ประเทศญี่ปุ่น
ประเทศญี่ปุ่น (ญี่ปุ่น: 日本; โรมาจิ: Nihon/Nippon; ทับศัพท์: นิฮง/นิปปง, ชื่ออย่างเป็นทางการ ญี่ปุ่น: 日本国; โรมาจิ: Nihon-koku/Nippon-koku; ทับศัพท์: นิฮงโกกุ/นิปปงโกกุ) เป็นรัฐเอกราชหมู่เกาะในเอเชียตะวันออก ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกนอกฝั่งตะวันออกของแผ่นดินใหญ่เอเชีย ทางตะวันตกติดกับคาบสมุทรเกาหลีและประเทศจีน โดยมีทะเลญี่ปุ่นกั้น ส่วนทางทิศเหนือติดกับประเทศรัสเซีย มีทะเลโอค็อตสค์เป็นเส้นแบ่งแดน
ประเทศญี่ปุ่น | |
---|---|
ดินแดนญี่ปุ่นอยู่ในสีเขียวเข้ม; ดินแดนที่อ้างสิทธิแต่ไม่ได้ควบคุมอยู่ในสีเขียวอ่อน | |
เมืองหลวง และเมืองใหญ่สุด | โตเกียว 35°41′N 139°46′E / 35.683°N 139.767°E |
ภาษาประจำชาติ | ญี่ปุ่น |
เดมะนิม | ชาวญี่ปุ่น |
การปกครอง | รัฐเดี่ยว ระบบรัฐสภา ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ |
จักรพรรดินารูฮิโตะ | |
ฟูมิโอะ คิชิดะ | |
สภานิติบัญญัติ | รัฐสภา |
• สภาสูง | ราชมนตรีสภา |
• สภาล่าง | สภาผู้แทนราษฎร |
ก่อตั้ง | |
11 กุมภาพันธ์ 660 ปีก่อนคริสต์ศักราช | |
29 พฤศจิกายน ค.ศ. 1890 | |
• รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน | 3 พฤษภาคม ค.ศ. 1947 |
พื้นที่ | |
• รวม | 377,975 ตารางกิโลเมตร (145,937 ตารางไมล์) (อันดับที่ 62) |
1.4 (ใน ค.ศ. 2015) | |
ประชากร | |
• 2021 ประมาณ | 125,360,000 (อันดับที่ 11) |
• สำมะโนประชากร 2020 | 126,226,568 |
334 ต่อตารางกิโลเมตร (865.1 ต่อตารางไมล์) (อันดับที่ 24) | |
จีดีพี (อำนาจซื้อ) | 2021 (ประมาณ) |
• รวม | 5.586 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (อันดับที่ 4) |
• ต่อหัว | 44,585 ดอลลาร์สหรัฐ (อันดับที่ 27) |
จีดีพี (ราคาตลาด) | 2021 (ประมาณ) |
• รวม | 5.378 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (อันดับที่ 3) |
• ต่อหัว | 42,928 ดอลลาร์สหรัฐ (อันดับที่ 23) |
จีนี (2018) | 33.4 ปานกลาง · อันดับที่ 78 |
เอชดีไอ (2019) | 0.919 สูงมาก · อันดับที่ 19 |
สกุลเงิน | เยน (¥) |
เขตเวลา | UTC+09:00 (เวลามาตรฐานญี่ปุ่น) |
ขับรถด้าน | ซ้าย |
รหัสโทรศัพท์ | +81 |
โดเมนบนสุด | .jp |
ญี่ปุ่น | |||||||
ชื่อภาษาญี่ปุ่น | |||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|
คันจิ | 日本国 | ||||||
คีวจิไต | 日本國 | ||||||
ฮิรางานะ | にっぽんこく にほんこく | ||||||
คาตากานะ | ニッポンコク ニホンコク | ||||||
|
ตัวอักษรคันจิของชื่อญี่ปุ่นแปลว่า "ถิ่นกำเนิดของดวงอาทิตย์" จึงมีชื่อเรียกว่า "ดินแดนแห่งอาทิตย์อุทัย" ประเทศญี่ปุ่นเป็นกลุ่มเกาะกรวยภูเขาไฟสลับชั้นซึ่งมีเกาะประมาณ 6,852 เกาะ ครอบคลุมพื้นที่ 377,975 ตารางกิโลเมตร ตั้งอยู่บริเวณวงแหวนไฟ เกาะที่ใหญ่สุดคือ เกาะฮนชู ฮกไกโด คีวชู และชิโกกุ ซึ่งคิดเป็นพื้นที่แผ่นดินประมาณร้อยละ 97 ของประเทศ และมักเรียกว่าเป็นหมู่เกาะเหย้า (home islands) ประเทศแบ่งเป็น 47 จังหวัดใน 8 ภูมิภาค โดยมีฮกไกโดเป็นจังหวัดเหนือสุด และโอกินาวะเป็นจังหวัดใต้สุด ญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในประเทศที่มีลักษณะเป็นสังคมเมืองมากที่สุด ด้วยประชากร 127 ล้านคน ถือเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับ 11 ของโลก ประมาณ 14 ล้านคนอาศัยอยู่ในกรุงโตเกียว เมืองหลวงของประเทศ และหากนับรวมในเขตมหานครโตเกียวทั้งหมดจะมีประชากรกว่า 38 ล้านคน ซึ่งเป็นมหานครที่มีประชากรมากที่สุดในโลก เมืองสำคัญอื่น ๆ ได้แก่ โยโกฮามะ, โอซากะ, นาโงยะ, ซัปโปโระ, ฟูกูโอกะ, โคเบะ และ เกียวโต
การวิจัยทางโบราณคดีระบุว่ามีมนุษย์อาศัยในญี่ปุ่นปัจจุบันครั้งแรกตั้งแต่ยุคหินเก่า การกล่าวถึงญี่ปุ่นเป็นลายลักษณ์อักษรครั้งแรกปรากฏในบันทึกของราชสำนักจีนตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 1 ญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลจากจีนในหลายด้าน เช่นภาษา การปกครองและวัฒนธรรม แต่ขณะเดียวกันก็มีการปรับเปลี่ยนให้เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง จึงทำให้ญี่ปุ่นมีวัฒนธรรมที่โดดเด่นมาจนปัจจุบัน อีกหลายศตวรรษต่อมา ญี่ปุ่นก็รับเอาเทคโนโลยีตะวันตกและนำมาพัฒนาประเทศจนกลายเป็นประเทศที่ก้าวหน้าและมีอิทธิพลมากที่สุดในเอเชียตะวันออก
ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 12 ถึง ค.ศ. 1868 ญี่ปุ่นถูกปกครองด้วยระบบทหารเจ้าขุนมูลนายโชกุนซึ่งปกครองในพระปรมาภิไธยจักรพรรดิ และการครอบงำของนักรบซะมุไร ประเทศเข้าสู่ระยะแยกอยู่โดดเดี่ยวอันยาวนานในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 ซึ่งยุติใน ค.ศ. 1853 เมื่อกองเรือสหรัฐบังคับให้ประเทศญี่ปุ่นเปิดต่อโลกตะวันตก หลังความขัดแย้งและการก่อการกำเริบภายในเกือบสองทศวรรษ ราชสำนักจักรวรรดิได้อำนาจทางการเมืองคืนใน ค.ศ. 1868 ผ่านการช่วยเหลือของหลายตระกูลจากโชชูและซัตสึมะ และมีการสถาปนาจักรวรรดิญี่ปุ่น ในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 และต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ชัยชนะในสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่หนึ่ง สงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่นและสงครามโลกครั้งที่หนึ่งทำให้ญี่ปุ่นขยายจักรวรรดิระหว่างสมัยแสนยานิยมเพิ่มขึ้น สงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่สองปี 2480 ขยายเป็นบางส่วนของสงครามโลกครั้งที่สองในปี 2484 ซึ่งญี่ปุ่นมีบทบาทสำคัญในฝ่ายอักษะ ก่อนจะยุติในปี 2488 โดยความพ่ายแพ้ในสงครามแปซิฟิกและการทิ้งระเบิดปรมาณูของฝ่ายสัมพันธมิตรนำไปสู่การยอมจำนนของญี่ปุ่น และตกอยู่ภายใต้การยึดครองเป็นเวลา 7 ปี และมีการตรารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ในวันที่ 3 พฤษภาคม 2490 ซึ่งนำไปสู่เงื่อนไขการธำรงระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาและราชาธิปไตยภายใต้รัฐรรมนูญ โดยมีจักรพรรดิเป็นประมุขแห่งรัฐและสภานิติบัญญัติจากการเลือกตั้ง เรียกว่า สภานิติบัญญัติแห่งชาติ นับแต่นั้นเป็นต้นมา
ประเทศญี่ปุ่นเป็นสมาชิกสหประชาชาติ OECD จี7 จี8 และจี20 และถือเป็นมหาอำนาจ ญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงที่สุดหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง โดยมีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลกตามจีดีพีราคาตลาด และอันดับ 4 ของโลกตามความเท่าเทียมของอำนาจซื้อ และยังเป็นผู้ส่งออกและนำเข้ารายใหญ่สุดอันดับ 4 ของโลก ญี่ปุ่นมีกำลังแรงงานทักษะสูงและถือเป็นหนึ่งในประเทศที่ประชากรมีการศึกษาสูงที่สุดของโลก แม้ประเทศญี่ปุ่นสละสิทธิประกาศสงคราม แต่ยังมีกองทหารสมัยใหม่และมีงบกองทัพมากเป็นอันดับ 8 ของโลก ซึ่งใช้สำหรับป้องกันตนเองและรักษาสันติภาพ ญี่ปุ่นเป็นประเทศพัฒนาแล้วที่มีมาตรฐานการครองชีพและดัชนีการพัฒนามนุษย์สูง และเป็นประเทศที่ประชากรมีความคาดหมายคงชีพสูงที่สุดในโลก และยังเป็นผู้นำระดับโลกในอุตสาหกรรมยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ มีส่วนสำคัญในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี วัฒนธรรมญี่ปุ่นยังเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก เช่น อาหาร, ศิลปะ, ดนตรี วัฒนธรรมประชานิยม รวมถึงอุตสาหกรรมบันเทิง เช่น ภาพยนตร์, มังงะ, อนิเมะ, และวิดีโอเกม
ชื่อประเทศ
ในภาษาญี่ปุ่น ชื่อประเทศญี่ปุ่นเรียกว่า นิปปง (にっぽん) หรือ นิฮง (にほん) ซึ่งใช้คันจิตัวเดียวกันคือ 日本 คำว่านิปปง มักใช้ในกรณีที่เป็นทางการ ส่วนคำว่า นิฮง จะเป็นศัพท์ที่ใช้โดยทั่วไป
สันนิษฐานว่าประเทศญี่ปุ่นเริ่มต้นใช้ชื่อประเทศว่า "นิฮง/นิปปง (日本) " ตั้งแต่ช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 12 จนถึงกลางพุทธศตวรรษที่ 13 ตัวอักษรคันจิของชื่อญี่ปุ่นแปลว่าถิ่นกำเนิดของดวงอาทิตย์ และทำให้ญี่ปุ่นมักถูกเรียกว่าดินแดนแห่งอาทิตย์อุทัย ชื่อนี้เกิดขึ้นในช่วงที่มีการติดต่อกับราชวงศ์สุยของจีนและหมายถึงการที่ญี่ปุ่นอยู่ในทิศตะวันออกของจีน ก่อนที่ญี่ปุ่นจะมีความสัมพันธ์กับจีน ญี่ปุ่นเป็นที่รู้จักในชื่อยะมะโตะ
ชื่อเรียกประเทศญี่ปุ่นในภาษาอื่น ๆ เช่น เจแปน (อังกฤษ: Japan), ยาพัน (เยอรมัน: Japan), ฌาปง (ฝรั่งเศส: Japon), ฆาปอน (สเปน: Japón) รวมถึงคำว่า ญี่ปุ่น ในภาษาไทย น่าจะมาจากภาษาจีนฮกเกี้ยนหรือแต้จิ๋วที่ออกเสียงว่า "ยิดปุ่น" (ฮกเกี้ยน) หรือ "หยิกปึ้ง" (แต้จิ๋ว) ทั้งหมดล้วนแต่เป็นคำที่ถอดเสียงมาจากคำอ่านตัวอักษรจีน 日本国 ซึ่งอ่านว่า "จีปังกู" แต่ในสำเนียงแมนดารินอ่านว่า รื่อเปิ่นกั๋ว (จีน: 日本国; พินอิน: Rìběn'guó) หรือย่อ ๆ ว่า รื่อเปิ่น (จีน: 日本; พินอิน: Rìběn) ส่วนในภาษาที่ใช้ตัวอักษรจีนอื่น ๆ เช่นภาษาเกาหลี ออกเสียงว่า "อิลบน" (เกาหลี: 일본; 日本 Ilbon) และภาษาเวียดนาม ที่ออกเสียงว่า "เหญิ่ตบ๋าน" (เวียดนาม: Nhật Bản, 日本) จะเรียกประเทศญี่ปุ่นโดยออกเสียงคำว่า 日本 ด้วยภาษาของตนเอง
ภูมิศาสตร์
ประเทศญี่ปุ่นมีเกาะรวม 6,852 เกาะ ทอดตามชายฝั่งแปซิฟิกของเอเชียตะวันออก ประเทศญี่ปุ่นรวมทุกเกาะตั้งอยู่ระหว่างละติจูด 24 องศา และ 46 องศาเหนือ และลองจิจูด 122 องศา และ 146 องศาตะวันออก หมู่เกาะหลักไล่จากเหนือลงใต้ ได้แก่ ฮกไกโด ฮนชู ชิโกกุ และคีวชู หมู่เกาะรีวกีวรวมทั้งเกาะโอกินาวะเรียงกันอยู่ทางใต้ของคีวชู รวมกันมักเรียกว่า กลุ่มเกาะญี่ปุ่น
พื้นที่ประมาณร้อยละ 73 ของประเทศญี่ปุ่นเป็นป่าไม้ ภูเขาและไม่เหมาะกับการใช้ทางการเกษตร อุตสาหกรรม หรือการอยู่อาศัย ด้วยเหตุนี้ เขตอยู่อาศัยได้ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณชายฝั่งเป็นหลัก จึงมีความหนาแน่นของประชากรสูงมาก ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีความหนาแน่นของประชากรสูงสุดของโลกประเทศหนึ่ง
เกาะต่าง ๆ ของประเทศญี่ปุ่นตั้งอยู่ในเขตภูเขาไฟบนวงแหวนไฟแปซิฟิก รอยต่อสามโบะโซะ (Boso Triple Junction) นอกชายฝั่งญี่ปุ่นเป็นรอยต่อสามที่แผ่นอเมริกาเหนือ แผ่นแปซิฟิกและแผ่นทะเลฟิลิปปินบรรจบกัน ประเทศญี่ปุ่นเดิมติดกับชายฝั่งตะวันออกของทวีปยูเรเชีย แต่แผ่นเปลือกโลกที่มุดตัวลงดึงประเทศญี่ปุ่นไปทางตะวันออก เปิดทะเลญี่ปุ่นเมื่อประมาณ 15 ล้านปีก่อน
ประเทศญี่ปุ่นมีภูเขาไฟที่ยังมีพลังอยู่ 108 ลูก ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 20 มีภูเขาไฟใหม่เกิดขึ้นหลายลูก รวมทั้งโชวะ-ชินซันบนฮกไกโดและเมียวจิน-โชนอกหินบายองเนสในมหาสมุทรแปซิฟิก เกิดแผ่นดินไหวทำลายล้างซึ่งมักทำให้เกิดคลื่นสึนามิตามมาหลายครั้งทุกศตวรรษ แผ่นดินไหวครั้งใหญ่คันโต พ.ศ. 2466 ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 140,000 คน แผ่นดินไหวใหญ่ล่าสุด ได้แก่ แผ่นดินไหวใหญ่ฮันชิง พ.ศ. 2538 และแผ่นดินไหวในโทโฮะกุ พ.ศ. 2554 ซึ่งมีขนาด 9.1 และทำให้เกิดคลื่นสึนามิขนาดใหญ่ ดัชนีความเสี่ยงโลกปี 2556 จัดให้ประเทศญี่ปุ่นมีความเสี่ยงภัยธรรมชาติสูงสุดอันดับที่ 15
ภูมิอากาศ
ภูมิอากาศของประเทศญี่ปุ่นเป็นแบบอบอุ่นเป็นหลัก แต่มีความแตกต่างกันมากตั้งแต่เหนือจดใต้ ลักษณะทางภูมิศาสตร์ของประเทศญี่ปุ่นแบ่งออกเป็นหกเขตภูมิอากาศหลัก ได้แก่ ฮกไกโด ทะเลญี่ปุ่น ที่สูงภาคกลาง ทะเลเซโตะใน มหาสมุทรแปซิฟิกและหมู่เกาะรีวกีว
เขตเหนือสุด ฮกไกโด มีภูมิอากาศแบบทวีปชื้นที่มีฤดูหนาวเย็นและยาวนาน และมีฤดูร้อนอุ่นมากถึงเย็น หยาดน้ำฟ้าไม่หนัก แต่หมู่เกาะมักมีกองหิมะลึกในฤดูหนาว ในเขตทะเลญี่ปุ่นตรงชายฝั่งตะวันตกของฮนชู ลมฤดูหนาวจากทิศตะวันออกเฉียงเหนือนำให้หิมะตกหนัก ในฤดูร้อน ภูมิภาคนี้เย็นกว่าเขตแปซิฟิก แม้บางครั้งมีอุณหภูมิร้อนจัดเนื่องจากลมเฟิน (foehn) เขตที่สูงภาคกลางเป็นภูมิอากาศแบบทวีปชื้นในแผ่นดินตรงแบบ มีความแตกต่างของอุณหภูมิมากระหว่างฤดูร้อนและฤดูหนาว ตลอดจนมีความแตกต่างระหว่างกลางวันกลางคืนมาก หยาดน้ำฟ้าเบาบาง แม้ฤดูหนาวปกติมีหิมะตก เขตภูเขาชูโงกุและเกาะชิโกกุกั้นทะเลในแผ่นดินเซโตะจากลมตามฤดูกาล ทำให้มีลมฟ้าอากาศไม่รุนแรงตลอดปี ชายฝั่งแปซิฟิกมีลักษณะภูมิอากาศแบบกึ่งเขตร้อนชื้นซึ่งมีฤดูหนาวไม่รุนแรง มีหิมะตกบางครั้ง และฤดูร้อนที่ร้อนชื้นเนื่องจากลมฤดูกาลจากทิศตะวันออกเฉียงใต้ หมู่เกาะรีวกีวมีภูมิอากาศแบบกึ่งเขตร้อน โดยมีฤดูหนาวอบอุ่นและฤดูร้อนร้อน หยาดน้ำฟ้าหนักมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างฤดูฝน
อุณหภูมิเฉลี่ยในฤดูหนาวในประเทศญี่ปุ่นอยู่ที่ 5.1 องศาเซลเซียส และอุณหภูมิเฉลี่ยในฤดูร้อนอยู่ที่ 25.2 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุดที่เคยวัดได้ในประเทศญี่ปุ่นอยู่ที่ 41.0 องศาเซลเซียส ซึ่งมีบันทึกเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2556 ฤดูฝนหลักเริ่มในต้นเดือนพฤษภาคมในโอกินาวะ และแนวฝนจะค่อย ๆ เคลื่อนขึ้นเหนือจนถึงฮกไกโดในปลายเดือนกรกฎาคม ในฮนชูส่วนใหญ่ ฤดูฝนเริ่มก่อนกลางเดือนมิถุนายนและกินเวลาประมาณหกสัปดาห์ ในปลายฤดูร้อนและต้นฤดูใบไม้ร่วง พายุไต้ฝุ่นมักนำพาฝนตกหนักมา
ความหลากหลายทางชีวภาพ
ประเทศญี่ปุ่นมีเขตชีวภาพป่าเก้าเขตซึ่งสะท้อนภูมิอากาศและภูมิศาสตร์ของหมู่เกาะญี่ปุ่น มีตั้งแต่ป่าใบกว้างชื้นกึ่งเขตร้อนในหมู่เกาะรีวกีวและหมู่เกาะโอะงะซะวะระ จนถึงป่าผสมและใบกว้างเขตอุบอุ่นในเขตภูมิอากาศไม่รุนแรงในหมู่เกาะหลัก จนถึงป่าสนเขาเขตอบอุ่นในส่วนฤดูหนาวหนาวเย็นในเกาะทางเหนือ ประเทศญี่ปุ่นมีสัตว์ป่ากว่า 90,000 ชนิด รวมทั้งหมีสีน้ำตาล ลิงกังญี่ปุ่น ทะนุกิ หนูนาญี่ปุ่นใหญ่ และซาลาแมนเดอร์ยักษ์ญี่ปุ่น มีการตั้งเครือข่ายอุทยานแห่งชาติขนาดใหญ่เพื่อคุ้มครองพื้นที่สำคัญของพืชและสัตว์ตลอดจนเขตพื้นที่ชุ่มน้ำตามอนุสัญญาแรมซาร์สามสิบเจ็ดแห่ง มีสี่แห่งลงทะเบียนในรายการมรดกโลกของยูเนสโก
สิ่งแวดล้อม
ในช่วงการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วหลังสงครามโลกครั้งที่สอง นโยบายสิ่งแวดล้อมถูกรัฐบาลและบริษัทอุตสาหกรรมลดความสำคัญ ผลทำให้มีมลภาวะสิ่งแวดล้อมแพร่หลายในคริสต์ทศวรรษ 1950 และ 1960 เพื่อสนองต่อความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับปัญหาดังกล่าว รัฐบาลจึงริเริ่มกฎหมายคุ้มครองสิ่งแวดล้อมหลายฉบับในปี 2513 วิกฤตการณ์น้ำมันในปี 2516 ยังส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพเนื่องจากประเทศญี่ปุ่นขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติ ปัญหาสิ่งแวดล้อมในปัจจุบันได้แก่ มลภาวะทางอากาศในเมือง การจัดการขยะ ยูโทรฟิเคชันน้ำ การอนุรักษ์ธรรมชาติ การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ การจัดการเคมีและความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์
ประเทศญี่ปุ่นจัดอยู่ในอันดับที่ 20 ในดัชนีสมรรถนะสิ่งแวดล้อมปี 2561 ซึ่งวัดความผูกมัดของประเทศต่อความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม ในฐานะเจ้าภาพและผู้ลงนามพิธีสารเกียวโตปี 2540 ประเทศญี่ปุ่นอยู่ภายใต้ข้อผูกพันตามสนธิสัญญาในการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ และใช้วิธีการเพิ่มเติมในการรับมือการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ในปี 2563 รัฐบาลมีแผนจะสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน 22 แห่ง ภายหลังการปิดกองเรือนิวเคลียร์ของญี่ปุ่นหลังจากภัยพิบัตินิวเคลียร์ฟูกูชิมะในปี 2554 ญี่ปุ่นเป็นประเทศปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลก รัฐบาลญี่ปุ่นได้ประกาศเป้าหมายในการลดการปล่อยคาร์บอนภายในปี 2593 ปัญหาสิ่งแวดล้อมปัจจุบัน ได้แก่ มลพิษทางอากาศในเมือง (NOx, อนุภาคแขวนลอย และสารพิษ) การจัดการของเสีย การทำให้น้ำขาดออกซิเจน การอนุรักษ์ธรรมชาติ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการจัดการสารเคมี
ประวัติศาสตร์
ยุคก่อนประวัติศาสตร์และประวัติศาสตร์โบราณ
วัฒนธรรมยุคหินเก่าประมาณ 30,000 ปีก่อน ค.ศ. เป็นหลักฐานการอยู่อาศัยของมนุษย์บนกลุ่มเกาะญี่ปุ่นครั้งแรกเท่าที่ทราบ หลังจากนั้นเป็นยุคโจมงเมื่อประมาณ 14,000 ปีก่อน ค.ศ. ที่มีวัฒนธรรมนักล่าสัตว์หาของป่ากึ่งอยู่กับที่ยุคหินกลางถึงยุคหินใหม่ ซึ่งมีลักษณะโดยการอาศัยอยู่ในหลุมและเกษตรกรรมเรียบง่าย รวมทั้งบรรพบุรุษของชาวไอนุและชาวยะมะโตะร่วมสมัยด้วย เครื่องดินเผาตกแต่งจากยุคนี้ยังเป็นตัวอย่างเครื่องดินเผาเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งที่ยังเหลือรอดในโลกด้วย ประมาณ 300 ปีก่อน ค.ศ. ชาวยะโยะอิเริ่มเข้าสู่หมู่เกาะญี่ปุ่น ผสมผสานกับโจมอน ยุคยะโยะอิซึ่งเริ่มตั้งแต่ประมาณ 500 ปีก่อน ค.ศ. มีการริเริ่มการปฏิวัติอย่างการทำนาข้าวเปียก เครื่องดินเผาแบบใหม่ และโลหะวิทยาที่รับมาจากจีนและเกาหลี
ญี่ปุ่นปรากฏครั้งแรกในประวัติศาสตร์ลายลักษณ์อักษรในฮั่นซู (บันทึกประวัติศาสตร์ฮั่น) ของจีน ตามบันทึกสามก๊ก ราชอาณาจักรทรงอำนาจที่สุดในกลุ่มเกาะญี่ปุ่นระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 3 เรียก ยะมะไตโกะกุ มีกาเผยแผ่ศาสนาพุทธ เข้าประเทศญี่ปุ่นจากอาณาจักรแพ็กเจ (เกาหลีปัจจุบัน) และได้รับอุปถัมภ์โดยเจ้าชายโชโตะกุ และการพัฒนาศาสนาพุทธญี่ปุ่นในเวลาต่อมาได้รับอิทธิพลจากจีนเป็นหลัก แม้มีการต่อต้านในช่วงแรก แต่ศาสนาพุทธได้รับการส่งเสริมจากชนชั้นปกครองและได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในช่วงต้นยุคอะซุกะ (ค.ศ. 592–710)
ยุคนาระ (พ.ศ. 1253–1337) มีการกำเนิดรัฐญี่ปุ่นแบบรวมอำนาจปกครองโดยมีศูนย์กลางอยู่ที่ราชสำนักจักรพรรดิในเฮโจเกียว (จังหวัดนาระปัจจุบัน) ยุคนาระเริ่มมีวรรณคดีตลอดจนการพัฒนาศิลปะและสถาปัตยกรรมที่ได้รับอิทธิพลจากศาสนาพุทธ การระบาดของโรคฝีดาษในปี พ.ศ. 1278–1280 เชื่อว่าฆ่าประชากรญี่ปุ่นไปมากถึงหนึ่งในสาม ใน พ.ศ. 1327 จักรพรรดิคัมมุย้ายเมืองหลวงจากนาระไปนางาโอกะเกียว และเฮอังเกียว (นครเกียวโตปัจจุบัน) ใน พ.ศ. 1337
นับเป็นจุดเริ่มต้นของยุคเฮอัง (พ.ศ. 1337–1728) ซึ่งวัฒนธรรมญี่ปุ่นเฉพาะถิ่นชัดเจนกำเนิด โดยที่เห็นได้ชัดที่สุดคือ ศิลปะ กวีและร้อยแก้ว ตำนานเก็นจิของมุราซากิ ชิคิบุ และ "คิมิงะโยะ" เนื้อร้องเพลงชาติประเทศญี่ปุ่นปัจจุบัน ก็มีการเขียนขึ้นในช่วงนี้
ศาสนาพุทธเริ่มแพร่ขยายระหว่างยุคเฮอัง ผ่านสองนิกายหลัก ได้แก่ เท็งไดและชินงน สุขาวดี (โจโดะชู โจโดะชินชู) ได้รับความนิยมมากกว่าในครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ 11
ยุคเจ้าขุนมูลนาย
ยุคเจ้าขุนมูลนายของญี่ปุ่นมีลักษณะจากการถือกำเนิดและการครอบงำของชนชั้นนักรบซะมุไร ใน พ.ศ. 1728 จักรพรรดิโกะ-โทะบะทรงแต่งตั้งซะมุไร มินะโมะโตะ โนะ โยะริโตะโมะ เป็นโชกุน หลังพิชิตตระกูลไทระในสงครามเก็มเป โยะริโตะโมะตั้งฐานอำนาจในคะมะกุระ หลังเขาเสียชีวิต ตระกูลโฮโจเถลิงอำนาจเป็นผู้สำเร็จราชการให้โชกุน มีการเผยแผ่ศาสนาพุทธสำนักเซนจากจีนในยุคคะมะกุระ (พ.ศ. 1728–1876) และได้รับความนิยมในชนชั้นซะมุไร รัฐบาลโชกุนคะมะกุระขับไล่การบุกครองของมองโกลสองครั้งใน พ.ศ. 1817 และ 1824 แต่สุดท้ายถูกจักรพรรดิโกะ-ไดโงะโค่นล้ม ส่วนจักรพรรดิโกะ-ไดโงะก็ถูกอะชิกะงะ ทะกะอุจิพิชิตอีกทอดหนึ่งใน พ.ศ. 1879
อะชิกะงะ ทะกะอุจิตั้งรัฐบาลโชกุนในมุโระมะชิ จังหวัดเกียวโต เป็นจุดเริ่มต้นของยุคมุโระมะชิ (พ.ศ. 1879–2116) รัฐบาลโชกุนอะชิกะงะรุ่งเรืองในสมัยของอะชิกะงะ โยะชิมิสึ และวัฒนธรรมที่ตั้งอยู่บนศาสนาพุทธแบบเซ็น (ศิลปะมิยะบิ) แพร่กระจาย ต่อมาศิลปะมิยะบิวิวัฒน์เป็นวัฒนธรรมฮิงะชิยะมะ และเจริญจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 16 (ประมาณพุทธศตวรรษที่ 21–22) อีกด้านหนึ่ง รัฐบาลโชกุนอะชิกะงะสมัยต่อมาไม่สามารถควบคุมขุนศึกเจ้าขุนมูลนาย (ไดเมียว) ได้ และเกิดสงครามกลางเมือง (สงครามโอนิน) ใน พ.ศ. 2010 เปิดฉากยุคเซ็งโงะกุ ("รณรัฐ") ยาวนานนับศตวรรษ
ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 16 มีพ่อค้าและมิชชันนารีคณะเยสุอิตจากประเทศโปรตุเกสเดินทางถึงญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก และเริ่มการค้าขายและแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างญี่ปุ่นกับโลกตะวันตก (การค้านัมบัน) โดยตรง ทำให้โอะดะ โนะบุนะงะได้เทคโนโลยีและอาวุธปืนยุโรปซึ่งเขาใช้พิชิตไดเมียวคนอื่นหลายคน การรวบอำนาจของเขาเริ่มยุคอะซุชิโมะโมะยะมะ (พ.ศ. 2116–2146) หลังโนะบุนะงะถูกอะเกะชิ มิสึฮิเดะลอบฆ่าใน พ.ศ. 2125 โทะโยะโตะมิ ฮิเดะโยะชิ ผู้สืบทอดของโนะบุนะงะ รวมประเทศใน พ.ศ. 2133 และเปิดฉากบุกครองเกาหลี 2 ครั้งใน พ.ศ. 2135 และ 2140 แต่ไม่ประสบความสำเร็จ
หลังฮิเดะโยะชิถึงแก่อสัญกรรม โทะกุงะวะ อิเอะยะซุตั้งตนเองเป็นผู้สำเร็จราชการแทนบุตรของฮิเดะโยะชิและใช้ตำแหน่งให้ได้มาซึ่งการสนับสนุนทางการเมืองและการทหาร อิเอะยะซุเอาชนะไดเมียวต่าง ๆ ได้ในยุทธการที่เซะกิงะฮะระใน พ.ศ. 2143 ต่อมาใน พ.ศ. 2146 จักรพรรดิโกะ-โยเซจึงทรงแต่งตั้งเขาเป็นโชกุน เขาตั้งรัฐบาลโชกุนโทะกุงะวะในเอะโดะ (กรุงโตเกียวปัจจุบัน) รัฐบาลโชกุนโทะกุงะวะออกมาตรการซึ่งรวมบุเกะโชะฮัตโตะเป็นจรรยาบรรณสำหรับควบคุมไดเมียวอัตตาณัติ และนโยบายซะโกะกุ ("ประเทศปิด") ใน พ.ศ. 2182 ซึ่งกินเวลานานสองศตวรรษครึ่งและเป็นยุคเอกภาพทางการเมืองที่เรียก ยุคเอะโดะ (พ.ศ. 2146–2411) การศึกษาศาสตร์ตะวันตก ที่เรียก รังงะกุ ยังคงมีต่อผ่านการติดต่อกับดินแดนแทรกของเนเธอร์แลนด์ที่เดจิมะในนางาซากิ ยุคเอะโดะยังทำให้โคะกุงะกุ ("การศึกษาชาติ") หรือการศึกษาประเทศญี่ปุ่นโดยคนญี่ปุ่น เจริญด้วย
ยุคใหม่
วันที่ 31 มีนาคม 2397 พลเรือจัตวา แมทธิว ซี. เพอร์รี และ "เรือดำ" แห่งกองทัพเรือสหรัฐบังคับให้ญี่ปุ่นเปิดประเทศต่อโลกภายนอกด้วยสนธิสัญญาคานางาวะ สนธิสัญญาคล้ายกันกับประเทศตะวันตกในยุคบะกุมะสึนำมาซึ่งวิกฤตทางเศรษฐกิจและการเมือง การลาออกของโชกุนนำสู่สงครามโบะชิง และการสถาปนารัฐรวมอำนาจปกครองที่เป็นเอกภาพในนามภายใต้จักรพรรดิ (การฟื้นฟูเมจิ)
ประเทศญี่ปุ่นรับสถาบันการเมือง ตุลาการและทหารแบบตะวันตกและอิทธิพลทางวัฒนธรรมตะวันตกรวมเข้ากับวัฒนธรรมดั้งเดิมขปงะเรทศสำหรับการกลายเป็นอุตสาหกรรมสมัยใหม่ โดยผ่านกระบวนการกลายเป็นตะวันตกระหว่างการฟื้นฟูเมจิในปี 2411 คณะรัฐมนตรีจัดตั้งคณะองคมนตรี ริเริ่มรัฐธรรมนูญเมจิ และเรียกประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ การฟื้นฟูเมจิเปลี่ยนจักรวรรดิญี่ปุ่นให้เป็นมหาอำนาจอุตสาหกรรมซึ่งมุ่งใช้ความขัดแย้งทางทหารเพื่อขยายเขตอิทธิพลของตน หลังคว้าชัยในสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่หนึ่ง (พ.ศ. 2437–2438) และสงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่น (พ.ศ. 2447–2448) ประเทศญี่ปุ่นเข้าควบคุมไต้หวัน เกาหลีและครึ่งใต้ของเกาะซาฮาลิน ประชากรญี่ปุ่นเพิ่มจาก 35 ล้านคนในปี 2416 เป็น 70 ล้านคนในปี 2478
สงครามโลกครั้งที่หนึ่งทำให้ญี่ปุ่นซึ่งอยู่ฝ่ายสัมพันธมิตรผู้ชนะ สามารถขยายอำนาจและอาณาเขตในทวีปเอเชียต่อไปอีก ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 มีช่วง "ประชาธิปไตยไทโช" (พ.ศ. 2455–2469) แต่คริสต์ทศวรรษ 1920 (ประมาณพุทธทศวรรษ 2460) ประชาธิปไตยที่เปราะบางตกอยู่ภายใต้การเลื่อนทางการเมืองสู่ฟาสซิสต์ มีการผ่านกฎหมายปราบปรามการเห็นต่างทางการเมืองและมีความพยายามรัฐประหารหลายครั้ง "ยุคโชวะ" ต่อมาอำนาจของกองทัพเริ่มเพิ่มขึ้นและนำญี่ปุ่นสู่การขยายอาณาเขตและการเสริมสร้างแสนยานุภาพ ตลอดจนเผด็จการเบ็ดเสร็จและลัทธิคลั่งชาติซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอุดมการณ์ฟาสซิสต์ ในปี 2474 ประเทศญี่ปุ่นบุกครองและยึดครองแมนจูเรีย เมื่อนานาชาติประณามการครอบครองนี้ ประเทศญี่ปุ่นก็ลาออกจากสันนิบาตชาติในปี 2476 ในปี 2479 ญี่ปุ่นลงนามกติกาสัญญาต่อต้านโคมินเทิร์นกับนาซีเยอรมนี และกติกาสัญญาไตรภาคีในปี 2483 เข้าร่วมกับฝ่ายอักษะ หลังพ่ายในสงครามชายแดนโซเวียต–ญี่ปุ่นที่กินเวลาสั้น ๆ ประเทศญี่ปุ่นเจรจากติกาสัญญาความเป็นกลางโซเวียต–ญี่ปุ่น ซึ่งกินเวลาถึงปี 2488 เมื่อสหภาพโซเวียตบุกครองแมนจูเรีย
ในยุคสงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นได้เสริมสร้างอำนาจทางการทหารให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น หลังจากญี่ปุ่นถูกกีดกันทางการค้าจากสหรัฐอเมริกา ต่อมาจึงได้เปิดฉากสงครามในแถบเอเชียแปซิฟิก (ซึ่งรู้จักกันทั่วไปในชื่อ สงครามมหาเอเชียบูรพา) ในวันที่ 7 ธันวาคม 2484 โดยการโจมตีฐานทัพเรือสหรัฐอเมริกาที่อ่าวเพิร์ล และการยาตราทัพเข้ามายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นดินแดนอาณานิคมของสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักรและเนเธอร์แลนด์ ตลอดสงครามครั้งนั้น ญี่ปุ่นสามารถยึดครองประเทศต่าง ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ทั้งหมด แต่หลังจากที่ญี่ปุ่นพ่ายแพ้ให้แก่สหรัฐอเมริกาในการรบทางน้ำในมหาสมุทรแปซิฟิกหลังจากยุทธนาวีแห่งมิดเวย์ (พ.ศ. 2485) ญี่ปุ่นก็ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้แก่ฝ่ายสัมพันธมิตรโดยง่าย เมื่อต้องเผชิญหน้ากับระเบิดปรมาณูของสหรัฐอเมริกา ซึ่งถูกทิ้งที่เมืองฮิโรชิมาและนางาซากิ (ในวันที่ 6 และ 9 สิงหาคม 2488 ตามลำดับ) และการรุกรานของสหภาพโซเวียต (วันที่ 8 สิงหาคม 2488) ญี่ปุ่นจึงประกาศยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไขในวันที่ 15 สิงหาคม ปีเดียวกัน สงครามทำให้ญี่ปุ่นต้องสูญเสียพลเมืองนับล้านคนและทำให้อุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐานของประเทศเสียหายอย่างหนัก ฝ่ายสัมพันธมิตรซึ่งนำโดยสหรัฐอเมริกาได้ส่งพลเอกดักลาส แมกอาร์เธอร์เข้ามาควบคุมญี่ปุ่นตั้งแต่หลังสงครามจบ
ปี 2490 ประเทศญี่ปุ่นเริ่มใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ซึ่งเน้นวัตรประชาธิปไตยเสรีนิยม การยึดครองญี่ปุ่นของฝ่ายสัมพันธมิตรสิ้นสุดเมื่อมีการลงนามสนธิสัญญาซานฟรานซิสโกในปี 2499 และญี่ปุ่นได้เป็นสมาชิกสหประชาชาติในปี 2499 หลังสงคราม ญี่ปุ่นสามารถพัฒนาทางเศรษฐกิจด้วยอัตราการเจริญเติบโตที่สูงมากจนกลายเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลก จนถูกประเทศจีนแซงในปี 2553 แต่การเติบโตดังกล่าวหยุดในช่วงกลางคริสต์ทศวรรษ 1990 เมื่อญี่ปุ่นประสบภาวะเศรษฐกิจถดถอย ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 21 การเติบโตทางบวกส่งสัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจแบบค่อยเป็นค่อยไป วันที่ 11 มีนาคม 2554 ประเทศญี่ปุ่นประสบแผ่นดินไหวครั้งใหญ่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของประเทศ ซึ่งยังส่งผลให้เกิดภัยพิบัตินิวเคลียร์ฟูกูชิมะไดอิชิ
ในวันที่ 1 พฤษภาคม 2562 ได้เกิดเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นอีกครั้ง เมื่อสมเด็จพระจักรพรรดิอะกิฮิโตะทรงสละราชสมบัติซึ่งถือเป็นจุดสิ้นสุดของยุคเฮเซ สมเด็จพระจักรพรรดินารูฮิโตะพระราชโอรสของพระองค์ได้ขึ้นครองราชสมบัติต่อ และเป็นการเริ่มต้นยุคเรวะอย่างเป็นทางการ
การเมือง
ประเทศญี่ปุ่นมีรูปแบบรัฐเป็นราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ โดยที่จักรพรรดิมีพระราชอำนาจจำกัด ทรงเป็นประมุขในทางพิธีการ ซึ่งรัฐธรรมนูญบัญญัติว่า ทรงเป็น "สัญลักษณ์แห่งรัฐและความสามัคคีของประชาชน" นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีเป็นผู้ใช้อำนาจบริหาร ส่วนอำนาจอธิปไตยเป็นของชาวญี่ปุ่น จักรพรรดิพระองค์ปัจจุบันคือสมเด็จพระจักรพรรดินารูฮิโตะ และนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันคือ ฟูมิโอะ คิชิดะ
สภานิติบัญญัติแห่งชาติเป็นผู้ใช้อำนาจนิติบัญญัติ ตั้งอยู่ในชิโยะดะ กรุงโตเกียว สภาฯ ใช้ระบบระบบสองสภา ประกอบด้วย สภาผู้แทนราษฎร (ญี่ปุ่น: 衆議院; โรมาจิ: ชุงิ-อิง) เป็นสภาล่าง มีสมาชิกสี่ร้อยแปดสิบคนซึ่งมีวาระดำรงตำแหน่งสี่ปี และ ราชมนตรีสภา (ญี่ปุ่น: 参議院; โรมาจิ: ซังงีง) เป็นสภาสูง มีสมาชิกสองร้อยสี่สิบสองคนซึ่งมีวาระดำรงตำแหน่งหกปี โดยมีการเลือกตั้งสมาชิกราชมนตรีสภาจำนวนครึ่งหนึ่งสลับกันไปทุกสามปี สมาชิกของสภาทั้งสองมาจากการเลือกตั้งทั่วประเทศ ส่วนผู้มีสิทธิเลือกตั้งนั้นมีอายุสิบแปดปีบริบูรณ์เป็นต้นไป พรรคประชาธิปไตยรัฐธรรมนูญแห่งญี่ปุ่น (CDP) ที่เป็นเสรีนิยมสังคม และพรรคประชาธิปไตยเสรีนิยม (LDP) ที่เป็นอนุรักษนิยมครองสภาฯ LDP ประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งเกือบตลอดมาตั้งแต่ปี 2498 ยกเว้นช่วงสั้น ๆ ระหว่างปี 2536 ถึง 37 และระหว่างปี 2552 ถึง 2555
ระบบกฎหมายของญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลจากกฎหมายจีนมาแต่อดีต และมีพัฒนาการเป็นเอกเทศในยุคเอะโดะผ่านทางเอกสารต่าง ๆ เช่น ประชุมราชนีติ (ญี่ปุ่น: 公事方御定書; โรมาจิ: Kujikata Osadamegaki) ทั้งนี้ ตั้งแต่ต้นพุทธศตวรรษ 2400 เป็นต้นมา ได้มีการวางรากฐานระบบตุลาการในญี่ปุ่นขนานใหญ่โดยใช้ระบบซีวิลลอว์ของยุโรป โดยเฉพาะของฝรั่งเศสและเยอรมนี เป็นต้นแบบ เช่น ในปี 2439 รัฐบาลญี่ปุ่นประกาศใช้ประมวลกฎหมายแพ่ง (ญี่ปุ่น: 民法; โรมาจิ: Minpō) โดยมีประมวลกฎหมายแพ่งเยอรมันเป็นต้นแบบ และคงมีผลใช้บังคับอยู่นับแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จนปัจจุบัน ระบบศาลของญี่ปุ่นแบ่งเป็นสี่ขั้นหลัก คือ ศาลสูงสุดและศาลชั้นล่างสามระดับ ประชุมกฎหมายหลักของญี่ปุ่นเรียก หกประมวล (ญี่ปุ่น: 六法; โรมาจิ: Roppō)
การแบ่งเขตการปกครอง
ประเทศญี่ปุ่นแบ่งการปกครองออกเป็น 47 จังหวัด และแบ่งภาคออกเป็น 8 ภูมิภาค ซึ่งมักจะถูกจับเข้ากลุ่มตามเขตแดนที่ติดกันที่มีวัฒนธรรมและสำเนียงการพูดใกล้เคียงกัน ทุกจังหวัดมีผู้ว่าราชการจังหวัดที่มาจากการเลือกตั้งเป็นผู้บริหาร
ในแต่ละจังหวัดมีการแบ่งเขตการปกครองออกเป็นเทศบาลย่อย ๆ แต่ในปัจจุบันกำลังมีการปรับโครงสร้างการแบ่งเขตการปกครองโดยการรวมเทศบาลที่อยู่ใกล้เคียงกันเข้าด้วยกัน ซึ่งจะช่วยลดจำนวนเขตการปกครองย่อยและช่วยลดค่าใช้จ่ายในการบริหารเทศบาลลงได้ การรวมเขตเทศบาลนี้เป็นนโยบายที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล โดยมีการคาดการณ์ที่จะลดจาก 3,232 เทศบาลในปี 2542 ให้เหลือ 1,773 เทศบาลในปี 2553
ประเทศญี่ปุ่นมีเมืองใหญ่เป็นจำนวนมาก ซึ่งแต่ละเมืองต่างมีส่วนสำคัญในการพัฒนาประเทศทั้งทางด้าน เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม รวมถึงมีสำเนียงภาษาที่แตกต่างกันออกไป
ฮกไกโด | โทโฮะกุ | คันโต | ชูบุ |
---|---|---|---|
1. ฮกไกโด | 2. อาโอโมริ | 8. อิบารากิ | 15. นีงาตะ |
คันไซ | ชูโงกุ | ชิโกกุ | คีวชูและโอกินาวะ |
24. มิเอะ | 31. ทตโตริ | 40. ฟูกูโอกะ |
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ประเทศญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์ทางทูตกับเกือบทุกประเทศเอกราชในโลก และเป็นสมาชิกปัจจุบันของสหประชาชาติตั้งแต่เดือนธันวาคม 2499 ประเทศญี่ปุ่นเป็นสมาชิกจี 7, เอเปก และ "อาเซียนบวกสาม" และเข้าร่วมประชุมการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก ประเทศญี่ปุ่นลงนามข้อตกลงความมั่นคงกับประเทศออสเตรเลียในเดือนมีนาคม 2550 และกับประเทศอินเดียในเดือนตุลาคม 2551 เป็นผู้บริจาคความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาอย่างเป็นทางการรายใหญ่สุดอันดับห้าของโลก โดยบริจาคเงิน 9.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2557
ประเทศญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสหรัฐ นับแต่สหรัฐและพันธมิตรพิชิตญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่สอง ทั้งสองประเทศธำรงความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการกลาโหมอย่างใกล้ชิด สหรัฐเป็นตลาดสำคัญของสินค้าส่งออกของญี่ปุ่นและเป็นแหล่งนำเข้าหลักของญี่ปุ่น และผูกมัดป้องกันประเทศญี่ปุ่น โดยมีฐานทัพในประเทศญี่ปุ่นบางส่วนด้วยเหตุนั้น
ประเทศญี่ปุ่นต่อสู้การควบคุมหมู่เกาะคูริลใต้ (ได้แก่ กลุ่มอิโตะโระฟุ คุนะชิริ ชิโตะคัง และฮะโบะมะอิ) ของประเทศรัสเซีย ซึ่งสหภาพโซเวียตยึดครองในปี 2488 ประเทศญี่ปุ่นรับรู้การยืนยันของประเทศเกาหลีใต้เกี่ยวกับหินลีอังคอร์ท (หรือ "ทะเกะชิมะ" ในภาษาญี่ปุ่น) แต่ไม่ยอมรับ ประเทศญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์ตึงเครียดกับประเทศจีนและประเทศไต้หวันเหนือหมู่เกาะเซ็งกะกุ และกับประเทศจีนเหนือสถานภาพของโอะกิโนะโทะริชิมะ
ความสัมพันธ์ของญี่ปุ่นกับเกาหลีใต้ในอดีตมีความตึงเครียดเนื่องจากการปฏิบัติต่อชาวเกาหลีของญี่ปุ่นในช่วงการปกครองอาณานิคมของญี่ปุ่น โดยเฉพาะการใช้ผู้หญิงเป็นที่ระบายทางเพศ ในปี 2558 ญี่ปุ่นออกคำขอโทษอย่างเป็นทางการ และมอบเงินให้กับผู้หญิงทุกคนที่ตกเป็นเหยือความรุนแรงในเหตุการณ์ดังกล่าวที่ยังมีชีวิตอยู่ ณ ปี 2562 ญี่ปุ่นเป็นผู้นำเข้าเพลงเกาหลี (K-pop) ละครโทรทัศน์ และกิจกรรมทางวัฒนธรรมอื่น ๆ ที่สำคัญของเกาหลีใต้
การบังคับใช้กฎหมาย
การรักษาความปลอดภัยภายในประเทศญี่ปุ่นนั้นดูแลโดยกรมตำรวจประจำจังหวัดเป็นหลัก ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในฐานะที่เป็นหน่วยงานประสานงานกลางของกรมตำรวจประจำจังหวัด สำนักงานตำรวจแห่งชาติบริหารงานโดยคณะกรรมการความปลอดภัยสาธารณะแห่งชาติ หน่วยจู่โจมพิเศษประกอบด้วยหน่วยยุทธวิธีต่อต้านการก่อการร้ายระดับชาติที่ร่วมมือกับหน่วยต่อต้านอาวุธปืนระดับอาณาเขตและหน่วยต่อต้านการก่อการร้ายของเอ็นบีซี หน่วยยามฝั่งของญี่ปุ่นปกป้องน่านน้ำอาณาเขตรอบ ๆ ญี่ปุ่น และใช้มาตรการเฝ้าระวังและควบคุมการลักลอบนำเข้า อาชญากรรมสิ่งแวดล้อมทางทะเล การรุกล้ำ การละเมิดลิขสิทธิ์ เรือสอดแนม เรือประมงต่างประเทศที่ไม่ได้รับอนุญาต
กฎหมายควบคุมอาวุธปืนและดาบควบคุมความเป็นเจ้าของปืน ดาบ และอาวุธอื่น ๆ ของพลเรือนอย่างเคร่งครัด ตามรายงานของสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ ในบรรดาประเทศสมาชิกขององค์การสหประชาชาติที่รายงานสถิติในปี 2561 อัตราอุบัติการณ์ของอาชญากรรมรุนแรง เช่น การฆาตกรรม การลักพาตัว ความรุนแรงทางเพศ และการโจรกรรมนั้นต่ำมากในญี่ปุ่น
กองทัพ
กองทัพญี่ปุ่นถูกจำกัดสิทธิตามมาตรา 9 ของรัฐธรรมนูญแห่งญี่ปุ่น ซึ่งสละสิทธิของประเทศญี่ปุ่นในการประกาศสงครามและการใช้กำลังทหารในข้อพิพาทระหว่างประเทศ ฉะนั้น กองทัพญี่ปุ่นที่เรียก "กองกำลังป้องกันตนเองญี่ปุ่น" นั้นจึงเป็นกองทัพที่ไม่เคยสู้รบนอกประเทศญี่ปุ่น ประเทศญี่ปุ่นมีงบประมาณทางทหารสูงสุดประเทศหนึ่งในโลก จัดเป็นประเทศเอเชียอันดับสูงสุดในดัชนีสันติภาพโลก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมปกครองกองทัพ และส่วนใหญ่ประกอบด้วยกองกำลังป้องกันตนเองภาคพื้นดินญี่ปุ่น กองกำลังป้องกันตนเองทางทะเลญี่ปุ่น กองกำลังป้องกันตนเองทางอากาศญี่ปุ่น ซึ่งกองกำลังป้องกันตนเองทางทะเลญี่ปุ่นเป็นผู้เข้าร่วมการฝึกซ้อมทางทะเลริมแพ็ก (RIMPAC) เป็นประจำ ล่าสุดมีการใช้กองทัพเพื่อปฏิบัติการรักษาสันติภาพ โดยการวางกำลังในประเทศอิรักเป็นการใช้กองทัพญี่ปุ่นนอกประเทศครั้งแรกนับแต่สงครามโลกครั้งที่สอง สหพันธ์ธุรกิจญี่ปุ่นเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกการห้ามส่งอาวุธออก เพื่อให้ประเทศญี่ปุ่นสามารถเข้าร่วมโครงการนานาชาติอย่างเครื่องบินขับไล่จู่โจมร่วม (Joint Strike Fighter) ได้
ในคริสต์ศตวรรษที่ 21 มีการเปลี่ยนแปลงดุลอำนาจโลกอย่างรวดเร็วร่วมกับโลกาภิวัตน์ สิ่งแวดล้อมความมั่นคงรอบประเทศญี่ปุ่นทวีความรุนแรงมากขึ้น อันสังเกตได้จากการพัฒนานิวเคลียร์และขีปนาวุธของประเทศเกาหลีเหนือ ภัยคุกคามข้ามชาติซึ่งมีเหตุจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี รวมทั้งการก่อการร้ายระหว่างประเทศและการโจมตีไซเบอร์ก็เพิ่มความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ ประเทศญี่ปุ่นรวมทั้งกองกำลังป้องกันตนเองได้เข้ามีส่วนร่วมอย่างถึงที่สุด ในความพยายามธำรงและฟื้นฟูสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ
ประเทศญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์ทางทหารใกล้ชิดกับสหรัฐ พันธมิตรความมั่นคงสหรัฐ–ญี่ปุ่นเป็นหลักหมุดของนโยบายการต่างประเทศของชาติ นับแต่เป็นสมาชิกสหประชาชาติในปี 2499 ประเทศญี่ปุ่นเคยเป็นสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงเป็นเวลารวม 20 ปี วาระล่าสุดในปี 2552 และ 2553
ในเดือนพฤษภาคม 2557 นายกรัฐมนตรีชินโซ อะเบะกล่าวว่าประเทศญี่ปุ่นต้องการสลัดการวางเฉย ที่ธำรงมาตลอดตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองยุติและรับผิดชอบความมั่นคงในภูมิภาคมากขึ้น เขากล่าวว่าประเทศญี่ปุ่นต้องการมีบทบาทสำคัญและเสนอความช่วยเหลือแก่ประเทศเพื่อนบ้านของญี่ปุ่น ความตึงเครียดล่าสุดโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับประเทศเกาหลีเหนือได้จุดชนวนการถกเถียงรอบใหม่ เรื่องสถานภาพของกองกำลังป้องกันตนเองญี่ปุ่นและความสัมพันธ์กับสังคมญี่ปุ่น แนวทางกองทัพญี่ปุ่นฉบับใหม่ที่มีประกาศในเดือนธันวาคม 2553 จะชี้นำกองกำลังป้องกันตนเองญี่ปุ่นจากความสนใจสมัยสงครามเย็นต่ออดีตสหภาพโซเวียตสู่ประเทศจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับข้อพิพาทดินแดนเหนือหมู่เกาะเซ็งกะกุ
เศรษฐกิจ
โครงสร้าง
หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นได้รับความบอบช้ำจากสงครามเป็นอย่างมาก แต่ก็สามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วเพราะปัจจัยหลายอย่างเช่นการทำงานที่ดีของรัฐบาล แรงงานที่ถูกและมีคุณภาพ อัตราการออมและการลงทุนที่สูง ในช่วงระหว่าง พ.ศ. 2500-2520 เป็นช่วงที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นเติบโตอย่างมาก อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แท้จริงในช่วงพุทธทศวรรษที่ 2500, 2510 และ 2520 เฉลี่ยร้อยละ 10, 5 และ 4 ตามลำดับ โดยได้รับการช่วยเหลือทางเศรษฐกิจจากสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ช่วงต้นพุทธทศวรรษที่ 2510 ญี่ปุ่นประสบปัญหาค่าเงินเยนแข็งตัวจนทำให้บริษัทจำนวนมากย้ายฐานการผลิตออกไปนอกประเทศ หลังจากเกิดฟองสบู่แตกต้นพุทธทศวรรษที่ 2530 เศรษฐกิจก็เริ่มชะลอตัว และส่งผลต่อเนื่องตลอดพุทธทศวรรษที่ 2530 รัฐบาลพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยวิธีต่าง ๆ แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ และยังถูกซ้ำเติมจากผลกระทบของเศรษฐกิจชะลอตัวในปี พ.ศ. 2543 สภาพเศรษฐกิจหลังจากปี พ.ศ. 2548 ดูเหมือนจะฟื้นตัวขึ้นจากตัวเลขการขยายตัวของจีดีพีที่สูงขึ้น แต่ญี่ปุ่นก็กลับประสบปัญหาอีกครั้งเมื่อเกิดวิกฤติทางการเงินที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลก แม้ว่าธุรกิจภาคการเงินของญี่ปุ่นได้รับผลกระทบน้อยมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ เพราะทศวรรษแห่งภาวะเศรษฐกิจซบเซาที่ทำให้ญี่ปุ่นระมัดระวังในการลงทุนมากขึ้น แต่การที่ญี่ปุ่นพึ่งพาการส่งออกรถยนต์และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์มากเกินไปก็ส่งผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจ และทำให้เกิดปัญหาการว่างงานเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ญี่ปุ่นมีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของโลก รองจากสหรัฐอเมริกา เมื่อวัดด้วยจีดีพีก่อนปรับอัตราเงินเฟ้อ (ประมาณ 4.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ) และอันดับที่ 3 รองจากสหรัฐอเมริกาและจีน เมื่อวัดด้วยอำนาจการซื้อ ญี่ปุ่นมีกำลังการผลิตที่สูง และเป็นประเทศต้นกำเนิดของผู้ผลิตชั้นนำที่ก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น รถยนต์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักร เหล็กกล้า โลหะนอกกลุ่มเหล็ก เรือ สารเคมี
จากข้อมูลใน พ.ศ. 2548 แรงงานของประเทศญี่ปุ่นมีจำนวน 66.7 ล้านคน ญี่ปุ่นมีอัตราว่างงานที่ต่ำคือประมาณร้อยละ 4 ค่าจีดีพีต่อชั่วโมงการทำงานอยู่ในอันดับที่ 20 ของโลกใน พ.ศ. 2548 และเป็นอันดับ 1 ของเอเชีย บริษัทใหญ่ของญี่ปุ่นหลายแห่งมีชื่อเสียงไปทั่วโลก เช่นโตโยต้า โซนี่ เอ็นทีที โดโคโม แคนนอน ฮอนด้า ทาเคดา นินเทนโด นิปปอน สตีล และ เซเว่น อีเลฟเว่น ญี่ปุ่นเป็นต้นกำเนิดของธนาคารที่ใหญ่ที่สุดหลายแห่ง ตลาดหลักทรัพย์โตเกียวซึ่งมักจะเป็นที่รู้จักเพราะดัชนีนิเคอิมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกเมื่อวัดด้วยมูลค่าตลาด
ญี่ปุ่นมีลักษณะเฉพาะในการทำธุรกิจหลายอย่าง เช่นเคเระสึหรือระบบเครือข่ายบริษัทจะมีอิทธิพลในเชิงธุรกิจ การจ้างงานตลอดชีวิตและการเลื่อนขั้นตามความอาวุโสจะพบเห็นได้ทั่วไป บริษัทที่มีความสัมพันธ์ทางธุรกิจจะถือหุ้นของกันและกัน ผู้ถือหุ้นมักจะไม่มีบทบาทกับการบริหารของบริษัท แต่ในปัจจุบันญี่ปุ่นเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงออกจากระบบเก่า ๆ เหล่านี้
ใน พ.ศ. 2548 พื้นที่ที่ใช้ในการเกษตรกรรมมีเพียงร้อยละ 12.6 และมีประชากรที่ประกอบการเกษตรเพียงร้อยละ 6.6เท่านั้น ผลผลิตทางการเกษตรที่ผลิตได้มากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ได้แก่ ไหม กะหล่ำปลี ข้าว มัน และชา เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ญี่ปุ่นต้องพึ่งพาการนำเข้าอาหารถึงร้อยละ 60 จึงเป็นประเทศที่มีอัตราการเลี้ยงตนเองค่อนข้างต่ำ ในระยะหลังกระแสความกังวลเรื่องความปลอดภัยของอาหารทำให้ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในประเทศเป็นที่ต้องการมากขึ้น
ญี่ปุ่นอยู่ในอันดับที่ 29 จาก 190 ประเทศในดัชนีความง่ายในการทำธุรกิจปี 2562 ญี่ปุ่นมีภาคส่วนสหกรณ์ขนาดใหญ่ รวมถึงสหกรณ์ผู้บริโภคที่ใหญ่ที่สุดและสหกรณ์การเกษตรที่ใหญ่ที่สุดในโลก ณ ปี 2561 ญี่ปุ่นอยู่ในอันดับที่สูงในด้านความสามารถในการแข่งขันและเสรีภาพทางเศรษฐกิจ อยู่ในอันดับ 6 ในรายงานการแข่งขันระดับโลกสำหรับปี 2558-2559
เกษตรกรรม และประมง
ภาคการเกษตรของญี่ปุ่นมีสัดส่วนประมาณ 1.2% ของจีดีพีทั้งหมด ณ ปี 2561 จากการสำรวจพบว่าที่ดินของญี่ปุ่นเพียง 11.5% เท่านั้นที่เหมาะสำหรับการเพาะปลูกเนื่องจากขาดที่ดินทำกิน จึงมีการใช้ระบบระเบียงเพื่อทำการเกษตรในพื้นที่ขนาดเล็ก ซึ่งส่งผลให้ผลผลิตพืชผลต่อหน่วยพื้นที่สูงที่สุดในโลกโดยมีอัตราการพึ่งตนเองทางการเกษตรประมาณ 50% ณ ปี 2561 ภาคเกษตรกรรมขนาดเล็กของญี่ปุ่นได้รับเงินอุดหนุนและได้รับการคุ้มครองอย่างสูง มีความกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับการทำฟาร์มเนื่องจากเกษตรกรมักเป็นผู้สูงวัยและมีความยากลำบากในการหาผู้สืบทอด
ญี่ปุ่นอยู่ในอันดับ 7 ของโลกในด้านปริมาณปลาที่จับได้คิดเป็น 3,167,610 ตันในปี 2559 ลดลงจากค่าเฉลี่ย 4,000,000 ตันต่อปีในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ญี่ปุ่นเป็นแหล่งประมงที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกและคิดเป็นเกือบ 15% ของจำนวนสัตว์น้ำที่จับได้ทั่วโลก ทำให้เกิดเสียงวิจารณ์ว่าการทำประมงของญี่ปุ่นทำให้ปริมาณปลาของโลกลดลง เช่น ปลาทูน่า ญี่ปุ่นยังจุดชนวนความขัดแย้งดังกล่าวด้วยการสนับสนุนการล่าวาฬอย่างถูกกฎหมาย
การท่องเที่ยว
รัฐบาลญี่ปุ่นต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจ ภาคการท่องเที่ยว โดยทางการญี่ปุ่นได้ดำเนินมาตรการยกเว้นวีซ่าท่องเที่ยวให้กับประเทศเป้าหมาย รวมถึงประเทศไทย กระแสไปท่องเที่ยวญี่ปุ่นน่าจะยังได้รับความนิยมในหมู่คนไทยอย่างต่อเนื่อง โดยมีแรงหนุนสำคัญ ๆ ทั้งจากมาตรการยกเว้นวีซ่าท่องเที่ยวที่ยังคงมีผลบังคับใช้ บวกกับกิจกรรมส่งเสริมการตลาดและโปรโมชั่นอัดแน่นจากธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง รวมถึงอานิสงส์ส่วนหนึ่งก็มาจากเงินเยนที่อ่อนค่า รวมทั้งสายการบินต้นทุนต่ำ ทำให้นักท่องเที่ยวเดินทางทัวร์ญี่ปุ่นมากขึ้นทุกปี
ญี่ปุ่นดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ 31.9 ล้านคนในปี 2562 อยู่ในอันดับที่ 11 ของโลกในปี 2562 ในแง่จำนวนนักท่องเที่ยวขาเข้า และตามรายงานความสามารถในการแข่งขันด้านการเดินทางและการท่องเที่ยวปี 2560 จัดอันดับญี่ปุ่นเป็นอันดับ 4 จาก 141 ประเทศซึ่งสูงที่สุดในเอเชีย
อุตสาหกรรมการผลิต
ญี่ปุ่นมีศักยภาพทางอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ และเป็นที่ตั้งของ "ผู้ผลิตยานยนต์ เครื่องมือกล เหล็กกล้าและโลหะรายใหญ่ที่สุดและก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมากที่สุด" ภาคอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นคิดเป็นประมาณ 27.5% ของจีดีพี การส่งออกของประเทศสูงเป็นอันดับสามของโลก ณ ปี 2562 ญี่ปุ่นเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อันดับสามของโลก ณ ปี 2562 และเป็นที่ตั้งของโตโยต้า บริษัทรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก อุตสาหกรรมต่อเรือของญี่ปุ่นเผชิญกับการแข่งขันจากเกาหลีใต้และจีน รัฐบาลออกนโยบายปี 2563 ตั้งเป้าหมายให้เป็นอีกหนึ่งช่องทางการส่งออกที่เพิ่มกำไร
วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี
ญี่ปุ่นเป็นประเทศแนวหน้าในการวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์โดยมีภาคเอกชนเป็นผู้ลงทุนหลัก ญี่ปุ่นมีจำนวนการขอสิทธิบัตรเป็นอันดับ 3 ของโลกตัวอย่างของผลงานทางเทคโนโลยีของญี่ปุ่นที่สำคัญ ได้แก่อิเล็กทรอนิกส์ รถยนต์ เครื่องจักร วิศวกรรมด้านแผ่นดินไหวที่สร้างขึ้นมาเพื่ออยู่รอด สารเคมี สารกึ่งตัวนำ และเหล็ก เป็นต้น ญี่ปุ่นเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุด เป็นอันดับ 3 ของ โลก เป็นประเทศต้นกำเนิดของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ 6 บริษัทจากผู้ผลิต 15 บริษัทที่ใหญ่ที่สุด และผู้ผลิตสารกึ่งตัวนำ 7 บริษัทจาก 20 บริษัทที่ใหญ่ที่สุด
ญี่ปุ่นยังเป็นหนึ่งในผู้นำในการพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม รถยนต์ไฮบริด ซึ่งได้เทคโนโลยีมาจากเยอรมนี อังกฤษ และสหรัฐอเมริกา ของฮอนด้าและโตโยต้าเป็นที่ยอมรับว่าประหยัดพลังงานมากที่สุดและปล่อยควันเสียได้น้อย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความพยายามของเทคโนโลยีระบบไฮบริด เชื้อเพลิง ญี่ปุ่นมีจำนวนสิทธิบัตรในด้านเซลล์เชื้อเพลิงเป็นอันดับหนึ่งของโลก
องค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่นเป็นหน่วยงานวิจัยและพัฒนางานด้านอวกาศ สังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์และจักรวาลวิทยาของญี่ปุ่น และเป็นหนึ่งในสมาชิกของโครงการความร่วมมือการสร้างสถานีอวกาศนานาชาติและโมดูลคิโบ มีกำหนดที่จะส่งขึ้นไปเพื่อต่อกับสถานีอวกาศนานาชาติในการขนด้วยกระสวยอวกาศใน พ.ศ. 2552
โครงสร้างพื้นฐาน
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ การคมนาคมในประเทศญี่ปุ่น
การคมนาคม
ญี่ปุ่นมีบริษัทรถไฟหลายแห่ง เช่นกลุ่มบริษัทรถไฟญี่ปุ่น รถไฟฮังคิว รถไฟเซบุ และบริษัทเคโอ ซึ่งแข่งขันกันด้านบริการในพื้นที่ต่าง ๆ ปัจจุบันที่รถไฟชิงกันเซ็งซึ่งเปิดใช้ตั้งแต่ พ.ศ. 2507 มีเครือข่ายเชื่อมโยงเมืองหลักเกือบทั่วประเทศ รถไฟของญี่ปุ่นเป็นที่รู้จักในเรื่องตรงต่อเวลา ทางรถไฟญี่ปุ่น ระยะทางรวมทั้งสิ้น 23,474 กิโลเมตรแบ่งเป็น ราง 1.435 เมตร สำหรับวิ่งรถไฟความเร็วสูงหรือรถไฟใต้ดินหลายเมือง ระยะทาง 2,664 กม รางรถไฟ 1.067 เมตร สำหรับรถไฟฟ้าชานเมืองรถไฟทางใกล ระยะทาง 22,445 กม. ทางด่วนแห่งชาติ ของประเทศญี่ปุ่นมีระยะทางทั้งสิ้น 11,520 กิโลเมตร
การเดินทางโดยเครื่องบินเป็นที่นิยม และมีสนามบิน 173 แห่งทั่วประเทศ สนามบินฮาเนดะที่ส่วนใหญ่ให้บริการเที่ยวบินภายในประเทศเป็นสนามบินที่หนาแน่นที่สุดในเอเชีย สนามบินนานาชาติที่สำคัญได้แก่สนามบินนาริตะ สนามบินคันไซ และสนามบินนานาชาตินาโงยา แต่การก่อสร้างสนามบินบางแห่ง เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการใช้งบประมาณเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจมากกว่าเพื่อประโยชน์ใช้สอยจริง สนามบินบางแห่งขาดทุนมาตลอดตั้งแต่เปิดทำการ มีสายการบินที่สำคัญได้แก่ เจแปนแอร์ไลน์ ในฐานะสายการบินแห่งชาติ และ ออล นิปปอน แอร์เวย์
พลังงาน
ณ ปี 2560 พลังงาน 39% ในญี่ปุ่นผลิตจากปิโตรเลียม 25% จากถ่านหิน 23% จากก๊าซธรรมชาติ 3.5% จากพลังงานน้ำ และ 1.5% จากพลังงานนิวเคลียร์ พลังงานนิวเคลียร์ลดลงจากร้อยละ 11.2 ในปี 2553 รัฐบาลเคยมีแผนว่าภายในเดือนพฤษภาคม 2555 โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทั้งหมดของประเทศต้องปิดตัว เนื่องจากการคัดค้านของสาธารณชนอย่างต่อเนื่องหลังจากภัยพิบัตินิวเคลียร์ฟุกุชิมะไดอิชิ ในเดือนมีนาคม 2554 แม้ว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐยังคงพยายามโน้มน้าวความคิดเห็นของสาธารณชนให้กลับมาให้บริการ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์เซนไดเริ่มเปิดใหม่ในปี 2558 และตั้งแต่นั้นมาโรงไฟฟ้านิวเคลียร์อีกหลายแห่งก็ได้เริ่มดำเนินการใหม่ ญี่ปุ่นขาดเงินสำรองภายในประเทศจำนวนมากและต้องพึ่งพาพลังงานนำเข้าอย่างหนัก ประเทศจึงมุ่งหวังที่จะกระจายแหล่งที่มาและรักษาระดับพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และรัฐบาลยังคงยึดมั่นเจตนารมณ์ที่จะยุติการใช้พลังงานนิวเคลียร์ภายในปี 2570
ความรับผิดชอบต่อพลังงานน้ำและสุขาภิบาลเป็นหน้าที่ของกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการที่รับผิดชอบด้านการจัดหาน้ำสำหรับใช้ในบ้านเรือน, กระทรวงสิ่งแวดล้อมรับผิดชอบคุณภาพน้ำโดยรอบและรักษาสิ่งแวดล้อม และกระทรวงกิจการภายในและการสื่อสารที่รับผิดชอบการเปรียบเทียบประสิทธิภาพของระบบสาธารณูปโภค การเข้าถึงแหล่งน้ำที่ได้รับการปรับปรุงนั้นเป็นสากลในญี่ปุ่น ประมาณ 98% ของประชากรได้รับน้ำประปาจากสาธารณูปโภค และน้ำประปาหลายแห่งในที่สาธารณะสามารถดื่มได้อย่างปลอดภัย
ประชากร
จากข้อมูลในปี 2563 ญี่ปุ่นมีประชากรประมาณ 125.7 ล้านคน คนที่ถือสัญชาติญี่ปุ่นมีประมาณ 123 ล้านคน ประชากรส่วนใหญ่ใช้ภาษาและมีวัฒนธรรมที่เหมือนกัน โดยมีชาวต่างชาติ เช่นชาวเกาหลี จีน บราซิล ฟิลิปปินส์ ไต้หวัน และชาติอื่น ๆ ประมาณร้อยละ 1.2 ซึ่งส่วนใหญ่อาศัยอยู่ตามเมืองใหญ่ เชื้อชาติส่วนใหญ่คือเชื้อสายชาวยะมะโตะ และมีชนกลุ่มน้อยเช่นชาวไอนุและชาวรีวกีว รวมทั้งชนกลุ่มน้อยทางสังคมที่เรียกว่าบุระกุ กรุงโตเกียว เมืองหลวงของประเทศมีประชากรกว่า 14 ล้านคน (ปี 2564) เป็นส่วนหนึ่งของเขตอภิมหานครโตเกียว ซึ่งเป็นเขตมหานครที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่มีประชากร 38,140,000 คน (ปี 2559)
ณ ปี 2562 ประชากรญี่ปุ่นมีอายุคาดหมายเฉลี่ยประมาณ 84 ปี จึงนับเป็นประเทศที่มีประชากรอายุยืนยาวที่สุดประเทศหนึ่งในโลก โครงสร้างประชากรของญี่ปุ่นเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากเด็กที่เกิดมาในยุคเบบีบูมหลังสงครามโลกเริ่มเข้าสู่วัยชรา ในขณะที่อัตราการเกิดตั้งแต่ พ.ศ. 2532 มีแนวโน้มลดลงเรื่อย ๆ ประชากรวัยทำงานส่วนมากในปัจจุบันไม่นิยมแต่งงาน และไม่มีบุตร จึงทำให้จำนวนประชากรค่อย ๆ ลดลง (มีการประมาณว่าจะลดลงต่ำกว่า 100 ล้านคนในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 25) ในขณะที่สัดส่วนของผู้สูงอายุจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ (ในปี 2550) ประชากรที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไปมีมากถึง 1 ใน 5 ของประชากรทั้งหมด) การที่โครงสร้างประชากรเปลี่ยนไปทำให้เกิดปัญหาสังคมหลายอย่าง เช่นปัญหาแรงงานที่ลดลง และภาระเงินบำนาญของคนหนุ่มสาวเพิ่มมากขึ้น เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2562 ได้มีการประกาศใช้กฎหมายคนเข้าเมืองฉบับปรับปรุงของญี่ปุ่น เพื่อปกป้องสิทธิของแรงงานต่างชาติเพื่อช่วยลดปัญหาการขาดแคลนแรงงานในบางภาคส่วน
จำนวนประชากร
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่รายชื่อเมืองในญี่ปุ่นเรียงตามจำนวนประชากร และ จำนวนประชากรญี่ปุ่นแยกตามจังหวัด
ศาสนา
รัฐธรรมนูญของญี่ปุ่นกำหนดให้ประชาชนมีอิสระในการนับถือศาสนา จากการสำรวจพบว่าคนญี่ปุ่นนับถือพุทธชินโตเยอะที่สุดเท่ากับผู้ที่ไม่มีศาสนาในญี่ปุ่น คนญี่ปุ่นร้อยละ 51.8 ระบุว่าตนไม่มีศาสนา ในอดีตศาสนาในญี่ปุ่นถูกผสมผสานจนทำให้พิธีกรรมทางศาสนานั้นมีความหลากหลาย เช่นพ่อแม่พาลูกไปศาลเจ้าชินโตเพื่อทำพิธีชิจิ-โกะ-ซัน แต่งงานในโบสถ์คริสต์และฉลองในวันคริสต์มาส จัดงานศพแบบพุทธ และบูชาบรรพบุรุษแบบขงจื๊อ นอกจากนี้ ตั้งแต่ต้นพุทธศตววรษที่ 25 มีลัทธิต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมายเช่น ศาสนาเทนริเกียว ลัทธิเทนริเกียว และลัทธิโอมชินริเกียว
ศาสนาคริสต์เผยแพร่สู่ญี่ปุ่นครั้งแรกโดยสมาชิกนิกายเยซุอิตเริ่มต้นใน พ.ศ. 2092 ในปัจจุบันประชากร 1% ถึง 1.5% เป็นคริสเตียน ตลอดศตวรรษที่ผ่านมา ธรรมเนียมตะวันตกแต่เดิมเกี่ยวข้องกับศาสนาคริสต์ (รวมถึงงานแต่งงานแบบตะวันตก วันวาเลนไทน์ และคริสต์มาส) ได้กลายเป็นที่นิยมในฐานะธรรมเนียมปฏิบัติทางโลกในหมู่ชาวญี่ปุ่นจำนวนมาก
กว่า 90% ของผู้นับถือศาสนาอิสลามในญี่ปุ่นเป็นผู้อพยพที่เกิดในต่างประเทศในปี 2559 และในปี 2561 มีมัสยิดประมาณ 105 แห่ง และมุสลิม 200,000 คนในญี่ปุ่น โดย 43,000 คนเป็นชาวญี่ปุ่นโดยสัญชาติ ศาสนาของชนกลุ่มน้อยอื่น ๆ ได้แก่ ฮินดู ยิว และบาไฮ เช่นเดียวกับความเชื่อเรื่องผีของไอนุ
ภาษา
ประชากรมากกว่าร้อยละ 95 ใช้ภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาทางการ ภาษาญี่ปุ่นมีวิธีการผันคำกริยาและคำศัพท์ที่แสดงถึงสถานะระหว่างผู้พูดกับผู้ฟัง ซึ่งแสดงถึงลักษณะสังคมที่มีระดับขั้นของญี่ปุ่น ภาษาพูดนั้นมีทั้งภาษากลางและสำเนียงของแต่ละท้องถิ่น เช่นสำเนียงคันไซ โรงเรียนทั้งของรัฐและเอกชนมักมีวิชาภาษาญี่ปุ่นและภาษาอังกฤษเป็นวิชาบังคับ
ภาษาเขียนของญี่ปุ่นจะใช้ตัวอักษรคันจิ (อักษรจีน) และคานะ รวมทั้งอักษรโรมันและตัวเลขอารบิก การสอนภาษาอังกฤษมีผลบังคับใช้ในทุกโรงเรียนประถมศึกษาของญี่ปุ่นในปี 2563 นอกจากภาษาญี่ปุ่น ภาษาริวกิว (อามามิ คุนิงามิ โอะกินะวะ มิยาโกะ ยาเอยามะ โยนากุนิ) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลภาษาญี่ปุ่นยังถูกพูดในกลุ่มหมู่เกาะริวกิวอีกด้วย แม้มีเด็กไม่กี่คนที่ได้เรียนรู้ภาษาเหล่านี้ แต่รัฐบาลท้องถิ่นพยายามเพิ่มความตระหนักรู้เกี่ยวกับภาษาดั้งเดิม ปัญหาในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาคือ การตายของภาษาไอนุ ซึ่งเป็นภาษาที่แยกออกมาต่างหากโดยเหลือเจ้าของภาษาเพียงไม่กี่คนในปี 2557
การศึกษา
ระบบการศึกษาในระดับประถม มัธยม และอุดมศึกษาถูกนำมาใช้ตั้งแต่ พ.ศ. 2451 ซึ่งเป็นผลจากการปฏิรูปเมจิ ตั้งแต่ พ.ศ. 2490 การศึกษาภาคบังคับของญี่ปุ่นมีระยะเวลา 9 ปี ตั้งแต่ประถมศึกษาจนจบมัธยมศึกษาตอนต้น ซึ่งเกือบทั้งหมดจะเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายต่อ จากข้อมูลของกระทรวงการศึกษาของญี่ปุ่น (MEXT) ใน พ.ศ. 2547 พบว่าร้อยละ 75.9 ของผู้จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายจะเรียนต่อในมหาวิทยาลัย วิทยาลัย หรือสถาบันอุดมศึกษาอื่น ๆ การศึกษาในญี่ปุ่นเต็มไปด้วยการแข่งขัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสอบเข้าเพื่อเรียนต่อในมหาวิทยาลัย โครงการประเมินผลการศึกษานานาชาติ (Programme for International Student Assessment: PISA) ซึ่งจัดขึ้นโดยโออีซีดี จัดอันดับให้เด็กญี่ปุ่นมีความรู้และทักษะเป็นอันดับ 6 ของโลก มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงในญี่ปุ่น เช่น มหาวิทยาลัยโตเกียว มหาวิทยาลัยเคโอ และ มหาวิทยาลัยเกียวโต เป็นต้น
การรักษาพยาบาล
คุณภาพของระบบรักษาพยาบาลในญี่ปุ่นมีระดับที่สูงมาก เห็นได้จากอายุคาดหมายเฉลี่ยของประชากรที่สูง และอัตราการตายของทารกที่ต่ำ รัฐบาลกำหนดให้ประชาชนทุกคนทำประกันสุขภาพ ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นสองประเภทใหญ่ ๆ คือประกันสำหรับพนักงานบริษัท และประกันที่ทำกับรัฐบาลท้องถิ่น ผู้ป่วยสามารถเลือกแพทย์หรือสถานที่รักษาได้โดยอิสระ ผู้สูงอายุของญี่ปุ่นทั้งหมดได้รับการคุ้มครองด้วยประกันของรัฐบาลตั้งแต่ พ.ศ. 2516 แต่ปัจจุบันรัฐบาลต้องปรับระบบประกันเปล่านี้เพื่อรองรับโครงสร้างของประชากรที่เปลี่ยนแปลงไป
ญี่ปุ่นมีอัตราการฆ่าตัวตายสูงที่สุดในโลก และปัญหาสำคัญอีกประการคือการสูบบุหรี่ในเพศชาย ประชากรญี่ปุ่นมีอัตราการเกิดโรคหัวใจต่ำที่สุดในกลุ่ม OECD และมีภาวะสมองเสื่อมต่ำที่สุดในบรรดาประเทศที่พัฒนาแล้ว
วัฒนธรรม
วัฒนธรรมญี่ปุ่นมีวิวัฒนาการมายาวนานตั้งแต่วัฒนธรรมยุคโจมงซึ่งเป็นวัฒนธรรมดั้งเดิมของประเทศ จนถึงวัฒนธรรมผสมผสานร่วมสมัยซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากเอเชีย ยุโรป และอเมริกาเหนือ ศิลปะดั้งเดิมของญี่ปุ่นมีทั้งงานฝีมือ เช่น อิเกะบะนะ (การจัดดอกไม้) โอะริงะมิ อุกิโยะ-เอะ ตุ๊กตา เครื่องเคลือบ เครื่องปั้นดินเผา การแสดง เช่น คะบุกิ โน บุนระกุ ระกุโงะ และประเพณีต่าง ๆ เช่น การละเล่น พิธีชงชา ศิลปการต่อสู้ สถาปัตยกรรม การจัดสวน ดาบ และอาหาร การผสมผสานระหว่างภาพพิมพ์กับศิลปะตะวันตก นำไปสู่การสร้างสรรค์มังงะหรือหนังสือการ์ตูนของญี่ปุ่นที่เป็นที่นิยมทั้งในและนอกญี่ปุ่น แอนิเมชันที่ได้รับอิทธิพลมาจากมังงะเรียกว่า อนิเมะ วงการเกมคอนโซลของญี่ปุ่นเจริญรุ่งเรืองอย่างมากตั้งแต่ พ.ศ. 2523 ญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับการพัฒนามรดกทางวัฒนธรรมทั้งที่จับต้องได้และจับต้องไม่ได้ ญี่ปุ่นมีแหล่งมรดกโลกที่รับรองโดยยูเนสโก 22 แห่ง กว่า 18 แห่งเป็นมรดกทางวัฒนธรรม
ดนตรี
ดนตรีญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมข้างเคียงเช่นจีนและคาบสมุทรเกาหลี รวมทั้งจากโอกินาวะและฮกไกโด ตั้งแต่โบราณ เครื่องดนตรีหลายชิ้น เช่น บิวะ โคะโตะ ถูกนำเข้ามาจากจีนตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 7 และชะมิเซ็งเป็นเครื่องดนตรีที่ดัดแปลงจากเครื่องดนตรีโอกินาวะซึ่งมีจุดเริ่มต้นที่กลางพุทธศตวรรษที่ 21 ญี่ปุ่นมีเพลงพื้นบ้านมากมาย เช่นเพลงที่ร้องระหว่างการเต้นบงโอะโดะริ เพลงกล่อมเด็ก ดนตรีตะวันตกเริ่มเข้ามาในต้นพุทธศตวรรษที่ 25 และถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม หลังสงคราม ญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลทางด้านดนตรีสมัยใหม่จากอเมริกาและยุโรปเป็นอย่างมาก ก่อให้เกิดการพัฒนาแนวดนตรีที่เรียกว่า เจ-ป็อป ญี่ปุ่นมีนักดนตรีคลาสสิกที่มีชื่อเสียงระดับโลกหลายคน เช่น วาทยากร เซจิ โอะซะวะ นักไวโอลิน มิโดะริ โกะโตนักเปียโน อาเอมิ โคบายาชิ มือกลองวงเอ็กซ์เจแปนและนักเปียโน โยชิกิ ฮายาชิ เมื่อถึงช่วงสิ้นปี จะมีการเล่นคอนเสิร์ตซิมโฟนีหมายเลข 9 ของเบโทเฟนทั่วไปในญี่ปุ่น
วรรณกรรม
วรรณกรรมญี่ปุ่นชิ้นแรกได้แก่หนังสือประวัติศาสตร์ที่ชื่อ โคะจิกิ และ นิฮงโชะกิ และหนังสือบทกวีสมัยศตวรรษที่ 8 ที่ชื่อ มังโยชู ซึ่งเขียนด้วยภาษาจีนทั้งหมด ในช่วงต้นของยุคเฮอัง มีการสร้างระบบการเขียนแทนเสียงที่เรียกว่า คะนะ (ฮิระงะนะ และ คะตะคะนะ) นิทานคนตัดไม้ไผ่ ถูกพิจารณาว่าเป็นงานที่เก่าแก่ที่สุดที่เขียนด้วยภาษาญี่ปุ่น ตำนานเก็นจิ ที่เขียนโดยมุระซะกิ ชิกิบุมักถูกเรียกว่าเป็นวรรณกรรมชิ้นแรกของโลก ระหว่างยุคเอะโดะ วรรณกรรมไม่อยู่ในความสนใจของซามูไรเท่ากับ โชนิน ชนชั้นประชาชนทั่วไป ตัวอย่างเช่น โยะมิฮง กลายเป็นที่นิยมและเผยให้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ลึกซึ้งระหว่างนักอ่านกับนักเขียน ในสมัยเมจิ วรรณกรรมดั้งเดิมได้เสื่อมสลายลง ขณะที่วรรณกรรมญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลจากตะวันตกมากขึ้น โซเซะกิ นะสึเมะและโองะอิ โมริเป็นนักแต่งนิยายสมัยใหม่รุ่นแรกของญี่ปุ่น ตามมาด้วย ริวโนะซุเกะ อะคุตะกะวะ, ทะนิซะกิ จุนอิชิโระ, ยะซุนะริ คะวะบะตะ, มิชิมะ ยุกิโอะ และล่าสุด ฮะรุกิ มุระกะมิ ญี่ปุ่นมีนักเขียนที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม 2 คน ได้แก่ ยะซุนะริ คะวะบะตะ (พ.ศ. 2511) และ เค็นซะบุโร โอเอะ (พ.ศ. 2537)
ปรัชญา
ปรัชญาญี่ปุ่นในอดีตเป็นการหลอมรวมจากวัฒนธรรมต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจีนและตะวันตก และองค์ประกอบญี่ปุ่นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะในรูปแบบวรรณกรรม ปรัชญาญี่ปุ่นเริ่มต้นขึ้นเมื่อประมาณ 1,400 ปีมาแล้ว อุดมคติของขงจื๊อยังคงปรากฏชัดในแนวความคิดของญี่ปุ่นสะท้อนผ่านการใช้ชีวิตในสังคม และในการจัดระบบของรัฐบาลและโครงสร้างของสังคม พุทธศาสนาส่งผลกระทบอย่างมากต่อจิตวิทยา อภิปรัชญา และสุนทรียศาสตร์ของญี่ปุ่น
ศิลปะ และสถาปัตยกรรม
ศิลปะญี่ปุ่น ได้แก่ ภาพวาดการประดิษฐ์ตัวอักษรสถาปัตยกรรมเครื่องปั้นดินเผาประติมากรรมและทัศนศิลป์อื่น ๆ ที่ผลิตในญี่ปุ่นตั้งแต่ประมาณ 10,000 ปีก่อนคริสตกาล ญี่ปุ่นมีประเพณีศิลปะที่ยาวนานและแตกต่างกันไป แต่มีจุดเด่นในด้านเครื่องเคลือบซึ่งมีการทำเครื่องปั้นดินเผาที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในโลกและสำหรับภาพวาดที่ปรากฏตามสิ่งของเครื่องใช้หรือที่เรียกว่า fusuma (ประตูบานเลื่อน หรือผนัง); นอกจากนี้ การประดิษฐ์ตัวอักษร และภาพพิมพ์โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภาพอุกิโยะ (“ภาพของโลกลอย”); สถาปัตยกรรมโครงไม้, หยกแกะสลัก, สิ่งทอ และงานโลหะ ก็เป็นเอกลักษณ์และสะท้อนวัฒนธรรมของประเทศ
สถาปัตยกรรมญี่ปุ่นเป็นการผสมผสานระหว่างอิทธิพลในท้องถิ่นและอิทธิพลอื่น ๆ ตามประเพณีนิยม โดยใช้โครงสร้างไม้หรือปูนฉาบยกสูงจากพื้นเล็กน้อย มีหลังคามุงกระเบื้องหรือมุงจาก ศาลเจ้าแห่งอิเสะได้รับการยอมรับในฐานะต้นแบบของสถาปัตยกรรมญี่ปุ่น ที่อยู่อาศัยแบบดั้งเดิมและอาคารวัดหลายแห่งมีการใช้เสื่อทาทามิและประตูบานเลื่อนเป็นเอกลักษร์ ตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 ญี่ปุ่นได้รวมเอาสถาปัตยกรรมสมัยใหม่แบบตะวันตกเข้าไว้ด้วยกันในการก่อสร้างและการออกแบบ กระทั่งหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สถาปนิกชาวญี่ปุ่นได้สร้างความประทับใจให้กับเวทีระดับนานาชาติ ด้วยผลงานของสถาปนิกอย่าง เคนโซะ ทังเงะ
กีฬา
หลังจากการปฏิรูปเมจิ กีฬาตะวันตกก็เริ่มเข้ามาในญี่ปุ่นและแพร่หลายไปทั่วประเทศด้วยระบบการศึกษา ในญี่ปุ่น กีฬานับเป็นกิจกรรมยามว่างที่ดีต่อสุขภาพ ช่วยพัฒนาวินัย การเคารพกฎกติกา และช่วยสั่งสมน้ำใจนักกีฬา ชาวญี่ปุ่นทุกวัยให้ความสนใจกับกีฬาทั้งในฐานะผู้ชมและผู้เล่น
ซูโม่เป็นกีฬาประจำชาติของญี่ปุ่นที่มีประวัติอันยาวนาน และเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมอย่างมากในญี่ปุ่น ศิลปะป้องกันตัวของญี่ปุ่น เช่น ยูโด คาราเต้ และเคนโด้ ก็เป็นกีฬาที่มีผู้เล่นและผู้ชมมากเช่นเดียวกัน
การแข่งขันเบสบอลอาชีพในญี่ปุ่นเริ่มต้นขึ้นในปี 2479 มี 2 ลีก คือเซ็นทรัลลีกและแปซิฟิกลีก ในปัจจุบันเบสบอลเป็นกีฬาที่มีผู้ชมมากที่สุดในประเทศ ในระหว่างฤดูกาลการแข่งขัน จะมีการถ่ายทอดการแข่งขันเกือบทุกคืนและมีอัตราผู้ชมรายการที่สูง นอกจากนี้ การแข่งขันเบสบอลมัธยมปลายแห่งชาติญี่ปุ่น หรือที่รู้จักกันในชื่อ "โคชิเอ็ง" (甲子園) ถือเป็นการแข่งขันเบสบอลที่ได้รับความนิยมมาก การแข่งขันขึ้นตรงต่อสมาพันธ์เบสบอลมัธยมปลายญี่ปุ่น ซึ่งแยกตัวเป็นเอกเทศจากสมาพันธ์กีฬามัธยมปลายญี่ปุ่น จึงทำให้โคชิเอ็งฤดูร้อน ไม่ถือเป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขันกีฬามัธยมปลายแห่งชาติญี่ปุ่น นักเบสบอลญี่ปุ่นที่โด่งดังที่สุดคือ อิจิโร ซุซุกิ, ฮิเดะกิ มะสึอิ และโชเฮ โอตานิ
ตั้งแต่มีการก่อตั้งลีกฟุตบอลอาชีพของญี่ปุ่นในปี 2535 ฟุตบอลในประเทศญี่ปุ่นก็เป็นที่นิยมมากขึ้น ญี่ปุ่นเป็นสถานที่จัดฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก ตั้งแต่ปี 2524–2547 และเป็นเจ้าภาพร่วมกับเกาหลีใต้ในการแข่งฟุตบอลโลก 2002 ทีมฟุตบอลญี่ปุ่นเป็นทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดทีมหนึ่งในเอเชีย ชนะเลิศเอเชียนคัพ 4 ครั้งซึ่งเป็นสถิติสูงสุด และเข้าร่วมฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย 6 ครั้ง โดยเข้าร่วมทุกครั้งตั้งแต่ฟุตบอลโลก 1998 และทีมฟุตบอลหญิงของญี่ปุ่นยังชนะเลิศฟุตบอลโลกหญิง 2011 ลีกฟุตบอลอาชีพของญี่ปุ่นยังได้รับการยกย่องว่าเป็นลีกที่มาตรฐานสูงที่สุดอีกแห่งหนึ่งของโลก
ในวงการมอเตอร์สปอร์ต ผู้ผลิตรถยนต์ของญี่ปุ่นประสบความสำเร็จสูง โดยเป็นตัวแทนรถในการชนะการแข่งขันระดับโลก เช่น ฟอร์มูลาวัน, กรังด์ปรีซ์มอเตอร์ไซค์เคิลเรซซิง, เวิลด์แรลลี่แชมเปี้ยนชิพ และอีกมากมาย นักแข่งรถชาวญี่ปุ่นยังประสบความสำเร็จในรายการนานาชาติ เช่น ฟอร์มูลาวัน และ 24 ชั่วโมง เลอม็อง โดยมีซูเปอร์จีทีเป็นการแข่งชันระดับชาติที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในญี่ปุ่น
ญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกฤดูร้อนที่โตเกียวในปี 2507 และโอลิมปิกฤดูหนาวที่ซัปโปโรในปี 2515 และนากาโนะในปี 2541 รวมทั้งเป็นเจ้าภาพการแข่งขันบาสเกตบอลชิงแชมป์โลกปี 2549 และจะเป็นเจ้าภาพร่วมอีกครั้งในปี 2565 โตเกียวเป็นเจ้าภาพการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 2020 ทำให้เป็นเมืองแรกในเอเชียที่เป็นเจ้าภาพโอลิมปิกถึงสองครั้ง ประเทศญี่ปุ่นยังได้รับสิทธิ์เป็นเจ้าภาพการแข่งขันวอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์โลกถึงห้าครั้ง มากกว่าประเทศอื่น ๆ ญี่ปุ่นยังถือเป็นประเทศสมาคมรักบี้แห่งเอเชียที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด และเป็นเจ้าภาพการแข่งขันรักบี้ชิงแชมป์โลกประจำปี 2563 นอกจากนี้ กอล์ฟ และเทนนิส ก็ได้รับความนิยมมากขึ้นในหลายทศวรรษที่ผ่านมา
อาหาร
ชาวญี่ปุ่นกินข้าวเป็นอาหารหลัก อาหารญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงได้แก่ซูชิ, เท็มปุระ, สุกียากี้, ยะกิโทะริ และ โซบะ เป็นต้น อาหารญี่ปุ่นหลายอย่างดัดแปลงจากอาหารต่างประเทศ เช่น ทงกะสึ, ราเม็ง, ปลาดิบ และ แกงกะหรี่ญี่ปุ่น อาหารญี่ปุ่นได้รับความนิยมในต่างประเทศเพราะเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพ จากการสำรวจพบว่าในปี 2549 มีร้านอาหารญี่ปุ่นมากกว่า 20,000 แห่งทั่วโลก
ชาวญี่ปุ่นมีความพิถีพิถันในการเลือกวัตถุดิบจึงทำให้มีอาหารประจำท้องถิ่นและอาหารประจำฤดู วัตถุดิบที่เป็นเอกลักษณ์ในอาหารญี่ปุ่นคือถั่วเหลือง ซึ่งนำมาทำโชยุ, มิโซะ, เต้าหู้ ถั่วแดงซึ่งมักนำมาทำขนม และสาหร่ายชนิดต่าง ๆ เช่นคมบุ นอกจากนี้ ชาวญี่ปุ่นยังนิยมกินซะชิมิหรืออาหารทะเลดิบอีกด้วย
ชาในญี่ปุ่นมีหลายชนิดซึ่งแตกต่างไปตามกรรมวิธีการผลิตและส่วนผสม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีต้นกำเนิดจากญี่ปุ่นคือเหล้าสาเก (หรือนิฮงชุ) ซึ่งผลิตโดยใช้วิธีหมักข้าว และโชชูซึ่งเป็นเหล้าที่เกิดจากการกลั่น
สื่อ
จากการสำรวจของเอ็นเอชเค ในปี 2558 เกี่ยวกับการดูโทรทัศน์ในญี่ปุ่น พบว่า 79 เปอร์เซ็นต์ของคนญี่ปุ่นดูโทรทัศน์ทุกวัน ละครโทรทัศน์ของญี่ปุ่นได้รับความนิยมทั้งในญี่ปุ่นและต่างประเทศ รายการยอดนิยมอื่น ๆ อยู่ในประเภทของรายการวาไรตี้ ตลก และรายการข่าว หนังสือพิมพ์ญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในหนังสือพิมพ์ที่มียอดขายมากที่สุดในโลก ณ ปี 2559 ญี่ปุ่นยังมีอุตสาหกรรมภาพยนตร์ที่เก่าแก่และใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ก็อตซิลลา ของอิชิโร ฮนดะ ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ระดับนานาชาติของญี่ปุ่นและมีการสร้างภาคต่อและภาคแยกมากมาย และเป็นหนึ่งในแฟรนไชส์ภาพยนตร์ที่ดำเนินมาอย่างยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ ภาพยนตร์แอนิเมชั่นและซีรีส์ทางโทรทัศน์ของญี่ปุ่นที่รู้จักกันในชื่ออนิเมะได้รับอิทธิพลจากมังงะญี่ปุ่นเป็นส่วนใหญ่ และได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางในฝั่งตะวันตก ญี่ปุ่นเป็นมหาอำนาจด้านแอนิเมชั่นที่มีชื่อเสียงระดับโลก
วันหยุด
ประเทศญี่ปุ่นมีวันหยุดประจำชาติอย่างเป็นทางการ 16 วัน วันหยุดราชการในญี่ปุ่นถูกควบคุมโดยกฎหมายวันหยุดนักขัตฤกษ์ (国民の祝日に関する法律, Kokumin no Shukujtsu ni Kansuru Hōritsu) พ.ศ. 2491 ญี่ปุ่นใช้ระบบ Happy Monday ซึ่งย้ายวันหยุดประจำชาติจำนวนหนึ่งไปเป็นวันจันทร์เพื่อให้ได้วันหยุดยาว วันหยุดประจำชาติในญี่ปุ่นคือวันขึ้นปีใหม่ในวันที่ 1 มกราคม, วันบรรลุนิติภาวะคือวันจันทร์ที่สองของเดือนมกราคม, วันสถาปนาชาติในวันที่ 11 กุมภาพันธ์, วันคล้ายวันประสูติของจักรพรรดิคือ 23 กุมภาพันธ์, วันชุนบุนคือ วันที่ 20 หรือ 21 มีนาคม, วันโชวะคือวันที่ 29 เมษายน, วันรัฐธรรมนูญ 3 พฤษภาคม, วันสิ่งแวดล้อม, 4 พฤษภาคม, วันเด็ก 5 พฤษภาคม, วันทะเลตรงกับวันจันทร์ที่สามของเดือนกรกฎาคม, วันภูเขาตรงกับ 11 สิงหาคมม วันผู้สูงอายุตรงกับวันจันทร์ที่สามของเดือนกันยายน, เทศกาลฉลองฤดูใบไม้ร่วงคือวันที่ 23 หรือ 24 กันยายน, วันสุขภาพและวันกีฬาคือวันจันทร์ที่สองของเดือนตุลาคม, วันวัฒนธรรม 3 พฤศจิกายน และวันขอบคุณพระเจ้าในวันที่ 23 พฤศจิกายน
ดูเพิ่ม
อ้างอิง
- (ภาษาญี่ปุ่น). Geospatial Information Authority of Japan. December 26, 2019. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ April 15, 2020.
- "Surface water and surface water change". OECD. สืบค้นเมื่อ October 11, 2020.
- "Population Estimates Monthly Report July 2021)". Statistics Bureau of Japan. July 20, 2021.
- "2020 Population Census Preliminary Tabulation". Statistics Bureau of Japan. สืบค้นเมื่อ June 26, 2021.
- ↑ "World Economic Outlook database: April 2021". International Monetary Fund. April 2021.
- Inequality - Income inequality - OECD Data. OECD. สืบค้นเมื่อ 25 July 2021.
- "Human Development Report 2020" (PDF) (ภาษาอังกฤษ). United Nations Development Programme. December 15, 2020. สืบค้นเมื่อ December 15, 2020.
- https://www.statista.com/statistics/270086/urbanization-in-japan/
- https://data.worldbank.org/indicator/SP.URB.TOTL.IN.ZS?locations=JP
- https://www.toukei.metro.tokyo.lg.jp/jsuikei/js-index.htm
- https://worldpopulationreview.com/world-cities/tokyo-population
- https://www.nationsonline.org/oneworld/bigcities.htm
- https://japan.kantei.go.jp/constitution_and_government_of_japan/constitution_e.html
- https://www.cfr.org/japan-constitution/japans-postwar-constitution
- https://www.jstor.org/stable/1950193
- "The Seven Great Powers". American-Interest. สืบค้นเมื่อ July 1, 2015.
- T. V. Paul; James J. Wirtz; Michel Fortmann (2005). "Great+power" Balance of Power. United States of America: State University of New York Press, 2005. pp. 59, 282. ISBN 0-7914-6401-6. Accordingly, the great powers after the Cold War are Britain, China, France, Germany, Japan, Russia, and the United States p.59
- Baron, Joshua (January 22, 2014). Great Power Peace and American Primacy: The Origins and Future of a New International Order. United States: Palgrave Macmillan. ISBN 1-137-29948-7.
- . Sipri.org. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ มีนาคม 28, 2010. สืบค้นเมื่อ เมษายน 27, 2013.
- https://www.japan.travel/en/au/experience/culture/
- https://theculturetrip.com/asia/japan/articles/13-reasons-why-japan-is-the-worlds-most-unique-country/
- https://www.jef.or.jp/journal/pdf/cover%20story%201_0403.pdf
- เช่น 熊谷公男 『大王から天皇へ 日本の歴史03』(講談社、2001) และ 吉田孝 『日本誕生』(岩波新書、1997)
- เช่น 神野志隆光『「日本」とは何か』(講談社現代新書、2005)
- เช่น 網野善彦『「日本」とは何か』(講談社、2000)、神野志前掲書
- 前野みち子. "国号に見る「日本」の自己意識" (PDF).
- "English translation of '日本'". collinsdictionary.com.
- "일본 日本". Naver Korean-English Dictionary.
- "日本". chunom.org. (ก่อนตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส เวียดนามใช้ตัวอักษรจีน)
- McCargo, Duncan (2000). Contemporary Japan. Macmillan. pp. 8–11. ISBN 0-333-71000-2.
- "Japan". US Department of State. สืบค้นเมื่อ January 16, 2011.
- . UN Department of Economic and Social Affairs. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ March 21, 2007. สืบค้นเมื่อ March 27, 2007.
- Barnes, Gina L. (2003). "Origins of the Japanese Islands" (PDF). University of Durham. สืบค้นเมื่อ August 11, 2009.
- . Oregon State University. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ February 4, 2007. สืบค้นเมื่อ March 27, 2007.
- James, C.D. (2002). (PDF). University of California Berkeley. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม (PDF) เมื่อ March 16, 2007. สืบค้นเมื่อ January 16, 2011.
- 2013 World Risk Report สิงหาคม 16, 2014 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- Karan, Pradyumna Prasad; Gilbreath, Dick (2005). Japan in the 21st century. University Press of Kentucky. pp. 18–21, 41. ISBN 0-8131-2342-9.
- "Climate". JNTO. สืบค้นเมื่อ March 2, 2011.
- "Extremely hot conditions in Japan in midsummer 2013" (PDF). Tokyo Climate Center, Japan Meteorological Agency. August 13, 2013. สืบค้นเมื่อ August 3, 2017.
- "Essential Info: Climate". JNTO. สืบค้นเมื่อ April 1, 2007.
- (ภาษาญี่ปุ่น). Environmental Restoration and Conservation Agency. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ May 1, 2011. สืบค้นเมื่อ March 2, 2014.
- Sekiyama, Takeshi. (PDF). Energy Conservation Center. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม (PDF) เมื่อ February 16, 2008. สืบค้นเมื่อ January 16, 2011.
- "Environmental Performance Review of Japan" (PDF). OECD. สืบค้นเมื่อ January 16, 2011.
- https://epi.yale.edu/epi-country-report/JPN
- "Japan sees extra emission cuts to 2020 goal – minister". Reuters. June 24, 2009.
- https://features.japantimes.co.jp/climate-crisis-2030/
- https://www.ecowatch.com/japan-carbon-neutral-2648499409.html
- Travis, John. "Jomon Genes". University of Pittsburgh. สืบค้นเมื่อ January 15, 2011.
- Matsumara, Hirofumi; Dodo, Yukio; Dodo, Yukio (2009). "Dental characteristics of Tohoku residents in Japan: implications for biological affinity with ancient Emishi". Anthropological Science. 117 (2): 95–105. doi:10.1537/ase.080325.
- Hammer, Michael F.; Karafet, TM; Park, H; Omoto, K; Harihara, S; Stoneking, M; Horai, S; และคณะ (2006). "Dual origins of the Japanese: common ground for hunter-gatherer and farmer Y chromosomes". Journal of Human Genetics. 51 (1): 47–58. doi:10.1007/s10038-005-0322-0. PMID 16328082.
- Denoon, Donald; Hudson, Mark (2001). Multicultural Japan: palaeolithic to postmodern. Cambridge University Press. pp. 22–23. ISBN 0-521-00362-8.
- . National Science Museum of Japan. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ April 30, 2011. สืบค้นเมื่อ January 15, 2011.
- "Kofun Period". Metropolitan Museum of Art. สืบค้นเมื่อ January 15, 2011.
- "Yayoi Culture". Metropolitan Museum of Art. สืบค้นเมื่อ January 15, 2011.
- Takashi, Okazaki; Goodwin, Janet (1993). "Japan and the continent". The Cambridge history of Japan, Volume 1: Ancient Japan. Cambridge: Cambridge University Press. p. 275. ISBN 0-521-22352-0.
- Brown, Delmer M., บ.ก. (1993). The Cambridge History of Japan. Cambridge University Press. pp. 140–149.
- Beasley, William Gerald (1999). The Japanese Experience: A Short History of Japan. University of California Press. p. 42. ISBN 0-520-22560-0.
- Totman, Conrad (2002). A History of Japan. Blackwell. pp. 64–79. ISBN 978-1-4051-2359-4.
- Hays, J.N. (2005). Epidemics and pandemics: their impacts on human history. ABC-CLIO. p. 31. ISBN 1-85109-658-2.
- Totman, Conrad (2002). A History of Japan. Blackwell. pp. 79–87, 122–123. ISBN 978-1-4051-2359-4.
- John Whitney Hall (1971). JAPAN From Prehistory to Modern Times. Charles E. Tuttle Company. p. 262-264.
- Katsumi Sugiyama. . Defense Research Center. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 2009-02-24.
- Kelley L. Ross. "The Pearl Harbor Strike Force". friesian.com. สืบค้นเมื่อ 2007-03-27.
- "Japanese Instrument of Surrender". educationworld.net. สืบค้นเมื่อ 2008-11-22.
- "San Francisco Peace Treaty". Taiwan Document Project. สืบค้นเมื่อ 2008-11-22.
- "United Nations Member States". สหประชาชาติ. สืบค้นเมื่อ 2008-11-22.
- (PDF). Web Japan. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม (PDF) เมื่อ 2008-12-03. สืบค้นเมื่อ 2008-11-22.
- "Japan scraps zero interest rates". BBC News. July 14, 2006. สืบค้นเมื่อ December 28, 2006.
- Fackler, Martin; Drew, Kevin (March 11, 2011). "Devastation as Tsunami Crashes Into Japan". The New York Times.
- https://asia.nikkei.com/Spotlight/Japan-s-Reiwa-era/Japan-s-emperor-thanks-country-prays-for-peace-before-abdication
- . House of Councillors, The National Diet of Japan. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 2013-10-24. [รัฐธรรมนูญญี่ปุ่น, ราชมนตรีแห่งรัฐสภาญี่ปุ่น (1946-11-03)].
- "Japan lowers voting age from 20 to 18 to better reflect young people's opinions in policies". The Straits Times. June 20, 2015. สืบค้นเมื่อ August 28, 2017.
- . Encyclopædia Britannica. 2006. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 2007-12-17. สืบค้นเมื่อ 2006-12-28.
- คำว่าจังหวัดในภาษาญี่ปุ่นมี 4 แบบ คือ โทะ (都) ใช้เฉพาะโตเกียวซึ่งเป็นเมืองหลวง, โด (道) เฉพาะฮกไกโด, ฟุ (府) ใช้กับเกียวโตและโอซากะ ซึ่งเคยเป็นเมืองหลวงในอดีต และเค็ง (県) ใช้กับจังหวัดอื่น ๆ เมื่อพูดถึงจังหวัดรวม ๆ จะใช้ว่า โทโดฟูเก็ง (都道府県)
- ซึ่งเทศบาลมีหลายระดับ ตั้งแต่ คุ (区), ชิ (市), โช (町) และมูระหรือซง (村) ซึ่งเรียกรวมกันว่า ชิโจซง
- . The Japan Times. 2002-01-26. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 2008-12-24. สืบค้นเมื่อ 2008-11-15.
- "合併相談コーナー". Ministry of Internal Affairs and Communications. สืบค้นเมื่อ 2008-11-16.
- "Japan-Australia Joint Declaration on Security Cooperation". Ministry of Foreign Affairs. สืบค้นเมื่อ August 25, 2010.
- "Joint Declaration on Security Cooperation between Japan and India". Ministry of Foreign Affairs. October 22, 2008. สืบค้นเมื่อ August 25, 2010.
- "Statistics from the Development Co-operation Report 2015". OECD. สืบค้นเมื่อ November 15, 2015.
- "Japan's Foreign Relations and Role in the World Today". Asia for Educators. สืบค้นเมื่อ November 13, 2016.
- http://yris.yira.org/essays/3523
- https://www.bbc.com/news/world-asia-35188135
- https://oxfordre.com/communication/view/10.1093/acrefore/9780190228613.001.0001/acrefore-9780190228613-e-715
- http://www.koreaherald.com/view.php?ud=20190814000566
- https://www.courts.go.jp/saiban/qa/qa_keizi/index.html
- National Police Agency Police History Compilation Committee, ed. (1977). Japan post-war police history (in Japanese). Japan Police Support Association.
- https://www.kaiho.mlit.go.jp/e/image/15_b%20of%20jcg.pdf
- https://www.japantimes.co.jp/news/2008/11/29/national/diet-tightens-laws-on-knives-guns/#.XS9faShKi01
- https://dataunodc.un.org/content/data/homicide/homicide-rate
- 正論, May 2014 (171).
- . Stockholm International Peace Research Institute. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ กุมภาพันธ์ 17, 2011. สืบค้นเมื่อ มกราคม 16, 2011.
- Institute for Economics and Peace (2015). Global Peace Index 2015. ตุลาคม 6, 2015 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน Retrieved October 5, 2015
- . Government of Singapore. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ August 6, 2013. สืบค้นเมื่อ March 2, 2014.
- . International Herald Tribune. June 20, 2006. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ April 16, 2007. สืบค้นเมื่อ March 28, 2007.
- . Reuters. July 13, 2010. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 2014-10-29. สืบค้นเมื่อ April 12, 2011.
- "Japan's Security Policy". Ministry of Foreign Affairs of Japan.
- Michael Green. "Japan Is Back: Why Tokyo's New Assertiveness Is Good for Washington". Real Clear Politics. สืบค้นเมื่อ March 28, 2007.
- . Japan Herald. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 2014-05-31. สืบค้นเมื่อ May 31, 2014.
- Herman, Steve (February 15, 2006). . Tokyo: Voice of America. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ February 16, 2006.
- Fackler, Martin (December 16, 2010). "Japan Announces Defense Policy to Counter China". The New York Times. สืบค้นเมื่อ December 17, 2010.
- M1 The Japanese Economy Takahashi Ito, pp 3-4.
- "Japan: Patterns of Development". country-data.com. January 1994. สืบค้นเมื่อ 2006-12-28.
- . CIA. 2006-12-19. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 2018-12-26. สืบค้นเมื่อ 2006-12-28.
- "Japan heads towards recession as GDP shrinks". The Times. 2008-08-13. สืบค้นเมื่อ 2008-08-17.
- "That sinking feeling". The Economist. 2008-10-30. สืบค้นเมื่อ 2008-11-01.
- "In Japan, Financial Crisis Is Just a Ripple". The New York Times. 2008-09-19. สืบค้นเมื่อ 2008-11-22.
- "Japan's economy 'worst since end of WWII'". CNN. 2009-02-16. สืบค้นเมื่อ 2009-02-16.
- ↑ "World Economic Outlook Database; country comparisons". ไอเอ็มเอฟ. 2006-09-01. สืบค้นเมื่อ 2007-03-14.
- "NationMaster; Economy Statistics". NationMaster. สืบค้นเมื่อ 2007-03-26.
- . Statistical Handbook of Japan, Ministry of Internal Affairs and Communications. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 2013-08-13.
- ↑ "労働力調査(速報)平成19年平均結果の概要" (PDF). Statistic Bureau. สืบค้นเมื่อ 2008-11-01.
- Summary Statistics Groningen Growth and Development Centre, Sep 2008
- . คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 2010-11-03. สืบค้นเมื่อ 2008-11-02.
- Market data. 2007-10-11 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน New York Stock Exchange (2006-01-31). Retrieved on 2007-08-11.
- "Criss-crossed capitalism". The Economist. 2008-11-06. สืบค้นเมื่อ 2008-11-17.
- "Going hybrid". The Economist. 2007-11-29. สืบค้นเมื่อ 2008-11-02.
- . Ministry of Agriculture, Forestry and Fisheries. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 2009-02-01. สืบค้นเมื่อ 2008-11-07.
- . Ministry of Agriculture, Forestry and Fisheries. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 2009-02-01. สืบค้นเมื่อ 2008-11-07.
- 農林水産省国際部国際政策課 (2006-05-23). (PDF). คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม (PDF) เมื่อ 2007-09-29. สืบค้นเมื่อ 2007-09-13.
- . Ministry of Agriculture, Forestry and Fisheries. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 2009-02-01. สืบค้นเมื่อ 2008-11-07.
- https://www.doingbusiness.org/en/rankings
- https://ourworld.unu.edu/en/the-people-who-sustain-japans-historic-terraced-rice-fields
- https://www.tandfonline.com/doi/full/10.1080/1343943X.2018.1459752
- https://www.fao.org/3/i9540en/i9540en.pdf