดก็พบว่าภาพหงส์ถ่ายที่เกาะ Burano (อิตาลี) ซึ่งพบหงส์อย่างสามัญ ส่วนคลิปโลมาถ่ายที่ท่าเรือในแคว้นซาร์ดิเนียซึ่งห่างกันเป็นร้อย ๆ กิโลเมตร และสำนักงานนายกเทศมตรีเวนิสก็อธิบายว่า น้ำคลองใสเพราะไม่มีเรือแล่นกวนตะกอนให้ลอยขึ้นมา ไม่ใช่เพราะมลภาวะได้ลดลงดังที่กล่าว
หลังจากการล็อกดาวน์ในอินเดีย มีคลิปวิดีโอที่ระบุอย่างไม่จริงว่ามีชะมดพันธุ์ Viverra civettina (Malabar large-spotted civet) ที่อาจสูญพันธุ์ไปแล้ว และจัดว่าเสี่ยงอย่างวิกฤติต่อการสูญพันธุ์ กำลังเดินทอดน่องอยู่ในถนนของเมือง Meppayur (ประชากรประมาณ 27,000 คน) รัฐเกรละ โดยคลิปได้กระจายไปทั่วสื่อสังคม ต่อมาผู้เชี่ยวชาญจึงระบุว่า ชะมดในคลิปเป็นชะมดเช็ดที่สามัญ มีคลิปวิดีโออีกคลิปที่ระบุอย่างเป็นเท็จว่ามีวาฬหลังค่อมที่ได้กลับคืนสู่ทะเลอาหรับโดยถ่ายจากฝั่งของเมืองมุมไบ (อินเดีย) หลังจากปิดเส้นทางเดินเรือ ต่อมาจึงพบว่า วิดีโอนี้ถ่ายในปี 2019 แถบทะเลชวา (อินโดนีเซีย)
ไวรัสโควิดจะอยู่ในกายตลอดไป
มีการอ้างผิด ๆ ว่า คนที่ติดโควิด-19 จะมีไวรัสในกายตลอดชีวิต จริง ๆ แม้จะยังไม่มีวิธีรักษา แต่คนที่ติดเชื้อโดยมากก็ฟื้นตัวจากโรคแล้วกำจัดไวรัสออกจากร่างกาย
ความพยายามสู้กับข่าวเท็จ
ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2020 องค์การอนามัยโลกได้ระบุถึงการระบาดทั่วของข้อมูลเท็จ (massive infodemic) โดยกล่าวถึงข้อมูลเกี่ยวกับไวรัสมากมายที่รายงานแต่เป็นเท็จ จึงทำให้ยากในการได้แหล่งข้อมูลและข้อปฏิบัติที่เชื่อถือได้เมื่อจำเป็น องค์การระบุว่า เพราะมีความต้องการข้อมูลที่ทันการและเชื่อถือได้ จึงได้สร้างหน่วยกำจัดเรื่องโกหกซึ่งมีทีมตรวจตราแล้วตอบสนองต่อข้อมูลผิด ๆ ผ่านเว็บไซต์และหน้าสื่อสังคมขององค์การ องค์การอนามัยโลกได้หักล้างข้ออ้างหลายอย่างโดยเฉพาะ ๆ ว่าเป็นเท็จ รวมทั้งข้ออ้างว่า สามารถบอกได้ว่าติดไวรัสหรือไม่โดยเพียงแค่กลั้นลมหายใจ ว่าการดื่มน้ำมาก ๆ จะป้องกันไวรัส และว่าการกลั้วคอด้วยน้ำเกลือป้องกันการติดเชื้อ
สื่อสังคม
ในต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2020 เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ และกูเกิลประกาศว่าบริษัทจะทำงานร่วมกับองค์การอนามัยโลกเพื่อแก้ปัญหาข้อมูลผิด เฟซบุ๊กระบุในบล็อกว่า จะลบเนื้อความที่องค์การสุขภาพโลกและเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ต่าง ๆ ระบุว่า ผิดนโยบายเนื้อความเท็จที่เป็นอันตราย เฟซบุ๊กยังให้องค์การอนามัยโลกโฆษณาฟรีอีกด้วย ถึงกระนั้น หลังจากที่ประธานาธิบดีทรัมป์คาดว่า แสงอาทิตย์อาจฆ่าไวรัส หนังสือพิมพ์เดอะนิวยอร์กไทมส์ก็พบ "กลุ่มเฟซบุ๊ก 780 กลุ่ม หน้าเฟซบุ๊ก 290 หน้า บัญชีอินสตาแกรม 9 บัญชี และทวีตเป็นพัน ๆ ข้อความที่ส่งเสริมการบำบัดด้วยรังสีอัลตราไวโอเลต" โดยเป็นเนื้อความที่บริษัทเหล่านี้ไม่ยอมลบออกจากแพลตฟอร์มของตน ๆ ในวันที่ 11 สิงหาคม 2020 เฟซบุ๊กลบโพสต์ 7 ล้านข้อความที่มีข้อมูลเท็จเกี่ยวกับโควิด-19
ในปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2020 บริษัทแอมะซอนได้ลบสินค้าเกินกว่าล้านที่อ้างว่ารักษาหรือป้องกันโคโรนาไวรัส และลบสินค้าสุขภาพเป็นหมื่น ๆ ที่มีราคา "สูงกว่าที่ขายในหรือนอกแอมะซอนมาก" ถึงกระนั้น ตามบีบีซี ก็ยังมีสินค้ามากมายที่ "ยังขายในราคาสูงกว่าปกติ" ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์
มีตัวอย่างข้อมูลเท็จเกี่ยวกับโควิด-19 เป็นล้าน ๆ ในแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ นักวิจัยข่าวปลอมให้ข้อสังเกตว่า มีข่าวลือที่เริ่มในจีน แล้วต่อมากระจายไปยังเกาหลีใต้และสหรัฐ ทำให้มหาวิทยาลัยเกาหลีหลายแห่งได้เริ่มการรณรงค์ที่ทำในภาษาหลายภาษา คือ "Facts Before Rumors" (ความจริงแทนที่ข่าวลือ) เพื่อประเมินข้ออ้างสามัญ ๆ ที่พบออนไลน์
วิกิพีเดีย
สื่อได้ยกย่องความครอบคลุมข้อมูลโควิด-19 ของวิกิพีเดียและการสู้กับการใส่ข้อมูลเท็จในบทความอาศัยการรณรงค์ของ Wiki Project Med Foundation และของ WikiProject Medicine ในบรรดากลุ่มต่าง ๆ องค์การอนามัยโลกได้ร่วมงานกับวิกิพีเดียโดยอนุญาตให้ใช้กราฟและรายงานข้อมูลเกี่ยวกับโควิด-19 เพื่อช่วยสู้กับข้อมูลเท็จ โดยมีแผนจะใช้วิธีเช่นเดียวกันสำหรับโรคติดต่อต่าง ๆ ในอนาคต
หนังสือพิมพ์และวารสารวิชาการ
หนังสือพิมพ์ที่ต้องสมัครเป็นสมาชิกก่อนอ่าน (เพย์วอลล์) ก็ได้งดใช้เพย์วอลล์สำหรับข่าวเกี่ยวกับโควิด-19 บางส่วนหรือทั้งหมด สำนักพิมพ์งานศึกษาทางวิทยาศาสตร์จำนวนมากก็อนุญาตให้ใช้งานเป็นการเข้าถึงแบบเปิด (คือฟรี)
ชุมชนนักวิทยาศาสตร์ แม้จะตั้งใจพิมพ์งานวิชาการที่มีคุณภาพ ก็เริ่มมีปัญหาเพราะเกิดงานวิจัยคุณภาพต่ำหรือเป็นเท็จ ทำให้ต้องถอนงานหลายงานเกี่ยวกับโควิด-19 แล้วทำให้งานศึกษาทางวิทยาศาสตร์ที่สมเหตุผลและเชื่อถือได้น่าสงสัยไปด้วย บล็อก Retraction Watch มีฐานข้อมูลเกี่ยวกับบทความโควิด-19 ที่ถูกเพิกถอน
การตรวจพิจารณา
รัฐบาลจำนวนหนึ่งได้ทำการส่งข้อมูลเท็จเกี่ยวกับไวรัสให้ผิดกฎหมาย ซึ่งอาจรวมขนาดการแพร่ขยายการติดไวรัส ความไม่พร้อมรับมือกับไวรัส หรือวิธีการต่อสู้กับไวรัส
กระทรวงมหาดไทยตุรกีได้จับกุมผู้ใช้สื่อสังคมต่าง ๆ ที่ได้ "เล็งเป้าเจ้าหน้าที่และกระจายความตื่นตระหนกและความกลัวโดยระบุว่า ไวรัสได้กระจายไปอย่างกว้างขวางในตุรกีโดยเจ้าหน้าที่ไม่ได้ทำการอย่างสมควร" ส่วนกองทัพอิหร่านระบุว่า ได้จับกุมคน 3,600 คนเพราะ "กระจายข่าวลือ" เกี่ยวกับไวรัสโคโรนาในประเทศ ในกัมพูชา บุคคลที่แสดงความเป็นห่วงเกี่ยวกับการกระแพร่กระจายของโควิด-19 ได้ถูกจับในข้อหากระจายข่าวเท็จ รัฐสภาแอลจีเรียออกกฎหมายเกี่ยวกับการออกข่าวปลอมที่เป็นอันตรายต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนและความมั่นคงของชาติ
ในประเทศฟิลิปปินส์จีนอินเดียอียิปต์เอธิโอเปียบังกลาเทศโมร็อกโกปากีสถานซาอุดีอาระเบียโอมานอิหร่านเวียดนาม ลาวอินโดนีเซียมองโกเลียศรีลังกาเคนยา แอฟริกาใต้โกตดิวัวร์โซมาเลียมอริเชียสซิมบับเวไทยคาซัคสถานอาเซอร์ไบจานมอนเตเนโกรเซอร์เบียมาเลเซียสิงค์โปร์ และฮ่องกง มีคนถูกจับฐานกระจายข้อมูลเท็จเกี่ยวกับการระบาดทั่วของโควิด-19สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ได้ทำการกระจายข่าวปลอมและข่าวลือเกี่ยวกับการระบาดทั่วให้มีโทษทางอาญาพม่าได้ปิดไม่ให้ดูเว็บไซต์ข่าว 221 แห่ง รวมทั้งสำนักข่าวสำคัญหลายแห่ง
เล่ห์โกง
องค์การอนามัยโลกได้เตือนว่ามีอาชญากรที่หลอกว่าตนเป็นตัวแทนจากองค์การอนามัยโลกและต้องการข้อมูลส่วนตัวจากเหยื่อโดยทำผ่านอีเมลหรือโทรศัพท์ อนึ่ง คณะกรรมการสื่อสารกลางสหรัฐ (FCC) แนะนำไม่ให้ผู้บริโภคกดลิงก์ของอีเมลที่น่าสงสัย และไม่ให้ข้อมูลส่วนตัวทางอีเมล ทางข้อความ หรือทางโทรศัพท์ และคณะกรรมการการค้ากลางสหรัฐ (FTC) ยังเตือนว่ามีเล่ห์โกงทางสาธารณกุศลเกี่ยวกับการระบาดทั่ว จึงแนะนำไม่ให้ผู้บริโภคบริจาคทานโดยใช้เงิน บัตรของขวัญ หรือการโอนเงินทางบัญชี
บริษัทความมั่นคงไซเบอร์คือ Check Point ระบุว่า มีการโจมตีแบบฟิชชิงเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากเพื่อให้เหยื่อติดตั้งไวรัสคอมพิวเตอร์ โดยส่งเป็นอีเมลเกี่ยวกับไวรัสโคโรนาและมีไฟล์ติดมาด้วย และอาจใช้ชื่อโดเมนที่ทำให้เข้าใจผิดเช่น "cdc-gov.org" แทน "cdc.gov" (ของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐ) หรือแม้แต่ทำเว็บไซต์หลอกโดยเลียนแบบเว็บไซต์เดิม จนถึงเดือนมีนาคม 2020 มีชื่อโดเมนเกี่ยวกับไวรัสโคโรนาเกิน 4,000 ชื่อที่ได้ลงทะเบียน
เจ้าหน้าที่ตำรวจในรัฐนิวเจอร์ซีย์ (สหรัฐ) ได้รายงานถึงอาชญากรผู้เคาะประตูบ้านแล้วอ้างว่า มาจากศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคสหรัฐ แล้วพยายามขายผลิตภัณฑ์ที่มีราคาสูงหรือหลอกโกงเหยื่อโดยทำทีเหมือนจะให้ข้อมูลเพื่อป้องกันสาธารณชนจากไวรัสโคโรนา
มีลิงก์ที่ส่งไปตามอินเทอร์เน็ตโดยบอกว่าเป็นแผนที่ไวรัสโคโรนาของมหาวิทยาลัยจอนส์ฮอปกินส์ แต่ความจริงนำส่งไปยังเว็บไซต์หลอกที่กระจายมัลแวร์
ตั้งแต่รัฐบาลกลางสหรัฐได้ออกกฎหมายช่วยเหลือประชาชนเพราะการระบาดทั่ว อาชญากรได้หลอกลวงหาประโยชน์โดยบอกให้คนจ่ายเงินตนล่วงหน้าเพื่อรับเงินช่วยเหลือ ดังนั้น สำนักงานสรรพากรสหรัฐจึงแนะนำให้ผู้บริโภคใช้ลิงก์/เว็บไซต์ทางการของสำนักงานเท่านั้นเพื่อยื่นข้อมูล โดยไม่ให้ตอบทางข้อความ อีเมล หรือโทรศัพท์ จากนั้น บริษัทการเงินต่าง ๆ รวมทั้งธนาคาร บริษัทให้กู้ รวมทั้งบริษัทประกันสุขภาพ ก็ได้แนะนำเช่นเดียวกันในเว็บไซต์ของตน ๆ
ดูเพิ่ม
เชิงอรรถ
- ทฤษฎีสมคบคิดเป็นภาษาจีนหลายทฤษฎีมากจากช่วงที่โรคซาร์สระบาดและได้อ้างว่าซาร์สเป็นอาวุธชีวภาพ ทฤษฎีเช่นนี้ได้โผล่ขึ้นมาอีกในช่วงโควิด-19 ระบาดโดยรายละเอียดได้เปลี่ยนไป มีคนกล่าวว่า บริษัทบริการระบุลำดับจีโนมที่ตั้งในจีนคือ BGI Group ได้ขายข้อมูลทางพันธุกรรมของคนจีนไปให้สหรัฐ ซึ่งได้สร้างไวรัสอันตั้งเป้าที่จีโนมของชาวจีนโดยเฉพาะ ๆ ในวันที่ 26 มกราคม เว็บไซต์ที่คลั่งไคล้การทหารจีน Xilu ได้ตีพิมพ์บทความโดยอ้างว่า สหรัฐได้สร้างไวรัสลูกผสมเพื่อเล็งเป้าคนจีนให้ได้อย่างแม่นยำ ซึ่งต่อมาในเดือนกุมภาพันธุ์จึงถูกลบออก ต่อมาบทความนี้ถูกบิดเบือนไปอีกในสื่อสังคมไต้หวันซึ่งอ้างว่า "เว็บไซต์การทหารสุดยอดยอมรับว่า ไวรัสโคโรนาใหม่เป็นอาวุธชีวภาพที่จีนทำ" ศูนย์ตรวจความจริงในไต้หวันได้หักล้างทั้งบทความดั้งเดิมและบทความที่ต่อ ๆ มา โดยแสดงว่า บทความดั้งเดิมบิดเบือนข้อสรุปจากงานวิจัยที่สมเหตุผลในวารสารวิทยาศาสตร์จีน Science China Life Sciences ซึ่งไม่ได้กล่าวว่าไวรัสได้ผ่านพันธุวิศวกรรม แล้วอธิบายว่าความจริงเว็บไซต์ Xilu เป็นข่าวทหารแนวตื่นเต้น/ข่าวลือที่บริษัทเอกชนได้ตั้งขึ้น ไม่ได้มาจากกองทัพจีน บทความบางบทความในเว็บไซต์จีนยอดนิยมยังตั้งความสงสัยกับนักกีฬาทหารสหรัฐที่ร่วมงาน 2019 Military World Games (เกมโลกทหาร 2019) ซึ่งดำเนินไปจนถึงปลายเดือนตุลาคม 2019 ว่าเป็นผู้ปล่อยไวรัส พวกเขาอ้างว่า การไม่ค่อยใส่ใจและการแพ้อย่างผิดปกติของนักกีฬาสหรัฐในเกมแสดงว่า อาจไปที่นั่นโดยเหตุผลอื่นและจริง ๆ อาจเป็นผู้ทำการสงครามชีวภาพ โพสต์เช่นนี้ยังระบุว่า นักกีฬาได้อยู่ใกล้ ๆ กับตลาดขายส่งอาหารทะเล Huanan Seafood Wholesale Market ซึ่งเป็นแหล่งเกิดโรคแรกสุด ต่อมาในเดือนมีนาคม 2020 โฆษกของกระทรวงการต่างประเทศจีน Zhao Lijian ได้ยืนยันทฤษฎีสมคบนี้ ในวันที่ 13 รัฐบาลสหรัฐจึงเชิญให้เอกอัครราชทูตจีนในนครวอชิงตัน ดีซีไปคุยกันในเรื่องนี้ ในช่วงเดือนต่อมา นักทฤษฎีสมคบคิดได้เพ่งความสนใจไปที่ทหารบกกองหนุนสหรัฐคนหนึ่ง คือทหารหญิงที่แข่งกีฬาจักรยาน โดยอ้างว่าเธอเป็นคนไข้กรณีแรก (patient zero) ตามรายงานของสำนักข่าวซีเอ็นเอ็น ชายคนหนึ่งชื่อ George Webb เป็นผู้กระจายทฤษฎีนี้ เป็นบัญชียูทูบที่มีคนติดตามถึง 100,000 คน และสื่อพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน รวมทั้งหนังสือพิมพ์ Global Times ก็นำความเท็จนี้ไปขยายกระจายเพิ่มขึ้น
- ผู้ช่วยเลขาธิการกระทรวงต่างประเทศสหรัฐได้กล่าวว่า "เจตนาของรัสเซียก็เพื่อสร้างความไม่สามัคคี และตัดทอนสถาบันและพันธมิตรของสหรัฐโดยทำจากภายใน" และ "โดยกระจายข้อมูลเท็จเกี่ยวกับไวรัสโคโรนา กลุ่มคนที่มุ่งร้ายชาวรัสเซียก็กำลังเลือกคุกคามความปลอดภัยของมวลชนอีกครั้งหนึ่งโดยเบี่ยงเบนความสนใจไปจากการตอบสนองต่อโรคของโลก" แต่รัสเซียก็ปฏิเสธข้อหานี้โดยกล่าวว่า "นี่เป็นเรื่องเท็จอย่างจงใจ" ตามวารสารการต่างประเทศประจำสหรัฐฉบับหนึ่ง (The National Interest) แม้รัฐบาลรัสเซียโดยตรงจะไม่ได้ผลักดันทฤษฎีสมคบคิดว่า ไวรัสเป็นอาวุธชีวภาพของสหรัฐ แต่สื่อของรัสเซียอื่น ๆ ก็ไม่ได้ทำตามเช่นเดียวกัน สำนักข่าว Zvezda ที่ได้ทุนจากกระทรวงกลาโหมรัสเซียได้ตีพิมพ์บทความชื่อว่า "ไวรัสโคโรนา - สงครามชีวภาพอเมริกันต่อรัสเซียและจีน" โดยอ้างว่า ไวรัสมุ่งทำลายเศรษฐกิจจีน เพื่อทำให้อ่อนแอสำหรับการต่อรองทางการค้าครั้งต่อไป นักการเมืองชาตินิยมจัดและหัวหน้าพรรคการเมืองรัสเซียคนหนึ่ง (Vladimir Zhirinovsky) อ้างในรายการวิทยุมอสโกหนึ่งว่า ไวรัสเป็นการทดลองของเดอะเพนตากอนและบริษัทยา ส่วนนักการเมืองอีกคน (Igor Nikulin) ได้ออกรายการทางโทรทัศน์และสื่ออื่น ๆ และอ้างว่า อู่ฮั่นถูกเลือกโจมตีก็เพราะมีแล็บไวรัสที่มีความปลอดภัยทางชีวภาพระดับ 4 จึงสามารถใช้กลบเกลื่อนปฏิบัติการของเดอะเพนตากอนกับซีไอเอ โดยใช้กุว่าเป็นการทดลองทางชีวภาพของจีนที่หลุดออก เอกสารของสหภาพยุโรปหนึ่งอ้างว่า สื่อรัสเซียได้รณรงค์ถึง 80 ครั้งเพื่อกระจายข้อมูลเท็จเกี่ยวกับการระบาดทั่ว ตามหน่วยปฏิบัติการเฉพาะกิจทางการสื่อสารของสหภาพยุโรป คือ East StratCom Task Force สำนักข่าวสปุตนิกที่รัฐบาลรัสเซียให้งบประมาณสนับสนุนได้ตีพิมพ์เรื่องราวต่าง ๆ รวมทั้ง ว่าไวรัสอาจประดิษฐ์ขึ้นในประเทศลัตเวีย ว่าพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนใช้ไวรัสเพื่อจัดการการรประท้วงในฮ่องกง ว่าไวรัสได้ปล่อยอย่างตั้งใจเพื่อลดจำนวนคนชราในประเทศอิตาลี ว่าไวรัสมีเป้าที่กลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองคือ Yellow Vests และการคาดเดาอื่น ๆ อีกมากมาย สาขาของสำนักข่าวสปุตนิกในประเทศต่าง ๆ รวมทั้งอาร์มีเนีย เบลารุส สเปน และตะวันออกกลางก็สร้างเรื่องคล้ายกันเช่นนี้ด้วย
อ้างอิง
- Murphy, Hannah; Di Stefano, Mark; Manson, Katrina (2020-03-20). "Huge text message campaigns spread coronavirus fake news". Financial Times.CS1 maint: multiple names: authors list (link)
- ↑ Stolberg, Sheryl Gay; Weiland, Noah (2020-10-22). "Study Finds 'Single Largest Driver' of Coronavirus Misinformation: Trump" – โดยทาง NYTimes.com. (Study)
- Affairs, Office of Regulatory (2021-01-04). "Fraudulent Coronavirus Disease 2019 (COVID-19) Products". FDA (ภาษาอังกฤษ).
- Kowalczyk, Oliwia; Roszkowski, Krzysztof; Montane, Xavier; Pawliszak, Wojciech; Tylkowski, Bartosz; Bajek, Anna (2020-12-01). "Religion and Faith Perception in a Pandemic of COVID-19". Journal of Religion and Health (ภาษาอังกฤษ). 59 (6): 2671–2677. doi:10.1007/s10943-020-01088-3. ISSN 1573-6571. PMC 7549332. PMID 33044598.
- "COVID: Top 10 current conspiracy theories". Alliance for Science (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2021-01-05.
- Kassam, Natasha (2020-03-25). "Disinformation and coronavirus". The Interpreter. Lowy Institute.
- McNeil, Donald G. (2020-10-22). "Wikipedia and W.H.O. Join to Combat Covid-19 Misinformation". The New York Times. สืบค้นเมื่อ 2020-10-25.
- ↑ "China coronavirus: Misinformation spreads online about origin and scale". BBC News. 2020-01-30. จากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-02-04. สืบค้นเมื่อ 2020-02-10.
- Shmerling, Robert H. (2020-02-01). "Be careful where you get your news about coronavirus". Harvard Health Blog. สืบค้นเมื่อ 2020-03-25.
- Taylor, Josh (2020-01-31). "Bat soup, dodgy cures and 'diseasology': the spread of coronavirus misinformation". The Guardian. จากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-02-02. สืบค้นเมื่อ 2020-02-03.
- Majumder, Maimuna S; Mandl, Kenneth D (2020-03-24). "Early in the epidemic: impact of preprints on global discourse about COVID-19 transmissibility". The Lancet. 8 (5): e627–e630. doi:10.1016/S2214-109X(20)30113-3. PMC 7159059. PMID 32220289.
- Oransky, Ivan; Marcus, Adam (2020-02-03). "Quick retraction of a faulty coronavirus paper was a good moment for science". Stat. สืบค้นเมื่อ 2020-04-21.
- Rogers, Adam (2020-01-31). "Coronavirus Research Is Moving at Top Speed - With a Catch". Wired. ISSN 1059-1028. สืบค้นเมื่อ 2020-02-13.
- Besançon, Lonni; Peiffer-Smadja, Nathan; Segalas, Corentin; Jiang, Haiting; Masuzzo, Paola; Smout, Cooper; Deforet, Maxime; Leyrat, Clémence (2020), Open Science Saves Lives: Lessons from the COVID-19 Pandemic, doi:10.1101/2020.08.13.249847, S2CID 221141998
- Brennen, J. Scott; Simon, Felix; Howard, Philip N.; Nielsen, Rasmus Kleis (2020-04-07). "Types, sources, and claims of COVID-19 misinformation". Reuters Institute. สืบค้นเมื่อ 2020-04-21.
- Bursztyn, Leonardo; Rao, Aakaash; Roth, Christopher; Yanagizawa-Drott, David (2020-04-19). "Misinformation During a Pandemic". Becker Friedman Institute for Economics at the University of Chicago. สืบค้นเมื่อ 2020-04-21.
- Wilson, Jason. "Disinformation and blame: how America's far right is capitalizing on coronavirus". The Grenadian.
- "Analysis: Is China finding scapegoats in its coronavirus narrative?". BBC Monitoring.
- Broderick, Ryan (2020-04-22). "Scientists Haven't Found Proof The Coronavirus Escaped From A Lab in Wuhan. Trump Supporters Are Spreading The Rumor Anyway". Buzzfeed News.
- Rankin, Jennifer (2020-06-10). "EU says China behind 'huge wave' of Covid-19 disinformation". The Guardian.
- Galloway, Anthony (2020-06-16). "Foreign Minister Marise Payne hits out at Chinese, Russian 'disinformation'". The Sydney Morning Herald.
- "Iran-Linked Group Caught Spreading COVID-19 'Disinformation' On Facebook And Instagram". Forbes. 2020-04-15.
- Emmot, Robin (2020-03-18). "Russia deploying coronavirus disinformation to sow panic in West, EU document says". Reuters.
- Polidoro, Massimo (July–August 2020). "Stop the Epidemic of Lies! Thinking about COVID-19 Misinformation". Skeptical Inquirer. Vol. 44 no. 4. Amherst, New York: Center for Inquiry. pp. 15–16.CS1 maint: date format (link)
- ↑ Brewster, Jack. "A Timeline Of The COVID-19 Wuhan Lab Origin Theory". Forbes (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2021-01-11.
- Zoumpourlis, V; Goulielmaki, M; Rizos, E; Baliou, S; Spandidos, DA (October 2020). "The COVID‑19 pandemic as a scientific and social challenge in the 21st century". Molecular Medicine Reports (Review). 22 (4): 3035–3048. doi:10.3892/mmr.2020.11393. PMC 7453598. PMID 32945405.
- ↑ Yates, Karen; Pauls, Jeff. "Online claims that Chinese scientists stole coronavirus from Winnipeg lab have 'no factual basis'". Canadian Broadcasting Corporation. เกิดเหตุเมื่อ 2020-01-27. จากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-02-08. สืบค้นเมื่อ 2020-02-08.
- ↑ Broderick, Ryan (2020-01-31). "A Pro-Trump Blog Doxed A Chinese Scientist It Falsely Accused Of Creating The Coronavirus As A Bioweapon". BuzzFeed News. จากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-02-10. สืบค้นเมื่อ 2020-02-08.
- ↑ Pauls, Karen Pauls (2019-07-14). "Chinese researcher escorted from infectious disease lab amid RCMP investigation". Canadian Broadcasting Corporation. จากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-02-06. สืบค้นเมื่อ 2020-03-18.
- Yates, Karen; Pauls, Jeff. "Chinese scientists have stolen the coronavirus from the Winnipeg laboratory and the online rumors are'unfounded' Chinese translation: 中国科学家从温尼伯实验室中窃取 冠状病毒的网络传言'没有事实根据'". Canadian Broadcasting Corporation. เกิดเหตุเมื่อ 2020-01-27. จากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-02-01. สืบค้นเมื่อ 2020-02-08.
- Spencer, Saranac Hale (2020-01-28). "Coronavirus Wasn't Sent by 'Spy' From Canada". Factcheck.org. จากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-01-30. สืบค้นเมื่อ 2020-02-08.
- Shoham, Dany (2020-01-29). "China and Viruses: The Case of Dr. Xiangguo Qiu". Begin-Sadat Center for Strategic Studies.
- "China's rulers see the coronavirus as a chance to tighten their grip". The Economist. 2020-02-08. เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-02-29. สืบค้นเมื่อ 2020-02-29.
- Kao, Jeff; Li, Mia Shuang (2020-03-26). "How China Built a Twitter Propaganda Machine Then Let It Loose on Coronavirus". ProPublica. สืบค้นเมื่อ 2020-03-31.
- Dodds, Laurence (2020-04-05). "China floods Facebook with undeclared coronavirus propaganda ads blaming Trump". The Telegraph. ISSN 0307-1235. สืบค้นเมื่อ 2020-04-05.
- "Coronavirus rumors - and misinformation - swirl unchecked in China". NBC News. สืบค้นเมื่อ 2020-03-31.
- 中國家長指稱「武漢肺炎是美國投放病毒」 網友傻爆眼 [Chinese parents claim that "Wuhan pneumonia is a virus delivered by the United States" netizens are stupid] (ภาษาจีน). จากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-02-19.
- [Four key proteins of Wuhan virus have been replaced, which can accurately attack Chinese]. 西陆网 (ภาษาจีน). คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 2020-02-11. สืบค้นเมื่อ 2020-02-07.
- Riechmann, Deb (2020-03-12). "Trump officials emphasize that coronavirus 'Made in China'". Associated Press.
- ↑ "【錯誤】網傳「代表中國解放軍最高權力機構中央軍事委員會的網站『西陸戰略』發表一篇文章,改口承認(武漢)病毒是人工合成」?" [Misinformation alert, rumor that top PLA website Xilu admitted virus is bio-engineered]. Taiwan Fact Checking Organization (ภาษาจีน). 2020-02-13.
- 为什么武汉这场瘟疫,必须得靠解放军? [Why does Wuhan have to rely on the PLA?] (ภาษาจีน). 红歌会网. จากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-02-21. สืบค้นเมื่อ 2020-02-21.
- Cheng, Ching-Tse. "China's foreign ministry accuses US military of bringing virus to Wuhan". Taiwan News. สืบค้นเมื่อ 2020-03-13.
- Budryk, Zack (2020-03-12). "China, pushing conspiracy theory, accuses US Army of bringing coronavirus to Wuhan". The Hill. สืบค้นเมื่อ 2020-03-13.
- Tang, Didi. "China accuses US of bringing coronavirus to Wuhan". The Times. สืบค้นเมื่อ 2020-03-13.
- Westcott, Ben; Jiang, Steven (2020-03-14). "Chinese diplomat promotes coronavirus conspiracy theory". CNN. สืบค้นเมื่อ 2020-04-27.
- "US summons China's ambassador to Washington over coronavirus conspiracy theory". Al Arabiya English. 2020-03-14. จากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-03-16. สืบค้นเมื่อ 2020-03-14.
- O'Sullivan, Donie (2020-04-27). "Exclusive: She's been falsely accused of starting the pandemic. Her life has been turned upside down". CNN. สืบค้นเมื่อ 2020-04-27.
- Vallejo, Justin (2020-04-28). "'It's like waking up from a bad dream': Coronavirus 'patient zero' conspiracy target breaks silence". The Independent. สืบค้นเมื่อ 2021-01-11.
- ↑ Glenza, Jessica (2020-02-22). "Coronavirus: US says Russia behind disinformation campaign". The Guardian. จากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-02-25. สืบค้นเมื่อ 2020-02-25.
- "Coronavirus: Russia pushing fake news about US using outbreak to 'wage economic war' on China, officials say". South China Morning Post. Agence France-Presse. 2020-02-23. จากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-02-23. สืบค้นเมื่อ 2020-02-27.
- Ng, Kate (2020-02-23). "US accuses Russia of huge coronavirus disinformation campaign". The Independent. จากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-02-24. สืบค้นเมื่อ 2020-02-27.
- "Coronavirus: Russia denies spreading US conspiracy on social media". BBC. 2020-02-23. จากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-02-25. สืบค้นเมื่อ 2020-02-25.
- ↑ Episkopos, Mark (2020-02-07). "Some in Russia Think the Coronavirus Is a U.S. Biological Weapon". The National Interest. จากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-02-23. สืบค้นเมื่อ 2020-02-27.
- "Russia deploying coronavirus disinformation to sow panic in West, EU document says". Reuters. 2020-03-18. จากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-03-19.
- "'Russophobic': Kremlin Denies Evidence of Russian COVID-19 Disinformation Campaign". polygraph.info. 2020-03-19. สืบค้นเมื่อ 2020-03-31.
- "Sputnik: Coronavirus Could be Designed to Kill Elderly Italians". EU vs Disinformation. 2020-03-25. สืบค้นเมื่อ 2020-03-29.
- "Arab Writers: The Coronavirus Is Part Of Biological Warfare Waged By The U.S. Against China". Middle East Media Research Institute. 2020-02-06. จากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-02-09. สืบค้นเมื่อ 2020-02-29.
- "Iran Cleric Blames Trump For Coronavirus Outbreak in Religious City". Radio Farda. 2020-02-22. จากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-02-23. สืบค้นเมื่อ 2020-02-26.
- Fazeli, Yaghoub (2020-03-14). "Coronavirus: Iran's deputy health minister rejects biological warfare theory". Al Arabiya English. จากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-03-17.
- Frantzman, Seth (2020-03-08). "Iran's regime pushes antisemitic conspiracies about coronavirus". The Jerusalem Post. จากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-03-10. สืบค้นเมื่อ 2020-03-11.
- "Arab media accuse US, Israel of และ coronavirus conspiracy against China". The Jerusalem Post. 2020-02-09. จากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-03-01. สืบค้นเมื่อ 2020-03-11.
- Connelly, Irene. "Online anti-Semitism thrives around coronavirus, even on mainstream platforms". The Forward.
- Cortellessa, Eric (2020-03-14). "Conspiracy theory that Jews created virus spreads on social media, ADL says". The Times of Israel. จากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-03-14. สืบค้นเมื่อ 2020-03-14.
- Joffre, Tzvi (2020-03-16). "Iranian cleric denies approving use of coronavirus vaccine from Israel". The Jerusalem Post.
- "Would a Zionist coronavirus cure be Halal? Iranian cleric says yes". The Jerusalem Post. 2020-03-15.
- Edmunds, Donna Rachel (2020-03-18). "Coronavirus is a Zionist plot, say Turkish politicians, media, public". The Jerusalem Post.
- Margolin, Josh (2020-03-23). "White supremacists encouraging their members to spread coronavirus to cops, Jews, FBI says". ABC News. สืบค้นเมื่อ 2020-03-25.
- "Coronavirus: Extremist Anti-Israel Rhetoric". ADL. 2020-05-19. สืบค้นเมื่อ 2020-05-25.
- "Coronavirus: Antisemitism". ADL. 2020-04-22. สืบค้นเมื่อ 2020-05-25.
- "Coronavirus Crisis Elevates Antisemitic, Racist Tropes". ADL. 2020-03-17. สืบค้นเมื่อ 2020-05-25.
- Oster, Marcy (2020-02-07). "ADL: Coronavirus outbreak sparks antisemitic conspiracy theories". The Jerusalem Post. สืบค้นเมื่อ 2020-05-25.
- "ADL Calls for Platforms to Take Action to Address Hate Online During Pandemic". 2020-05-08. สืบค้นเมื่อ 2020-05-25.
- "India's Coronavirus Outbreak Stokes Islamophobia as Muslims blamed for spreading infection". Newsweek. 2020-04-03. สืบค้นเมื่อ 2020-04-06.
- Datta, Pinak Pani. "Coronavirus outbreak sparks racist attacks on people from North East, stokes Islamophobia on social media". Firstpost.
- Jha, Nishita (2020-04-03). "A Cluster Of Coronavirus Cases Can Be Traced Back to a Single Mosque And Now 200 Million Muslims Are Being Vilified". Buzzfeed News.
- Jha, Priyanka (2020-03-28). "No, foreign nationals from Italy, Iran weren't hiding in Patna mosque to avoid coronavirus testing". Firstpost.
- Parveen, Nazia (2020-04-05). "Police investigate UK far-right groups over anti-Muslim coronavirus claims". The Guardian.
- "Islamophobes React to Coronavirus Pandemic with Anti-Muslim Bigotry". 2020-04-30. สืบค้นเมื่อ 2020-05-25.
- Broderick, Ryan (2020-01-23). "QAnon Supporters And Anti-Vaxxers Are Spreading A Hoax That Bill Gates Created The Coronavirus". BuzzFeed News. จากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-01-30. สืบค้นเมื่อ 2020-02-08.
- Goodman, Jack (2020-06-19). "Bill Gates and the lab targeted by conspiracy theorists". BBC News (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2020-09-21.
- Gregory, Andy (2020-09-01). "You are dangerous': Piers Corbyn confronted on air by Dr Hilary after £10,000 fine for anti-lockdown protest". The Independent. สืบค้นเมื่อ 2020-12-15.
- Cellan-Jones, Rory (2020-02-26). "Coronavirus: Fake news is spreading fast". BBC. จากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-03-17. สืบค้นเมื่อ 2020-03-20.
- ↑ Wynne, Kelly (2020-03-19). "Youtube Video Suggests 5G Internet Causes Coronavirus and People Are Falling For It". Newsweek. สืบค้นเมื่อ 2020-03-20.
- ↑ Nicholson, Katie; Ho, Jason; Yates, Jeff (2020-03-23). "Viral video claiming 5G caused pandemic easily debunked". Canadian Broadcasting Corporation. จากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-03-26. สืบค้นเมื่อ 2020-03-26.
- Satariano, Adam; Alba, Davey (2020-04-10). "Burning Cell Towers, Out of Baseless Fear They Spread the Virus". The New York Times.
- Gallagher, Ryan (2020-04-09). "5G Virus Conspiracy Theory Fueled by Coordinated Effort". Bloomberg News. สืบค้นเมื่อ 2020-04-12.
- "False claim: 5G networks are making people sick, not Coronavirus". Reuters. 2020-03-17. จากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-03-20. สืบค้นเมื่อ 2020-03-20.
- O'Donnell, Bob (2020-03-21). "Here's why 5G and coronavirus are not connected". USA Today. จากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-03-21. สืบค้นเมื่อ 2020-03-22.
- Krishna, Rachael (2020-03-13). "These claims about the new coronavirus and 5G are unfounded". Full Fact. จากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-03-20. สืบค้นเมื่อ 2020-03-22.
- Finley, Taryn (2020-03-16). "No, Keri Hilson, 5G Did Not Cause Coronavirus". HuffPost. จากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-03-19. สืบค้นเมื่อ 2020-03-20.
- Large, Megan Lily (2020-04-08). "My Dad Got Hoaxed By the Anti-5G Conspiracy Movement". VICE. สืบค้นเมื่อ 2020-09-09.
- Ellis, Rosa; Kennedy, Dominic (2020-09-12). "Kate Shemirani: antivax leader is banned nurse who fears 5G network". The Times.
- ↑ "Myth busters". who.int. World Health Organization.
- "Coronavirus: 'Murder threats' to telecoms engineers over 5G". BBC News. 2020-04-23. สืบค้นเมื่อ 2020-04-23.
- ↑ Maguire, Stephen (2020-04-13). "Gardaí suspect fires at 5G masts were deliberate after coal found". TheJournal.ie. สืบค้นเมื่อ 2020-04-14.
- "5G coronavirus conspiracy theory is dangerous fake nonsense, UK says". Reuters Technology News. 2020-04-04.
- "Brand bij vier zendmasten: 'Heel sterk vermoeden van brandstichting'" [Fire at four transmission towers: 'Very strong suspicion of arson']. Nederlandse Omroep Stichting (ภาษาดัตช์). 2020-04-10. สืบค้นเมื่อ 2020-04-11.
- "Extra beveiliging bij zendmasten na brandstichting" [Extra security at cell towers after arson]. Nederlandse Omroep Stichting (ภาษาดัตช์). 2020-05-29. สืบค้นเมื่อ 2020-05-30.
- Fildes, Nic; Di Stefano, Mark; Murphy, Hannah (2020-04-16). "How a 5G coronavirus conspiracy spread across Europe". Financial Times. สืบค้นเมื่อ 2020-04-16.
- Allington, Daniel; Duffy, Bobby; Wessely, Simon; Dhavan, Nayana; Rubin, James (2020-06-09). "Health-protective behaviour, social media usage and conspiracy belief during the COVID-19 public health emergency". Psychological Medicine: 1–7. doi:10.1017/S003329172000224X. PMC 7298098. PMID 32513320. S2CID 219550692.
- Kelion, Leo (2020-04-07). "Coronavirus: YouTube tightens rules after David Icke 5G interview". BBC News. สืบค้นเมื่อ 2020-06-12.
- "YouTube Says It Will Remove 5G Misinformation After People Burn Cell Towers". extremetech.com - ExtremeTech.
- "Covid-related misinformation on YouTube: The spread of misinformation videos on social media and the effectiveness of platform policies". Computational Propaganda Project. Computational Propaganda Project. สืบค้นเมื่อ 2020-11-01.
- Aschwanden, Christie (2020-10-20). "Debunking the False Claim That COVID Death Counts Are Inflated". scientificamerican.com. Scientific American. จากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-10-28. สืบค้นเมื่อ 2020-10-31.
- Spencer, Saranac Hale (2020-09-01). "CDC Did Not 'Admit Only 6%' of Recorded Deaths from COVID-19". FactCheck.org (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2020-11-23.
- Kliff, Sarah (2020-07-13). "Bottleneck for U.S. Coronavirus Response: The Fax Machine Before public health officials can manage the pandemic, they must deal with a broken data system that sends incomplete results in formats they can't easily use". NYT. สืบค้นเมื่อ 2020-10-29.
- Vestal, Christie (2020-08-04). "Bad data is bogging down the COVID-19 fight; US 'needs to change,' experts say". USA Today. สืบค้นเมื่อ 2020-10-29.
- Piller, Charles (2020-07-16). "Data secrecy is crippling attempts to slow COVID-19's spread in U.S., epidemiologists warn". Science Magazine.
- Tahir, Darius (2020-05-28). "Bad state data hides coronavirus threat as Trump pushes reopening". msn.com.
- Everington, Keoni (2020-02-02). "Tencent may have accidentally leaked real data on Wuhan virus deaths". Taiwan News. เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-02-17. สืบค้นเมื่อ 2020-02-29.
- ↑ Hioe, Brian; Wooster, Lars (2020-02-12). "Taiwan News Publishes COVID-19 Misinformation as Epidemic Speads". New Bloom Magazine. จากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-02-29. สืบค้นเมื่อ 2020-02-29.
- Sharma, Ruchira (2020-02-11). "A massively shared story about the 'real' Coronavirus death toll is fake: Here's how we know". iNews. จากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-02-29. สืบค้นเมื่อ 2020-02-29.
- "These aren't satellite images and they don't show evidence of mass cremations in Wuhan". FullFact. 2020-02-13.
- Kasprak, Alex (2020-02-24). "Do Sulfur Emissions from Wuhan, China, Point to Mass Cremation of Coronavirus Victims?". Snopes.
- 武漢肺炎疫情謠言多 事實查核中心指3大共同點 [There are many rumors about the Wuhan pneumonia epidemic, the fact-checking center points to 3 common points] (ภาษาจีน). Central News Agency. 2020-02-26.
- "Virus Outbreak: Chinese trolls decried for fake news". Taipei Times. 2020-02-28. จากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-03-01. สืบค้นเมื่อ 2020-03-12.